การเกษตรแบบผสมผสาน เป็นรูปแบบหนึ่งของเกษตรยั่งยืน รูปแบบของการทำเกษตรยั่งยืนมีหลายระบบ แตกต่างกันออกไป อาทิเช่น เกษตรผสมผสาน ( Integrated Farming), เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture), เกษตรธรรมชาติ(Natural Farming), เกษตรชีวพลวัตร (Biodynamic Agriculture), เกษตรกรรมนิเวศวิทยา (Ecological Agriculture),เกษตรกรรมชีวภาพ (Biological Agriculture) และวนเกษตร (Agroforestry)
1.1. การเกษตรแบบผสมผสาน (Integrated Farming)
1.2. การเกษตรกรรมอินทรีย์ (Organic Farming)
การเกษตรแบบผสมผสานเป็นรูปแบบแนวทางเกษตรยั่งยืน ความหมายของการเกษตรแบบผสมผสานคือ “การทำการเกษตรที่มีการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์หลาย ๆ ชนิดในพื้นที่เดียวกัน โดยที่กิจกรรมการผลิตแต่ละอย่างต้องเกื้อกูลประโยชน์ต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการคือ 1) ต้องมีกิจกรรมการผลิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป 2) กิจกรรมการผลิตหนึ่งต้องเกื้อกูลต่ออีกกิจกรรมการผลิตหนึ่งอย่างเป็นวงจร ซึ่งการเกื้อกูลดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับอาหาร แร่ธาตุ อากาศ และพลังงาน 3) ก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบฟาร์มรูปแบบการเกษตรแบบผสมผสานมีอยู่ในระบบการเกษตรแบบพื้นบ้านในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนนั้นมีการพัฒนารูปแบบเกษตรผสมผสานด้วยการเลี้ยงสุกร ปลา และปลูกพืชผักร่วมกันมานานหลายพันปีแล้ว เช่นเดียวกับการเลี้ยงปลาในนาข้าวในญี่ปุ่น สำหรับประเทศในเขตร้อนเช่น ไทยและอินโดนีเซียมีระบบการเกษตรแบบปลูกพืชหลายชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น การเกษตรแบบผสมผสานหลายรูปแบบ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยการใช้ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นระบบเกษตรแบบผสมผสานจึงมิใช่การเกษตรแบบใหม่และก็มิใช่การเกษตรแบบดั้งเดิม หากแต่เป็นประเภทของการเกษตรกรรมทางเลือกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากภูมิปัญญาแบบพื้นบ้านและการจัดการฟาร์มแบบใหม่
นักการเกษตรอินทรีย์เชื่อว่า ดินใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์นั้น “มีชีวิต” ดังนั้นหัวใจของเกษตรกรรมอินทรีย์จึงอยู่ที่ดิน ความแข็งแรงและอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน จึงการปฏิเสธการใช้สารเคมี ทั้งที่เป็นปุ๋ยเคมีและสารเคมีปราบศัตรูพืช เพราะปัจจัยการผลิตเหล่านี้มีผลต่อสมดุลของนิเวศการเกษตร ในทางปฏิบัติ เกษตรอินทรีย์ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกซึ่งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ตามธรรมชาติ รวมทั้งการใช้ปุ๋ยแร่ธาตุเช่น หินฟอสเฟต เกษตรอินทรีย์อนุญาตให้ใช้จุลินทรีย์และสารสกัดจากพืชเพื่อควบคุมโรคแมลง แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศการเกษตร เช่น แมลงตามธรรมชาติ เป็นต้น
“เกษตรกรรมอินทรีย์” ในคำจำกัดความของสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) คือ “ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใย ด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นที่หลักการปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่น ปุ๋ยสารกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็พยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิต และพัฒนาความต้านทานต่อโรคของพืช และสัตว์เลี้ยง หลักการเกษตรอินทรีย์นี้เป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย”
1.3. เกษตรกรรมธรรมชาติ (Natural Farming)
มีผู้ใช้ชื่อเกษตรกรรมธรรมชาติในหลายความหมาย แต่ในประเทศไทยคำเรียกเกษตรกรรมธรรมชาติมักเป็นคำเรียกที่ใช้แทนระบบการเกษตรกรรมตามแนวของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เท่านั้น โดยเขาได้วางรากฐานของการเกษตรกรรมธรรมชาติของเขาไว้ 4 ประการคือ 1) ไม่มีการไถพรวนดิน เนื่องจากในธรรมชาตินั้นพื้นดินมีการไถพรวนโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว ด้วยการชอนไชของรากพืช และโดยสัตว์แมลงและสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อยู่ในดิน 2) งดเว้นการใส่ปุ๋ย เนื่องจากการใส่ปุ๋ยเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของพืชแบบชั่วคราวในขอบเขตแคบๆเท่านั้นธาตุอาหารที่พืชได้รับก็ไม่สมบูรณ์ พืชที่ใส่ปุ๋ยจึงมักอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดโรคและแมลงได้ง่ายขึ้น ดินที่ใส่ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานจะมีสภาพเป็นกรดและเนื้อดินเหนียวไม่ร่วนซุย 3) ไม่กำจัดวัชพืช เนื่องจากการกำจัดวัชพืชเป็นงานหนักและไม่สามารถทำให้วัชพืชหมดสิ้นไปได้ ดังนั้นเกษตรกรรมธรรมชาติจึงต้องคิดค้นกฎเกณฑ์ที่วัชพืชจะควบคุมกันเอง เช่น การปลูกพืชบางประเภทให้คลุมหญ้าแล้วก็เป็นปุ๋ยแก่พืชปลูกด้วย 4) ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เกษตรกรรมธรรมชาติของฟูกูโอกะในทางปฏิบัติทำโดยการโปรยฟางคลุมพื้นที่นา หว่านข้าวชนิดต่างๆที่เหมาะสมกับฤดูกาลลงไปพร้อมกับเมล็ดพืชตระกูลถั่ว และเทคนิคอีกอย่างก็คือการทำกระสุนดินเหนียวหุ้มเมล็ดข้าวเอาไว้เพื่อป้องกันนก หนู และศัตรูอื่นๆก่อนที่ข้าวจะงอก มีการใช้เทคนิคการไขน้ำเข้าในที่นาในโอกาสที่เหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสให้ข้าวเติบโตสู้กับพืชคลุมด้วย
ปัจจุบันแนวความคิดของฟูกูโอกะได้รับการแพร่ขยายไปหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเขตเอเชีย ทั้งนี้เพราะปรัชญาการทำการเกษตรของฟูกูโอกะสอดคล้องกับพื้นฐานทางความเชื่อทางศาสนาของสังคมเกษตรกรรมในภูมิภาคนี้
1.4. เกษตรชีวพลวัตร (Biodynamic Agriculture)
หัวใจสำคัญของเกษตรชีวพลวัตรก็คือ การมองโลกและสรรพสิ่งแตกต่างไปจากแง่มุมของวัตถุนิยม กล่าวคือสรรพชีวิตไม่ได้ประกอบด้วยอะตอมทางเคมีเท่านั้น แต่มี “พลังชีวิต” และความเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจักรวาล
หลักการสำคัญของแนวทางเกษตรชีวพลวัตรนั้น ประการแรก เราต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้างกว่าแค่ในเรื่องของนิเวศการเกษตรของฟาร์ม โดยต้องมองถึงระดับจักรวาลด้วย เพราะการเจริญเติบโตของพืชนั้นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยในระดับโลกและจักรวาลพร้อมกัน และทำความเข้าใจในเรื่อง จังหวะของดวงดาวต่างๆ ซึ่งจะสามารถกำหนดการเพาะปลูกพืชและการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากจังหวะของดวงดาว
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วง 2-3 วันก่อนหน้าพระจันทร์เต็มดวง จะเป็นช่วงเวลาที่เมล็ดพันธุ์ได้รับการกระตุ้นให้มีการงอกได้ดีที่สุด ได้มีการจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกโดยอาศัยจังหวะของดวงดาวตามแนวทางเกษตรชีวพลวัตรมากว่า 40 ปี และการฟื้นชีวิตให้กับดินจะช่วยส่งเสริมชีวิตของต้นไม้ ดังนั้น เกษตรชีวพลวัตรจึงสนับสนุนการทำปุ๋ยหมัก การปลูกพืชหมุนเวียน และการทำปุ๋ยพืชสด ในขณะที่ปุ๋ยเคมีจะฆ่าสิ่งมีชีวิตในดิน ทำให้ดินตาย พืชที่ปลูกในดินที่ใส่ปุ๋ยเคมีเปรียบเสมือนเป็นพืชที่ถูกบังคับให้เจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับเด็กที่ไร้มารดาคอยดูแล ดังนั้น พืชจึงมีความอ่อนแอต่อโรคและแมลง
เกษตรชีวพลวัตรยังให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองของฟาร์มด้วยการทำเกษตรผสมผสาน กล่าวคือ ฟาร์มควรมีสัตว์เลี้ยงในจำนวนที่พอเหมาะ เพื่อสัตว์จะได้ผลิตปุ๋ยคอกสำหรับใช้ในการปลูกพืช และเศษซากพืชที่เหลือก็นำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อย่างครบวงจร