"ยี่เป็ง" เป็นงานประเพณีอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนล้านนาของภาคเหนือไทยที่ได้ปฎิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลหรือวันเพ็ญเดือนยี่ของชาวล้านนา โดยตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ของภาคกลางหรือวันงานลอยกระทง ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว อากาศในวันนี้ดียิ่งนัก ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งโล่งสบายตาอย่างยิ่ง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวล้านนาในวันนี้นอกจากจะมีการลอยกระทงในแม่น้ำตามประเพณีลอยกระทงของไทยเราแล้ว ประเพณีอันสำคัญอย่างหนึ่งของดินแดนล้านนาเราก็คือ การจุดประทีปโคมลอยขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้า โดยมีความเชื่อว่า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ และบ้างก็เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์หรือสะเดาะเคราะห์เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ประวัติเกี่ยวกับประเพณียี่เป็ง
ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ "ยี่" แปลว่า สอง และคำว่า "เป็ง" หมายถึง เพ็ญ หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงหมายถึงประเพณีพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิด อหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นหริภุญไชย ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับมายัง บ้านเมืองเดิมได้ เมื่อเวลาเวียนมาถึงวันที่จากบ้านจากเมืองไป จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำเพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับ เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ
ประเพณีเดือนยี่ คือ ประเพณีลอยกระทงแบบล้านนาโดยคำว่า ยี่ แปลว่า สอง ส่วน เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรือ คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายถึงประเพณีในวันเพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบสองของไทย
งานประเพณีจะมีสามวัน
วันขึ้นสิบสามค่ำ หรือ วันดา เป็นวันซื้อของเตรียมไปทำบุญที่วัด
วันขึ้นสิบสี่ค่ำ จะไปทำบุญกันที่วัด พร้อมทำกระทงใหญ่ไว้ที่วัดและนำของกินมาใส่กระทงเพื่อทำทานให้แก่คนยากจน
วันขึ้นสิบห้าค่ำ จะนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็กส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
ในช่วงวันยี่เป็งจะมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน ทำประตูป่า ด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ โดยจำลองเหตุการณ์ที่ชาวเมืองจัดบ้านเมืองเพื่อต้อนรับการเสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดร และมีการจุดถ้วยประทีป(การจุดผางปะตี๊บ) เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และมีการจุดว่าวไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ภาพงานประเพณียี่เป็ง บ้านป่าตึง หมู่ 6 ตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
ว่าว ในภาษาล้านนา หมายถึง เครื่องเล่นชนิดหนึ่งทำด้วยกระดาษ สำหรับปล่อยให้ลอยไปตามลม คล้ายกับบอลลูน ตามวัฒนธรรมของล้านนา ในช่วงยี่เป็งจะมีการปล่อยว่าว 2 แบบ คือ
ว่าวฮม (ว่าวลม) หรือ ว่าวควัน นำกระดาษหลายสี มาทำเป็นถุงรับความร้อนจากควันไฟ ใช้ควันไฟที่มีความร้อนอัดเข้าไปในตัวว่าว เรียกว่า ฮมควัน เพื่อให้พยุงให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้ มี2ชนิดคือ ว่าวสี่แจ่ง คือว่าวทรงสี่เหลี่ยม และ ว่าวมน คือว่าวทรงมน มักจะผูกสายประทัดติดที่หางว่าวและจุดเมื่อปล่อย นิยมปล่อยกันในช่วงกลางวัน
ว่าวไฟ ใช้หลักการเดียวกันกับการทำว่าวฮม แต่ใช้กระดาษน้อยกว่า และอาศัยความร้อนจากลูกไฟที่ผูกติดกับแกนกลาง ทำให้ว่าวลอยขึ้นสู่อากาศ ลูกไฟที่ผูกติดแกนกลางในอดีตนั้น ใช้ขี้หญ้าหล่อเป็นแท่ง ปัจจุบันนิยมใช้กระดาษชำระชุบขี้ผึ้งเทียน นิยมจุดในตอนกลางคืน
ปัจจุบันนิยมเรียกหรือเรียกเพราะไม่รู้ตามแบบภาคกลางโดยเรียก ว่าวควันหรือว่าวฮม ว่า“โคมลอย” และเรียกว่าวไฟว่า “โคมไฟ” ทั้งๆ ที่โคมแปลว่าเครื่องใช้ที่ให้แสงสว่าง สันนิฐานว่าการปล่อยว่าวน่าาจะเป็นการทำตามแบบของพวกฝรั่งหรือมิชชันนารี ในเมืองเชียงใหม่
โคมยี่เป็ง
ในช่วงก่อนจะถึงวันยี่เป็ง จะมีการประดิษฐ์โคมรูปลักษณะต่างๆ (ภาษาล้านนาออกเสียง โคม ว่า โกม ) เพื่อเตรียมใช้ในการจุดผางประทีปบูชา โดยการแขวนใส่ค้างโคมบูชาตามพระธาตุเจดีย์ แขวนไว้หน้าวิหาร กลางวิหาร หรือในปัจจุบันนิยมแขวนประดับตกแต่งตามอาคารบ้านเรือน มีหลากหลายรูปทรง เช่น โคมรังมดส้ม โคมไห โคมกระจัง โคมดาว โคมกระบอก โคมเงี้ยว(โคมเพชร) โคมหูกระต่าย โคมผัด โคมแอว โคมญี่ปุ่น ฯลฯ อีกมากมาย
โดยสีของโคมแขวน จะมี 5 สี คือ สีน้ำเงิน สีแดง สีเหลือง สีขาว สีส้ม ตามสีของฉัพพรรณรังสี ตามตำนานเชื่อว่าการแขวนโคม 5 สีแบบนี้ จะสามารถหลอกภูตผีปีศาจ ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ ภูตผีปีศาจต่างๆก็จะกลัวรีบหนีไป ดังนั้น สีโคมแขวนแต่โบราณจึงมีเพียง 5 สีเท่านั้น แม้ภายหลังสีของโคมจะเปลี่ยนไปมีมากมายหลายสีมากขึ้น โดยถือว่าเป็นการประดับประดาเฉลิมฉลองเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าแทน
โคมผัด เป็นโคมไฟทรงกระบอกที่ถ้าจุดไฟจะทำให้โคมไฟหมุน ตามแบบภูมิปัญญาโบราณ โดยปกติจะใช้รูปสัตว์ทั้ง12นักษัตร คนโบราณจะออกแบบให้แสงไฟนั้นฉายส่องไปในทางเดียว ด้านอื่นๆจะทำให้ทืบแสง ทำให้เกิดเงาเป็นรูปนักษัตรต่างๆ ที่วนผ่านมาหน้าจุดฉายแสงไฟ หรือจะปล่อยให้ปล่อยให้เกิดแสงเงาไปทั่วทุกทิศทาง โดยการฉายไฟส่องแสงไปทุกทิศ โดยไม่มีการปิดทืบแสงเลย ซึ่งมีอีกแบบหนึ่งคือทำให้ทืบทั้งหมด แต่เจาะรูเล็กให้แสงออกมา ทำให้เกิดแสงสว่างประดับประดาเหมือนแสงดาวที่ส่องสว่างไปทุกทิศทาง
ก่อนจะถึงวันยี่เป็ง ประมาณ ๑-๒ วัน ชาวล้านนาจะเตรียมจัดตกแต่งประตูบ้านแบะประตูวัด ด้วยซุ้มประตูป่า โดยนำต้นกล้วย ใบมะพร้าว ต้นอ้อย ต้นข่า โคมหูกระต่าย โคมเงี้ยวหรือโคมชนิดอื่นๆ ดอกตะล่อม(บานไม่รู้โรย) ดอกคำปู้จู้ (ดาวเรือง) ฯลฯ ตกแต่งเป็นซุ้มประตูป่าอย่างงดงาม มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นเครื่องสักการะถวายการต้อนรับพระเวสสันดรในวันยี่เป็ง ครั้งเสด็จออกจากป่าเข้าสู่เมือง ซึ่งปรากฏในเวสสันดรชาดก อันเป็นชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะประสูติเป็นพระพุทธเจ้า พระครูอดุลสีลกิตติ์ (ฐานวุฑโฒ) (สัมภาษณ์, ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) ผู้รู้ด้านประเพณีล้านนากล่าวว่า ในช่วงประเพณีเดือนยี่เป็ง ชาวล้านนานิยมที่จัดเทศนาธรรมเรื่อง เวสสันดรชาดกและในกัณฑ์ที่ ๑๓ กัณฑ์สุดท้ายหรือนครกัณฑ์ เป็นการพรรณนาเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังจากพระเวสสันดรทรงลาผนวช และทรงเครื่องกษัตริย์เสด็จกลับจากป่าหิมพานต์เพื่อเข้าครองนครสีพี ชาวบ้านชาวเมืองต่างดีใจจึงประดับตกแต่งเมืองด้วยซุ้มประตูป่าอย่างงดงาม จากเรื่องราวที่ปรากฏในเวสสันดรชาดกนี้คนล้านนาจึงจำลองฉากเวสสันดรชาดกมาไว้ยังบ้านของตนเอง ด้วยการตกแต่งประดับประดาจำลองเป็นป่าหิมมพานต์ และเชื่อว่าถ้าใครตกแต่งซุ้มประตูป่าได้งดงาม อาจทำให้พระเวสสันดรเสด็จหลงเข้ามาในซุ้มประตูป่าที่จำลองเป็นป่าหิมพานต์ภายในบ้านของของเรา จะทำให้ได้อานิสงส์อย่างมาก
การสร้างซุ้มประตูป่า นอกจากมีคติความเชื่อ ในเรื่องการต้อนรับการเสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดรแล้ว ยังเป็นซุ้มที่ใช้จุดผางประทีส เพื่อบูชาพระเจ้าห้าพระองค์ โดยจุดไว้ในโคมหูกระต่ายหรือโคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการประดับตกแต่ง
ภาพงานประเพณียี่เป็ง ตำบลเหมืองจี้
ข้อมูลเนื้อหา :
ยี่เป็ง. ค้นจาก
https://www.chiangmaiaircare.com
ประวัติเกี่ยวกับประเพณียี่เป็ง. ค้นจาก
https://www.navanurak.in.th
เรียบเรียงข้อมูล/เนื้อหา : นางสาวอรนุช ทาาระศักดิ์ ครู กศน.ตำบล
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ : รูปภาพค้นหาจาก https://www.chiangmaiaircare.com , ภาพถ่ายจาก facebook เทศบาลตำบลเหมืองจี้