ข้อควรสงสัยของกลุ่มอาการออทิสซึม
ออทิสซึม คือ อะไร จาก DSM IV- The American Psychiatry Association’s Diagnostic and Statistic Manualof Mental Disorders-Fourth Education (1994) จัดออทิสติก เป็น “pervasive developmental disorders” ซึ่งก็คือมีความผิดปกติในด้านพัฒนาการอย่าง รอบด้าน แสดงอาการอย่างชัดเจนในวัยเด็ก ก่อให้เกิดพัฒนาการทางด้านความสัมพันธ์ทาง สังคมและการสื่อสาร ไม่เป็นไปตามปกติ ส่งผลให้มีพฤติกรรมความสนใจและกิจกรรม ผิดปกติ
ลักษณะต่างๆในบุคคลออทิสติก
1. เข้ากับคนอื่นได้ยาก หรือไม่ได้เลย
2. ทำอะไรซ้ำๆ
3. ไม่ชอบให้กอด
4. หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล
5. กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว
6. ไม่สบตาคน
7. ไม่ตอบสนองต่อการสอนปกติ
8. มีท่าทางการเล่นแปลกๆ
9. อาจไวหรือไม่ไวต่อความเจ็บปวด
10. ส่งเสียงประหลาด
11. ชอบอยู่คนเดียว
12. หมุนตัวหรือสิ่งของ
13. กระตุ้นตัวเอง
14. หงุดหงิด งอแง โดยไม่มีเหตุผล
15. เรียกไม่หัน
16. ติดวัตถุ สิ่งของบางชิ้น
17. กล้ามเนื้อใหญ่และเล็ก พัฒนาไม่ปกติ
18. แสดงความต้องการไม่ได้ ใช้ท่าทางหรือจับมือผู้อยู่ใกล้ไปหยิบของที่ต้องการ
การสังเกตพฤติกรรมบุคคลออทิสติก จะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ 3 ด้านใหญ่ๆคือ
1. ความสัมพันธ์ทางสังคม
2. การสื่อสาร
3. ความสนใจและกิจกรรม
ลักษณะพิเศษของบุคคลออทิสติก
1. บกพร่องในด้านความสัมพันธ์ทางสังคม
2. บกพร่องในด้านการสื่อสาร
3. พฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมต่างๆเป็นไปอย่างจำกัด และซ้ำๆ
บุคคลออทิสติกแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกันอย่างมาก สภาพปัญหาต่างกัน แนวทางรักษาย่อมแตกต่างกัน
พฤติกรรมที่ผิดปกติในเด็กหรือบุคคลออทิสติกดังกล่าวจะแสดงออกใน 3 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมความสนใจที่ซ้ำๆยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่นติดของบางอย่าง กินอาหารเพียงบางอย่างซ้ำๆ กิริยาบางอย่างซ้ำๆกิจกรรมความสนใจเหล่านี้สะท้อน ออกซึ่งความผิดปกติเป็นอันดับแรกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ ไม่สนใจคนอื่น ความสนใจของเด็กออทิสติกอยู่ที่สิ่งอื่นทั้งหมด แต่ไม่ใช่ที่คนด้วยกัน ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนหรือกระตุ้นเขาจะไม่สนใจคนไม่มองหน้าคน เด็กออทิสติก เมื่อตอนเล็กๆจึงไม่แปลกหน้าใครเลย
2. การสูญเสียทางด้านภาษาและการสื่อความหมาย ทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทางเป็นที่ทราบกันดีว่าเด็กปกติเรียนรู้ภาษาและสื่อความหมายจากการสังเกตและเลียนแบบผู้คนรอบข้าง แต่เด็กออทิสติกไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากกิจกรรมความ สนใจหมกมุ่นซ้ำซากดังกล่าวปิดกั้นและจำกัดพวกเขาจากการสังเกตผู้คนรอบข้าง เมื่อไม่สังเกตไม่สนใจก็ไม่เกิดการเลียนแบบ เมื่อไม่เกิดการเลียนแบบการเรียนรู้ทางภาษาและการสื่อความหมายก็จึงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เด็กออทิสติกถ้า ไม่ได้รับการฝึกฝนจะไม่เรียนรู้จากการสังเกตหรือเลียนแบบใครหรืออะไรอย่างมีความหมายเลย เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จึงไม่พูด หรือถ้าพูดได้ก็ไม่ชัด หรือพูด ได้ชัดเจนดีมากเป็นต่อยหอยแต่ก็ไม่รู้ความหมายเป็นเหมือนการสะท้อนเสียงคน แบบนกแก้วเท่านั้น
3. การสูญเสียทางด้านสังคม เมื่อไม่รู้ภาษาก็จึงสื่อความหมายไม่ได้ สื่อความหมายไม่ได้ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ทางสังคม เมื่อไม่ ได้ เรียนรู้ทางสังคมก็ไม่เข้าใจ ความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลต่างๆตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องในครอบครัว ครู ตำรวจ ฯลฯ ในชุมชน ไปจนถึงบุคคลในสังคมระดับกว้างก็จึงแน่นอนว่าพวกเขา จะต้องไม่สามารถมีปฏิกิริยาต่อสัมพันธภาพของบุคคลในสังคมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมในทุกระดับ เมื่อไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ก็แยกตัวอยู่คนเดียว ในโลกส่วนตัวของเขาเองความผิดปกติส่วนใหญ่ๆในทั้ง 3 ลักษณะ เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นวงจรปิดให้เด็กหรือบุคคลออทิสติกแยกตัวอยู่คนเดียว ในโลกส่วนตัวภายในหัวสมองของเขาเท่านั้นเด็กออทิสติกจึงมักเล่นคนเดียว ไม่เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน บุคคลออทิสติกก็ชอบอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร หัวใจของการช่วยเหลือเด็กหรือบุคคลออทิสติกนั้นกิจกรรมการเรียนการสอนการฝึกทักษะที่ทีมครูจัดให้เด็กจะต้องมีแบบแผนการสลายและดัดแปลงพฤติกรรม ผิดปกติที่ไม่พึงประสงค์และสร้างเสริมพฤติกรรมแบบคนปกติที่พึงประสงค์ รวมอยู่ด้วยเสมอ จนกระทั่งไม่ พบพฤติกรรมที่ผิดปกติและหรือเหลือเป็น พฤติกรรมที่ปกติเท่านั้นในที่สุดจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ ว่าเด็กออทิสติกเป็นปัญหาที่พฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมการเรียนรู้ซึ่งส่งผล ต่อเนื่องถึงพฤติกรรมทางสังคม นี่คือข้อแตกต่างจากผู้พิการหรือผู้ด้อยโอกาส กลุ่มอื่นๆที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ของเด็กกลุ่มออทิสติก ด้วยข้อบ่งชี้ทาง การแพทย์ที่ว่าพฤติกรรมที่ผิดปกตินี้เกิดจากความผิดปกติของสมองและระบบ ประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เด็กหรือบุคคลออทิสติกมีการรับรู้ทางประสาทสัมผัส และ การประมวลข้อมูลในสมองเบี่ยงเบนไปจากคนปกติส่งผลให้การตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมเบี่ยงเบนไปจากของคนปกติ
ที่มา. www.autismthai.com