ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมา
จุดเริ่มต้นในการจัดการเรียนการสอนดนตรีในมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมซึ่งขณะนั้นคือวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นผลสืบเนื่องจากการปรับปรุงแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ พ.ศ. 2503 ซึ่งมีการเพิ่มรายวิชาดนตรีในกลุ่มรายวิชาศิลปศึกษาซึ่งเป็นรายวิชาบังคับ ซึ่งส่งผลให้เวลาต่อมากรมการฝึกหัดครูต้องริเริ่มการอบรมสำหรับครูดนตรีแบบเต็มเวลาใน พ.ศ. 2512 และมีการอนุมัติหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) วิชาเอกดนตรีศึกษา ซึ่งเปิดสอนโดยวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาในปัจจุบัน) เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2513 (Chandransu, 2010)
วิทยาลัยครูจันทรเกษมได้เริ่มจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดนตรีในปี พ.ศ. 2521 ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) วิชาเอกดนตรีศึกษา และต่อมาได้เปิดสอนในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีศึกษา (4 ปี) ในปี พ.ศ. 2528 และเปิดสอนหลักสูตรอนุปริญญา (ดนตรีสากล) ในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการจัดการเรียนการสอนนั้นเนื้อหาในหลักสูตรจะเป็นไปตามแนวทางของกรมการฝึกหัดครู ที่มุ่งเน้นเนื้อหาสาระในด้านดนตรีคลาสสิก
คณาจารย์ผู้บริหารหลักสูตรฯ ในเวลานั้นคือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อดุลย์ วงศ์แก้ว และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ราเชนทร์ เหมือนชอบ ได้มีดำริต่อสถานการณ์ของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีทางดนตรีว่า “โลกในอนาคตระบบคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์มากขึ้น ประกอบกับเวลานั้นสังคมดนตรีไทยเริ่มเข้าสู่การผลิตผลงานเพลงในรูปแบบอุตสาหกรรม หลักสูตรดนตรีควรจะมีรายวิชาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรี ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในขณะนั้นและในอนาคต” วิสัยทัศน์ของทั้งสองท่านนำไปสู่ความพยายามในการปรับปรุงหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้นักศึกษามีความรู้และทักษะทางด้านเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งในขณะนั้นหลักสูตรของสำนักงานสภาการฝึกหัดครูไม่มีรายวิชาในลักษณะดังกล่าว มีแต่รายวิชาในแขนงทฤษฎีดนตรี การประพันธ์ ดนตรีวิทยา และวงโยธวาทิต
คณาจารย์ผู้บริหารหลักสูตรฯ สาขาวิชาดนตรีสากล (ในขณะนั้นคือภาควิชาดนตรีสากล) ได้พยายามผลักดันให้เกิดการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญในช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ในหลายประการ ได้แก่
1) การพัฒนาและผลักดันให้รายวิชาเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรี ถูกบรรจุในหลักสูตรสภาสถาบันราชภัฏ โดยในปี พ.ศ. 2535 ผู้ช่วยศาสตราจารย์อดุลย์ วงศ์แก้ว ได้ร่างเนื้อหารายวิชาเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรีไว้ 5 รายวิชา และได้เชิญอาจารย์ดนตรีจากวิทยาลัยครูหลายแห่งร่วมประชุมให้ความเห็นและลงชื่อรับรอง เพื่อเสนอรายวิชาต่อกรมการฝึกหัดครู โดยได้รับการบรรจุในหลักสูตรสภาสถาบันราชภัฏในช่วงปี พ.ศ.2535 - 2536
2) การเป็นศูนย์กลางในการอบรมและเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรีให้กับบุคคลทั่วไป โดยภาควิชาดนตรีสากลในขณะนั้นได้เชิญวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดนตรี เช่น เจ้าของโรงเรียนดนตรี นักดนตรีอาชีพ มาร่วมจัดการอบรมด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรีให้กับอาจารย์ภาควิชาดนตรีในกลุ่มสถาบันราชภัฏ อาจารย์ในโรงเรียนมัธยม และบุคคลทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 - 2543
3) การพัฒนาสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้สำหรับการสอนเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรี ทั้งนี้ด้วยความจำเป็นในการใช้อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีดนตรีในเวลานั้น คณาจารย์ได้พยายามใช้อุปกรณ์และคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเพื่อผลิตผลงานดนตรี โดยเฉพาะเพลงมาร์ชให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ตามที่ได้รับการร้องขอ ซึ่งทำให้ได้รับความสนใจจากผู้บริหารในการสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรีมากขึ้น โดยได้มีการพัฒนาห้องบันทึกเสียงในปี พ.ศ. 2534 เพื่อใช้สำหรับฝึกปฏิบัติการ และมีการปรับปรุงห้องปฏิบัติการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ดนตรีขึ้นในเวลาต่อมา
ผลจากการพัฒนาดังกล่าวส่งผลให้นักศึกษาของสาขาวิชาดนตรีสากล มีความรู้และทักษะทางด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ดนตรีที่เข้มแข็ง ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับครูดนตรีและนักดนตรีอาชีพในวงกว้าง นักศึกษาของสาขาวิชามีการพัฒนาความสามารถอย่างมาก สะท้อนผ่านการได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดและแข่งขันจากเวทีสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในเวลาต่อมาหลังจากพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏมีผลบังคับใช้ใน พ.ศ. 2547 ทำให้มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจในการร่างหลักสูตรของตนเองโดยไม่ต้องใช้หลักสูตรกกลาง สาขาวิชาดนตรีสากลจึงได้พัฒนาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีสากล ในปี พ.ศ. 2549 โดยแบ่งออกเป็น 2 สายวิชาคือ การแสดงดนตรีและเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยีดนตรีและดนตรีสมัยนิยม ซึ่งเป็นรากฐานความเข้มแข็งให้กับสาขาวิชาดนตรีสากล และเป็นแนวทางในการพัฒนาบัณฑิตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
(Pongpob Sukittiwong, 2023)