ตำบลโคกตูมแยกออกจากตำบลบ้านไทร ปี 2528 ตำบลโคกตูม มีจำนวน 10 หมู่บ้าน เดิมบ้านโคกตูมเป็นป่ามีต้นไม้มากมายขึ้นเต็มและหนึ่งในนั้นคือต้นมะตูมต้นใหญ่ซึ่งมีความโดดเด่นตั้งอยู่หน้าบริเวณป่าไม้ นายเปลี่ยน ปลีนารัมย์ มาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นคนแรกซึ่งนายเปลี่ยนได้เลือกที่อยู่ติดกับหนองน้ำใหญ่และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านโคกตูม” ต่อมามีประชาชนได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่เป็นจำนวนมากและได้แต่งตั้งนายเปลี่ยน เป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแรก นานเข้านายเปลี่ยนก็อายุเยอะและเกษียณอายุราชการ นายสุข โพธิ์แก้วก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่ต่อจากนายเปลี่ยนปลีนารัมย์ และต่อมานายเจิม ศรีละ ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 3 ของบ้านโคกตูม ปกครองได้ 2 ปี และต่อมานายมี โพธิ์แก้ว ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4 และในปี พ.ศ 2526 นายหนึ่ง พริ้งเพราะ ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านได้ 4 ปี และบ้านโคกตูมเดิมที่สังกัดตำบลบ้านไทรและได้ทำการแยกออกจากตำบลบ้านไทรเมื่อปี พ . ศ 2530 ทางรัฐบาลก็ได้อนุมัติให้เป็นตำบลโคกตูมเมื่อปี พ . ศ 2531 และนายหนึ่ง พริ้งเพราะ ได้เป็นกำนันคนแรกของบ้านโคกตูม ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่บ้านโคกตูม ตำบลโคกตูม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 31140
ภาษาที่ใช้สื่อสารของคนในชุมชน
คนในชุมชนบ้านโคกตูมส่วนมากจะสื่อสารกันด้วย เขมร ส่วย
ที่ตั้งของหมู่บ้าน
ชุมชนบ้านโคกตูมมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดบ้านสี่เหลี่ยม
ทิศใต้ ติดบ้านหนองตะขบ,บ้านจบกเกร็ง
ทิศตะวันออก ติดบ้านโคกตะแบก
ทิศตะวันตก ติดบ้านหนองม่วงพัฒนา
ลักษณะทางกายภาพของชุมชน
แต่ก่อนชุมชนบ้านโคกตูมเป็นพื้นที่นาเกือบทั้งหมดส่วนใหญ่จะทำนา เป็นที่ราบสูง มีสระน้ำ ลุ่มน้ำ คลอง
แต่ปัจจุบันมีการ ทำนา ปลูกอ้อย ปลูกมัน ปลูกต้นยูคา
เส้นทางคมนาคมในอดีต
สมัยก่อนเป็นเส้นทาง ถนนลูกรัง ทำให้การคมนาคมเป็นการยากลำบากในการเดินทาง
เส้นทางคมนาคมในปัจจุบัน
มีถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง ทำให้การคมนาคมสดวกขึ้นในการเดินทาง
เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่ง
ในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมี
หน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี
ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ
คนอีสานทำบุญบั้งไฟโดยมีจุดประสงค์หลายอย่าง เช่น ขอน้ำฝน เชื่อมความภักดี แสดงการละเล่น และการบูชาพญาแถนบูชาคุณพระพุทธเจ้า ชาวอีสานส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเทศกาลเดือนหกซึ่งเป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าชาวอีสานจะพากันบูชาคุณของพระพุทธเจ้า โดยการจัดดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาพระพุทธรูป การทำบุญบั้งไฟของชาวอีสานก็ถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยอามิสบูชาอย่างหนึ่งการทำบุญบั้งไฟจะมีการบวชพระเณร เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาพระและเณรเป็นคนใกล้ชิดและติดต่อกับพระพุทธเจ้าและพระธรรม พระยาขอมทำบุญบั้งไฟครั้งนั้นก็มีบวชเณรด้วย การบวชพระบวชเณรและสรงน้ำหอมพระเณร ก็รวมอยู่กันในประเพณีนี้ ดังนั้นการทำบุญบั้งไฟชาวอีสานจึงถือว่าเป็นการต่ออายุพระพุทธศาสนายืนยาวต่อไปการขอน้ำฝน การทำนาของชาวอีสานต้องอาศัยน้ำฝน น้ำฝนที่ชาวอีสานอาศัยนั้นชาว อีสานก็สร้างเองไม่ได้ ต้องขอจากเทพบุตร เทพยดา ตามตำนานเล่าไว้ว่า มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ วัสกาลเทพบุตรมีหน้าที่แต่งน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกลงมาชาวอีสานเชื่อตามตำนานนี้จึงทำบุญบั้งไฟเพื่อขอน้ำจากเทพบุตรองค์นั้นความสามัคคีคนในบ้านหนึ่งเมืองหนึ่ง ต่างพ่อต่างแม่ ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนาต่างจารีตประเพณีนั้นเมื่อมาอยู่รวมบ้านรวมเมืองเดียวกัน ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ ร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองนั้นก็หาความสุขความเจริญไม่ได้ ถ้าคนในบ้านในเมืองถือกันเหมือนพี่เหมือนน้องมีอะไรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันรักษาพยาบาล การทำบุญบั้งไฟของชาวอีสานก็เพื่อเชื่อมความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองการแสดงการละเล่น การทำบุญบั้งไฟเป็นการปิดโอกาสให้ทุกคนมาแสดงการละเล่น คนเราเมื่อได้เล่นได้กินร่วมกัน จะเกิดความรักใคร่ใยดีต่อกัน การเล่นบางอย่างจะสุภาพเรียบร้อย บางอย่างหยาบโลน แต่ก็ไม่ถือสาหาความถือเป็นการเล่นเท่านั้น
การจัดประเพณีบุญบั้งไฟ
ก่อนจะถึงวันงานหรือวันเอาบุญ ชาวบ้านก็จะช่วยกันเตรียมงานกันอย่างสามัคคี ชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายจะสร้างปะรำ หรือ "ผาม"หรือ "ตูบบุญ” ฝ่ายแม่ครัวก็เตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงแขกเลี้ยงคน ฝ่ายช่างฟ้อนก็เตรียมขบวนรำไว้สำหรับแห่บั้งไฟ ฝ่ายผู้ชายที่เป็นช่างฝีมือก็ช่วยกันทำบั้งไฟและตกแต่งให้สวยงาม งานบุญบั้งไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีพิธีกรรมทางศาสนาเท่าใดนักแต่บางแห่งก็มีพิธีทำบุญเลี้ยงพระบ้าง
วันโฮม เป็นชาวบ้านก็จะมาตั้งขบวนเพื่อแห่บั้งไฟไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เป็นงานบุญที่เน้นความสนุกสนานรื่นเริง ในขบวนจะมีการรำเซิ้ง
วันจุดบั้งไฟก็อาจจะเป็นอีกวันหนึ่งคือเป็นวันที่ชาวบ้านจะเอาบั้งไฟของแต่ละคุ้มแต่ละหมู่บ้านมาจุดแข่งกัน ถ้าของใครทำมาดีจุดขึ้นได้สูงสุดก็จะชนะแต่ถ้าของใครแตกหรือซุก็ถือว่าแพ้ ต้องโดนลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตมซึ่งเป็นที่สนุกสนานอย่างยิ่ง การจุดบั้งไฟเป็นการเสี่ยงทาย ถ้าบั้งไฟขึ้นสูง ก็ทำนายว่าฝนจะตกดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
ในปัจจุบันบุญบั้งไฟถือเป็นประเพณีที่ให้สาระของความสนุกสนานที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อถือศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนาน กิจกรรมทั้งหมดของประเพณีนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกภูมิปัญญาของชุมชนในเรื่องเทคโนโลยีพื้นบ้าน การเลือกไม้ไผ่มาทำบั้งไฟการตัดไม้ไผ่โดยไม่เป็นอันตราย การบรรจุดินปืนลงกระบอกไม้ไผ่ ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมสืบกันมา การตกแต่งบั้งไฟเป็นงานศิลปะ