‘นายขนมต้ม’ บุคคลลึกลับจากพงศาวดาร และเส้นทางสู่สถานะตำนานในประวัติศาสตร์ชาติไทย
กีฬามวยไทยเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันกว้างขวางเมื่อกัมพูชา เจ้าภาพซีเกมส์ที่จะแข่งในปี 2023 จะใช้ชื่อว่า ‘กุนขะแมร์’ แทน ‘มวยไทย’ และหากพูดถึงมวยไทย ความเป็นมาของมวยไทย ในแง่หนึ่งมักถูกเชื่อมโยงไปกับตัวตนของ ‘นายขนมต้ม’
‘นายขนมต้ม’ ไม่เพียงเป็นเรื่องราวที่เชื่อมกับกีฬามวย แต่ยังสะท้อนคติและแนวคิดทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมด้วย
บทความเรื่อง มองมวยไทยและเคส ‘นายขนมต้ม’ กับประวัติศาสตร์ ‘ชกเพื่อนบ้าน’ กีฬาหรือการปะทะรูปแบบใหม่? โดยกำพล จำปาพันธ์ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่บอกเล่าถึงหลักฐานเกี่ยวกับนายขนมต้มของฝั่งไทยเอาไว้ เนื้อหาส่วนหนึ่งของบทความมี ดังนี้
...‘นายขนมต้ม’ เป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับการชกมวย บทบาทอยู่ในเหตุการณ์หลังเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310 ซึ่งเป็นที่พูดถึงกันมากแม้จะไม่ถึงกับมากเท่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หรืออย่างพระยาพิชัยดาบหัก แต่จัดว่าเป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่งร่วมสมัยกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จนถึงรัชกาลที่ 1
เมื่อมองย้อนกลับไปก่อนหน้านายขนมต้ม บุคคลสำคัญที่มีชื่อและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการชกมวย-เป็นนักมวยนั้นได้แก่ พระเจ้าเสือ, พันท้ายนรสิงห์, สมเด็จพระนเรศวร หรือกษัตริย์นักรบพระองค์อื่นก็น่าจะเคยฝึกปรือการชกมวย แต่ไม่มีบันทึกหลักฐานหรือเรื่องเล่าเกี่ยวข้องก็ต้องตัดออกไปสำหรับในที่นี้ ยุคเดียวกับนายขนมต้มก็มีเช่น สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ, พระยาพิชัยดาบหัก, หมื่นผลาญ, กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา) และหลังจากช่วงต้นรัตนโกสินทร์มาก็มีอย่างกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ เป็นต้น
คำถามแรกก็คือว่า ทำไมยืนหนึ่งเรื่องมวยไทยถึงต้องเป็นนายขนมต้ม โดยที่มีบุคคลสำคัญท่านอื่นดังที่กล่าวแล้ว? ในแง่นี้เราต้องเข้าใจกระบวนการสร้างนายขนมต้มผ่านตำนานประวัติศาสตร์มวยไทยเองมากกว่าอย่างอื่น
แม้จะเป็นบุคคลที่เป็นที่กล่าวอ้างและพูดถึงกันมาก แต่ในแง่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ นายขนมต้มกลับไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับเรื่องของบุคคลสำคัญท่านอื่นที่เรารู้แน่ชัดว่ามีตัวตนอยู่จริง
.
‘นายขนมต้ม’ ไม่ปรากฏในหลักฐานพม่า ปรากฏเฉพาะในหลักฐานของไทย เป็นต้นว่า ‘พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลย์’, ‘พระราชพงศาวดารฉบับความกรมพระปรมานุชิตชิโนรส’, ‘พระราชพงศาวดารฉบับความกรมหลวงวงศาธิราชสนิท’, ‘พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา’ ฉบับแรกสุดคือฉบับหมอบรัดเลย์ อีกสามฉบับเป็นฉบับชำระที่คัดเอาข้อความมาจากฉบับหมอบรัดเลย์อีกต่อหนึ่ง มีการชำระแก้ไขตัวบทในส่วนนี้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ปรับแก้จนเนื้อความเปลี่ยนเป็นคนละเรื่องเหมือนอย่างการชำระพงศาวดารในที่อื่น ๆ
.
‘พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลย์’ นั้น ผู้แต่งคือสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนที่ได้ชื่อ ‘ฉบับหมอบรัดเลย์’ นั้นก็เพราะหมอบรัดเลย์เป็นผู้ค้นพบต้นฉบับแล้วนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือออกเผยแพร่คนแรก ตามธรรมเนียมของเอกสารโบราณจะนิยมให้เกียรติผู้ค้นพบต้นฉบับและคัดลอกมาเผยแพร่ โดยการนำเอาชื่อผู้คัดลอกนั้นมาตั้งเป็นชื่อต้นฉบับ พระราชพงศาวดารฉบับก็เลยเป็นฉบับหมอบรัดเลย์ เช่นเดียวกับที่มีพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งหลวงประเสริฐฯ ไม่ได้เป็นผู้แต่งหากแต่เป็นผู้ค้นพบต้นฉบับ
.
‘พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลย์’ (ที่สมเด็จพระพนรัตน์ฯ เป็นผู้แต่ง) นี้เป็นหลักฐานชิ้นแรกที่กล่าวถึงเรื่องนายขนมต้ม เนื้อความมีดังต่อไปนี้: (จัดย่อหน้าใหม่ – กองบรรณาธิการ)
.
“ฝ่ายพระเจ้าอังวะยังอยู่ ณะ เมืองย่างกุ้ง ทำการยกฉัตรยอดพระมหาเจดีย์เกศธาตุสำเร็จแล้วให้มีการฉลอง จึ่งขุนนางพม่ากราบทูลว่า คนมวยเมืองไทยมีฝีมือดียิ่งนัก จึ่งตรัสสั่งให้จัดหามาได้นายขนมต้มคนหนึ่ง เปนมวยดีมีฝีมือแต่ครั้งกรุงเก่า เอาตัวมาถวายพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะจึ่งให้จัดพม่าคนมวยเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้มได้กันแล้ว ก็ให้ชกกันหน้าพระธินั่ง แลนายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้ แล้วจัดคนอื่นเข้ามาเปรียบชกอีก
.
นายขนมต้มชกพม่าชกมอญแพ้ถึงเก้าคนสิบคนสู้ไม่ได้ พระเจ้าอังวะทอดพระเนตรยกพระหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริญฝีมือนายขนมต้มว่า ไทยมีพิษอยู่ทั่วตัว แต่มือเปล่าไม่มีอาวุธเลยยังสู้ได้ คนเดียวชณะถึงเก้าคนสิบคนฉนี้ เพราะเจ้านายไม่ดีจึ่งเสียบ้านเมืองแก่ข้าศึก ถ้าเจ้านายดีแล้วไหนเลยจะเสียกรุงศรีอยุธยา แล้วพระราชทานรางวัลแก่นายขนมต้มโดยสมควร”
.
สมเด็จพระพนรัตน์ฯ ผู้แต่งเรื่องนายขนมต้มนี้ แม้จะเป็นคนร่วมสมัยเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ แต่ก็เช่นเดียวกับอีกหลายต่อหลายกรณี ที่ต่อให้เป็นผู้ที่เกิดทัน ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเหตุการณ์ที่ตนเองเกิดทันหรือมีชีวิตอยู่ร่วมปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้รู้เช่นนั้น ไม่งั้นก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!!!
.
สมเด็จพระพนรัตน์ฯ ไม่ได้เป็นคนที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปพม่าด้วย จึงไม่ใช่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์นายขนมต้มชกมวยต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้ามังระ จนกระทั่งได้ยินได้ฟังว่าพระเจ้ามังระทรงตรัสชื่นชมนายขนมต้มว่าอย่างไร สมเด็จพระพนรัตน์ในขณะแต่งเรื่องนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ และแต่งเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ.2338 ขณะที่ปีในเหตุการณ์นายขนมต้มชกพม่านั้นระบุไว้คือ พ.ศ.2317 ยังเป็นสมัยกรุงธนบุรีอยู่
.
ขนาดยุคที่มีการสื่อสารข้ามโลกอยู่ในมืออย่างโซเชียลมีเดีย ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ทุกเรื่องที่มีชีวิตร่วมยุคเดียวกัน ยิ่งในยุคกรุงธนบุรี บุคคลซึ่งไม่ได้ถูกเกณฑ์เป็นเชลยไปพม่า จะไปรู้เห็นเหตุการณ์ตลอดจนกระทั่งได้ยินว่า พระเจ้ามังระทรงตรัสว่าอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าสมัยโน้นมีโซเชียลมีเดียแล้ว พระเจ้ามังระทรงโพสต์เฟซบุ๊ก หรือนายขนมต้มเซลฟี่กับนักมวยพม่าที่ถูกตนเองต่อยคว่ำทั้งสิบคนนั้น ให้คนได้รู้ได้เห็นกันไปทั่ว ก็ว่าไปอย่าง...
.
ขอให้สังเกตว่า ‘น้ำเสียง’ (tone) ที่สมเด็จพระพนรัตน์กล่าวถึงพระเจ้ามังระ ค่อนข้างจะชื่นชมในแง่ที่ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นธรรม แม้นายขนมต้มจะชกคนของพระองค์คว่ำไปถึงสิบคน ไม่เพียงไม่ลงโทษนายขนมต้ม กลับพระราชทานรางวัลให้อีก ประเด็นสำคัญอันเป็นหัวใจหลักของเรื่องนี้อยู่ตรงที่เนื้อความพระราชพงศาวดารระบุไว้ก็เช่นที่ว่า
.
“เพราะเจ้านายไม่ดีจึ่งเสียบ้านเมืองแก่ข้าศึก ถ้าเจ้านายดีแล้วไหนเลยจะเสียกรุงศรีอยุธยา”
.
ตรงนี้สะท้อนแนวคิดและคำอธิบายหลักของชนชั้นนำต้นกรุงเทพฯ ที่มีเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาว่ามีสาเหตุหลักเกิดจาก ‘เจ้านายไม่ดี’ ซึ่งเป็นการ ‘บุลลี่’ (bully) กษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวงอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเป็นเรื่องของเจ้านาย (ที่มีทั้งดีและไม่ดี) เจ้านายที่ดีมีบุญบารมีเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ผู้คนได้นั้น แม้จะเป็นศัตรูอย่างกษัตริย์ผู้ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาจนแตกพ่ายนั้นก็ตาม ชนชั้นนำในต้นรัตนโกสินทร์ก็ยกย่องสรรเสริญชื่นชมพระบารมี
.
ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะ ‘บุลลี่’ เจ้านายเก่าของตนเองที่เป็นเหตุนำไปสู่ความเสื่อมจนเสียบ้านเสียเมือง ทั้งนี้เพราะอุดมการณ์หลักในสังคมอุษาคเนย์ช่วงนั้นยังเป็นเรื่อง ‘จักรพรรดิราช’ กับ ‘พระโพธิสัตว์’
.
อนึ่ง หากนายขนมต้มเป็นคนมวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็น ‘เซเลบ’ มาตั้งแต่ครั้งกรุงยังไม่แตก เหตุใดคนมวยด้วยกันอย่างสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ทรงโปรดปรานการชกมวยและแสวงหาคนดีมีฝีมือในทางการต่อสู้มาเข้าพวกด้วยมาก และคนมวยอย่างพระยาพิชัยดาบหัก หรืออย่างกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา) ซึ่งต่างก็เป็นคนมวยด้วยกัน จึงไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องด้วยเลย
.
อีกอย่างในการเดินทัพออกจากกรุงศรีอยุธยาไปหัวเมืองตะวันออก ทำไมกลุ่มของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงไม่มีใครไปชักชวนนายขนมต้มให้ออกไปด้วย เพราะย่อมเป็นประโยชน์แก่กองทัพพระเจ้าตากได้มาก อีกอย่าง หากว่านายขนมต้มเป็นนักมวยที่เก่งกล้าสามารถ มือเปล่าคว่ำคนได้เป็นสิบแบบในเรื่องพระราชพงศาวดาร อย่างนั้นแล้วถูกพม่าจับกุมตัวเป็นเชลยเอาไปอังวะด้วยได้อย่างไร
.
จาก ‘หมื่นผลาญ’ สู่ ‘นายขนมต้ม’ ประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี
.
น่าสังเกตว่า สมเด็จพระพนรัตน์ฯ ที่ไม่เคยได้เห็นเหตุการณ์ที่อังวะเมื่อ พ.ศ.2317 อย่างแน่นอน เพราะอยู่ที่ธนบุรี แต่มีเหตุการณ์การชกมวยอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้รู้เห็นด้วยแน่ ๆ เพราะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ.2331 สถานที่เกิดเหตุการณ์ก็อยู่ที่ริมกำแพงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไม่ไกลจากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามที่สมเด็จพระพนรัตน์ฯ ประทับอยู่
.
อีกทั้ง พ.ศ.2331 นั้นห่างจากปีที่สมเด็จพระพนรัตน์ชำระพระราชพงศาวดารแล้วเสร็จแค่เพียง 7 ปีเท่านั้น คือเหตุการณ์ที่มีบันทึกตาม ‘พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1’ ที่ระบุถึง ‘ฝรั่งเข้ามาพนันชกมวย’ ดังความต่อไปนี้: (จัดย่อหน้าใหม่ - กองบรรณาธิการ)
.
“จุลศักราช 1150 ปีวอก สัมฤทธิศก (พ.ศ.2331) มีกำปั่นฝรั่งเศสเข้ามาถึงพระนครลำ 1 ฝรั่งซึ่งเป็นนายกำปั่นพี่น้อง 2 คน และน้องชายนั้นเป็นคนมวยมีฝีมือ เที่ยวพนันชกมวยชนะมาเป็นหลายเมืองแล้ว ครั้นเข้ามาถึงพระนคร จึงบอกให้ล่ามกราบเรียนพระยาพระคลัง ว่าจะขอชกมวยพนันกับคนมวยในพระนครนี้ พระยาพระคลังจึงกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 1) ทรงทราบ จึงมีพระราชโองการดำรัสปรึกษาสมเด็จพระอนุชาธิราชๆ กราบทูลว่า
.
‘ครั้นจะไม่แต่งคนมวยออกต่อสู้ด้วยฝรั่งๆ เป็นคนต่างประเทศก็จะดูหมิ่นว่าพระนครนี้ หาคนมวยดีจะต่อสู้มิได้ ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศปรากฏไปในนานาประเทศ ข้าพเจ้าจะขอรับจะแต่งคนมวยที่มีฝีมืออกต่อสู้กับฝรั่ง เอาชัยชนะให้จงได้’
.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงดำรัสให้พระยาพระคลังบอกแก่ฝรั่งรับพนันชกมวยกัน วางเดิมพันเป็นเงิน 50 ชั่ง จึงสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ จัดได้หมื่นผลาญผู้หนึ่งเป็นทนายเลือกในพระราชวังหน้า รูปกายล่ำสันฝีมือมวยดีกว่าพวกมวยสิ้นทั้งนั้น จึงดำรัสให้ปลูกพลับพลาใกล้ดรงละครฝ่ายตะวันตกวัดพระศรีรัตนศาสดารามตั้งสนามมวยที่นั้น ครั้นถึงวันกำหนดจะชกมวยกับฝรั่งจึงมีพระราชบัญฑูรดำรัสสั่งให้แต่งตัวหมื่นผลาญ เอาน้ำมันว่านอันอยู่คงชโลมทั่วทั้งกาย แล้วให้ขึ้นคอคนลงมายังพระบรมมหาราชวัง
.
ฝ่ายฝรั่งเศสนายกำปั่นทั้ง 2 คนพี่น้องกับพรรคพวกบ่าวไพร่ ก็ขึ้นมาพร้อมที่สนามมวยในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกประทับพลับพลาทอดพระเนตรพร้อมด้วยพระราชอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จประทับพลับพลาชั้นลดที่ 2 และพระราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทเฝ้าอยู่พร้อมกันเป็นอันมาก จึงให้เอาเส้นเชือกขึงเป็นวงสนาม แล้วหมื่นผลาญกับฝรั่งคู่มวยก็เข้ากราบถวายบังคมในกลางสนาม แล้วยืนขึ้นตั้งท่าเข้าชกกันและฝรั่งนั้นล้วงมือจะจับหักกระดูกไหปลาร้าหมื่นผลาญๆ ยกมือขึ้นกัน และชกพลางถอยพลาง
.
ฝรั่งถูกต้องหมัดก็มิได้ล้มตั้งแต่ล้วงอย่างเดียว หมื่นผลาญก็ถอยพลางชกพลาง ฝรั่งจะจับหมื่นผลาญไม่ได้ ฝรั่งพี่ชายเห็นดังนั้นจึงลุกเข้าไปผลักหมื่นผลาญไม่ให้ถอยหนี สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงพระพิโรธดำรัสว่าเล่นชกมวยกันก็ตัวแต่ตัว ไฉนจึงช่วยกันเป็น 2 คนเล่า จึงเสด็จลงจากพลับพลาโดยเร็ว ยกเอาพระบาทถีบเอาพี่ชายล้มลง
.
ขณะนั้นพวกทนายเลือกก็วิ่งกรูกันเข้าชกต่อยฝรั่งทั้ง 2 คนพี่น้องเจ็บป่วยเป็นสาหัส พวกบ่าวไพร่ฝรั่งก็เข้าแบกหามนายลงไปยังกำปั่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงดำรัสสั่งพระราชทานหมอนวดหมอยาให้ลงไปรักษาพยาบาล ฝรั่งทั้ง 2 คนหายป่วยแล้วก็บอกล่ามให้กราบเรียนพระยาพระคลังให้ช่วยกราบทูลถวายบังคมลา แล้วถอยกำปั่นเลื่อนลงไปจากพระนคร ออกจากปากน้ำสมุทรปราการ ตกถึงท้องทะเลใหญ่แล้วก็ใช้ใบไป”
.
เป็นไปได้หรือไม่ว่า สมเด็จพระพนรัตน์ฯ จะได้แรงบันดาลใจจากเรื่องของ ‘หมื่นผลาญ’ ที่ชกกับฝรั่งหน้าพระพักตร์รัชกาลที่ 1 ไปเป็นเรื่องของนายขนมต้ม เพราะการนำเอาเรื่องของบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดที่ร่วมสมัยไปอยู่ในท้องเรื่องประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ผู้ชำระพระราชพงศาวดารมักกระทำเสมอ เนื่องจากยังไม่ใช่ยุคที่การเขียนประวัติศาสตร์จะต้องยึดถือความจริงจากหลักฐานที่ตกทอดมาจากอดีต
.
การที่หมื่นผลาญต่อยกับฝรั่งโดยใช้วิธีถอยหนีเอาหลังไปใกล้ฝรั่งพี่ชายที่เชียร์อยู่ขอบสนามจนเผลอผลักหมื่นผลาญตามท้องเรื่องเช่นนั้น อาจเป็นกลอุบายที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา) กับพวกชาวทนายเลือกวังหน้า ‘เตรี๊ยม’ กันไว้ก่อนแล้วก็ได้
.
อย่างไรก็ตาม แม้จะบันทึกเล่าโดยฝ่ายไทยเอง ก็จะเห็นได้ว่าที่จริงหมื่นผลาญไม่ได้ชกชนะฝรั่ง ซึ่งเข้าใจได้ เพราะขนาดตัวไม่เสมอกัน เปรียบมวยไม่ผ่านตั้งแต่ต้น หากแต่เพราะเป็นศึกเกียรติยศจึงไม่สู้ก็ไม่ได้
.
ขณะที่เรื่องของนายขนมต้มนั้น ก็มีเนื้อหาทั้งหมดทั้งมวลก็เพียงตามที่พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ กล่าวไว้เพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องภูมิหลังประวัติชีวิต เป็นชาวบ้านกุ่ม พ่อแม่พี่สาวตายเพราะคมดาบพม่า เมื่อสิ้นบุพการีได้ไปเป็นเด็กวัด มีอาจารย์สอนวิชาต่อยมวยเป็นชายพเนจร รวมถึงมีคนรักเป็นสาวงามแห่งบ้านป่าโมกชื่อ ‘แม่ช่อมะขาม’
.
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีต้นทางที่มาจากนวนิยายเรื่อง ‘นายขนมต้ม’ ผลงานการประพันธ์ของคมทวน คันธนู กวีซีไรต์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2529 ตามมาด้วยบทเพลงจากผลงานขับขานของบุตรชายของมนัส โอภากุล นักประวัติศาสตร์แห่งเมืองสุพรรณบุรี คือคุณยืนยง โอภากุล หรือ ‘น้าแอ๊ด คาราบาว’ ของเรานั่นแหละ
.
จากที่มีการให้ความสำคัญแก่นายขนมต้มในฐานะต้นธารมวยไทยนี้เอง นำมาสู่การกำหนดให้วันที่ 17 มีนาคม ที่ได้จากการถอดศักราชพระราชพงศาวดาร ให้เป็น ‘วันมวยไทย’ (จะถอดศักราชได้ถูกผิดอย่างไรถึงได้วันที่ 17 มีนาคม ออกมา ผู้เขียนยังไม่ได้ตรวจสอบ) รวมถึงการสร้างอนุสาวรีย์นายขนมต้มที่หน้าโบราณสถานวัดโพธิ์เผือก ในพื้นที่สนามกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีกแห่งที่บริเวณลานตลาดนัดของบ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เชื่อกันว่าเป็นภูมิลำเนาบ้านของนายขนมต้ม
.
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้หนักแน่นมั่นคงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของนายขนมต้ม นายขนมต้มซึ่งเป็นสามัญชนอาจจะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เคยมีชีวิตอยู่จริง แต่ไม่ได้รับการบันทึกถึงตามที่ควร แบบนั้นก็ได้ (เอาแบบนั้นก็ได้) แต่ก็ไม่ใช่จะจบได้เพียงเท่านี้ เพราะการมีตัวตนอยู่จริงไม่จริงของนายขนมต้มก็ยังเป็นคนเรื่องกันกับประเด็นว่า นายขนมต้มใช่ต้นทางที่แท้จริงของ ‘มวยไทย’ หรือไม่ ในเมื่อแม้แต่ตามความในพระราชพงศาวดาร การชกมวยก็ยังอยู่ในขนบของการต่อสู้กับข้าศึกศัตรู
.
จอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงศุภชลาศัย & ผู้สร้างนายขนมต้มในฐานะนักมวยไทยตัวจริง
.
นวนิยายของกวีซีไรต์อย่างคมทวน คันธนู แม้จะเป็นที่มาของความเชื่อและรับรู้หลายอย่างเกี่ยวกับนายขนมต้ม แต่เรื่องของนายขนมต้มนี้ก็สืบย้อนกลับไปได้ถึงสมเด็จพระพนรัตน์ฯ ดังกล่าวไว้แล้ว แต่ช่วงที่มีการรื้อฟื้นและประดิษฐ์สร้างอะไรต่าง ๆ ให้นายขนมต้มเป็น ‘วีรบุรุษของชาติไทย’ (Thai national hero) นั้นเริ่มในช่วงหลังการอภิวัตน์กลางกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสร้างคำนิยาม (Identify) และจัดประเภท (Classify) ให้มวยเป็น ‘กีฬาแห่งชาติ’ (National sport) ที่สะท้อนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาแบบไทย
.
คำว่า ‘มวย’ ในอดีต (ที่เป็นการต่อสู้) กับ ‘มวย’ ในฐานะกีฬาอย่างในปัจจุบัน ต้องแยกกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาปะปนกันได้ เดิมมวยเป็นวิชาต่อสู้กันด้วยร่างกายที่ปราศจากอาวุธ หรือเป็นการใช้ร่างกายเป็นอาวุธสำหรับต่อสู้กับข้าศัตรู จึงไม่มีกฎกติกาเหมือนอย่างที่เป็น ‘กีฬา’ ในปัจจุบัน ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทหารและการพนันขันต่อ และก็ยังไม่ใช่ ‘ศาสตร์’ ด้วย เพราะมีเรื่องของการใช้ว่านยา คาถาอยู่ยงคงกระพัน เครื่องรางของขลัง และอีกสารพัดในเรื่องจำพวก ‘มู ๆ’ ทั้งหลาย ยังไม่ใช่เรื่องของการฝึกซ้อมร่างกายและเตรียมความพร้อมทางจิตใจก่อนลงแข่งขันแบบนักกีฬาแต่อย่างใด
.
อีกเรื่องที่ต้องแยกก็คือคำว่า ‘มวย’ กับคำว่า ‘ไทย’ แม้เดิมจะใช้คำว่า ‘สยาม’ ควบคู่กับคำว่า ‘ไทย’ แต่ ‘ไทย’ ในฐานะชื่อประเทศนั้นเพิ่งเริ่มเมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ.2482 หลังจากการมีการออกรัฐนิยมว่าด้วยการใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ ถัดจากชื่อประเทศ ทุกสิ่งอย่างก็ค่อย ๆ ถูกสถาปนาให้มีคำว่า ‘ไทย’ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนในชาติประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็น ‘ผัดไทย’, ‘เพลงชาติไทย’, ‘วัธนธัมไทย’, ‘ดินแดนไทย’ ฯลฯ
.
และก็ลุกลามมาสู่การสร้าง ‘กีฬาไทย’ ในส่วนของ ‘มวย’ ก็เกิดเป็น ‘มวยไทย’ ในฐานะกีฬาหนึ่งของชนชาติไทยขึ้นมา โดยกรมพลศึกษายุคที่มีอธิบดีคือ ‘หลวงศุภชลาศัย’ ซึ่งก็เป็นคณะราษฎรท่านหนึ่ง ได้มีการออกพระราชบัญญัติมวยไทยฉบับแรกขึ้น
.
เรื่องนี้มีนัยถือเป็นจุดตั้งต้นสำคัญได้ยังไง?
.
ก็คือว่าเดิมมวยก็เช่นเดียวกับของสารพัดชนิดที่มีลักษณะร่วมข้ามพรมแดนรัฐ เพราะเป็นการต่อสู้พื้นฐานด้วยร่างกายและจิตใจเป็นสำคัญ จึงแพร่หลายไม่ได้จำกัดขอบเขตเฉพาะภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่มีลักษณะร่วมกับมวยที่ต่อยกันในหมู่คนมอญ พม่า ลาว กัมพูชา มลายู ส่วนของจีนกับเวียดนามนิยมเรียกว่า ‘กังฟู’ ซึ่งโดยหลักการก็ต้องถือเป็นการต่อสู้ด้วยร่างกายและจิตใจเช่นกัน
.
นอกจากนี้ ภายในประเทศ เดิมมวยยังแบ่งออกเป็นสายต่าง ๆ ตามท้องถิ่น โดยมีสายสำคัญหลัก ๆ อาทิ ‘มวยท่าเสา’ ของทางภาคเหนือ, ‘มวยโคราช’ ของภาคอีสาน, ‘มวยไชยา’ ของภาคใต้, ‘มวยลพบุรี’ ของภาคกลางตอนบน และ ‘มวยพระนคร’ ของภาคกลางล่าง กล่าวคือเป็นมวยที่ยึดโยงกับประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ยังไม่ถือเป็น ‘มวยของชาติ’
.
เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติมวยไทยขึ้นหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศ พ.ศ.2482 แล้ว กรมพลศึกษาก็ได้รวบรวมเอามวยท้องถิ่นเหล่านี้มาเข้าเป็น ‘มวยพลศึกษา’ หรือ ‘มวยไทย’ ยกระดับให้มีความสำคัญระดับชาติ จึงมีคำกล่าวเป็นโคลงกลอนไว้ว่า ‘หมัดดีโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา ครบเครื่องพลศึกษา’
.
ต่อมาได้มีการสร้าง ‘เวทีมวยราชดำเนิน’ ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2488 โดยการริเริ่มของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เริ่มสร้างมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หยุดชะงักไปเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทย เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้วจึงได้มีการดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จ และได้เริ่มจัดการแข่งขันชกมวยเวทีนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2488
.
เมื่อถึง พ.ศ.2499 ก็ได้มีการสร้างเวทีมวยสำคัญขึ้นอีกแห่งหนึ่งคือ ‘เวทีมวยลุมพินี’ ก่อตั้งโดยพลตรี ประภาส จารุเสถียร ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดยจัดให้มีการชกมวยกันที่เวทีนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2499 ก่อนจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2499 ปัจจุบัน เวทีมวยแห่งนี้อยู่ในความดูแลของกรมสวัสดิการทหารบก กองทัพบก
.
กลายเป็นสองเวทีมวยคู่ขนานกัน ระหว่าง ‘เวทีมวยราชดำเนิน’ ที่ก่อตั้งโดยคณะราษฎร จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ ‘เวทีมวยลุมพินี’ ของคณะนายทหารคนสนิทของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ซึ่งจะโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. โดยการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2500 เมื่อทหารอประชาธิปไตยเข้ามายุ่มย่าม มวยก็ถูกทำให้มีมิติแทรกปนและย้อนกลับไปสู่ยุครบรากับข้าศึกศัตรู
.
และเมื่อผ่านการยกระดับขึ้นเป็น ‘กีฬาแห่งชาติ’ ก็ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากหน่วยงานรัฐ การสร้างนักมวยคนหนึ่งกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก กระทั่งเป็นทางออกชีวิตแก่เด็กชายจำนวนไม่น้อยที่จะได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเลื่อนสถานภาพทางสังคม
.
ช่วงหลัง 2500 เป็นต้นมา การชกมวยถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเด็กต่างจังหวัดฐานะยากจน นอกเหนือจากการไปบวชเรียน ซึ่งต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางกายจากการเอาหมัดเข้าแลก สร้างความบันเทิงให้แก่ผู้คน บางคนก็ไปถึงฝันคว้าเข็มขัดแชมป์มาได้ แต่หลายคนก็บาดเจ็บจนลุกไม่ไหว ฟุบไปกับเวที ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่ตรงนั้น
.
ถึงกระนั้นในความเป็นเกมส์กีฬาที่มีแพ้มีชนะ วงการมวยก็ยังดีกว่าวงการกีฬาอื่น ๆ ในแง่ที่มีการลงทุนกับเด็ก ในขณะที่วงการอื่นจะมีผู้หลักผู้ใหญ่เข้าไปเยือนก็ต่อเมื่อได้ชัยชนะแล้ว
.
สังคมไทยในขณะที่มัวไปสนใจถกเถียงเอาเป็นเอาตายกับ ‘ประชาชนชาวเคลม’ ของเพื่อนบ้านอยู่นั้น คำถามคือพวกเขาได้สนใจใยดีกับเด็ก ๆ ที่ต้องเข้าสู่สังเวียนเพื่อให้ทุกท่านได้พบความมันสะใจกันนั้น ดีพอแล้วหรือยัง? ทำอย่างไรเกมกีฬาถึงจะไม่เป็นเพียง ‘สงครามระหว่างชาติ’ ในรูปแบบใหม่เท่านั้น? ‘กีฬา’ คือ ‘กีฬา’ เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องแยกออกจากยุคสงครามระหว่างรัฐในอดีต!!
.
จะไป ‘นานาชาติ’ (ยังไง) ก็อย่าลืมอาเซียน-อุษาคเนย์ (นะขอรับ)
.
การสร้างนายขนมต้มให้เป็นต้นธารประวัติศาสตร์มวยไทยในช่วงหลัง 2475 ยังอาจจะสัมพันธ์กับอุดมการณ์คณะราษฎรที่เน้นบทบาทสามัญชน เป็นข้อต่างเมื่อเทียบกับนักมวยคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเสือ, สมเด็จพระเจ้าตากสิน, กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา) ซึ่งเป็นกษัตริย์วังหน้า, กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ ส่วนพันท้ายนรสิงห์กับพระยาพิชัยดาบหักนั้นเป็นขุนนาง
.
ในแง่นี้นายขนมต้มดูจะเข้ากันดีกับประวัติศาสตร์ที่เน้นประชาสามัญชน ไม่เน้นเจ้า นายขนมต้มเลยได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในสามัญชนสมัยอยุธยาเพียงไม่กี่คนที่มีอนุสาวรีย์อยู่ในปัจจุบัน แต่การที่ไปเน้นบทบาทอย่างการ ‘ชกเพื่อนบ้าน’ กำลังทำให้นายขนมต้มเสื่อมถอยจากความสำคัญในแง่ที่เป็นตัวแทนบทบาทสามัญชนในอดีต ยุคที่เจ้านายพ่ายแพ้ต่อข้าศึกภายนอก แต่ไพร่ไม่ได้แพ้ด้วย แม้จะถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยก็ลุกขึ้นชกศัตรูคว่ำไปได้แบบหนึ่งคนสู้สิบคนได้
.
ในปัจจุบันแวดวงมวยไทยได้เขยิบจากระดับชาติไปสู่นานาชาติ โดยได้มีการก่อตั้ง ‘สหพันธ์มวยไทยนานาชาติ’ (International Federation of Muaythai Associations; IFMA) จนถึงวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2562 มีสมาชิกประกอบด้วยกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดการแข่งขันชกมวยระหว่างนักมวยชาวไทยกับต่างประเทศอยู่มากมายหลายครั้งมาแล้วด้วยกัน
.
อย่างไรก็ตาม ปัญหากับนักเคลมเพื่อนบ้านนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่สำคัญคือการจะไปสู่ระดับโลกหรือนานาชาติได้อย่างสง่างามนั้น คงไม่สามารถจะทำได้โดยหลงลืมระดับภูมิภาคอาเซียนอุษาคเนย์ด้วยกัน เมื่ออยากจะเห็นศิลปะการต่อสู้ของคนไทยได้แพร่หลายเป็นสากลก็ควรเป็นสากลจริง ๆ ไม่ใช่แค่การแพร่ความเป็นไทยออกไปภายนอก หากแต่ต้องทำให้เป็น ‘พื้นที่ร่วมทางวัฒนธรรม’ ที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของได้ ประวัติศาสตร์นิพนธ์มวยไทยต่อไปควรต้องเขียนใหม่ให้มีเพื่อนบ้านด้วย
.
หมายเหตุ: เนื้อหานี้คัดส่วนหนึ่งจากบทความ มองมวยไทยและเคส ‘นายขนมต้ม’ กับประวัติศาสตร์ ‘ชกเพื่อนบ้าน’ กีฬาหรือการปะทะรูปแบบใหม่? โดย กำพล จำปาพันธ์ เผยแพร่เมื่อ 27 มกราคม 2566