นางสาวประสพชัย รุ่งสว่าง มีชื่อเล่นว่า พี่นก พี่นกเล่าว่าเกษตรทำไร่มันสำปะลัง พี่นกเริ่มทำต่อจาก
พ่อแม่และก็ทำมาเรื่อย ในเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 2 งาน และเป็นพื้นที่ของตนเอง พี่นกบอกว่าปลูกมันสำปะหลัง
ให้ผลผลิตสูงสุด…ลงทุนต่ำ และทำได้ไม่ยาก แม้มันสำปะหลังเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย แต่การเจริญเติบโตและผลผลิตก็ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนด้วยเช่นกัน ควรปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ กุมภาพันธ์-มีนาคม รองลงมาคือ ช่วงต้นฤดูฝน (เมษายน-พฤษภาคม) และช่วงปลายฤดูฝน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) นอกจากนี้ ควรใส่ใจเลือกพันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะกับสภาพดินที่ใช้ปลูก “ดินร่วนเหนียว” เรียกว่าเป็นดินดีสำหรับปลูกมันสำปะหลัง พันธุ์ระยอง 5 และระยอง 72 หากปลูกใน “ดินร่วนทราย” ถือว่าเป็นดินปานกลางถึงเลว ควรเลือกปลูกพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 90 ห้วยบง 60 และ ระยอง 9 อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ปลูกมันสำปะหลังพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 90 ห้วยบง 60 และระยอง 9 ในสภาพดินร่วนเหนียว เพราะต้นมันสำปะหลังทั้ง 4 สายพันธุ์ จะเจริญเติบโตในส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือดินมากกว่าลงหัว ซึ่งลักษณะดังกล่าว ชาวบ้านเรียกกันว่า ขึ้นต้น หรืออาการบ้าต้น บ้าใบ เกินไปนั่นเอง ส่วนพันธุ์ระยอง 7 เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งดินร่วนเหนียวและดินร่วนทรายที่มีความชื้นตลอดช่วงของการเจริญเติบโต และไม่ควรปลูกพันธุ์ระยอง 7 ในสภาพดินที่แห้งแล้ง
พี่นกบอกว่าเกษตรกรตำบลบึงนิยมปลูกพืชชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายก็คือ มันสําปะหลัง ปลูกได้ตลอดทั้งปี
ทนแล้งได้ดีกว่าพืชอื่น มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้ในแหล่งดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ไม่จํากัดเวลาการเก็บเกี่ยว เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อมีแรงงานพอ และทิ้งไว้ในแปลง รอเก็บผลผลิตออกขายในราคาที่ต้องการได้ในอดีต เกษตรกรในตำบลบึงจำนวนมากปลูกมันสำปะหลังแบบให้เทวดาเลี้ยง ทำให้ได้ผลผลิตน้อย คุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร เพราะแหล่งปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่เป็นกลุ่มดินร่วนปนทราย และกลุ่มดินทราย ซึ่งสภาพดินดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และง่ายต่อการชะล้างพังทลาย หากปลูกมันสําปะหลังต่อเนื่องกันนานๆ หลายฤดู โดยขาดการใส่ปุ๋ยชดเชยการสูญเสียธาตุอาหาร ทําให้ผลผลิตของมันสําปะหลังลดต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินร่วนปนทราย มีผลผลิตลดลงโดยเฉลี่ยปีละ 300 กิโลกรัม ต่อไร่
ก่อนการปลูก เมื่อดินมีความชื้นพอเหมาะ ควรเตรียมดินให้ลึก โดยใช้วิธีไถดะด้วยผาล 3 ก่อน และไถต่อด้วยผาล 7 เพื่อระเบิดหน้าดินให้มีความร่วนซุย เพื่อให้น้ำซึมลงใต้ดิน เพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำฝน ความชื้นของดินได้มากขึ้น และช่วยให้พืชสามารถนำน้ำใต้ดินมาใช้เมื่อฤดูแล้ง การเตรียมดินลักษณะนี้ยังช่วยให้ต้นมันสำปะหลังจะลงหัวได้ง่าย หลังจากนั้นยกร่องดินก่อนปลูก
ควรให้น้ำช่วง 2 เดือนแรกของการปลูก และให้น้ำเต็มที่ในช่วงฤดูแล้ง 5 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม เก็บเกี่ยวที่อายุ 12 เดือน ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว การให้น้ำในช่วงฤดูแล้ง จะช่วยให้ต้นมันสำปะหลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีปัญหาใบร่วงน้อย ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน นอกจากนี้ ควรใส่ปุ๋ยเคมีบำรุงต้นให้ถูกสูตรในระยะเวลาที่เหมาะสม ได้แก่ ปุ๋ยสูตร 15-7-18 หรือ 15-15-15 ในอัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยใส่ปุ๋ยสองข้างลำต้นรัศมีพุ่มใบแล้วกลบ ใส่ปุ๋ยครั้งเดียวเมื่ออายุ 1 เดือน หลังปลูกและต้องใส่ปุ๋ยเคมีในขณะที่ดินมีความชื้นและต้องกลบปุ๋ยด้วย ถ้าไม่กลบปุ๋ยอาจสูญเสียปุ๋ยมากเกิน 50%
มันสำปะหลังใช้เวลาประมาณ 3 เดือน หลังจากปลูกเพื่อสร้างพุ่มใบให้คลุมพื้นที่ระหว่างร่องทั้งหมด ดังนั้น ภายในช่วง 3 เดือนแรก ถือว่าเป็นช่วงวิกฤตของมันสำปะหลัง ต้องดูแลให้มันสำปะหลังปลอดวัชพืช ถ้าปล่อยให้วัชพืชแข่งขันกับมันสำปะหลัง มันสำปะหลังจะแคระแกร็น มีผลให้ผลผลิตลดลงมากวัชพืชส่วนใหญ่ที่พบในแปลงปลูกมันสําปะหลังในไทย ได้แก่ หญ้าตีนติด หญ้าปากควาย หญ้าตีนนก หญ้าขจรจบ บานไม่รู้โรยป่า ผักยาง สาบแร้งสาบกา ฯลฯ เกษตรกรนิยมกำจัดวัชพืช โดยใช้แรงคนทํารุ่น โดยทําครั้งแรกหลังปลูก 1 เดือน และควรทําซ้ำอีกประมาณ 2-3 ครั้ง จนต้นมันสําปะหลังเจริญเติบโต คลุมดินได้แล้ว และไถระหว่างแถวด้วยรถไถเดินตาม การปลูกมันสําปะหลัง พบว่า ค่าแรงในการกําจัดวัชพืชคิดเป็น ร้อยละ 30 ของต้นทุนการผลิตทีเดียว
การเก็บเกี่ยว มันสำปะหลัง ระยะที่เหมาะสมคือ ช่วงอายุ 10-18 เดือน ควรงดเว้นการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงฝนแรก คือตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน เนื่องจากมันสำปะหลังแตกใบอ่อนจะให้เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ
ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ บ้านเลขที่ 22/4 หมู่ 10 ตำบลบึง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
เบอร์โทรศัพท์ 062-8288226