บทคัดย่อ
หัวข้อการวิจัย รายงานการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนา
ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นายสันติชัย ฤทธาพรม
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน 2) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 3) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้และเปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียน คณะครูโรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ และคณะครูสังกัดโรงเรียนเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 12 แผน ทั้งหมด 15 ชั่วโมง 3) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ 6) แบบประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เครื่องมือทั้งหมดผู้วิจัยเป็นผู้สร้างขึ้นโดยผ่านการตรวจสอบและรับรองจากคณะผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิแล้วมาพัฒนาปรับปรุงก่อนนำมาใช้ในการทดสอบภาคสนามให้มีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติดังนี้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า E1/E2 ค่า t – test
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ประเทศไทยมุ่งพัฒนาด้านผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) โดยเฉพาะทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่ยุค Thailand 4.0 โดยเน้นทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับคุณธรรมจริยธรรม อันจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบผลสำเร็จในชีวิต พร้อมทั้งได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีคุณธรรมและมีความสุข จากการประเมินสภาพการจัดการเรียนรู้ ด้วยแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ พบว่า มีนักเรียนถึงร้อยละ 64.34 มีระดับความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนการคิดริเริ่มและการคิดละเอียดลออ ที่นักเรียนมักทำให้เสร็จแต่ไม่คำนึงถึงความสวยงาม ความประณีตทั้งการวาดภาพหรือลายมือ ทำให้คะแนนส่วนนี้น้อยมาก จากการตอบแบบสอบถามของครูผู้สอนและนักเรียน พบว่า สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในภาพรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.82 = 0.89) ข้อมูลที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันครูผู้สอนจัดการเรียนรู้ไม่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดริเริ่มและการละเอียดลออ โดยไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ต่อยอดในระดับการประกวดแข่งขัน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างนักเรียนและครูได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ให้การอบรมเชิงปฏิบัติการในการฝึกสติด้วยการทำสมาธิหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนได้มีจิตใจที่จดจ่อต่อการทำกิจกรรมได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนทั้ง 4 ด้าน คือ การคิดคล่องแคล่ว การคิดยืดหยุ่น การคิดริเริ่มและการคิดละเอียดลออ
2. ผลการสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 พบว่า ผู้วิจัยตั้งชื่อว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เป็นการตั้งชื่อจากการนำเอาอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของคำที่ขึ้นต้นของขั้นตอนทั้ง 4 ประกอบด้วย Survey, Action, Thinking process, Investigate ซึ่งขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ มีดังนี้ 1) ขั้นการสำรวจ (Survey) 1.1) ขั้นการฝึกสติ (Consciousness) 1.2) ขั้นการวิเคราะห์ประสบการณ์ 2) ขั้นปฏิบัติการ (Action) 2.1) ขั้นการสร้างความคิดรวบยอด 2.2) ขั้นการสร้างแนวคิดเป็นของตนเอง 3) ขั้นกระบวนการคิด (Thinking process) 3.1) ขั้นการคิดคล่องแคล่ว (Fluency) 3.2) ขั้นการคิดยืดหยุ่น (Flexibility) 3.3) ขั้นการคิดริเริ่ม (Originality) 3.4) ขั้นการคิดละเอียดลออ (Elaboration) 4) ขั้นพิจารณา (Investigate) 4.1) ขั้นวิเคราะห์ผลงาน 4.2) ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากการหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.80/76.11 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 ที่กำหนดไว้
3. ผลการทดลองใช้และเปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ด้านการยืดหยุ่นสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 82.23 รองลงมาด้านการคิดคล่องแคล่ว คิดเป็นร้อยละ 81.03 ด้านการคิดริเริ่ม คิดเป็นร้อยละ 80.63 และลำดับสุดท้ายด้านการคิดละเอียดลออ คิดเป็นร้อยละ 70.83 เมื่อนำคะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์มาเฉลี่ย ได้คะแนนร้อยละ 78.68 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนทดสอบก่อนเรียน โดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 13.67 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.02 ค่าคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 45.56 และคะแนนทดสอบหลังเรียน โดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 22.83 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.31 ค่าคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 76.11 มีผลต่างของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.17 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.56 โดยมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. การประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีค่าคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด เฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.56 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นักเรียนขอให้เพิ่มเวลาในการจัดการเรียนรู้ ส่วนผลการประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสติ (SATI Model) จากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด เฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.60 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผู้ทรงคุณวุฒิ ดังนี้ 1) การวัดผลประเมินผลควรให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน 2) การออกแบบกิจกรรมและใบงานควรเพิ่มสีสัน ให้น่าสนใจ มีภาพ สำนวนภาษาให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน ไม่ยากหรือง่ายเกินไป สามารถกระตุ้นความสนใจใฝ่เรียนรู้ได้อย่างสร้างสรรค์ 3) การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ควรฝึกให้นักเรียนได้คิดอย่างต่อเนื่องทั้งที่บ้านและนอกเวลาเรียนรู้ 4) ควรเพิ่มกิจกรรมหรือใบงานสำหรับนักเรียนที่ เก่ง กลางและอ่อน โดยออกแบบให้สอดคล้องกับความแตกต่างของนักเรียนทั้ง 3 กลุ่ม เพื่อให้เหมาะกับความรู้ความสามารถของนักเรียนแต่ละบุคคล โดยสามารถนำกิจกรรมหรือใบงานไปทำต่อที่บ้านได้หลังเลิกเรียน