หลังบิกแบง 300,000ปี อุณหภูมิลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน นิวเคลียสของไฮโดรเจนและฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเข้ามาอยู่ในวงโคจร เกิดเป็นอะตอมไฮโดรเจนและฮีเลียมตามลำดับ ซึ่งในการหลอมรวมนิวเคลียสจะมีพลังงานส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในรูปของคลืนแม่เหล็กไฟฟ้า ในรูปของพลังงานแสง ถือเป็นแสงแรกของเอกภพ ปัจจุบันนักดาราศาสตร์สามารถวัดหรือสังเกตการณ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เก่าแก่นี้ได้ เรียกว่า CMB หรือ Cosmic-microwave Background Radiation
หลังจากบิกแบง แล้วเอกภพก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเกิดความสังสัยเกี่ยวกับขอบของจักรวาล เอกภพของเราในปัจจุบันกว้างขนาดไหน แต่เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็วจำกัดที่ 3 x 108 เมตรต่อวินาที ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกลนั้นต้องอาศัยเวลาในการเดินทาง เราจึงเห็นภาพ ดาวในอดีตบนท้องฟ้า ยกตัวอย่างเช่นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดาวซิริอุสในกลุ่ม ดาวสุนัขใหญ่ที่เราเห็นคืออดีตของมันเมื่อ 8 ปีที่แล้วเนื่องจากดาวซิริอุสอยู่ห่างจากเราเป็นระยะทาง 8 ปีแสง เช่นเดียวกับกาแลกซี่แอนโดรเมดาที่อยู่ ห่างไปประมาณ 2.9 ล้านปีแสงก็คือภาพในอดีตเมื่อประมาณ 2.9 ล้านปีล่วงมาแล้ว แม้แต่ดวงอาทิตย์เองก็เป็นภาพเมื่อ 8 นาทีก่อน จากความรู้นี้ประกอบกับ ทฤษฎีบิ๊กแบงที่กล่าวว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้นและมีอายุจำกัดที่ ประมาณ 14,000 ล้านปี ดังนั้นเวลาที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใช้ในการเดินทางมา ยังโลกจะต้องไม่มากไป กว่า 14,000 ล้านปี นักฟิสิกส์เรียกระยะทาง14,000 ล้านปีแสงนี้ว่า "ขอบฟ้า ของจักรวาล (Cosmic Horizon)
แผนภาพแสดงการแตกตัวสมมาตร (Symmetric Breaking)
จากทฤษฎีสนามรวม (Grand Unification Theory : GUT) ซึ่งกล่าวว่าเอกภพประกอบด้วย อันตรกริยาทั้งหมดสี่แรงคือ แรงทางแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม , แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงโน้มถ่วง โดยแรงทั้งสี่ชนิดจะเป็นอันตรกริยา รวมทั้งหมดที่พลังงานสูงมากๆ เรียกว่า Supergavity หลังจากที่พลังงานต่ำลง จาก"การขยายตัวออกอย่างรุนแรงของเอกภพ " (inflation) อันตรกริยารวมทั้ง หมดได้แยกออกจากกันจนมาเป็นอันตรกริยาทั้งสี่เช่นใน
พบว่าแรงทางแม่เหล็กไฟฟ้าเริ่มแยกตัวออกมาเมื่อประมาณ 10-10 วินาทีหลังจากบิ๊กแบง แต่เอกภพที่มีอายุประมาณ 300,000 ปี หลังบิ๊กแบงนั้นมีความหนาแน่นมากจนกระทั่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีเส้นทางเดินอิสระเฉลี่ย (Mean free path) ต่ำมาก ดังรูป หมายความว่าก่อนหน้านั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ยังไม่สามารถหลุดออกจากเอกภพในยุคนั้นได้เลย
ทฤษฎี CMB มีการ ศึกษาครั้งแรกในปี 1948 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียชื่อ จอร์จ กามอฟ (George Gamow) ได้เสนอภาพของเอกภพในช่วงต้น (Early Universe) มีอุณหภูมิ และความหนาแน่นสูงมากทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขณะนั้นอยู่ในช่วงรังสี คอสมิก แต่เนื่องจากเอกภพมีการขยายตัว ทำให้ความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันถูกยืดออกให้มีความยาวคลื่นในช่วง ไมโครเวฟ ซึ่งสอดคล้องกับการคำนวณอุณหภูมิของเอกภพโดยกามอฟได้ ประมาณ 2.7 เคลวิน
ในปี ค.ศ. 1965 โดยอาร์โน เพ นเซียส (Arno Penzias) และโรเบิร์ต วิลสัน (Robert Wilson) ได้สังเกตพบ แหล่งกำเนิดคลื่นไมโครเวฟจากทุกทิศทุกทางโดยใช้สายอากาศขนาดใหญ่ติดกับดาว เทียม เพนเซียสและวิลสันสามารถคำนวณอุณหภูมิของเอกภพในปัจจุบัน ได้ 2.73 เคลวิน ต่อมาในปี 1991 องค์การนาซาได้ส่งดาว เทียม COBE (Cosmic Background Explorer) ขึ้นไปวัด CRB ด้วยอุปกรณ์ที่ดี กว่าและคำนวณได้อุณหภูมิ 2.725 เคลวิน
อาร์โน เพเซียส
โรเบิร์ต วิสัน
กล้องโทรทรรศน์วิทยุประวัติศาสตร์ที่เพนเซียสและวิลสันค้นพบอุณหภูมิพื้นหลัง
ภาพถ่ายของเพนเซียสและวิลสัน ซึ่งได้ค้นพบแหล่งกำเนิดคลื่นไมโครเวฟจากทั่วทุกทิศ
สเปกตรัม ของ CRB ที่ได้จากข้อมูลการสังเกตการณ์ของดาวเทียม COBE มีลักษณะเป็นเส้น โค้งการแผ่รังสีของวัตถุดำที่อุณหภูมิ 2.725 เคลวิน ซึ่งเกิดจากแหล่งกำเนิด แสงความยาวคลื่นในช่วงไมโครเวฟ สอดคล้องกับการคำนวณที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถูกยืดออกจากความยาวคลื่นเดิมจากการขยายตัวของเอกภพไม่มีการขยายตัว
เส้นโค้งการแผ่รังสีของ วัตถุดำที่สังเกตการณ์ได้ดังกล่าวจะไม่ถูกยืดออก และสามารถวัดอุณหภูมิของ แหล่งกำเนิดแสงได้ค่ามากกว่า 3,000 เคลวิน ซึ่งสอดคล้องกับแหล่งกำเนิดแสง ความยาวคลื่นในช่วงรังสีคอสมิก ทำให้นักฟิสิกส์สามารถทำนายได้ว่าเอกภพใน ช่วงรอยต่อที่เวลา 300,000 ปีหลังจากเกิดบิ๊กแบงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรแม้ ว่าจะไม่สามารถตรวจวัดแสงก่อนหน้ายุคนั้น
สเปกตรัมของคลื่นไมโคตรเวฟพื้นหลังอวกาศจากการสังเกตุการณ์ของดาวเทียม COBE
การแสดงสเปกตรัมของ CMB ซึ่งเป็นลักษณะสเปกตรัมการแผ่รังสีของวัตถุดำ