รูปจาก https://oer.learn.in.th/
2.1 พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
จากอดีตตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย เข้าสู่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ชนชาติไทยมีพระมหากษัตริย์ปกครองที่เริ่มต้นจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์พระองค์แรก แห่งกรุงสุโขทัย จนมาถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 รัชกาลปัจจุบัน ของราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดารและประวัติศาสตร์ชาติไทย จำนวนทั้งสิ้น 53 พระองค์ คือ ในสมัยกรุงสุโขทัย จำนวน 9 พระองค์ สมัยกรุงศรีอยุธยา จำนวน 33 พระองค์ สมัยกรุงธนบุรี จำนวน 1 พระองค์ และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จำนวน 10 พระองค์ จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ชนชาติไทยได้รวมกันเป็นปึกแผ่น เป็นประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ ถึงแม้ว่าบทบาทและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะเปลี่ยนไปและลดลงหลังจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ "ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทย ที่มีต่อชนชาติไทยและประเทศไทยมากมายมหาศาล สุดที่จะพรรณนาหรือบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ หากชนชาติไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่มีพระมหากษัตริย์ที่มี พระปรีชาสามารถ ที่เสียสละ และปกปูองผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานไทย ปุานนี้ ก็ยังไม่รู้ชะตากรรม ว่าชนชาติไทยจะมีประเทศชาติและผืนแผ่นดินได้อยู่อาศัย และทำมาหากินเหมือนทุกวันนี้หรือไม่ ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยตลอดไป
ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีของชาวไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้มีบ้านเมือง และแคว้นน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่เคยมีเมืองใดหรืออาณาจักรใดที่สามารถรวบรวมบ้านเมืองต่าง ๆ เข้ามาไว้ในอำนาจ สร้างความเติบโตเป็นปึกแผ่นให้แก่กรุงศรีอยุธยาจนมีฐานะเป็นศูนย์กลางการปกครองในดินแดนที่ครอบคลุมพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แผ่อำนาจอิทธิพลออกไปไกลถึงดินแดนในแหลมมาลายู มีความเจริญมั่งคั่งทางด้านการค้าขายและเศรษฐกิจ จึงมีประเทศตะวันตกหลายประเทศ อาทิ โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) และฝรั่งเศส รวมถึงประเทศจีนและญี่ปุุนเข้ามาติดต่อค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีด้วย จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าขายในระดับนานาชาติ
กรุงศรีอยุธยา เป็นอาณาจักรและราชธานีของชนชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยาวนาน รวมทั้งสิ้น 412 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองทั้งหมด 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ แม้ว่าจะเกิดศึกสงครามแย่งชิงดินแดนกับอริราชศัตรูภายนอก หรือแม้แต่ศึกภายในระหว่างผู้สืบทอดของราชวงศ์ต่าง ๆ และขุนนางหลายครั้ง จึงทำให้กษัตริย์บางพระองค์มีระยะเวลาการขึ้นครองราชย์ในระยะสั้น ๆ และมีการเปลี่ยนราชวงศ์ถึง 5 ราชวงศ์ แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติของราชสำนักในอดีตที่มักมีการแย่งชิงเพื่อล้มล้างราชวงศ์ แต่อย่างไรก็ตามพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา หรือแม้แต่สมัยกรุงธนบุรี ทุกพระองค์ล้วนมีพระปรีชาสามารถเก่งกาจ ปราดเปรื่องและโดดเด่นในเรื่องที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ ยังมีบูรพมหากษัตริย์หลายพระองค์ รวมถึงวีรบุรุษและวีรสตรีที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกหลายคนในทุกสมัยที่มีบุญคุณปกปูองรักษาชาติและผืนแผ่นดินไทย ไว้ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างสุขสบาย ที่ลูกหลานและคนไทยทุกคนควรได้รู้จักและสำนึกในบุญคุณ ดังจะได้ยกตัวอย่างบุญคุณและวีรกรรมที่โดดเด่นของบางพระองค์ มาให้ได้ศึกษา ดังนี้
2.2 พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
2.2.1 พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
2.2.2 พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงธนบุรี
2.3 วีรกษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
2.3.1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง)
รูปจาก https://thai.tourismthailand.org/
พระราชประวัติ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) กษัตริย์พระองค์แรกในราชวงศ์อู่ทอง แห่งกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุโหรระบุว่าพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีเสด็จพระราชสมภพวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จ.ศ. 676 (ตรงกับปี พ.ศ. 1857) ได้ทรงสถาปนาเมืองหลวงขึ้นในบริเวณที่หนองโสนเมื่อ จ.ศ. 712 ปีขาลโทศก วันศุกร์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 เวลา 3นาฬิกา 9 บาท ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 เมื่อครองราชย์ได้รับเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตปีระกา พ.ศ. 1912 อยู่ในราชสมบัติ 20 ปี
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
1. การสงครามกับเขมร
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆมากมาย แม้กระทั่ง ขอม ซึ่งก็เป็นมาด้วยดีจนกระทั่งกษัตริย์ขอมสวรรคต พระราชโอรสนาม พระบรมลำพงศ์ ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระบรมลำพงศ์ก็แปรพักตร์ไม่เป็นไมตรีดังแต่ก่อน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จึงให้สมเด็จพระราเมศวรยกทัพไปตีกัมพูชา และให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงยกทัพไปช่วย จึงสามารถตีเมืองนครธมแตกได้ พระบรม ลำพงศ์สวรรคตในศึกครั้งนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงแต่งตั้ง ปาสัต พระราชโอรสของพระบรมลำพงศ์เป็นกษัตริย์ขอม
2. การปฏิรูปการปกครองและการตรากฎหมาย
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงปรับปรุงการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เรียกว่า จตุสดมภ์ ซึ่งประกอบด้วย กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กรมเวียงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมนครบาล กรมวังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมธรรมาธิกรณ์ กรมคลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมโกษาธิบดี และกรมนาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมเกษตราธิการ
ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง มีการประกาศใช้กฎหมายถึง 10 ฉบับ ได้แก่
พระราชบัญญัติลักษณะพยาน
พระราชบัญญัติลักษณะอาญาหลวง
พระราชบัญญัติลักษณะรับฟูอง
พระราชบัญญัติลักษณะลักพา
พระราชบัญญัติลักษณะอาญาราษฎร์
พระราชบัญญัติลักษณ์โจร
พระราชบัญญัติเบ็ดเสร็จว่าด้วยที่ดิน
พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย
พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย (อีกตอนหนึ่ง)
พระราชบัญญัติลักษณะโจรว่าด้วยโจร
2.3.2 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระราชประวัติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยาสมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ประสูติเมื่อปีกุน จุลศักราช 797 พ.ศ. 1974 เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 40 ปี ยาวนานที่สุดของกรุงศรีอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในด้าน การปกครอง ประกอบด้วยการจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อันเป็นแบบแผนซึ่งยึดสืบต่อกันมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการตรา พระราชกำหนดศักดินา ซึ่งทำให้มีการแบ่งแยกสิทธิ และหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป โดยทรงเห็นว่ารูปแบบการปกครองนับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีความหละหลวม หัวเมืองต่าง ๆ เบียดบังภาษีอากร และปัญหาการแข็งเมืองในบางช่วงที่พระมหากษัตริย์อ่อนแอ พระองค์ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝุายทหารและฝุายพลเรือนออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมี "เจ้าพระยามหาเสนาบดี" ดำรงตำแหน่ง สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่ดูแลกิจการทหารทั่วอาณาจักร และ "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" ดำรงตำแหน่ง สมุหนายก รับผิดชอบงานพลเรือนทั่วอาณาจักร พร้อมกับดูแลหน่วยงานจตุสดมภ์ จากเดิมที่พื้นฐานการปกครองนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยยังไม่ได้แยกฝุายพลเรือนกับทหารออกจากกันชัดเจน ทั้งนี้ ในยามสงคราม ไพร่ทุกคนจะต้องรับราชการทหารอันเป็นหน้าที่หลัก อันเป็นลักษณะรูปแบบการปกครองของอาณาจักรขนาดเล็กที่ขาดการประสานงานระหว่างเมือง การปกครองในส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ แต่เดิมที่แบ่งออกเป็นเมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวง แล้วเปลี่ยนระบบการปกครองหัวเมืองแบบใหม่ดังนี้
รูปจาก http://folkcity67.blogspot.com/
1. หัวเมืองชั้นใน จัดเป็นเมืองจัตวา พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมไปปกครอง แต่สิทธิอำนาจทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์
2. หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการกำหนดเป็นเมืองเอก โท หรือตรี ตามลำดับความสำคัญ เมืองใหญ่อาจมีเมืองเล็กขึ้นอยู่ด้วย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปปกครอง มีการจัดการปกครองเหมือนกับราชธานี
3. เมืองประเทศราช คงให้เจ้าเมืองปกครองกันเอง เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนด และเกณฑ์ผู้คนและทรัพย์สินเพื่อช่วยราชการสงคราม
สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแล ตำบล มีกำนันเป็นหัวหน้า แขวง มีหมื่นแขวงเป็นหัวหน้า พระองค์ยังทรงแบ่งการปกครองในภูมิภาค ออกเป็นหมู่บ้าน ตำบล แขวง และเมือง นอกจากนี้ ได้ทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ของสังคม ทำให้มีการแบ่งประชากรออกเป็นหลายชนชั้น เช่นเดียวกับหน้าที่และสิทธิของแต่ละบุคคล ศักดินาเป็นความพยายามจัดระเบียบการปกครองให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น อันเป็นหลักที่เรียกว่า การรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าศักดินาจะเป็นการกำหนดสิทธิในการถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบัติแล้วหมายถึงจำนวนไพร่พลที่สามารถครอบครอง เกณฑ์การปรับไหม และลำดับการเข้าเฝ้าแทน
2.3.3 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีพระนามเดิมว่าพระนเรศ หรือ "พระองค์ดำ" เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรีย์ (พระราช-ธิดาของสมเด็จพระสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก มีพระเชษฐภคินีคือ พระสุพรรณกัลยา มี พระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 สิริรวมการครองราชสมบัติ 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 สิริพระชนมายุ 50 พรรษา
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นวีรกรรมที่สำคัญยิ่งของชาติไทย คือ พระองค์ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรงแผ่อำนาจของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล นับตั้งแต่ประเทศพม่าตอนใต้ทั้งหมด คือ จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันออก ทางด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู ทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝั่งแม่น้ำโขงโดยตลอด และยังรวมไปถึงรัฐไทใหญ่บางรัฐ
นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2133 พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชาขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์
ซึ่งเหตุการณ์ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อหงสาวดีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนั้น ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราช ไม่ขึ้นตรงต่อกรุงหงสาวดี อีกทั้งยังสามารถขยายพระราชอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ชนชาติไทยยังคงความเป็นไทย มีเอกราช มีแผ่นดิน มีพระมหากษัตริย์และไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของชาติใด ๆ อีก
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง มีพระปรีชาสามารถทั้งทางด้านการรบและการปกครอง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อแผ่นดินไทยและปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดไม่ได้
2.3.4 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ (พ.ศ. 2174/2175 - 2231; ครองราชย์ พ.ศ. 2199-2231) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175 เป็น พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กับพระนางศิริธิดา
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมพ.ศ. 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระรามาธิบดี เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รวมครองราชสมบัติเป็นเวลา 32 ปี มีพระชนมายุ 56 พรรษา
รูปจาก https://www.tnews.co.th/
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
ด้านการเมือง การปกครอง
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก โดยทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองพม่าอีกหลายเมืองได้แก่ เมืองเมาะตะมะ สิเรียม ย่างกุ้ง หงสาวดี และมีกำลังสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นสามารถยึดหัวเมืองของพม่าได้คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
รูปจาก https://www.finearts.go.th/
ด้านการค้าขาย การทูตกับต่างประเทศ
ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัย รุ่งเรืองมาก มีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศ ต่าง ๆ เช่น จีน ญี่ปุุน อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาในพระราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกที่ทรงโปรดให้เข้ารับราชการในตำแหน่งสมุหนายก
ขณะเดียวกันยังโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งคณะทูตนำโดย เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 4 ครั้งด้วยกัน พระองค์ผู้เป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศในพระราโชบายทางคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศ รักษาเอกราชของชาติให้พ้นจากการเบียดเบียนของชาวต่างชาติ
ด้านวรรณคดี
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงกวีและงานด้านวรรณคดี อันเป็นศิลปะที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคนั้น มีกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น พระโหราธิบดี หรือพระมหาราชครู ผู้ประพันธ์หนังสือจินดามณี ซึ่งเป็นตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรก กวีอีกผู้หนึ่งคือ ศรีปราชญ์ ผู้เป็นปฏิภาณกวี เป็นบุตรของพระโหราธิบดี งานชิ้นสำคัญของศรีปราชญ์ คือ หนังสือกำศรวลศรีปราชญ์ และอนุรุทรคำฉันท์ ด้วยพระปรีชาสามารถดังได้บรรยายมาแล้ว สมเด็จพระนารายณ์จึงได้รับการถวายพระเกียรติเป็น มหาราช พระองค์หนึ่ง
2.4 วีรกษัตริย์ไทยสมัยกรุงธนบุรี
2.4.1 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 มีพระนามเดิมว่า สิน (ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน) พระราชบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรธนบุรีและเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ในสมัยอาณาจักรธนบุรี ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา รวมสิริดำรงราชสมบัติ 15 ปี พระราชโอรส-พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
พระราชกรณียกิจและ วีรกรรมที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยขับไล่ทหารพม่าออกจากราชอาณาจักร จนหมดสิ้นและยังทรงทำสงครามขยายพระราชอาณาเขตตลอดรัชสมัยเพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของขุนศึกก๊กต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อแผ่นดินไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีเป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน"
การขยายพระราชอาณาเขต
นอกจากขับไล่พม่าออกไปจากอาณาจักรได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้ขยายอำนาจเข้าไปในลาว ได้หัวเมืองลาวเข้ามาอยู่ในอำนาจอาจกล่าวได้ว่า สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นสมัยแห่งการกู้เอกราชของชาติ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ขับไล่ข้าศึกออกไปจากอาณาเขตไทยและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยของพระองค์ ประเทศไทยจึงยิ่งใหญ่เท่าเทียมเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามีความรุ่งเรือง อาณาเขตของประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี มีดังนี้ ทิศเหนือ ตลอดอาณาจักรล้านนา ทิศใต้ ได้ดินแดนกลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาว เขมร จรดอาณาเขตญวน และทิศตะวันตก จรดดินแดนเมาะตะมะ ได้ดินแดน เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี
ด้านการปกครอง
หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก กฎหมายบ้านเมืองกระจัดกระจายสูญหายไปมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการสืบเสาะ ค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ 1 ใน 10 และโปรดฯ ให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดฯ ให้คงไว้ ฉบับใด ไม่เหมาะก็โปรดให้แก้ไขเพิ่มเติมก็มี ยกเลิกไปก็มี ตราขึ้นใหม่ก็มี และเป็นการแก้ไขเพื่อราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับ พระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ แบบพ่อปกครองลูก ไม่ถือพระองค์ มักปรากฏพระวรกายให้พสกนิกรเห็น และมักถามสารทุกข์สุขดิบของพสกนิกรทั่วไป ทรงหาวิธีให้พลเมืองได้ทำมาหากินโดยปกติสุข ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดทำไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก อาจารย์สอนศิษย์
2.5 วีรบุรุษและวีรสตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและ กรุงธนบุรี
2.5.1 สมัยกรุงศรีอยุธยา
1) สมเด็จพระสุริโยทัย สมเด็จพระสุริโยทัย เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 15 ของอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระสุริโยทัยได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรสตรีจากวีรกรรมยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรในสงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้
พระวีรกรรม
เมื่อ พ.ศ. 2091พระเจ้าตะเบ็ง-ชะเวตี้และมหาอุปราชาบุเรงนองยกกองทัพพม่าเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก ในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาต่อจากขุนวรวงศาธิราชได้เพียง 7 เดือนโดยผ่านมาทางด้านด่านพระเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรีและตั้งค่ายล้อมพระนคร การศึกครั้งนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงวีรกรรมของ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ซึ่งไสช้าง พระที่นั่งเข้าขวางพระเจ้าแปรด้วยเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชสวามี จะเป็นอันตราย จนถูกพระแสงของ้าวฟันพระอังสาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง เพื่อปกปูองพระราชสวามีไว้ เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีจุลศักราช 910 ตรงกับวันเดือนปีทางสุริยคติ คือ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2092 เมื่อสงครามยุติลง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ ทรงปลงพระศพของพระนางและสถาปนาสถานที่ปลงพระศพขึ้นเป็นวัด ขนานนามว่า วัดสบสวรรค์ หรือวัดสวนหลวงสบสวรรค์ พระองค์ ถือเป็นวีรสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็ง และกล้าหาญ ไม่แพ้บุรุษ ไม่มีความเกรงกลัวต่ออริราชศัตรู สามารถออกรบเพื่อปกปูองประเทศชาติและผืนแผ่นดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสวามี สมควรที่ลูกหลานไทยจะได้สำนึกในบุญคุณของพระองค์
2) พระสุพรรณกัลยา หรือสุวรรณกัลยา หรือ สุวรรณเทวี เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช และพระวิสุทธิกษัตรีย์ และเป็นพระพี่นางใน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติ ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก พระนางปรากฏในพงศาวดารพม่าระบุว่า ในปี พ.ศ. 2112 เจ้าฟูาสองแคว (พระอิสริยยศของพระมหาธรรมราชาเมื่อครั้งได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าบุเรงนองให้ขึ้นครองพิษณุโลก) ได้ถวายพระธิดาชื่อ สุวรรณกัลยา พระชันษา 17 ปี กับบริวารและนางสนมรวม 15 คนแก่พระเจ้า บุเรงนอง โดยพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสี ในพระราชพงศาวดารพม่าได้บันทึกว่า พระสุพรรณกัลยาเป็นพระมเหสีที่พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดปรานมาก โดยทรงจัดให้สร้างตำหนักทรงไทยขึ้นในพระราชวังกรุงหงสาวดี
รูปจาก https://sites.google.com/
พระวีรกรรม
พระสุพรรณกัลยา ได้รับยกย่องให้เป็นวีรสตรี ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอมพลัดพรากจากแผ่นดินไทย ไปเป็นองค์ประกัน ณ กรุงหงสาวดี เพื่อแลกกับองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ต่อมาได้ทรงสิ้นพระชนม์ชีพในแผ่นดินพม่าอย่างไร้พิธีอันสมพระยศ ความเสียสละอันใหญ่หลวง ของพระองค์ในครั้งนั้น เป็นผลทำให้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกลับมากอบกู้ เอกราชของชาติไทยได้สำเร็จ
รูปจาก https://thailandtourismdirectory.go.th/
3) ขุนรองปลัดชู
ขุนรองปลัดชู นามเดิมชื่อ “ชู” เป็นครูดาบอาทมาต ผู้มีฝีมือในเขตเมืองวิเศษไชยชาญ (ปัจจุบันคือ อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองวิเชษไชยชาญ ตำแหน่ง “ปลัดเมือง” ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมกาศ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
วีรกรรมสาคัญ
ขุนรองปลัดชู เป็นผู้นำในคณะกรมการเมืองวิเศษไชยชาญ ได้รวบรวมไพร่พลเข้าเป็นกองอาสาสมัคร 4 คน สังกัดกองอาทมาต คนเพื่อเข้าร่วมทัพกรุงศรีอยุธยาสมทบกับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ ต่อต้านการบุกครองของกองทัพพม่าในสงครามพระเจ้าอลองพญา
กองทัพพม่านำโดยเจ้ามังระราชบุตรและมังฆ้องนรธา ยกมาทางเมืองมะริดและตะนาวศรี หลังจากตีทัพของพระยายมราชแห่งกรุงศรีอยุธยาที่แก่งตุ่มแขวงเมืองตะนาวศรีแตก ทัพดังกล่าวจึงเดินทางข้ามด่านสิงขรมุ่งสู่เมืองกุยบุรี เพื่อใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลเข้าสู่ กรุงศรีอยุธยา พระยารัตนาธิเบศร์ ซึ่งรั้งทัพอยู่ที่กุยบุรีจึงส่งกองอาทมาตของขุนรองปลัดชู
ให้มาสกัดทัพอยู่ที่อ่าวหว้าขาว (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูได้ปะทะกับกองทัพพม่าซึ่งมีกำลังราว 8,000 คน ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงก็ยังไม่แพ้ชนะ แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและไม่ได้รับกำลังเสริมจากทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ กองอาทมาตจึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเพราะความอ่อนล้า และถูกฝุายตรงข้ามไล่ต้อนลงทะเลฆ่าฟันจนเสียชีวิตทั้งหมดในวันนั้น ด้านทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ เมื่อทราบว่ากองอาทมาตของขุนรองปลัดชูแตกพ่าย จึงได้เร่งเลิกทัพหนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับทัพของพระยายมราช และกราบทูลรายงานการศึกว่า "ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย" ส่วนกองทัพพม่าเมื่อผ่านเมืองกุยบุรีได้แล้วก็ยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาโดยสะดวก เนื่องจากแนวรับต่าง ๆ ในลำดับถัดมาของฝุายกรุงศรีอยุธยาถูกตีแตกในเวลาอันสั้น
แม้ว่าเรื่องราวของขุนรองปลัดชูมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเพียงสั้น ๆ แต่ด้วยวีรกรรมที่กล้าหาญ ต่อสู้เพื่อสกัดกองทัพพม่าเพื่อไม่ให้เข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้ แม้จะมีโอกาสหลบหนีเอาตัวรอด แม้แทบไม่มีโอกาสชนะเพราะมีกำลังพลเพียงน้อยนิด แต่ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม ด้วยความรักชาติ ความหวงแหนแผ่นดินเกิด และความจงรักภัคดีต่อพระมหากษัตริย์ จึงต่อสู้สละชีวิตเพื่อปกปูองมาตุภูมิและสิ้นชีวิตในสมรภูมิอย่างสมเกียรติ
4) ชาวบ้านบางระจัน ชาวบ้านบางระจัน ได้รับยกย่องให้เป็นกลุ่มวีรชนผู้กล้าหาญ และเสียสละชีวิตเพื่อปกปูองบ้านเมืองและประเทศชาติ เรื่องราวของกลุ่มผู้กล้าชาวบ้านบางระจัน เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า กลุ่มวีรชนดังกล่าวนี้ประกอบด้วย
1. พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมอยู่วัดเขานางบวช แล้วมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น มีความรู้ ทางวิชาอาคม เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวค่ายบางระจัน
2. นายแท่น เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น ถูกปืนของพม่าที่เข่า ในการรบครั้งที่ 4 เสียชีวิตเมื่อการรบครั้งสุดท้าย
รูปจาก https://sites.google.com/
3. นายอิน เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
4. นายเมือง เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
5. นายโชติ เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น
6. นายดอก เป็นชาวบ้านกลับ
7. นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านโพทะเล
8. นายจัน หนวดเขี้ยว เก่งทางใช้ดาบ เสียชีวิตในการรบครั้งที่ 8
9. นายทอง แสงใหญ่ -เป็นชาวบ้านบางระจัน
10. นายทองเหม็น ขี่กระบือเข้าสู้รบกับพม่า ตกในวงล้อมถูกพม่าตีตายใน การรบครั้งที่ 8
11. ขุนสรรค์ มีฝีมือเข้มแข็งมักถือปืนเป็นนิจ แม่นปืน
วีรกรรมสาคัญ
ปี พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาโดยได้ยกกองทัพมา 2 ทาง คือ ทางเมืองกาญจนบุรีและทางเมืองตาก โดยมีแม่ทัพ คือ เนเมียวสีหบดีและมังมหานรธา โดยทัพแรกให้เนเนียวสีหบดีเป็นแม่ทัพยกมาตีหัวเมืองฝุายเหนือของกรุงศรีอยุธยาแล้วให้ย้อนกลับมาตีกรุงศรีอยุธยา ส่วนทัพที่ 2 มอบให้มหานรธาเป็นแม่ทัพยกมาตีเมืองทวายและกาญจนบุรี แล้วให้ยกกองทัพมาสมทบกับเนเมียวสีหบดีเพื่อล้อมกรุงศรีอยุธยาพร้อมกัน
ทัพของเนเมียวสีหบดีได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ แล้วให้ทหารออกปล้นสะดมทรัพย์สมบัติ เสบียงอาหาร และข่มเหงราษฎรไทย จนชาวเมืองวิเศษไชยชาญไม่สามารถอดทนต่อการข่มเหงของพวกพม่าได้ กลุ่มชาวบ้านที่บางระจันจึงได้รวบรวมชาวบ้านต่อสู้กับพม่าโดยได้อัญเชิญพระอาจารย์ธรรมโชติจากสำนักวัดเขานางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาให้มาช่วยคุ้มครองและมาร่วมให้กำลังใจ เมื่อมีชาวบ้านอพยพเข้ามามากขึ้น จึงช่วยกันตั้งค่ายบางระจันขึ้น เพื่อต่อสู้ขัดขวางการรุกรานของพม่า ค่ายบางระจัน เป็นค่ายที่เข้มแข็ง พม่าได้พยายามเข้าตีค่ายบางระจันถึง 7 ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดสุกี้ซึ่งเป็นพระนายกองของพม่าได้อาสาปราบชาวบ้านบางระจัน โดยตั้งค่ายประชิดค่ายบางระจัน แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงเข้าไปในค่ายแทนการสู้รบกันกลางแจ้ง ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตไปจำนวนมาก ชาวบ้านบางระจันไม่มีปืนใหญ่ยิงตอบโต้ฝุายพม่า จึงมีใบบอกไปทาง กรุงศรีอยุธยาให้ส่งปืนใหญ่มาให้ แต่ทางกรุงศรีอยุธยาไม่กล้าส่งมาให้ เพราะเกรงว่าจะถูกฝุายพม่าดักปล้นระหว่างทาง ชาวบ้านจึงช่วยกันหล่อปืนใหญ่โดยบริจาคของใช้ทุกอย่างที่ทำด้วยทองเหลืองมาหล่อปืนได้สองกระบอก แต่พอทดลองนำไปยิง ปืนก็แตกร้าวจนใช้การไม่ได้ ถึงแม้ว่าไม่มีปืนใหญ่ ชาวบ้านบางระจันก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับพม่าต่อไปจนกระทั่งวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 พ.ศ. 2309 ค่ายบางระจันก็ถูกพม่าตีแตกและสามารถยึดค่ายไว้ได้ หลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้กับข้าศึกมานานถึง 5 เดือน
จากวีรกรรมของชาวบ้านบางระจันทำให้ได้รับการยกย่องว่า เป็นวีรกรรมของคนไทยที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการเสียสละชีวิตให้แก่ชาติบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและความกล้าหาญของคนไทยในการต่อสู้กับข้าศึก และถือเป็นแบบอย่างที่ดีของอนุชนรุ่นหลัง ทางราชการจึงได้สร้างอนุสาวรีย์วีรขนค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อวีรชนที่เป็นหัวหน้าทั้ง 11 คน ขึ้นบริเวณหน้าค่ายบางระจัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เพื่อเป็นอนุสรณ์
2.5.2 สมัยกรุงธนบุรี
1) พระยาพิชัยดาบหัก
พระยาพิชัยดาบหัก เป็นขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในชั้นเชิงการต่อสู้ ทั้งมือเปล่าแบบมวยไทย และอาวุธแบบกระบี่ กระบอง เดิมชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อปี พ.ศ. 2284 ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ศึกษาอยู่กับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี หรือ ทองดีฟันขาว มีความสามารถทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบ ตระเวนชกมวยตามงานวัดต่าง ๆ จนขึ้นชื่อไปถึงเมืองตาก และได้ชกมวยต่อหน้าเจ้าเมืองตาก(สิน) จนเจ้าเมืองประทับใจจึงให้ช่วยรับราชการ ให้ไปดูแลเมืองพิชัย นายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รักษ์มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อรับราชการมีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัย ผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย ซึ่งรับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ
รูปจาก https://www.thetrippacker.com/
วีรกรรมสาคัญ
ในปี พ.ศ. 2310 เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เจ้าตาก(สิน) ถูกเรียกตัวเข้ากรุง พระยาพิชัยก็ติดตามเจ้าตาก (สิน) เข้าไปต้านพม่าในกรุงศรีอยุธยาด้วย ครั้นเมื่อพม่าบุกรุกมาท่านก็ต่อสู้รักษาแผ่นดิน ท้ายที่สุดต้านพม่าไม่อยู่เจ้าตาก(สิน) ก็ตัดสินใจตีฝุาวงล้อมพม่าพร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่งออกไปทางชลบุรี หนึ่งในทหารที่ตีฝุาวงล้อมออกไปก็มีพระยาพิชัย พระยาพิชัยกลายเป็นทหารคู่ใจของเจ้าตาก(สิน) เที่ยวตีหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อรวบรวมไพร่พล ตั้งแต่ชลบุรี ตราด และก่อนจะทุบหม้อข้าวเข้าตีจันทบุรีที่เป็นเมืองใหญ่ คนที่เข้าไปพังประตูเมืองจันทบุรีคนแรกก็คือพระยาพิชัยดาบหักท่านนี้ แล้วยึดเมืองจันทบุรีได้ ก่อนจะย้อนกลับมาต่อตีกับพม่าที่อยุธยาและได้รับชัยชนะเหนือพม่า ประกาศอิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยา
เมื่อครั้งพระยาพิชัยซึ่งปกครองเมืองพิชัยในสมัยกรุงธนบุรี ท่านได้สร้างเกียรติประวัติไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปี พ.ศ.2316 โปสุพลายก กองทัพมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยได้ยกทัพไปสกัดทัพพม่าจนแตกพ่ายกลับไป การรบในครั้งนั้น ดาบคู่มือของพระยาพิชัยได้หักไปเล่มหนึ่ง แต่ก็ยังรบได้ชัยชนะต่อทัพพม่า ด้วยวีรกรรมดังกล่าวจึงได้สมญานามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก"
พระยาพิชัยดาบหัก ได้รับยกย่องให้เป็นผู้ที่มีความจงรักภัคดี และซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว เมื่อปี พ.ศ. 2325 หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกสำเร็จโทษ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเล็งเห็นว่าพระยาพิชัยเป็นขุนนางคู่พระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่มีฝีมือและซื่อสัตย์ จึงชวนพระยาพิชัยเข้ารับราชการในแผ่นดินใหม่ แต่พระยาพิชัยไม่ขอรับตำแหน่งด้วยท่านเป็นคนจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และถือคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี" จึงขอให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกสำเร็จโทษตนเป็นการถวายชีวิตตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลังจากท่านได้ถูกสำเร็จโทษ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเฉลิมพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงได้มีรับสั่งให้สร้างพระปรางค์นำอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ ณ วัดราชคฤห์วรวิหาร ซึ่งพระปรางค์นี้ก็ยังปรากฏสืบมาจนปัจจุบัน
พระยาพิชัยดาบหักได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญให้สืบทอดมาถึงปัจจุบันได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดกล้าหาญ รวมถึงความรักชาติ ต้องการให้ชาติเจริญรุ่งเรืองมั่นคงต่อไป