หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

การทำงานเพื่อการดำรงชีวิต

ใบความรู้ที่ ๑.๓.๑ เรื่อง ประเภทของธุรกิจและหน้าที่ของธุรกิจ

ประเภทของธุรกิจ

การแบ่งประเภทของธุรกิจตามลักษณะของกิจกรรมที่ธุรกิจกระทำ แบ่งออกได้ ดังนี้

1. ธุรกิจการเกษตร (Agriculture) การประกอบธุรกิจการเกษตร ได้แก่ การทำนา การทำไร่ การทำสวน การทำป่าไม้ การทำปศุสัตว์ การทำประมง การเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ

2. ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing) การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ ธุรกิจผลิตสินค้าเพื่ออุปโภค แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

2.1 อุตสาหกรรมในครัวเรือน จัดเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ลงทุนไม่สูงนักส่วนใหญ่เป็นการใช้เวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก คือ การทำนาทำไร่ ขณะที่รอเก็บเกี่ยวพืชผลก็ใช้เวลาว่างมาทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา อุตสาหกรรมทำเครื่องเขิน อุตสาหกรรม ทำเครื่องจักสาน ฯลฯ

2.2 อุตสาหกรรมโรงงาน เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตสินค้ามีโรงงาน มีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าได้ครั้งละจำนวนมาก มีการจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก ได้แก่ โรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป โรงงานผลิตพลาสติก ฯลฯ

3. ธุรกิจเหมืองแร่ (Mineral) การประกอบธุรกิจเหมืองแร่ ได้แก่ การทำเหมืองแร่ชนิดต่าง ๆ การขุดเจาะถ่านหิน การขุดเจาะนำทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ มาใช้

4. ธุรกิจการพาณิชย์ (Commercial) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าที่ผลิตจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้อุปโภคบริโภคสินค้าตามความต้องการ ได้แก่ ธุรกิจพ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ

5. ธุรกิจการก่อสร้าง (Construction) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ในการนำวัสดุต่าง ๆ ได้แก่ อิฐ หิน ปูน ทราย มาใช้ในการก่อสร้าง เช่น การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างเขื่อน ก่อสร้างโรงพยาบาล เป็นต้น

6. ธุรกิจการเงิน (Finance) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้ธุรกิจอื่นทำงานได้คล่องตัวขึ้น เนื่องจากในการทำธุรกิจจะต้องเริ่มจากการลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินในการลงทุน เช่น นำมาซื้อที่ดิน ปลูกสร้างอาคาร จ้างคนงาน ซื้อวัตถุดิบ ซื้อเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งถือว่าธุรกิจการเงินเป็นแหล่งที่ธุรกิจอื่นสามารถติดต่อในการจัดหาทุนได้ นอกจากนั้นในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหรือส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ ธุรกิจการเงินจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อซื้อขายชำระเงินระหว่างกัน ธุรกิจที่จัดเป็นธุรกิจการเงิน ได้แก่ ธุรกิจประเภทธนาคาร บริษัทประกันภัย บริษัทการเงิน

7. ธุรกิจให้บริการ (Service) เป็นธุรกิจที่อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจการสื่อสาร ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการโรงแรม ฯลฯ

8. ธุรกิจอื่น ๆ เป็นธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจ อาชีพอิสระต่าง ๆ เช่น วิศวกร แพทย์ สถาปัตย์ ช่างฝีมือ ประติมากรรม ฯลฯ


หน้าที่ในการประกอบธุรกิจ

ธุรกิจทุกประเภท ต่างมีหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับ ความพอใจสูงสุด เกิดอรรถประโยชน์สูงสุด สามารถบำบัดความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ หน้าที่ดังกล่าว ได้แก่

1. การผลิต (Production) เป็นกิจกรรมในการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจในการบริโภค กระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการมีหลายขั้นตอน จึงจะได้สินค้าหรือบริการตามที่ผู้บริโภคต้องการ ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องมีความรู้ในการผลิตเป็นอย่างดี จึงจะทำให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพดี มีต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องพิจารณา ได้แก่

1.1 การเลือกทำเลที่ตั้ง

1.2 การวางผังโรงงาน

1.3 การออกแบบสินค้า

1.4 การกำหนดตารางเวลาการผลิ

1.5 การตรวจสอบสินค้า

2. การจัดหาเงินทุน (Capital) เงินทุนถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องมีการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการจัดสรรเงินทุนในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการจัดหาเงินทุนมาใช้ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีแหล่งเงินทุน 2 แหล่ง ดังนี้

2.1 แหล่งเงินทุนภายใน (Internal Sources) เป็นเงินทุนที่ได้จากเจ้าของกิจการ อันได้แก่เงินที่นำมาลงทุน และจากกำไร

2.2 แหล่งเงินทุนภายนอก (External Sources) เป็นเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายนอกกิจการ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บรรษัทบริหาร ธุรกิจขนาดย่อย (บอย.) บริษัทประกันภัย เป็นต้น

3. การจัดหาทรัพยากรด้านกำลังคน คนถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากที่สุดในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องจัดหาบุคคลที่มีคุณภาพ และเหมาะสมกับตำแหน่งงาน โดยใช้หลักการ “จัดคนให้เหมาะกับงาน” (Put the right man in the right job) รวมทั้งเมื่อได้บุคลากรที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับงานแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจยังต้องรักษาบุคลากรดังกล่าวให้ปฏิบัติงานอยู่กับองค์กรตลอดไปอย่างมีความสุข ในการจัดหาทรัพยากรด้านกำลังคน ผู้ประกอบธุรกิจควรพิจารณาดังนี้

3.1 การวางแผนกำลังคน ด้านจำนวน คุณภาพและหน้าที่ความรับผิดชอบ

3.2 การสรรหากำลังคน

3.3 การคัดเลือกและการบรรจุ

3.4 การฝึกอบรม

3.5 การประเมินผลการปฏิบัติงาน

4. การบริหารการตลาด เป็นกระบวนการที่ทำให้สินค้าหรือบริการถึงมือผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค ซึ่งการบริหารการตลาด ผู้ประกอบธุรกิจต้องอาศัยส่วนผสมทางการตลาด (Marketing mix)หรือเรียกว่า 4 P’s เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจ ได้แก่

4.1 ผลิตภัณฑ์ (Product) คือ สิ่งที่ธุรกิจเสนอขายเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคให้พึงพอใจ ผลิตภัณฑ์อาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ ผลิตภัณฑ์จึงประกอบด้วยสินค้า บริการ ความคิด สถานที่ องค์กรหรือบุคคล ซึ่งต้องมีอรรถประโยชน์(Utility) มีมูลค่า (Value) ในสายตาของผู้บริโภคจึงจะขายได้

4.2 ราคา (Price) คือ มูลค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ผู้ประกอบธุรกิจต้องกำหนดราคาให้เหมาะสม เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค จึงจะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แก่ผู้บริโภคได้ ซึ่งการกำหนดราคาขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์ กลุ่มตลาดเป้าหมาย การแข่งขัน บทบัญญัติตามกฎหมาย เป็นต้น

4.3 การจัดจำหน่าย (Place) คือ กิจกรรมการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากธุรกิจไปยังตลาดเป้าหมาย ผู้ประกอบธุรกิจ

ต้องเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายให้เหมาะสมกับประเภทของผลิตภัณฑ์ และจะต้องจัดจำหน่ายให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภค จึงจะทำให้ผลิตภัณฑ์จำหน่ายได้

4.4 การส่งเสริมการตลาด (Promotion)และการส่งเสริมการขาย คือ การติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับข้อมูลระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ เพื่อสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะชักจูงให้เกิดการซื้อ ผู้ประกอบธุรกิจจำเป็นต้องเลือกการส่งเสริมการตลาดให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และกลุ่มตลาดเป้าหมาย ซึ่งเครื่องมือในการส่งเสริมการตลาดมีหลายประเภท อาทิเช่น การโฆษณาการให้ส่วนลด การให้ของแถม เป็นต้น


ใบงานที่ ๑.๓.๑ เรื่อง ประเภทของธุรกิจและหน้าที่ของธุรกิจ

ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

๑.ประเภทของธุรกิจ คือ

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

๒.หน้าที่ของธุรกิจ คือ

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................


สุดยอดนักธุรกิจ

อาชีพนักธุรกิจ

เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวงการธุรกิจทุกด้านทั้งในวงการภายในและต่างประเทศที่มีส่วนสัมพันธ์กัน ในการดำเนินงานนี้ ผู้ประกอบอาชีพต้องมีความรู้เกี่ยวกับลักษณะการประกอบธุรกิจประเภทธุรกิจและหน้าที่ต่างๆของธุรกิจ ตลอดจนหน้าที่และความสัมพันธ์ของธุรกิจที่มีต่อกัน รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ซึ่งธุรกิจต้องดำเนินอยู่ด้วยกัน

การประกอบอาชีพนี้ มีสาขาต่างๆ ให้เลือก คือ

1. สาขาการบริหารการเงินและการธนาคาร

ต้องเป็นผู้ชำนาญเรื่องการเงินรวมทั้งการธนาคารด้วย โดยสามารถวิเคราะห์หลักการ ปัญหาต่างๆ ทางการเงินของธุรกิจได้และช่วยนำวิธิการบริหารการเงินให้แก่วงการธุรกิจต่างๆ

2. สาขาการตลาด

มีประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีการบริหารการตลาดแบบสมัยใหม่ วิธีบริหารคลังสินค้า วิธีการจัดซื้อหรือบริการ และวิธีการจัดจำหน่าย อันเป็นประโยชน์แก่งานและปัญหารด้านการตลาดขององค์การธุรกิจ

3.สาขาการบริหารทั่วไป

ผู้ประกอบต้องมีความรู้และคุ้นเคยกับปัญหาต่างๆ ในด้านการบริหารทั้งที่เป็นปัญหาทั่วไปและปัญหาเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารในด้านบุคคล แรงงานอุตสาหกรรมสัมพันธ์และการควบคุมแรงงาน

4.สาขาการบริหารบุคคล

สามารถปฏิบัติงานด้านการบริหารบุคคล ในด้านการคัดเลือกพนักงาน การฝึกอบรม การบริหาร ค่าตอบแทน และแรงงานสัมพันธ์

5. สาขาการบริหารอุตสาหการ

มีความสามารถในเชิงวิเคราะห์อย่างเป็นระบบสำหรับใช้ในการแก้ปัญหา และตัดสินใจ ด้านการบริหารโรงงานอุตสาหกรรม การบริหารกิจการ การบริการโครงการ

6. สาขาพาณิชย์นาวี

มีความสามารถในด้านการบริหารรับสินค้าเข้าและส่งสินค้าออก การบริหารสายเดินเรือ ตลอดจนการประกัยภัยทางทะเล

รู้แค่นี้ ขายดี ทุกอย่าง


6 วิธีเริ่มต้นเป็นนักธุรกิจได้ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ

1.รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

2.ค้นหาเส้นทางธุรกิจที่เหมาะกับตัวเอง

3.มองดูตลาดจริงหาคู่แข่งให้เจอ

4.เรียนรู้ที่จะเขียนแผนธุรกิจของตัวเอง

5.ต้องมีคนที่ให้คำปรึกษาคอยเป็นไกด์นำทาง

6.ถ้ามั่นใจว่าชอบว่าใช่ก็ใส่เกียร์เดินหน้าได้เลย

see more at: http://www.thaismescenter.com/6-วิธีเริ่มต้นเป็นนักธุรกิจได้ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ/

แนวทางการสร้างธุรกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

โครงการพอแล้วดี

ที่มา Thai PBS เป็นสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะของไทย วิกิพีเดีย

https://www.youtube.com/watch?v=l3OSujhbZ08

ใบความรู้ที่ ๑.๔.๑ เรื่อง การประกอบธุรกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางในการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการบริหารและพัฒนาระดับประเทศตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ และภายหลังเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ พระองค์ทรงเน้นย้ำให้ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้รอดพ้นและสามารถอยู่ได้อย่างมั้นคงและยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นระบบเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งตนเองได้ ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้

๑. เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล คือ ความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่พอประมาณ

๒. เศรษฐกิจพอเพียงในระดับประเทศ คือ ความสามารถของชุมชน เมือง รัฐ ประเทศ หรือภูมิภาคอื่น ๆ ในการผลิตสินค้าหรือบริการทุกชนิด เพื่อเลี้ยงบุคคลภายในสังคมนั้น ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของ

องค์ประกอบหลักของหลักปรัชญาของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติตนได้ทุกระดับโดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

หลักการของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีดังนี้

๑. หลักความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับความพอประมาณ

๒. หลักความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

๓. การมีภูมิคุ้มกันในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

เงื่อนไขในการตัดสินใจและการดำเนินงานต่าง ๆ

ให้อยู่ในระดับความพอเพียงต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ดังนี้

๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรู้ที่เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ และความรอบคอบในการนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาเพื่อประกอบในการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ

๒. เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต


การประยุกต์นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ

การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ ควรเริ่มต้นจากการเสริมสร้างให้ผู้ประกอบุรกิจมีการเรียนรู้ทางวิชาการ รวมทั้งหลักการและทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้สามารถบริหารจัดการกับธุรกิจของตนเองให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างเสริมคุณธรรมในการประกอบธุรกิจเพื่อให้การประกอบธุรกิจประสบความสำเร็จและมีความมั่นคงที่ยั่งยืน ผู้ประกอบธุรกิจควรยึดหลักการปฏิบัติ ดังนี้

๑. ด้านความพอประมาณ

ผู้ประกอบธุรกิจควรมีหลักการดำเนินงาน ดังนี้

- ใช้เทคโนโลยีที่ถูกหลักวิชาการ

- ขยายธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เน้นสร้างกำไรในระยะยาว

- ใช้ทรัพยากรทุกชนิดอย่างประหยัดและคุ้มค่า โดยพิจารณาตั้งแต่การเลือกซื้อสินค้าวัตถุดิบจะต้องไม่มากและไม่น้อยเกินไป

- มีขนาดการผลิตที่สอดคล้องกับความสามารถในการบริหารและการจัดการ

- เน้นการจ้างแรงงานเป็นหลัก ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยี

- เน้นการใช้วัตถุดิบภายในท้องถิ่น และตอบสนองความต้องการในตลาดท้องถิ่นและตลาดภายในประเทศ

๒. ด้านความมีเหตุผล ผู้ประกอบธุรกิจควรมีหลักการดำเนินงาน ดังนี้

- เน้นการบริหารความเสี่ยงต่ำ โดยไม่ก่อหนี้สินจนเกินความสามารถ

- การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆโดยการพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องและคาดหวังถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

- มีความสามารถในการบริหารและจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การตลาด การขาย การเงิน การจัดการบุคลากร การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

- มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถของพนักงานอย่างต่อเนื่อง

๓. ด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ผู้ประกอบธุรกิจควรมีหลักการดำเนินงาน ดังนี้

- เตรียมการให้พร้อมที่จะรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ กฎหมาย สภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นต้น

- การสร้างฐานเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจ

- มีการเตรียมความพร้อมในด้านการเงินหรือมีแหล่งเงินทุนสำรองที่สามารถนำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน

๔. ด้านเงื่อนไขความรู้ ผู้ประกอบธุรกิจควรมีหลักการดำเนินงาน ดังนี้

- ผู้ประกอบธุรกิจต้องแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาพัฒนาในกระบวนการดำเนินงานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

- ผู้ประกอบการธุรกิจต้องมีความรู้และความสามารถในกระบวนการจัดการธุรกิจ เช่น การตลาด การบัญชี การจัดการบุคคล การจัดการลูกค้าสัมพันธ์

- มีการจัดการด้านองค์ความรู้ ที่สามารถนำมาสร้างนวัตกรรมในการผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

- มีการตัดสินใจทางธุรกิจด้วยความรอบคอบอย่างระมัดระวัง

๕. ด้านเงื่อนไขคุณธรรม ผู้ประกอบธุรกิจควรมีหลักการดำเนินงาน ดังนี้

- จริยธรรมต่อตนเอง ควรปฏิบัติดังนี้

· ขยัน มีความเพียรพยายามในการทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

· ประหยัด ใช้สิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างทะนุถนอม ไม่ใช่จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

· ซื่อสัตย์ มีความจริงใจ ปราศจากความรู้สึกลำเอียง

· มีวินัย ยึดมั่นในกฎระเบียบ ข้อบังคับ และข้อปฏิบัติต่อตนเองและสังคม

- จริยธรรมต่อลูกค้า ควรปฏิบัติดังนี้

· ดูแลและบริการลูกค้าอย่างเท่าเทียมกัน

· ปฏิบัติตนต่อลูกค้าอย่างมีน้ำใจ

· ขายสินค้าหรือบริการในราคาที่ยุติธรรม

· ขายสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ

- จริยธรรมต่อคู่แข่ง ควรปฏิบัติดังนี้

· ให้ความร่วมมือในด้านการแข่งขัน

· ไม่ใส่ร้ายคู่แข่ง ไม่ข่มขู่หรือกีดกันคู่แข่ง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

- จริยธรรมต่อพนักงาน ควรปฏิบัติดังนี้

· เอาใจใส่ในสวัสดิการ ความปลอดภัยในการทำงานของพนักงาน

· ให้ความเป็นธรรมและให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน

· ให้ค่าจ้างที่เหมาะสม

· เคารพสิทธิส่วนบุคคลของพนักงาน

- จริยธรรมต่อสังคม ควรปฏิบัติดังนี้

· ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม

· ให้ความร่วมมือกับชุมชนในกิจกรรมที่สร้างสรรค์

· ให้ความสนใจต่อการจ้างงานในชุมชน

- จริยธรรมต่อรัฐ ควรปฏิบัติดังนี้

· ประกอบธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย

· ไม่ติดสินบนกับหน่วยงานราชการ

· ให้ความร่วมมือในการเป็นพลเมืองที่ดี