ประวัติความเป็นมา
ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง ตั้งอยู่ข้างวัดบ้านปราสาท บ้านปราสาท ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทหลังนี้เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระธิดาทั้ง 3 (มี หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล เป็นต้น) ได้เดินทางมาเยือนเมื่อ มกราคม - กุมภาพันธ์ 2472 (นับอย่างใหม่ต้องปี พ.ศ. 2473) และได้ถูกรวมเข้ากันกับอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือนและปราสาทศีขรภูมิ จากลักษณะทางศิลปกรรม สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกาย และในพุทธศตวรรษที่ 22 มีการบูรณะเพิ่มเติมที่องค์ปราสาทแถวหลังฝั่งทิศใต้ เป็นแบบศิลปะล้านช้าง และยังมีจารึกอักษรธรรมปรากฏอยู่ ณ ปราสาทหลังนี้
ปี พ.ศ. 2531 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงนำ พระอาจารย์ของนักเรียนนายร้อย จปร. ได้มาศึกษาที่โบราณสถานแห่งนี้ และก็ได้มีการบูรณะปราสาทศีขรภูมิ ให้ดูงามเด่นเป็นสง่าน่าภาคภูมิใจแก่แขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือนเมืองปราสาทหินโบราณแห่งนี้
ปราสาทศีขรภูมิ มีลักษณะเป็นปรางค์หมู่ 5 องค์ เป็นปราสาทก่ออิฐไม่สอปูน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน โดยตัวฐานก่อด้วยศิลาแลงกว้าง 25 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 1.5 เมตร โดยมีคูน้ำกว้าง 125 เมตร ล้อมรอบสามด้าน โดยเว้นด้านตะวันออกอันเป็นทางเข้าไว้
ปรางค์ประธานสูงประมาณ 32 เมตร ทับหลังเป็นภาพพระศิวนาฏราชสิบกร ทรงฟ้อนรำอยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย ซึ่งสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมาโดยทับหลังชิ้นนับเป็นทับหลังที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งของเมืองไทย บริเวณเสากรอบประตูสลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ซึ่งนางอัปสราที่ปราสาทศีขรภูมินี้มีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่พบที่ปราสาทศิลปะเขมรโบราณแห่งใดอีกเลยในประเทศไทย พบที่ปราสาทศีขรภูมิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ผามะนาว ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะนิยมเดินทางขึ้นไปชมความงดงามของธรรมชาติบนหน้าผาสูงนั่นเองค่ะ ที่วิวทิวทัศน์ของที่นี่จะล้อมไปด้วยต้นไม้ ป่าไม้ และทิวเขาแนวชายแดนของไทย-กัมพูชา
ป็นลักษณะของหน้าผาสูงชันทอดยาวไปตามสันเขาพนมดงรัก ซึ่งไฮไลท์ของ ผามะนาว จะอยู่ที่ตอนช่วงเช้าๆ ค่ะ เพราะเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากหลังภูเขา สาดแสงส่องผ่านป่าไม้ รวมถึงมีหมอกจางๆ กับอากาศเย็นๆ ให้ได้ฟินกันอีกด้วย บอกได้เลยว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยอันซีนมากจริงๆ
อีกทั้งหน้าผาของ ผามะนาว ยังมีโขดหินขนาดใหญ่เรียงรายสลับซับซ้อนกันอย่างสวยงามอีกด้วย บอกเลยว่ามุมถ่ายรูปเยอะมาก เลือกกันไม่ถูกเลย ใครที่อยากมานอนกางเต็นท์ก็สามารถมาปักหมุดจองที่ได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้บริเวณไม่ไกลกันยังมีที่เที่ยวอย่าง น้ำผุดจากใต้ดิน ที่มีชื่อว่า น้ำซับแห่งใหม่ ไหลออกมาตลอดทั้งปีไม่มีแห้ง เป็นแหล่งน้ำที่สะอาด สามารถใช้ดื่มกินได้อีกด้วย
อ่างเก็บน้ำห้วยเสนง ตั้งอยู่ใน ตำบลเฉนียง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นอ่างเก็บน้ำที่กักเก็บน้ำไว้สำหรับช่วยเหลือทางด้านการเกษตรกรรม การเพาะปลูกต่างๆ ได้มากกว่า 50,000 ไร่เลยค่ะ และยังเป็นแหล่งน้ำสำคัญในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดด้วย ซึ่งน้ำในอ่างมาจากลำห้วยเสนงที่เกิดจากเทือกเขาพนมดงรักทางใต้ของสุรินทร์ นอกจากเขื่อนนี้จะใช้ประโยชน์ทางด้านชลประทานแล้ว ก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวสุรินทร์และนักท่องเที่ยวจากจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่มีช้างเลี้ยงมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีวัฒนธรรมการเลี้ยงช้างเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัว เมื่อปี 2542 จึงได้มีแนวความคิดในการดำเนินการนำช้างสุรินทร์กลับมาสู่ภูมิลำเนาไม่ต้องออกไปเร่ร่อนในต่างจังหวัดและชุมชนเมือง ประกอบกับจังหวัดสุรินทร์ได้จัดตั้งศูนย์คชศึกษา ณ บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นสถานที่ให้ช้างที่ออกไปเร่ร่อนได้กลับมาอยู่รวมกัน แต่มีความไม่ต่อเนื่องของการบริหารจัดการ ทางจังหวัดสุรินทร์ได้มอบศูนย์คชศึกษา ให้อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์
ประวัติ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชาวไทยพื้นเมืองสุรินทร์ที่เรียกตัวเองว่า "ส่วย" "กวย" หรือ "กูย" ซึ่งอาศัยในแถบเมือง "อัตปือแสนแป" ในแคว้นจำปาศักดิ์ดินแดนของราชอาณาจักรไทยในสมัยนั้น ได้อพยพข้ามลำน้ำโขงมาสู่ฝั่งขวา เมื่อ พ.ศ.2260 และได้แยกย้ายไปตั้งหลักแหล่งตามที่ต่างๆดังนี้ พวกที่ 1 ตั้งหลักฐานที่บ้านเมืองที (บ้านเมืองที ตำบลเมืองที อำเภอเมืองสุรินทร์) หัวหน้าชื่อ "ปุม" พวกที่ 2 ตั้งหลักฐานที่บ้านกุดหวายหรือเมืองเตา(อำเภอรัตนบุรี ปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ"สี" หรือ "ตากะอาม" พวกที่ 3 ตั้งหลักฐานที่บ้านเมืองลีง(เขตอำเภอจอมพระปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ "สง" พวกที่ 4 ตั้งหลักฐานที่บ้านโคกลำดวน(เขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) หัวหน้าชื่อ "ตากะจะ" หรือ "ขัน" พวกที่ 5 ตั้งหลักฐานที่บ้านอัจจะปะนึง หรือ โคกอัจจะ (เขตอำเภอสังขะ ปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ "ฆะ" พวกที่ 6 ตั้งหลักฐานที่บ้านกุดปะไท (บ้านจารพัต อำเภอศีขรภูมิ ปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ "ไชย" ในปี 2302 สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 พระที่นั่งสุริยามรินทร์ โปรดเกล้าฯให้สองพี่น้องเป็นหัวหน้ากับไพร่พล 30 นาย ออกติดตามช้างเผือก ซึ่งแตกโรงจากเมืองหลวงเข้าป่าไปทางทิศตะวันออก สองพี่น้องกับไพร่พลได้ติดตามช้าง ไปจนพบกับ เชียงสี แล้วไปหา เชียงสง เชียงปุม เชียงไชย เชียงขัน และเชียงฆะ และได้ทราบจากเชียงฆะว่าเคยเห็น ช้างเผือกเชือกหนึ่งมีเครื่องประดับที่งาทั้งสองข้างได้พาโขลงช้างป่าลงเล่นน้ำที่หนองโชก ในตอนบ่ายๆทุกวันจึงได้พา หัวหน้าหมู่บ้านเหล่านั้นไปติดตาม เมื่อใช้พิธีกรรมทางคชศาสตร์จับช้างเผือกได้แล้ว สองพี่น้องจึงได้กราบบังคมทูล ถึงการช่วยเหลือติดตามช้างคืน ของเชียงปุมกับพวก ซึ่งได้ติดตามมาส่งถึงกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยามรินทร์ จึงได้ทรงพะกรุณาโปรดเกล้าตั้งให้
วัดบูรพาราม เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีหรือ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีอายุประมาณ ๒๐๐ ปี เท่ากับอายุเมืองสุรินทร์ สร้างโดย พระยาสุรินทร์ศรีณรงค์จางวาง (ปุม) เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรกสร้างเมื่อประมาณพุทธศักราช ๒๓๐๐ ถึง ๒๓๓๐ โดยประชาชนร่วมกันสร้างขึ้น เรียกว่า "วัดบูรพ์" เดิมเป็นวัดมหานิกายเป็นวัดเก่าแก่มีพัฒนาการที่ยาวนานตามยุคตามสมัย ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโสอ้วน) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑล และอนุมัติให้วัดบูรณ์เป็นวัดในสังกัดธรรมยุตและได้นิมนต์พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานอยู่ให้มาประจำอยู่ที่วัดบูรพาราม ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส และร่วมเป็นคณะพระสังฆาธิการ