“ชนชาติไทย” เป็นชนชาติที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่ยาวนานไม่แพ้ชาติใดในโลก เรามีพื้นแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว มีพืชพันธ์ธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ มีภูมิอากาศ และภูมิประเทศที่เป็นชัยภูมิ อากาศไม่ร้อนมาก ไม่หนาวมาก มีความหลากหลายของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ มีที่ราบลุ่มแม่น้ําที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีภูเขา มีทะเลที่มีความสมดุลและสมบูรณ์เพียบพร้อมเป็นที่หมายปองของนานาประเทศ นอกจากนี้ ชนชาติไทย ยังมีขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามหลากหลาย งดงาม เป็นเอกลักษณ์ของชาติที่โดดเด่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ลูกหลานไทยทุกคนควรมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ในแผ่นดินไทย แต่ก่อนที่จะสามารถรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น ทําให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดินอาศัยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขหลายชั่วอายุคนมาจวบจนทุกวันนี้ บรรพบุรุษของชนชาติไทยในอดีต ท่านได้สละชีพเพื่อชาติ ใช้เลือดทาแผ่นดิน ต่อสู้เพื่อปกปูองดินแดนไทย กอบกู้เอกราชด้วยหวังไว้ว่ ลูกหลานไทยต้องมีแผ่นดินอยู่ไม่ต้องไปเป็นทาสของชนชาติอื่น ซึ่งการรวมตัวมาเป็นชนชาติไทยที่มีทั้งคนไทยและแผ่นดินไทยของบรรพบุรุษไทยในอดีต ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทําได้โดยง่าย ต้องอาศัยความรัก ความสามัคคีความกล้าหาญ ความเสียสละอดทน และสิ่งที่สําคัญ คือ ต้องมีศูนย์รวมใจที่เป็นเสมือนพลังในการต่อสู้และผู้นําที่มีความชาญฉลาดทั้งในด้านการปกครองและการรบ ซึ่งก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน และหากลูกหลานไทยและคนไทยทุกคนได้ศึกษาพงศาวดารและประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็จะเห็นว่า ด้วยเดชะพระบารมีและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ของไทยในอดีตที่เป็นผู้นําสามารถรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น และแม้ว่าเราจะเคยเสียเอกราชและดินแดนมามากหมายหลายครั้ง บูรพมหากษัตริย์ไทยก็สามารถกอบกู้เอกราชและรวบรวมชนชาวไทยให้เป็นปึกแผ่นได้เสมอมา และเหนือสิ่งอื่นใด พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศชาติด้วยพระบารมีและทศพิธราชธรรมใช้ธรรมะและคําสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวในการปกครอง ทําให้คนในชาติอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข สมกับคําที่ว่า “ประเทศไทย เป็นประเทศแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” ซึ่งแผ่นดินธรรม หมายถึง แผ่นดินที่มีผู้ปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมนั้น หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง แผ่นดินทอง หมายถึง แผ่นดินที่ประชาชน ได้รับประโยชน์ และความสุขอย่างทั่วถึงตามควรแก่อัตภาพ
ดังนั้น ชนชาติไทยในอดีต จึงถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสูงสุดของชาติที่มีบทบาทสําคัญในการเป็นผู้นํา รวบรวมประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่น และกษัตริย์ทุกพระองค์ปกครอง ดูแลและบริหารประเทศชาติโดยใช้หลักธรรม ที่เป็นคําสอนของศาสนาด้วยความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในสถาบันศาสนา ที่เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้คนในชาติประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงาม เพราะทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้คนประพฤติและคอยประคับประคองจิตใจให้ดีงาม มีความศรัทธาในการบําเพ็ญตนตามรอยพระศาสดาของแต่ละศาสนา และเมื่อพระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในธรรม และปกครองแผ่นดินโดยธรรมแล้ว ไพร่ฟูาประชาราษฎร์ต่างอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขจึงทําให้สถาบันชาติ ที่เป็นสัญลักษณ์เปรียบเสมือนอาณาเขตผืนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย มีความมั่นคง พัฒนาและยืนหยัดได้อย่างเท่าเทียมอารยประเทศ ดังนั้น สถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นสถาบันหลักของชาติไทย ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของปวงชาวไทยและคนในชาติมาจวบจนทุกวันนี้
1.1 สถาบันชาติ
1.1.1 ความหมายของชาติ ชาติ [ชาด ชาดติ] น. ในพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
ความหมายที่ 2 หมายถึง ประเทศ ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ กลุ่มชนที่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ความเป็นมาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมอย่างเดียวกันหรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกันหรืออีกนัยหนึ่ง ชาติ จะหมายถึง กลุ่มคน หรือประชาชนที่มีจุดร่วมของการเป็นชาติ เช่น มีประวัติศาสตร์ มีผู้นําหรือกษัตริย์ที่เก่งกล้า มีวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา หรือมีเป่าหมายที่ดีสําหรับการรวมเป็นชาติเดียวกัน มีแผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง มีอาณาเขตที่แน่นอน มีการปกครองเป็นสัดส่วน มีผู้นําเป็นผู้ปกครองประเทศและประชาชนทั้งหมดด้วยกฎหมายที่ประชาชนในชาตินั้นกําหนดขึ้น เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจําชาติมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติของตนเอง สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลายาวนาน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ท่านได้มีพระกระแสรับสั่งเกี่ยวกับคําว่า “ชาติ” ไว้ว่า “การที่จะเป็นชาติได้ ต้องมีองค์ประกอบ 2 สิ่ง คือ 1) คน และ 2) แผ่นดิน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นชาติไม่ได้ อธิบายได้ว่า ผืนแผ่นดินใด หากไร้คนอยู่อาศัย จะจัดว่าเป็นที่รกร้าง และหากผืนแผ่นดินใดมีแต่คนแต่ผืนแผ่นดินนั้นไม่ใช่ของกลุ่มคนนั้นเป็นเจ้าของ ถือว่าพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ถือเป็นชาติ
1.1.2 ความเป็นมาของชนชาติไทย
การศึกษาเรื่องถิ่นกําเนิดของชนชาติไทย ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีเศษมาแล้ว โดยนักวิชาการชาวตะวันตก ต่อมาได้มีนักวิชาการสาขาต่างๆ ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศได้ศึกษาค้นคว้าต่อมาเป็นลําดับจนถึงปัจจุบัน การศึกษาค้นคว้าได้อาศัยหลักฐานต่าง ๆ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเครื่องใช้ เอกสารโบราณจีน หลักฐานทางภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลจากการค้นคว้าปรากฏว่ามีนักวิชาการและผู้สนใจเรื่องถิ่นกําเนิดของชนชาติไทยต่างเสนอแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยไว้หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มแรกในระยะแรกๆ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าถิ่นกําเนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนเทือกเขาอัลไต แล้วอพยพถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของประเทศจีน หรือกลุ่มที่สอง เชื่อว่าถิ่นฐานกําเนิดของชนชาติไทย น่าจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑลเสฉวนลุ่มแม่น้ําแยงซีเกียง แล้วอพยพลงมาทางใต้ และแนวคิดอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของคนไทยอยู่กระจัดกระจายทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย ต่อมาได้อพยพย้ายถิ่นกระจายออกไปนอกจากนี้ ยังมีนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ และนักประวัติศาสตร์บางท่าน ได้ศึกษาค้นคว้าจากโครงกระดูกมนุษย์ของยุคหินใหม่ ที่ค้นพบในประเทศไทยจํานวนหลาย ๆ โครงกระดูก มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบันจึงได้เสนอแนวคิดว่า ดินแดนประเทศไทยน่าจะเป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละแนวคิด ก็มีเหตุผลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทางกายวิภาคศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีแนวคิดใดเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน
จากร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีจดหมายเหตุจีน พระราชพงศาวดารรวมถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มีการยืนยันและเชื่อว่าประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยในแหลมทอง (Golden Khersonese) เริ่มต้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 800 (พุทธศตวรรษที่ 8 - 12) เป็นต้นมา โดยมีดินแดนของอาณาจักรและแคว้นต่าง ๆ เช่น อาณาจักรฟูนัน ตั้งอยู่บริเวณทางทิศตะวันตกและชายทะเลขอบอ่าวไทย และมีอาณาจักรหริภุญชัยทางเหนืออาณาจักรศรีวิชัยทางใต้ และมีอาณาจักรทวารวดี(พุทธศตวรรษที่ 12) บริเวณลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นต้น ต่อมาได้มีการรวมตัวเป็นปึกแผ่น โดยมีพระมหากษัตริย์ มีดินแดนและสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย ราวปี พ.ศ. 1762 โดยพ่อขุนศรีนาวนําถมพระราชบิดาของพ่อขุนผาเมือง เป็นผู้ปกครองอาณาจักร
ดังนั้น จากหลักฐานและข้อมูลข้างต้นนี้ รวมถึงสมมติฐานของแหล่งอารยธรรมต่าง ๆ ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่แหล่งกําเนิดของชนชาติกลุ่มต่างๆ ในอดีตจะอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ อาทิ แหล่งอารยธรรมเมโสโปรเตเมีย ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris) ทางตะวันออก และแม่น้ํายูเฟรติส (Euphrates) ทางตะวันตก หรืออารยธรรมอินเดียโบราณหรืออารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ชนชาติกลุ่มต่าง ๆ ที่เคยอาศัยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา หรือบริเวณรอบอ่าวไทย จะมีการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นแล้วมีการพัฒนาเป็นชุมชน สังคม และเมืองจนกลายมาเป็นอาณาจักรต่าง ๆ ของชนชาติไทยตามพงศาวดาร
1.1.3 การรวมชาติไทยเป็นปึกแผ่น
ไม่ว่าแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับแหล่งกําเนิดของชนชาติไทย จะอพยพมาจากที่ใดจะมีการพิสูจน์หรือได้รับการยอมรับหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นสําคัญที่จะต้องพิสูจน์หาคําตอบคงปล่อยให้เป็นเรื่องของนักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการที่ต้องศึกษาหรือค้นคว้าต่อไป แต่ความสําคัญอยู่ที่ ลูกหลานคนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินได้ ต้องได้เรียนรู้และต้องยอมรับว่าการรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น และให้ชนชาติไทยมีแผ่นดินอยู่สุขสบายชั่วลูกชั่วหลานจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ จะสามารถทําได้โดยง่าย จะสังเกตจากที่หลายชนชาติที่เคยเรืองอํานาจในอดีต แต่เนื่องจากขาดผู้นําที่เข้มแข็ง ไม่สามารถรวบรวมประชาชนให้เป็นปึกแผ่น ปัจจุบันได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อย ต้องไปอาศัยแผ่นดินของชนชาติอื่นอยู่ หรือต้องไปอยู่ภายใต้การปกครองของชนชาติอื่น ด้วยเหตุนี้ คนไทยและลูกหลานไทยทุกคนต้องตระหนักถึงบุญคุณของบรรพบุรุษไทยและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ไทยในอดีตที่สามารถรวบรวมชนชาวไทย ปกปูองรักษาเอกราชและดินแดนของประเทศไทยไว้ได้มาโดยตลอด การรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น จึงเป็นเสมือนเป็นพระราชกรณียกิจที่สําคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตซึ่งหากจะย้อนรอยไปศึกษาพงศาวดารฉบับต่าง ๆ รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่ยุคก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย ให้เป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาวไทยแล้ว การสถาปนาราชธานีของชนชาวไทยทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นการสถาปนากรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงการกอบกู้เอกราชหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้ง ล้วนเป็นวีรกรรมและบทบาทอันสําคัญของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ซึ่งจะได้เรียนรู้ในบทต่อไป
รูปจาก https://phetchabun.org/
เหตุการณ์การรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นในอดีต เกิดขึ้นหลายครั้งนับตั้งแต่การรวมชาติครั้งแรกในสมัยพ่อขุนศรีนาวนําถมผู้สถาปนากรุงสุโขทัย ให้เป็นราชธานีของชนชาติไทย ต่อมาเมื่อพระองค์ได้เสด็จสวรรคต ขอมสบาดโขลญลําพง ได้ทําการยึดกรุงสุโขทัย พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนําถม พระนามว่า พ่อขุนผาเมืองและพระสหายนามว่า พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยางได้เข้ายึดอํานาจคืนจากขอมได้สําเร็จ พ่อขุนผาเมืองจึงได้ยกให้พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ. 1792 ภายหลังถวายพระนามเป็น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงถือเป็นปฐมกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย
กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยได้ประมาณ 200 ปี ก่อนที่อ่อนอํานาจลง และถูกผนวกในฐานะหัวเมืองหนึ่งในพระราชอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1921 ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 2 แม้ว่าพระมหากษัตริย์ของราชวงศ์พระร่วงหรือราชวงศ์สุโขทัยจะหมดอํานาจลงแต่การรวมอํานาจของเมืองอโยธยา กับเมืองสุพรรณบุรี ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ในปี พ.ศ. 2893 สุโขทัยก็ได้ ถูกผนวกในฐานะเมืองประเทศราชซึ่งต่อมาผู้สืบทอดอํานาจราชวงศ์สุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง ยังกลับมามีบทบาทและมีอํานาจอีกครั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม การเรืองอํานาจหรือหมดอํานาจของอาณาจักรน้อยใหญ่ในอดีต เป็นแค่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา แคว้นใดหรืออาณาจักรใด มีผู้นําที่เข้มแข็ง แคว้นนั้นหรืออาณาจักรนั้น ก็จะสามารถยึดเมือง รวบรวมประชาชนและสถาปนาเมืองขึ้นมาให้เป็นปึกแผ่นได้เฉกเช่น ชนชาติไทยในอดีต ทั้งในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา รวมไปถึงอาณาจักรล้านนา หริภุญชัย พิษณุโลก ชากังราวสุพรรณบุรี และเมืองอื่น ๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิหรือแหลมทองแห่งนี้ แม้นว่าจะเสื่อมอํานาจลงถูกผนวกเข้ามารวมเป็นปึกแผ่นภายหลัง แต่ประชาชนและชนชาติในอาณาจักรต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนถือเป็นบรรพบุรุษรากเหง้าของคนไทยในปัจจุบันเช่นเดียวกัน
ชนชาติใดหรือกลุ่มคนใดก็ตาม ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ยอมมีหลักยึดเหนี่ยวในการดําเนินชีวิตที่คล้ายกัน เช่น มีพระมหากษัตริย์ที่รักและเคารพองค์เดียวกัน มีศาสนาที่รักและศรัทธาเหมือนกัน มีบ้านเมืองที่อยู่อาศัยในอาณาเขตเดียวกัน และมีแผ่นดินที่ต้องปกปูองผืนเดียวกัน ชนชาติไทยในอดีตก็เช่นเดียวกัน ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์พระบรมวงศ์ศานุวงศ์ เหล่าเสนาอํามาตย์ ทหาร นักรบ นักบวชพระภิกษุสงฆ์ ชาวบ้านหญิงชายและอื่น ๆ จะมีหลักยึดเหนียวของการเป็นชนชาติเดียวกัน จึงทําให้การต่อสู้เพื่อรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้ว่าจะถูกรุกราน ตีแตกพ่ายอพยพไร้แผ่นดินอยู่ หรือจะถูกยึดครองหลายต่อหลายครั้ง แต่บรรพบุรุษไทยที่มีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่เคยยอมให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน มีการต่อสู้เพี่อกอบกู้เอกราชและดินแดน เพื่อหวังว่าลูกหลานไทยจะได้มีชาติมีแผ่นดินอยู่สืบต่อไป
1.1.4 บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในการรวมชาติ
ดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า บทบาทการรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น เป็นบทบาทที่สําคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต หากรัฐใดแคว้นใด ไม่มีผู้นําหรือพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง มีพระปรีชาสามารถทั้งด้านการรบ การปกครองรวมถึงด้านการค้า เศรษฐกิจการคลังรัฐนั้นหรือแคว้นนั้น ย่อมมีการเสื่อมอํานาจลงและถูกยึดครอง ผนวกไปเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศราชภายใต้การปกครองของชนชาติอื่นไป การถูกยึดครองหรือผนวกไปเป็นเมืองขึ้นภายใต้การปกครองของอาณาจักรอื่นในอดีต สามารถทําได้หลายกรณี อาทิเช่น การยอมสิโรราบ โดยดี โดยการเจริญไมตรีและส่งบรรณาธิการถวาย โดยไม่มีศึกสงครามและการเสียเลือดเนื้อเช่น การรวมแผ่นดินและสถาปนากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์พระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังและพระที่นั่งต่าง ๆ ให้มีความมั่นคง ต่อมาพระยาประเทศราชทั้ง 16 หัวเมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลําเริง เมืองสงขลา เมืองจันทบูรเมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองกําแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ได้มาถวายบังคมอยู่ร่วมเขตขัณฑสีมา หรือการรวมแผ่นดินโดยการการยกทัพไปตีเมื่อชนะ ก็ยึดครอง เกณฑ์ไพร่พลกลับมาเมืองตนเองและแต่งตั้งเจ้านายหรือผู้ที่ได้รับการไว้ใจไปปกครองเช่น สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงพระกรุณาให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร ยกพล 5000 ไปตีกรุงกัมพูชาธิบดี ซึ่งพระองค์ทรงรบชนะ จึงได้กวาดเอาครัวชาวกรุงกัมพูชาธิบดีเข้าพระนครเป็นอันมาก
จะเห็นว่าในการทําศึกสงครามเพื่อการปกปูองแผ่นดินของตนเองหรือการทําศึกสงครามเพื่อขยายพระราชอาณาเขต ล้วนเป็นบทบาทของพระมหากษัตริย์หรือ พระบรมวงศ์-ศานุวงศ์ ที่ต้องยกทัพนําไพร่พลออกทําศึกสงครามด้วยพระองค์เอง การศึกสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมืองจากอริราชศัตรูในอดีตสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น การทํายุทธหัตถีหรือการชนช้างระหว่างเจ้าราม หรือพ่อขุนรามคําแหง กับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดในสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดา ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ราวปี พ.ศ. 1800 หรือเหตุการณ์การยุทธหัตถี และการกอบกู้เอกราช และรวบรวมไพร่พลเพื่อสร้างกรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากที่เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้กับพระเจ้าหงสาวดีซึ่งในขณะนั้นคือพระเจ้าบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. 2112 ซึ่งจะได้ยกให้มาศึกษาในตอนต่อไป
ภาพแผนที่ฝรั่งเศส ปีพ.ศ.2229แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้มีบทบาทสําคัญในการรวมชนชาติให้เป็นปึกแผ่น รวมถึงการปกปูองประเทศชาติและมาตุภูมิเพื่อสืบไว้ให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดินอยู่ ซึ่งหากชนชาติไทยในอดีต ไม่มีผู้นําหรือกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถแล้ว ในวันนี้อาจไม่มีชาติไทยหลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก หรือชนชาติไทยอาจต้องตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของชาติใดชาติหนึ่ง ดังเช่น ชาติมอญ ที่อดีตเคยเป็นชนชาติ ที่ยิ่งใหญ่แต่หลังจากที่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์แห่งตองอู ซึ่งเป็นกษัตริย์พม่าพระองค์แรก ที่ตีเมืองหงสาวดี เมืองหลวงของชนชาติมอญ และต่อมาได้สถาปนาเมืองหงสาวดีเป็นเมืองหลวงของพม่า จากนั้นเป็นต้นมาชนชาติมอญก็ถูกกลืนชาติไปตราบจนทุกวันนี้ ดังบทกวี“วันสิ้นชาติ”ของ ชาลี ชลียา ที่ได้เตือนสติคนไทยให้มีความรักชาติ ศาสนา มีความจงรักษ์ภักดีและสํานึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ โดยได้คัดมาตอนหนึ่งว่า
การสิ้นชาติขาดกษัตริย์ประวัติศาสตร์ หากประมาทอาจเกิดได้ไม่วันไหน
คน-แผ่นดิน-ภาษา-วัฒนธรรมใด มีรวมได้กลายเป็นชาติอันสมบูรณ์
หากขาดซึ่งส่วนใดให้สิ้นชาติ รวมทั้งศาสน์กษัตริย์อาจสิ้นสูญ
ตัวอย่างมอญถูกทําลายให้อาดูร เราและคุณรักชาติไทยให้ร่วมกัน...
1.2 สถาบันศาสนา
ศาสนา เป็นลัทธิความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกับการกําเนิดและสิ้นสุดของโลกหลักศีลธรรมตลอดจนลัทธิพิธีที่กระทําตามความเชื่อนั้น ๆ หลายศาสนามีการบรรยายสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเจตนาอธิบายความหมายของชีวิตและหรืออธิบายกําเนิดชีวิตหรือเอกภพ จากความเชื่อของศาสนาเกี่ยวกับจักรวาลและธรรมชาติมนุษย์โดยศาสนาถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และขัดเกลาจิตใจมนุษย์จากที่กระด้างให้บริสุทธิ์ โดยก่อนที่จะมีศาสนากําเนิดขึ้นมามนุษย์ยุคแรก ๆ นั้นมีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เนื่องจากไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ต่อมาเมื่อมีศาสนากําเนิดขึ้นมาทําให้จิตใจมนุษย์อ่อนโยนลง มนุษย์มีความเห็นใจต่อกันและกัน มีน้ําใจโอบอ้อมอารีต่อกัน และจะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศนั้นจะยึดคําสั่งสอนของศาสนาเป็นหลักในการปกครองประเทศ และมีการกําหนดศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติด้วย นอกจากศาสนาจะมีอิทธิพลต่อการปกครองของประเทศแล้วยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของแต่ละประเทศด้วย เช่น ประเทศไทยที่มีการหล่อพระพุทธรูปเป็นงานศิลปะ วัฒนธรรมการไหว้ การเผาศพ วัฒนธรรมเหล่านี้ก็นํามาจากศาสนาเหมือนกัน ดังนั้นศาสนาจึงเป็นสถาบันที่สําคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก
ประเทศไทย เป็นประเทศเสรี รัฐมอบสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนในการนับถือศาสนา จึงทําให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา การสํารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม เน้นในด้านการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของประชากร 3 ศาสนา คือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ (ไม่รวมผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆและผู้ไม่มีศาสนา)จากผลการสํารวจของสํานักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2554 พบว่าประชากรอายุ 13 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ (ร้อยละ 94.6) รองลงมา นับถือศาสนาอิสลาม(ร้อยละ 4.6) และนับถือศาสนาคริสต์ (ร้อยละ 0.7) ที่เหลือคือผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งผู้ไม่มีศาสนา (ร้อยละ 0.1)
หน้าที่ของสถาบันศาสนา
1. สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่สังคม
2. สร้างเสริมและถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สังคม
3. ควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม
4. สนองความต้องการทางจิตใจแก่สมาชิกเมื่อสมาชิกเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก โดยทั่วไปแบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคม ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือและเป็นไปตามประเพณีทางศาสนานั้น ๆ กิจกรรมของประเพณีทางศาสนามีความสำคัญในการสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคม
1.2.1 ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ ได้เผยแผ่เข้ามาในดินแดนประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยพระเถระชาวอินเดีย เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ที่มีอาณาเขตกว้างขวาง มีหลายประเทศรวมกันในดินแดนส่วนนี้ จำนวน 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ประเทศไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย ซึ่งพระพุทธศาสนาที่เข้ามาในครั้งนั้น เป็นนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบดั่งเดิม มีพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสศรัทธาบวชเป็นพระภิกษุเป็นจำนวนมาก และได้สร้างวัด สถูปเจดีย์ไว้สักการะบูชา ต่อมาภายหลัง กษัตริย์ในสมัยศรีวิชัยทรงนับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายาน จึงทำให้ศาสนาพุทธนิกายมหายานเผยแผ่เข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยทางตอนใต้ ซึ่งก็ได้มีการรับพระพุทธศาสนาทั้งแบบเถระวาท และแบบมหายาน และศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาใหม่ จึงทำให้ประเทศไทยมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้ง 2 แบบ และมีพระสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายด้วยเช่นกัน
รูปจาก https://www.matichonweekly.com/
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธศาสนาในสมัยนี้ ได้รับอิทธิพลของพราหมณ์เข้ามามาก แต่พระมหากษัตริย์ทั้ง 33 พระองค์ ทรงนับถือพุทธศาสนาทั้งหมด ทรงอุปถัมภ์บำรุงวัดวาอารามอย่างจริงจัง จะเห็นได้จากในแต่ละสมัยรัชกาล จะมีการหล่อพระพุทธรูป และสร้างวัด ขึ้นมาหลายแห่ง เช่น ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงสร้างวัดพุทไธสวรรย์ ที่ตำบลเวียงเหล็ก ถือเป็นอารามแห่งแรกของอยุธยา สร้างพุทธเจดีย์ที่สำคัญของวัดคือ พระปรางค์ใหญ่พระวิหาร พระพุทธรูปตามระเบียงคดซึ่งทำด้วยศิลา และกุฏิพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นอธิบดีสงฆ์ฝุายคันถธุระ มีตำแหน่งสังฆราชฝ่ายซ้าย
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระองค์ได้สร้างพระวิหารวัดจุฬามณี และทรงพระผนวช ณ วัดจุฬามณี ถึง 8 เดือน รัชสมัยของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ นับว่ายาวนานที่สุดกว่ากษัตริย์ในสมัยอยุธยาทุก ๆ พระองค์ ทรงอุปถัมภ์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญตลอดมาด้วยดี และต่อมาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระวิหารพระศรีสรรเพชญ์ หล่อพระพุทธรูปยืน ทรงถวายพระนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์” เป็นพระทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ ตามพระราชพงศาวดารอยุธยา กล่าวว่ามีการสร้างเจดีย์วัดภูเขาทอง และสถาปนาในสมัยพระราเมศวร และต่อมาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ให้เป็นมหาเจดีย์สูงเด่นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระเพทราชา และแล้วเสร็จในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งรัชสมัยของพระองค์ให้มีการตั้งสมณวงศ์ในลังกา ที่เรียกว่า สยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
รูปจาก https://welovetogo.com/
นอกจากนี้ พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระองค์ทรงโปรดให้สร้างวัดไชยวัฒนาราม วัดชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร สร้างพระปรางค์วัดมหาธาตุ ในช่วงพระราชพิธีประกาศลบศักราชได้โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามกว่าร้อยแห่ง และโปรดเสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ เช่น สมโภชพระพุทธบาท เป็นต้น และต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199 – 2231 แม้ว่าพระองค์ทรงถูกเชื้อเชิญจากราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่นับถือคริสต์ให้เปลี่ยนศาสนา ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่พระองค์ก็มีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้โปรดให้หล่อพระพุทธรูปทองคำสูง 4 ศอกเศษอยู่องค์หนึ่ง สูง 1 ศอกบ้าง สูง 2 ศอกบ้าง ถวายพระนามว่า “พระบรมไตรโลกนาถ” และพระบรมไตรภพนาถ และนอกจากนี้พระองค์ ทรงได้ประกาศออกเป็นราชกฤษฎีกา ว่า “บุคคลใดจะนับถือศาสนาใดก็ได้ โดยไม่ทรงบังคับในการที่ประชาชนของพระองค์จะนับถือในเรื่องของศาสนา ในสมัยนั้น พระองค์ยังทรงสร้างวัดแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ได้แก่ วัดเซนต์เปาโร ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดลพบุรี และวัดเซนต์โยเซฟ อยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ส่วนในรัชสมัยพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ แห่งกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากมีการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากว่างจากการทำศึก พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็จะบูรณะซ่อมแซมและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนามิได้ขาด อาทิ สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ได้ทรงสถาปนาวัดวังชัย วัดศพสวรรค์ รวมถึงทรงลาผนวช ทั้งนี้เนื่องจากกษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนทรงเป็นพุทธมามกะ สังเกตได้จากหลักฐานในบริเวณกรุงเก่า ที่ยังหลงเหลือร่องรอยของวัดวาอารามต่าง ๆ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ จึงถือว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกยุคหนึ่ง
รูปจาก http://huexonline.com/knowledge/14/64/
พระพุทธศาสนา ในสมัยกรุงธนบุรี แม้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงครองราชย์สมบัติอยู่เพียง 15 ปี (พ.ศ. 2310–2325) ซึ่งในขณะนั้น เป็นระยะแห่งการกอบกู้ชาติและต้องย้ายมาสร้างเมืองใหม่ พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยและทรงงานหนักยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใด พระพุทธศาสนาในสมัยนั้นจึงเสื่อมลง แต่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ ทรงสนพระทัยและเสื่อมใสในพระศาสนามาก พระราชกรณีกิจด้านศาสนาของพระองค์พอสรุปได้ดังนี้
1. จัดสังฆมณฑล (พ.ศ. 2311) เนื่องจากพระสงฆ์แตกแยกและบกพร่องในด้านธรรมวินัย ไม่มีพระเถระที่คุณวุฒิ จึงทรงให้มีการประชุมสงฆ์เท่าที่มีในขณะนั้น ณ วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) เลือกพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิ แต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะ ฐานานุกรมใหญ่น้อยตามลำดับ
2. ทรงบูรณะพระอารามต่าง ๆ มากกว่า 200 หลัง และทรงขอให้พระสงฆ์ ตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัย อย่าให้ศาสนามัวหมอง
3. บำรุงการเล่าเรียนพระไตรปิฎก โปรดให้สังฆการีธรรมการ ทำบัญชีพระสงฆ์องค์ได้บอกเรียนพระไตรปิฎกได้มาก ก็ทรงถวายไตรจีวรเนื้อละเอียดพร้อมถวายจตุปัจจัย และโปรดให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรม ที่เป็นสมุดภาพไตรภูมิ
4. บำรุงศาสนา ที่เมืองนครศรีธรรมราช นอกจากบูรณะแล้ว ยังสนับสนุน โดยถวายจีวรและปัจจัย
5. รวบรวมพระไตรปิฎก การเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2310 บ้านเมืองถูกเผาเป็นจำนวนมาก คัมภีร์พระไตรปิฎกสูญหายมาก ทรงโปรดให้สืบหาคัมภีร์ต้นฉบับตามหัวเมืองต่าง ๆ นำมาคัดลอกเพื่อสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน นอกจากนี้โปรดนิมนต์พระเทพกวีให้ไปเขมร และพระพรหมมุนีไปนครศรีธรรมราช เพื่อรวบรวมคัมภีร์วิสุทธิมรรคเอามาคัดลอกไว้ด้วย
6. ชำระพระอลัชชี เวลานั้นพระอลัชชีมีอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นพวกก๊กพระเจ้าฝาง และตั้งตนเป็นหัวหน้ากองทัพต่าง ๆ ที่เป็นพระ จึงประกาศให้บรรดาพระสงฆ์หัวเมืองฝุายเหนือมาสารภาพผิด แล้วให้สึกรับราชการ ถ้าไม่ยอมรับจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ คือให้ดำน้ำ ต่อหน้าพระที่นั่ง 3 กลั้นใจ ผู้ใดทนได้โปรดให้ดำรงอยู่ในฐานานุศักดิ์ ผู้ใดแพ้ให้โปรดสึกออกมาสักข้อมือใช้ในราชการจงหนัก ถ้าผู้ใดกล่าวเท็จว่าตนบริสุทธิ์ แต่พอดำน้ำพิสูจน์กลับมาสารภาพว่าตนเป็นปาราชิก ก็โปรดให้เอาตัวไปประหารชีวิต ในคราวนั้นพระองค์รวบรวมไทยเป็นปึกแผ่นได้ภายในเวลา 3 ปีเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้รับสั่งสนทนาปัญหาธรรมกับพระเถระอยู่เป็นประจำ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยเพียงพระองค์เดียวที่ทรงปฏิบัติวิปัสสนาเป็นพิเศษ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพุทธศาสนาไว้เรื่องหนึ่งชื่อ “ลักษณะบุญ” เป็นหนังสือที่ว่าด้วยวิธีทำกรรมฐาน
จากพงศาวดารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สังคมไทยส่วนใหญ่นับถือมาตั้งแต่ในอดีต และสืบทอดกันมาเป็นช้านาน ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญของวิถีชีวิตของคนไทย รวมถึงวัฒนธรรมและประเพณี จนประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของโลก โดยมี "พุทธมณฑล" เป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาโลก ตามมติของการประชุมองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2558
1.2.2 ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าพระองค์เดียว คำว่า “พระคริสต์” มาจากภาษากรีกว่า "คริสตอส" แปลว่า ผู้ได้รับเจิม (ให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า) ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เน้นการมอบความรักที่บริสุทธิ์ให้พระเจ้าและให้มนุษย์ด้วยกัน เพราะหลักการของศาสนาคริสต์ถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า
รูปจาก https://www.wreathnawat.com/
ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยยุคเดียวกับการล่าอาณานิคมของลัทธิจักรวรรดินิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโปรตุเกส ชาวสเปน และชาวดัตช์ ที่กำลังบุกเบิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนอกจากกลุ่มที่มีจุดประสงค์ คือล่าเมืองขึ้นและเผยแพร่ศาสนาพร้อมกัน เช่น จักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส เข้ามาได้เมืองขึ้นในอินโดจีน เช่น ประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว
โดยลักษณะเดียวกับโปรตุเกสและสเปน ในขณะที่ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเปิดเสรีในการเผยแพร่ศาสนา ทำให้ลดความรุนแรงทางการเมืองลง
ศาสนาคริสต์ที่เผยแพร่ในไทยเป็นครั้งแรกเป็นนิกายโรมันคาทอลิก ปรากฏหลักฐานว่าในปีพ.ศ. 2110 (ค.ศ. 1567) ตรงกับสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา โดยมีมิชชันนารีคณะดอมินิกัน 2 คน เข้าสอนศาสนาให้ชาวโปรตุเกสรวมทั้งชาวพื้นเมืองที่เป็นภรรยา ต่อมาจึงมีมิชชันนารีคณะฟรังซิสกันและคณะเยสุอิต เข้ามาด้วย บาทหลวงส่วนมากเป็นชาวโปรตุเกส ระยะแรกที่ยังถูกปิดกั้นทางศาสนา มิชชันนารีจึงเน้นการดูแลกลุ่มคนชาติเดียวกัน กระทั่งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประเทศไทยได้มีสัมพันธภาพอันดีกับฝรั่งเศส ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทำให้มีจำนวนบาทหลวงเข้ามาเผยแพร่ศาสนามากขึ้น และการแสดงบทบาททางสังคมมากขึ้น บ้างก็อยู่จนแก่หรือตลอดชีวิตก็มี ด้านสังคมสงเคราะห์ มีการจัดตั้งโรงพยาบาล ด้านศาสนา มีการตั้งเซมินารีคริสตัง เพื่อผลิตนักบวชพื้นเมือง และมีการโปรดศีลอนุกรมให้นักบวชไทยรุ่นแรก และจัดตั้งคณะรักกางเขน
เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ศาสนาคริสต์กลับไม่ได้รับความสะดวกในการเผยแพร่ศาสนาเช่นเดิม เพราะถูกจำกัดขอบเขต ถูกห้ามประกาศศาสนา ถูกห้ามเขียนหนังสือศาสนาเป็นภาษาไทย และภาษาบาลี ประกอบกับพม่าเข้ามารุกรานประเทศไทย บาทหลวงถูกย่ำยี โบสถ์ถูกทำลาย มิชชันนารีทั้งหลายรีบหนีออกนอกประเทศ การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุติในช่วงเสียเอกราชให้พม่ากระทั่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราชสำเร็จ แม้การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เริ่มต้นขึ้นใหม่ แต่เพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรส่วนศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ ทอดอกซ์ ได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ในยุคหลัง โดยคณะเผยแพร่ของนิกายโปรเตสแตนต์กลุ่มแรกที่เข้ามาประเทศไทยตามหลักฐานที่ปรากฏ คือ ศิษยาภิบาล 2 ท่าน ศาสนาจารย์ คาร์ล ออกัสตัส เฟรดเดอริค กุตสลาฟ เอ็ม.ดี (Rev. Karl Fredrich Augustus Gutzlaff) ชาวเยอรมัน จาก สมาคมเนเธอร์แลนด์มิชชันนารี (Netherlands Missionary Society) และศาสนาจารย์ จาคอบทอมลิน (Rev. Jacob Tomlin) ชาวอังกฤษ จากสมาคมลอนดอนมิชชันนารี(London Missionary Society) มาถึงประเทศไทยเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) ทั้งสองท่านช่วยกันเผยแพร่ศาสนาด้วยความเข้มแข็ง ส่วนศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ เริ่มในประเทศไทย เป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2546
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ใน พ.ศ.2557 ประเทศไทย มีคริสต์ศาสนิกชน 617,492 คน คิดเป็น 1.1% ของประชากรทั้งหมด 56,657,790 คน (อายุ 13 ปีขึ้นไป) แบ่งเป็นนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์เกือบเท่า ๆ กัน ผลสำรวจ โดยองค์กรของคริสต์ศาสนาในนิกายต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2558 พบว่าคริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทย มีจำนวนทั้งหมด 814,508 คน คิดเป็น 1.2712% ของประชากร 64,076,033 คน โดยมีนิกายที่สำคัญ คือ นิกายโปรเตสแตนต์ นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายออร์ทอดอกซ์ นอกจากนี้ยังมีนิกายมอร์มอน
1.2.3 ศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลาม (อังกฤษ: Islam) เป็นศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนาอับราฮัมบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามซึ่งสาวกถือว่าเป็นพระวจนะคำต่อคำของพระเป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) และสำหรับสาวกส่วนใหญ่ เป็นคำสอนและตัวอย่างเชิงบรรทัดฐาน (เรียกว่า สุนัต และประกอบด้วยหะดีษ) ของมุฮัมมัด เป็นศาสดา (นบี) องค์สุดท้ายของพระเป็นเจ้า สาวกของศาสนาอิสลาม เรียกว่า มุสลิม มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งและหาที่เปรียบไม่ได้ และจุดประสงค์ของการดำรงอยู่ คือ เพื่อรักและรับใช้พระเป็นเจ้า มุสลิมยังเชื่อว่า ศาสนาอิสลามเป็นบรรพศรัทธาฉบับสมบูรณ์และเป็นสากลที่สุด ซึ่งได้ประจักษ์มาหลายครั้งก่อนหน้านั้น ผ่านศาสดา ซึ่งรวมอาดัม โนอาห์ อับราฮัม โมเสส และพระเยซู พวกเขายึดมั่นว่า สารและวิวรณ์ถูกแปลผิดหรือเปลี่ยนแปลงบางส่วนตามกาล แต่มองว่า อัลกุรอานภาษาอาหรับเป็นทั้งวิวรณ์
รูปจาก https://www.mtoday.co.th/88422
สุดท้ายและไม่เปลี่ยนแปลงของพระเป็นเจ้า มโนทัศน์และหลักศาสนามีเสาหลักทั้งห้าของศาสนาอิสลามถือเป็นโครงสร้างชีวิตของชาวมุสลิม เสาหลักเหล่านั้นถือเป็นการปฏิญาณตนในเรื่องความศรัทธา การละหลาด การให้ซากัต (ช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้) การถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนและการไปแสวงบุญยังนครเมกกะห์สักครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับผู้ที่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นมโนทัศน์พื้นฐานและการปฏิบัติตนนมัสการที่ต้องปฏิบัติตาม และกฎหมายอิสลามที่ตามมา ซึ่งครอบคลุมแทบทุกมุมของชีวิตและสังคม โดยกำหนดแนวทางในหัวเรื่องหลายหลาก ตั้งแต่การธนาคารไปจนถึงสวัสดิการ ชีวิตครอบครัวและสิ่งแวดล้อม มุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนีย์ คิดเป็น 75–90% ของมุสลิมทั้งหมด นิกายใหญ่ที่สุดอันดับสอง คือ ชีอะฮ์ คิดเป็น 10–20% ประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุด คือ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีชาวมุสลิม 12.7% ของโลก ตามมาด้วยปากีสถาน(11.0%) อินเดีย (10.9%) และบังกลาเทศ (9.2%) นอกจากนี้ ยังพบชุมชนขนาดใหญ่ในจีน รัสเซียและยุโรปบางส่วน ด้วยสาวกกว่า 1,500 ล้านคน หรือ 22% ของประชากรโลก ศาสนาอิสลาม จึงมีผู้นับถือมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลาม เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย และช่วง กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา โดยกลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาด้วย ภายหลังคนพื้นเมืองจึงได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และบางคนเป็นถึงขุนนางในราชสำนัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายูและเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมอินเดีย ที่เข้ามาตั้งรกราก รวมถึงชาวมุสลิมยูนนานที่หนีภัยการเบียดเบียนศาสนาหลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน
ศาสนาอิสลามในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสถิติระบุว่าประชากรมุสลิมมีระหว่าง 2.2 ล้านคนถึง 7.4 ล้านคน ซึ่งมีความหลากหลายจากการอพยพเข้ามาจากทั่วโลก มุสลิมในไทยส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนีย์ ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2550 ประเทศไทยมีมัสยิด 3,494 แห่ง โดยมีในจังหวัดปัตตานีมากที่สุด มีจำนวนถึง 636 แห่ง และส่วนใหญ่มัสยิดกว่าร้อยละ 99 เป็นนิกายซุนนีย์ และอีกร้อยละ 1 เป็นชีอะห์
แม้คนไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนา แต่ประเทศไทยเป็นดินแดนเสรีประชาชนได้รับสิทธิที่จะนับถือศาสนาใดๆ ก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น อย่างไร ก็ตาม ความแตกต่างทางศาสนาไม่เคยก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงในประเทศไทย ศาสนิกชน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ต่างก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขในประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะทุกศาสนาสอนให้คนละเว้นความชั่วประพฤติแต่ความดี ศาสนาจึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจช่วยเหนี่ยวรั้งบุคคลมิให้ประพฤติไม่ดี
1.3 สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นหนึ่งสถาบันหลักของชนชาติไทยมายาวนานตั้งแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน คนไทย รัก เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ทั้งนี้ไม่เพียงมาจากความเชื่อของคนไทยที่ยึดถือในเรื่องของกษัตริย์คือ “ผู้มีบุญ” เป็น “สมมติเทพ” เท่านั้นแต่เพราะพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจ วีรกรรมมากมาย รวมถึงความเสียสละของบูรพพระมหากษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ที่ทรงปฏิบัติให้ราษฎรและไพร่ฟูาประชาราชเห็น ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมไปถึงรากฐานความเชื่อและวัฒนธรรม ทางด้านศาสนาพุทธ ในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ การกตัญญูรู้คุณ จึงทำให้คนไทยสำนึกถึงความสำคัญ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์มิเสื่อมคลาย
1.3.1 บทบาทและความสาคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์
แม้ว่าบทบาทของพระมหากษัตริย์จะเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เช่น ในอดีตพระมหากษัตริย์ต้องเป็นเสมือนจอมทัพ ที่ต้องนำทัพออกบัญชาทำศึกสงคราม ดูแลปกครองไพร่ฟูาประชาชน รวมถึงบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจการค้าด้วยพระองค์เอง บางพระองค์ มีวีรกรรมเป็นที่ประจักษ์ในการกอบกู้เอกราชของชาติด้วยความกล้าหาญและเสียสละ อาทิ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งบทบาทเหล่านี้ อาจแตกต่างไปจากปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันพระมหากษัตริย์ต่างใช้พระราชอำนาจผ่านกองทัพ ผ่านรัฐสภาหรือผ่านคณะรัฐมนตรี แต่สิ่งที่ทุกรัชสมัยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นเสมือนประมุขของประเทศ เป็นผู้ที่คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมั่นคงก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาราษฎร์ แก้ไขปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และที่สำคัญ พระมหากษัตริย์ เป็นเสมือนมิ่งขวัญและศูนย์รวมทางด้านจิตใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ แต่ทั้งนี้ อาจสามารถสรุปได้ว่า บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เปรียบเสมือนจอมทัพของประเทศ เป็นนักบริหารและปกครองประเทศ เป็นนักการทูต เป็นศาลยุติธรรม เป็นนักการค้าพาณิชย์ ส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจ รวมไปถึงเป็นผู้ทำนุบำรุงส่งเสริม ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เป็นองค์อุปถัมภ์ศาสนา และเป็นนักประวัติศาสตร์และวรรณกรรม เป็นต้น ซึ่งบทบาทเหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทและความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
1.3.2 พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย
จากอดีตยุคก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย เป็นราชธานีของไทย ราวปี พ.ศ. 1800 มาสู่ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ รวมระยะเวลาเจ็ดร้อยกว่าปีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงมีความสำคัญและอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยตลอด ชนชาติไทยตระหนักถึงบุญคุณและพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่เริ่มมีการรวมชาติรวม แผ่นดิน ก่อร่างสร้างเมืองตั้งแต่ อดีต จนมาเป็นปึกแผ่นได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ว่ารูปแบบการปกครองหรือสถานะ และบทบาทของพระมหากษัตริย์จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่พระราชกรณียกิจ วีรกรรมและพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์เพื่อแผ่นดินและเพื่อประชาชนทั้งสิ้น
พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนใหญ่จะมีพระปรีชาสามารถทางด้านการศึกและการรบ ซึ่งยังมีเหตุการณ์ วีรกรรม ความกล้าหาญ ความเสียสละและพระปรีชาสามารถด้านอื่น ๆ ของเหล่าบูรพมหากษัตริย์ไทยพระองค์อื่น ๆ และวีรชนบรรพ-บุรุษไทยที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกหลายท่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้มอบไว้ให้กับแผ่นดินและ ชนชาติไทยที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งพระปรีชาสามารถและวีรกรรมเหล่านี้มีอีกมากมายมหาศาลที่ลูกหลานไทยควรได้ศึกษาและเรียนรู้ อาทิ พระปรีชาสามารถและวีรกรรมของสมเด็จพระสุริโยทัย และชาวบ้านบางระจัน ซึ่งจะได้ยกเหตุการณ์ต่าง ๆ มาให้ศึกษาในตอนต่อไป
นับเป็นความโชคดีของประเทศไทย และประชาชนคนไทย ที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งมาแต่ครั้งในอดีต เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติและประชาชน หลายพระองค์ได้สละชีพเพื่อปกปูองชาติและผืนแผ่นดินไทยไว้ หลายพระองค์สละแม้แต่ความสุขส่วนพระองค์เพื่อความสุขของประชาราษฎร หลายพระองค์ต่างทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม หลายพระองค์ทรงมองการณ์ไกล นำพาประเทศชาติให้รอดพันจากภัยสงคราม พัฒนาและนำประชาชนไปสู่ความเจริญที่ดี หลายพระองค์มีพระจริยวัตรที่งดงาม ทรงเป็นแบบอย่างให้พสกนิกรในการดำรงชีวิต ตลอดระยะเวลากว่า 700 ปีที่ผ่านมา ปวงชนชาวไทยมีพระมหากษัตริย์ รวมแล้วเกือบร้อยพระองค์ และด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ได้ทำให้ประชาราษฎรคนไทยอยู่เย็นเป็นสุขใต้ร่มพระบารมี พระองค์ได้ช่วยระงับเหตุวิกฤติของ บ้านเมืองทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประเทศชาติเราสามารถรอดพ้นจากวิกฤติและสถานการณ์เลวร้ายมาได้ด้วยดี สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นเหมือนเสาหลักของแผ่นดิน เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ และด้วยเหตุนี้ ประชาชนคนไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน จึงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแนบแน่น ทุกคนต่างรัก เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไว้เหนือสิ่งอื่นใด และการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็น 3 สถาบันหลักของชาติไทย เป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ศรัทธา ยึดมั่นในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตริย์ ผู้ที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะเป็นผู้ที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ มีความสามัคคี ปรองดอง ภูมิใจ เชิดชูความเป็นไทย ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ และแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง