การใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคมถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งในการดำเนินชีวิตบางครั้งถูกบังคับโดยไม่รู้ตัว เช่น สังคมไทยเราถือในเรื่องไม่เล่นหัวกัน, ผู้หญิงห้ามนุ่งสั้นเข้าวัด, ฆ่าคนตายเป็นการทำที่ผิด, เด็กเกิดต้องแจ้งเกิดเพื่อขอรับสูติบัตร, คนนับถือศาสนาอิสลามใน 4 จังหวัดภาคใต้มีภริยาได้ 4 คน ฯลฯ แนวทางปฏิบัติที่คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ทำรวมกันเป็นมาตรฐาน ชี้ชัดว่ากระทำอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น เป็นความถูกต้องหรือเป็นความผิดนั้นเรียกว่า “บรรทัดฐาน” (Norm) ของคนในสังคม บรรทัดฐานของสังคมอาจอยู่ในรูปของ กฎ กติกา มารยาท ศีลธรรม จารีตประเพณี ศาสนา หรือกฎหมาย
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงอธิบายว่า “กฎหมาย” คือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้ว ตามธรรมดาย่อมต้องได้รับโทษ
จอห์น ออสติน (Jone Austin) ปรัชญาเมธีทางกฎหมายชาวอังกฤษ อธิบายว่า “กฎหมาย คือ คำสั่ง คำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งบังคับใช้กับกฎหมายทั้งหลาย ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม โดยปกติแล้วผู้นั้นต้องรับโทษ
สรุป “กฎหมาย” หมายความว่า ข้อกำหนดที่ผู้มีอำนาจตราขึ้น เพื่อให้บังคับ “บุคคล” ให้ปฏิบัติเป็นการทั่วไป หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษ
ลักษณะของกฎหมายสามารถแยกออกได้เป็น 5 ประการ คือ
1. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้รัฏฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อำนาจการปกครองประเทศอยู่ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดมีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดพระบรมราชโองการหรือคำสั่งของพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบประชาธิปไตย ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนกฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน โดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในการออกกฎหมายแทนตนซึ่งก็คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นั่นเอง ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นการเลือกคนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อทำการออกกฎหมายด้วย
นอกจากดังกล่าวมาข้างต้นอาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อำนาจเฉพาะแก่บุคคลในการออกกฎหมายไว้ เช่น พระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ฯลฯ
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ (เฉพาะบุคคลเท่านั้น) ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตามแต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ
2.3 กฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้วบุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของทูตต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจำในประเทศไทยอาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีอากรหรือหากได้กระทำความผิดอาญาก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทยโดยต้องให้ประเทศซึ่งส่งทูตนั้นมาประจำการดำเนินคดีแทน ฯลฯ
3.4 กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการประกาศใช้แล้วแม้กฎหมายนั้นจะไม่ได้ใช้มานานก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอดกฎหมายจะสิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายนั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเท่านั้น
3.5 กฎหมายต้องมีความเสมอภาคและยุติธรรม กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้อย่างเท่าเทียมไม่กำหนดให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องปฏิบัติตามเท่านั้น นอกจากนี้ กฎหมายต้องไม่กดขี่ข่มแหงใครโดยเฉพาะคนที่สุจริต และไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าออกมาเพื่อประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้นทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม
แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติตามแต่อาจบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล หรือทำให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นกฎหมายกำหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถทำนิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือบุคคลที่มีอายุ 15 ปีแล้วสามารถทำพินัยกรรมได้ ฯลฯ หรือออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศซึ่งกฎหมายประเภทนี้จะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด
ที่มาของกฎหมาย
1. หลักศีลธรรม คือ กฎเกณฑ์ของความประพฤติ คำ ๆ นี้ฟังเข้าใจแต่อธิบายออกมาได้ยากมากเพราะเป็นสิ่งที่แต่ละคนเข้าใจได้ในตัวเองและมีความหมายที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม เป็นต้น แต่อย่างไรความหมายของศีลธรรมของแต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกันแม้อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยหลักแล้วก็จะหมายถึงความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่าง ๆ ที่ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบสุขดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐานเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้มากที่สุดนั่นเอง
2. หลักจารีตประเพณี คือ แบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป้นเวลาช้านานแต่ละสังคมก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เช่นเดียวกับศีลธรรม การกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจารีตประเพณีคนในสังคมนั้นๆ ก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมควรกระทำจึงนำมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนในสังคมนั้นๆ ยอมรับตัวอย่างที่สำคัญก็คือกฎหมายในระเทศอังกฤษนั้นผู้พิพากษาจะใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษา ซึ่งคำพิพากษานั้นถือเป็นกฎหมายส่วนประเทศอื่น ๆ ก็มีการนำจารีตประเพณีมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายเช่นกัน เช่น กฎหมายของประเทศไทยในเรื่องของการหมั้น การแบ่งมรดก เป็นต้น
3. หลักศาสนา คือหลักการดำเนินชีวิตหรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญัติขึ้นเพื่อสอนให้คนทุกคนเป็นคนดีเมื่อพูดถึงศาสนาเราก็อาจนึกไปถึงศีลธรรม เพราะสองคำนี้มักจะมาคู่กันแต่คำว่าสีลธรรมจะมีความหมายกว้างกว่าคำว่าศาสนาเพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลักคำสอนของทุกศาสนารวมไว้และคามดีงามต่าง ๆ ไว้ในคำ ๆ เดียวกันเมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นหมายถึง ศีลธรรมเมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธนั่นหมายถึงเรากล่าวถึงศีลธรรมเช่นกันกฎหมายของแต่ละประเทศก็จะบัญญัติขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นรากฐานด้วย เช่น ในประเทศไทยในทางอาญาก็จะนำศีล 5 มาใช้ในการบัญญัติกฎหมาย เช่น ห้ามฆ่าผู้อื่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม เป็นต้น
4. คำพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาคำพิพากษาของศาลมาจัดทำเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือ ใช้จารีตประเพรีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็จะนำคำพิพากษานั้นมาจัดทำเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติหากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกันเกิดขึ้นอีก ศาลก็จะตัดสินเหมือนกับคดีก่อน ๆ ได้จึงไม่ถือคำพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศไทยเรา เป็นต้น
5. หลักความยุติธรรม หลักความยุติธรรมนี้จะต้องมาควบคู่กับกฎหมายเสมอ เพียงแต่ความยุติธรรมของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติและผู้ใช้กฎหมายก็จะต้องคำนึงถึงหลักความยุติธรรมด้วย และความยุติธรรมนี้ควรจะอยู่ในระดับที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยอมรับเพราะถ้าเป็นความยุติธรรมโดยคำนึงถึงคนส่วนน้อยมากว่าก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นทำให้ไม่เกิดความยุตธรรมแก่สังคมโดยแท้จริง ตัวอย่างที่สำคัญคือในอังกฤษนั้นแต่ก่อนการฟ้องเรียกค่าเสียหายแต่ต้องให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำต่อกัน ดังนั้นจึงได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมมาใช้โดยอนุญาตให้มีการชำระหนี้โดยการปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตามความมุ่งหมายของผุ้ที่เสียหายได้ ทำให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดียิ่งขึ้น
6. ความคิดเห็นองนักปราชญ์ ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเองจะเป็นนักวิชาการ หรืออาจารย์สอนกฎหมายก็ตามเนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการและทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาลอยู่เสมอทำให้เกิดหลักการหรือทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์ก ในประเทฯรัสเซีย เป็นต้น โดยเทคนิคไฟเขียว ไฟแดง
ประโยชน์ของกฎหมายมีดังนี้
1. สร้างความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมให้แก่สังคม เพราะกฎหมายเป็นหลักกติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติเสมอภาค เท่าเทียมกันเมื่อการปฏิบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเอาเปรียบคนอื่น ก็ขาดความยุติธรรมกฎหมายก็จะเข้ามาสร้างความยุติธรรม ยุติข้อพิพาทไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันดังที่เราเรียกกันว่า ยุติธรรม สังคมก็จะได้รับความสุขจากผลของกฎหมายในด้านนี้
2. รู้จักสิทธิหน้าที่ของตัวเองที่จะปฏิบัติต่อสังคม ซึ่งรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ได้กำหนด สิทธิเสรีภาพ หน้าที่ ของประชาชนเพื่อการคุ้มครองขั้นพื้นฐานของพลเมือง และเป็นการกำหนดหน้าที่ของพลเมืองที่จะพึงกระทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
3. ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย การเป็นทนายความอัยการ ศาล ทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยต่างฝ่ายต่างช่วยกันรักษาความถูกต้องความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
4. ประโยชน์ในทางการเมืองการปกครอง (กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐ) เพราะถ้าประชาชนรู้กฎหมายก็จะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงของการปกครองและการบริหารงานทางการเมือง การปกครอง ประโยชน์สุขก็จะตกอยู่กับประชาชน
5. รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะกฎหมายที่ดีนั้นจะต้องให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนเท่าเทียมกันประชาชนก็จะเกิดความผาสุก ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อครอบครัว ต่อบุคคลอื่น และต่อประเทศชาติ
กฎหมายสิบสองโต๊ะและกฎหมายจัสติเนียนเป็นกฎหมายสำคัญของอาณาจักรโรมัน โดยกฎหมายสิบสองโต๊ะ (450 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นการรวบรวมกฎหมายจารีตประเพณีของโรมันมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างชนชั้นในสังคม ส่วนกฎหมายจัสติเนียน (ค.ศ. 529-534) เป็นการรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายโรมันทั้งหมดให้เป็นระบบ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายที่สำคัญ 4 ฉบับ ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานของระบบกฎหมายซีวิลลอว์ที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน กฎหมายทั้งสองฉบับนี้จึงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาระบบกฎหมายของโลกตะวันตกอย่างมาก
วิวัฒนาการของกฎหมายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
กฎหมายที่ใช้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นกฎหมายที่สืบทอดมาจาก สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310 ตัวบทกฎหมายต่างๆ ถูกเผาทิ้งเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่บางส่วนก็ไม่สมบูรณ์ ทำให้หลักเกณฑ์ในการตัดสินคดีคลาดเคลื่อนและเกิดความไม่เป็นธรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงได้ให้มีการชำระสะสาง กฎหมายขึ้นครั้งใหญ่ โดยมีการรวบรวมกฎหมายและตรวจชำระให้ยุติธรรม เหมาะสมกับกาลสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม เท่ากับเป็นการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ของไทยเลยทีเดียว กฎหมายที่ชำระสะสางขึ้นใหม่นี้มีชื่อว่า “กฎหมายตราสามดวง” ได้แก่
1) ตราราชสีห์ เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก (ต่อมาเป็นตราของ กระทรวง มหาดไทย)
2) ตราคชสีห์ เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหกลาโหม (ต่อมาเป็นตรา ของกระทรวง กลาโหม)
3) ตราบัวแก้ว เป็นตราประจำตำแหน่งโกษาธิบดี (ต่อมาเป็นตรา ของกระทรวงการต่างประเทศ)
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่พร้อมกันในทุกด้าน เพื่อพัฒนาประเทศให้ต่างชาติยอมรับ จะได้แก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณา เขตในไทยให้หมดไป พระองค์ทรงพัฒนาด้านต่างๆ หลายด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย ทรงให้มีการแก้ไขกฎหมายและเปลี่ยนระบบกฎหมาย เช่น มีการประกาศใช้ “กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127” ซึ่งถือว่าเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย และเป็นกฎหมายที่ทันสมัยยิ่งในสมัยนั้น ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรง สืบทอดนโยบายของรัชกาลที่ 5 ที่มุ่งจะปลดพันธะอันเนื่องมาจากสิทธิสภาพ นอกอาณาเขตให้หมดไปจากไทย พระองค์จึงทรงให้ดำเนินงานร่าง “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ” และประมวลกฎหมายอื่นๆ ไปพร้อมกัน โดยกฎหมายดังกล่าวนี้ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของกฎหมายที่บังคับใช้ใน ปัจจุบันต่อเนื่องกันมา
บิดาแห่งกฎหมายไทย
ด้วยพระปรีชาสามารถอันเป็นอัจฉริยะประกอบกับพระวิริยะอุตสาหะของพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรม หลวง ราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นเอนกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายไทย กล่าวคือ ทรงปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ทรง ตรวจช าระสะสางกฎหมาย ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อเปิดการสอนกฎหมาย ครั้งแรก ทรงรวบรวม และ แต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆ มากมายทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสิน ความฎีกาซึ่งทำหน้าที่ศาล สูงสุดของประเทศ ทรงตั้ง กองพิมพ์ลายมือขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ สำหรับตรวจ ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาใน คดีอาญา
รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญคืนอำนาจให้กับประชาชน
การกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทย โดยกำหนดให้อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร และแบ่งแยกอำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งใช้เป็นแม่แบบในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรต่อมาในปี พ.ศ. 2475
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริยืทรงเป็นประมุข ในรูปแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ฝ่ายพิธีการ) และศูนย์รวมใจชองคนไทย มีฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศ) ฝ่ายนิติบัญญัติ (ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชน ทำหน้าที่ บัญญัติกฎหมาย และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร) และฝ่ายตุลาการ (ศาล ทำหน้าที่ ตัดสินพิจารณาคดีต่างๆ)
1. กฎหมายที่เกิดจากฝ่ายนิติบัญญัติ
1.1 กฎหมายรัฐธรรมนูญ (พิจารณาโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือองค์กรพิเศษ) รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายที่วางโครงสร้างการเมืองการปกครองของรัฐ และสิทธิเสรีภาพหน้าที่ของประชาชน เนื่องจากการเป็นกฎหมายสุดสุด รัฐธรรมนูฯญจึงมีกระบวนการที่จัดทำและแก้ไขยากกว่ากฎหมายอื่น
1.2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พิจารณาโดยฝ่ายนิติบัญญัติ) เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดของรัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติแต่หลักการกว้างๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้มีความชัดเจนในตัวบทของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังสะดวกแก่การแก้ไขเพิ่มเติมโดยไม่ต้องดำเนินการตามวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐะรรมนูญที่ทำได้ยากกว่า เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น
1.3 พระราชบัญญัติ (พิจารณาโดยฝ่ายนิติบัญญัติ) เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เป็นประจำตามปกติ เพื่อวางระเบียบบังคับคามประพฤติของบุคคล หากพระราชบัญญัติมีกระบวนการตรา หรือเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญย่อมนำไปสู่การตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
2. กฎหมายที่เกิดจากฝ่ายบริหาร
2.1 พระราชกำหนด (พิจารณาโดยฝ่ายบริหาร) เป็นกฎหมายที่มีเจตนาใช้ในสถานการณ์อันมีความฉุกเฉิน จำเป็น เร่งด่วน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐอันกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากหากรอช้าให้ฝ่ายนิติบัญญ้ติตราพระราชบัญญัติขึ้นมาอาจไม่ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เมื่อประกาศใช้พระราชกำหนดแล้วจะมีผลบังคับใช้ในระยะเวลาหนึ่ง หากต้องการให้มีผลบังคับใช้ตลอดไปจะต้องเสนอพระราชกำหนดต่อรัฐสภาโดยไม่ชักช้า หากรัฐสภาอนุมัติพระราชกำหนดนั้นก็ให้มีผลบังคับใช้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติ
2.2 พระราชกฤษฎีกา (พิจารณาโดยฝ่ายบริหาร) ใช้กำหนดรายละเอียดอันเป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคำแนะนำของรัฐมนตรี เมื่อประกาศใช้แล้วไม่ต้องนำเข้าสุ่การพิจารณาของรัฐสภา เช่น กำหนดวันเลือกตั้ง การยุบสภา การเรียกประชุมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
2.3 กฎกระทรวง (พิจารณาโดยคณะรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร) เป็นบทบัญญัติหรือกฎหมายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวง เป็นผู้ตราขึ้นเพื่อบังคับใช้เกี่ยวกับการบริหารเฉพาะกระทรวงนั้น เช่น กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาเฉพาะทาง พ.ศ.2547 (กระทรวงศึกษาธิการ)
2.4 กฎหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่
1) เทศบัญญัติ เป็นบทบัญญัติหรือกฎหมายที่ผู้บริหารเทศบาล บัญญัติขึ้นเพื่อใช้บังคับในเขตเทศบาล
2) ข้อบัญญัติ ข้อบังคับหรือกฎหมายที่องค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นผู้ออก เพื่อใช้บังคับในเขตการปกครองนั้น
3 ประกาศหรือคำสั่งคณะปฏิวัติ
ในประเทศไทยหากมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น และต่อมาหัวหน้าของกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ออกคำสั่งหรือประกาศใดๆ ออกมา ศาลไทยก็ได้ยอมรับให้สิ่งเหล่านั้นมีสถานะเป็นกฎหมาย
กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญา คือ กฎหมายมหาชนประเภทหนึ่งที่กำหนดความเกี่ยวพันระหว่าง รัฐกับราษฎรมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดและการลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมความประพฤติของบุคคลให้อยู่ภายในขอบเขตที่ถูกที่ควร มิให้ละเมิดสิทธิ์ของบุคคลอื่น และรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มิให้มีการแก้แค้นหรือล้างแค้นกันตามอำเภอใจ โดยรัฐยื่นมือเข้ามาลงโทษผู้กระทำผิดเสียเอง
ความผิดทางอาญา คือ การกระทำที่มีผลกระทบต่อสังคมหรือคนส่วนใหญ่ของประเทศ ความผิดทางอาญาแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความผิดต่อแผ่นดิน และความผิดต่อส่วนตัว
1. ความผิดต่อแผ่นดิน ได้แก่ ความผิดที่สำคัญและร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้ได้รับความเสียหายและส่งผลกระทบกระเทือนแก่สังคมส่วนรวม นอกจากตัวบุคคลที่ได้รับความเสียหายจะดำเนินคดีฟ้องร้องผู้กระทำผิดได้ด้วยตนเองแล้ว รัฐจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินคดี เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ด้วย (ยอมความไม่ได้)
2. ความผิดต่อส่วนตัว ได้แก่ ความผิดที่ไม่ร้ายแรงและมีผลกระทบกระเทือนต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายแต่ฝ่ายเดียว ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวต่อผู้ที่ได้รับผลร้ายเท่านั้น ความผิดประเภทนี้ ตัวผู้ได้รับความเสียหายเท่านั้นที่ฟ้องร้องได้เอง บุคคลอื่นไม่อาจดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี (เว้นแต่จะได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย) ถ้าผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง (คือไม่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน) รัฐก็ไม่อาจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ (ยอมความได้)
ลักษณะสำคัญของกฎหมายอาญา
1. กฎหมายอาญาต้องมีบทบัญญัติความผิด และบทลงโทษไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยบัญญัติความผิดและโทษไว้ขณะกระทำและบทบัญญัตินั้นต้องชัดเจนปราศจากการคลุมเครือมิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 2 ที่ว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำการนั้นบัญญัติเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
2. กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด กฎหมายบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิดและต้องรับโทษในทางอาญาแล้ว ต้องถือว่าการกระทำนั้นๆ เท่านั้นที่เป็นความผิดและผู้กระทำถูกลงโทษจะรวมถึงการกระทำอื่นๆ ด้วยไม่ได้ อย่างไรก็ดีในบางกรณีการตีความตามตัวอักษรแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่อาจทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยนอกจากนี้การตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดดังกล่าว มีความหมายเฉพาะการเคร่งครัดในด้านที่เป็นคุณแกผู้กระทำเท่านั้นมิใช่ในทางที่จะเป็นโทษแก่ผู้กระทำ (ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ และต้องตีความโดยเคร่งครัด)
3. กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้ผลร้ายมิได้ กฎหมายอาญาจะย้อนหลังเพื่อลงโทษมิได้ คือในเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้ในขณะกระทำจึงใช้บังคับกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังย้อนหลังกลับไปให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและลงโทษบุคคลนั้นมิได้ในขณะกระทำมีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและเพิ่มโทษไว้ ต่อมามีกำหมายใหม่บัญญัติเพิ่มโทษการกระทำดังกล่าวนั้นให้หนักขึ้นหรือเพิ่มอายุความแห่โทษหรืออายุความแห่งการฟ้องร้องผู้กระทำผิดนั้นให้ยาวขึ้นจะนำกฎหมายใหม่ดังกล่าวมาใช้บังคับแก่ผู้กระทำมิได้ ในกรณีเช่นนี้จะต้องนำกฎหมายที่มีอยู่เดิมใช้บังคับแก่ผู้กระทำผิด อย่างไรก็ดีการใช้บังคับกฎหมายอาญาอาจย้อนหลังเป็นผลดีได้ และวิธีการเพื่อความปลอดภัยมิใช่โทษทางอาญาจึงใช้บังคับย้อนหลังได้
โทษในทางกฎหมายอาญา
ตามกฎหมายได้มีการกำหนดโทษทางอาญาไว้ 5 สถาน ดังนี้
1. ประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
2. จำคุก คือ นำตัวไปขังไว้ที่เรือนจำ
3. กักขัง คือ นำตัวไปขังไว้ ณ ที่อื่นไม่ใช่เรือนจำ เช่น สถานีตำรวจ
4. ปรับ คือ ชำระเงินตามจำนวนที่กำหนด ให้แก่เจ้าพนักงาน
5. ริบทรัพย์สิน คือ เอาทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด หรือทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด
กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา
กฎหมายพาณิชย์ คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นกฎหมายเอกชน เนื่องจากกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและเอกชน ในฐานะเท่าเทียมกัน มีทั้งหมด 6 บรรพดังนี้
บรรพ 1 หลักทั่วไป เป็นบรรพที่บัญญัติหลักการทั่วไป (เช่น หลักนิติวิธี หลักสุจริต) บุคคล เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นเกี่ยวกับทรัพย์ นิติกรรม ระยะเวลา อายุความ
บรรพ 2 หนี้ เป็นบรรพที่บัญญัติหลักการทั่วไปเกี่ยวกับหนี้ และบ่อเกิดแห่งหนี้ เช่น สัญญา จัดการงานนอกสั่ง ลาภไม่ควรได้ ละเมิด
บรรพ 3 เอกทัศสัญญา เป็นบรรพที่บัญญัติหลักเกณฑ์ของสัญญาต่างๆ เช่น ซื้อขาย เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ ยืม ฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนอง จำนำ เป็นต้น
บรรพ 4 ทรัพย์สิน เป็นบรรพที่บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทรัพย์สิน และสิทธิต่างๆ ในทรัพย์สิน เช่น กรรมสิทธิ์ ครอบครอง ภาวะจำยอม อาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน เป็นต้น
บรรพ 5 ครอบครัว เป็นบรรพที่บัญญัติความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว เช่น การสมรสบิดามารดากับบุตร เป็นต้น
บรรพ 6 มรดก เป็นบรรพที่บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองมรดก เช่น สิทธิโดยธรรมในการ-รับมรดก พินัยกรรม วิธีจัดการและปันทรัพย์มรดก เป็นต้น
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย คือ เมื่อบุคคลคลอดและอยู่รอดเป็นทารกซึ่งกฎหมายลักษณะบุคคลรองรับ และกล่าวถึงความสามารถในการใช้สิทธิของบุคคล
โทษในทางกฎหมายแพ่ง บังคับให้ชำระหนี้ หรือชดใช้ค่าเสียหาย
ใช้ระบบของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) หรือ กฎหมายระบบนี้ให้ความสำคัญกับกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร การศึกษากฎหมายต้องเริ่มจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ ปัจจุบันประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่ อิตาลี เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ สเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไทย เป็นต้น (เพิ่มเติมระบบประมวลกฎหมาย)
2. กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Common Law) กฎหมายระบบนี้ให้ความสำคัญกับจารีตประเพณี โดยใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อตัดสินชี้ขาด แล้วก็กลายเป็นหลักการ เมื่อมีคดีความที่มีลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้น ก็ต้องใช้หลักของคดีแรกเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินชี้ขาด ปัจจุบันประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ประเทศในเครือจักรภพ เป็นต้น
ใช้ลักษณะการใช้กฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. กฎหมายสารบัญญัติ (เนื้อหา) ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของความผิด เช่น ประมวลกฎหมายแพ่ง ประมวลกฎหมาอาญา เป็นต้น
2. กฎหมายวิธีสบัญญัติ (วิธีการ) เป็นกฎหมายที่กำหนดวิธีการบังคับ การฟ้องร้องดำเนินคดี จะฟ้องร้องอย่างไร จะพิจารณาตัดสินอย่างไร เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น
ใช้สภาพบังคับกฎหมายเป็นหลักในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา (ความผิดที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวม) ได้แก่ กฎหมายต่าง ๆ ที่มีโทษตามบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ โทษริบทรัพย์ ปรับ กักขัง จำคุก ประหารชีวิต เช่น ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร เป็นต้น
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง (ความผิดส่วนบุคคล) สภาพบังคับทางแพ่ง มิได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนเหมือนสภาพบังคับทางอาญา แต่ก็อาจสังเกตได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การบังคับชำระหนี้ จ่ายค่าสินไหมทดแทน หรืออาจสังเกตได้อย่างง่าย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดโทษทางอาญา ก็ย่อมเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
ใช้ความสัมพันธ์ของคู่กรณี เป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน โดยที่รัฐไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2. กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ปกครอง จึงต้องมีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสงบสุข เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติป้องกัน การค้ากำไรเกินควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความต่าง ๆ เป็นต้น
3. กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎเกณฑ์ และข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากความตกลง หรือการแสดงเจตนาเข้าผูกพันของรัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ และมักจะใช้เป็นหลักในการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างประเทศ