การขยายพันธุ์กล้วยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การเพาะเมล็ด เมล็ดกล้วยส่วนใหญ่เกิดจากการผสมข้ามกับต้นอื่นหรือพันธุ์อื่น ดังนั้นเมล็ดที่ได้อาจเกิดจากการผสมข้ามกลายเป็นลูกผสม อาจทำให้ต้นที่ได้ไม่ตรงกับต้นแม่ นอกจากนี้เมล็ดของกล้วยมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาและแข็ง ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเพาะเมล็ดเป็นต้นได้ จึงไม่ค่อยนิยมการเพาะเมล็ดกล้วย ยกเว้นกล้วยนวลและกล้วยผาที่จำเป็นต้องเพาะเมล็ด เพราะต้นกล้วยชนิดนี้ไม่มีการแตกหน่อ
2. การแยกหน่อหรือเหง้า โดยปกติกล้วยมีการแตกหน่อจากตาข้างของต้นแม่ โดยหน่อที่ดีที่สุดคือ หน่อใบแคบ หรือ ใบดาบ (sword sucker) หน่อที่มีใบเรียวเล็ก โคนหน่อใหญ่ หรือมีส่วนของลำต้นใหญ่ จึงมีอาหารสะสมมาก หน่อชนิดนี้นิยมนำไปปลูกเพื่อได้ต้นที่แข็งแรง
3. การผ่าหน่อ โดยการขุดหน่อที่มีอายุประมาณ 2-3 เดือน นำมาผ่าออกเป็น 4-6 ชิ้นต่อหน่อแล้วนำมาเพาะในวัสดุเพาะชำ
4. การขยายพันธุ์กล้วยด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นวิธีการที่สามารถทำให้ได้ต้นกล้าจำนวนมาก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะทำการขยายพันธุ์ ต้องคัดเลือกต้นพันธุ์ที่มีลักษณะที่ดี แข็งแรง ต้านทานโรคแมลงรบกวน ลูกโต จำนวนหวีต่อเครือมาก เพื่อผลิตให้ได้ต้นพันธุ์ที่มีลักษณะที่ดีตามต้องการ
1.การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ขั้นตอนและเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชประกอบด้วยหลายขั้นตอน ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. การเตรียมเนื้อเยื่อพืช: ขั้นตอนแรกคือการเลือกเนื้อเยื่อพืชที่จะนำมาเพาะเลี้ยง ซึ่งอาจเป็นส่วนของใบ, ราก, ต้น, หรือเมล็ด และต้องทำความสะอาดเพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค เนื้อเยื่อพืชที่เลือกควรเป็นเนื้อเยื่อที่มีคุณภาพและสมบูรณ์
2. การสเตอริไลซ์ หรือการฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนเนื้อเยื่อ: เนื้อเยื่อที่เลือกจะถูกทำให้สะอาดและสเตอริไลซ์ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่อาจเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ ตัดส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์หรือส่วนที่เป็นโรคออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคในกระบวนการเพาะเลี้ยง ซึ่งการฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนพืช นิยมใช้ 2 วิธี ได้แก่
- การใช้สารเคมี เป็นวิธีที่ใช้ได้อย่างกว้างขวาง โดยเลือกใช้ชนิดและความเข้มข้นตามลักษณะของเนื้อเยื่อพืช เหมาะกับเนื้อเยื่อที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เช่น ใบ ตายอด หรือตาข้าง สารเคมีที่ใช้ในการฟอกฆ่าเชื้อพืชมีหลายชนิดแต่ที่นิยมใช้ ได้แก่ เอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) และ โซเดียม ไฮโปคลอไรด์ (Sodium Hypochloride) หรือคลอรอกซ์ (Clorox)
- การเผาไฟ มีข้อจำกัดในการเลือกใช้ เนื่องจากความร้อนจากไฟจะทำลายเนื้อเยื่อพืชจึงเหมาะกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่มีส่วนห่อหุ้มหนาหรือแข็งแรง เช่น เมล็ด เนื้อเยื่อท่อลำเลียง เป็นต้น
3. การเตรียมอาหารเพาะเลี้ยง: อาหารเพาะเลี้ยงที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชจะถูกเตรียมขึ้น โดยอาจมีส่วนผสมของฮอร์โมนพืช, น้ำตาล, วิตามิน, และแร่ธาตุต่าง ๆ โดยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปรตัสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมและกำมะถัน และธาตุอาหารรอง ได้แก่ ธาตุอาหารที่จำเป็นน้อย เช่น เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง
4. การวางเนื้อเยื่อบนอาหารเพาะเลี้ยง: เนื้อเยื่อที่สเตอริไลซ์แล้วจะถูกวางบนอาหารเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ เพื่อให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ เช่น
- อาหารเพาะเลี้ยงควรมีสารอาหารที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของพืช และควรปรับส่วนผสมของอาหารให้เหมาะกับความต้องการของพืช
- อุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืช สภาวะอุณหภูมิที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดของพืช แต่ส่วนมากอุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียสเหมาะสมสำหรับพืชหลายชนิด
- แสงสว่างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนการสังเคราะห์แสง และสร้างพลังงานในพืช สภาวะแสงที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับชนิดของพืช และระยะเวลาที่ต้องการการให้แสง
5. การเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์: เมื่อเนื้อเยื่อถูกวางบนอาหารเพาะเลี้ยงและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะเริ่มต้นกระบวนการเจริญเติบโต พืชจะเริ่มเพิ่มขนาดของเซลล์ และค่อย ๆ เจริญเติบโต การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืชจะพัฒนาตามทิศทางของเซลล์และโครงสร้างของพืช
6. การย้ายกล้าเนื้อเยื่อออกจากอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไปสู่โรงเรือน: เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะบ่งบอกถึงความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยนำกล้าเนื้อเยื่อที่มีรากและลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรงออกจากขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้วนำไปอนุบาลในโรงเรือน โดยปลูกในถาด หรือกระถาง หลังจากกล้าเนื้อเยื่อได้ทำการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้แล้ว ให้ย้ายต้นกล้าไปปลูกในพื้นที่ที่ต้องการต่อไป โดยการย้ายกล้าเนื้อเยื่อควรเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันกล้าเนื้อเยื่อช้ำ และรากหักหรือขาด เพราะจะทำให้กล้าไม้หยุดการเจริญเติบโต และอาจตายได้
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้องการความระมัดระวังและความชำนาญในการจัดการ รวมถึงอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมในห้องปฏิบัติการที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีคุณภาพ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีปัญหาและความท้าทาย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในการลงทุนเริ่มต้นและในการบำรุงรักษาต่อเนื่อง โดยปกติแล้ว การดำเนินการนี้ต้องการทรัพยากรและอุปกรณ์พิเศษหลายประการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ไม่ว่าจะเป็น ห้องปฏิบัติการและอุปกรณ์ที่เฉพาะเจาะจง ห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น ตู้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ, อุปกรณ์สเตอริไลซ์, และระบบกรองอากาศ การควบคุมคุณภาพของเนื้อเยื่อพืชที่เพาะเลี้ยงต้องการเวลา และทรัพยากรในการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ สารเคมีต่าง ๆ รวมถึงอาหารเพาะเลี้ยงที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนพืช, น้ำตาล, วิตามิน, และแร่ธาตุ มีค่าใช้จ่ายที่สูง บุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการต้องผ่านการฝึกอบรมที่เฉพาะเจาะจง และมีความเชี่ยวชาญ
การปรับตัวของพืชที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเมื่อย้ายไปยังสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญในกระบวนการนี้ พืชที่เติบโตภายในห้องปฏิบัติการมีลักษณะและการตอบสนองที่แตกต่างจากพืชที่เติบโตในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อพืชเหล่านี้ถูกย้ายไปยังภายนอก จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความแตกต่างของสภาพแวดล้อม ต้องปรับตัวต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน
ความเสี่ยงต่อโรคและศัตรูพืช พืชในห้องปฏิบัติการมักจะไม่ได้รับการทดสอบจากโรคและศัตรูพืช การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอาจทำให้พืชเหล่านี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการถูกทำลาย และยังต้องปรับตัวต่อสารอาหารที่มีในดิน จากเดิมได้รับสารอาหารที่ควบคุมได้ตามต้องการ แต่เมื่อย้ายไปยังดินธรรมชาติจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสารอาหารที่แตกต่าง และมีความหลากหลายของสารอาหารมากกว่าเดิม