ชื่อ-สกุล นางวิพรรัตน์ บุญประเสริฐ
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
สอนรายวิชา สังคมศึกษาฯพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
สอนรายวิชา ต้านทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ครูที่ปรึกษานักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
ครูที่ปรึกษานักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
ตารางสอน ภาคเรียนที่ 2/2567
ตารางสอน ภาคเรียนที่ 1/2568
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ คือ การริเริ่ม พัฒนา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
ประเด็นท้าทาย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมยุคข้อมูลข่าวสารที่สื่อและเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตการติดต่อสื่อสาร สืบค้นข้อมูลต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วส่งผลต่อวิธีคิดตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ การรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อและเทคโนโลยีโดยขาดการคิดวิเคราะห์ ทำให้เกิดผลเสียต่อตนเองและสังคม ดังนั้นการอยู่ร่วมกันในยุคข้อมูลข่าวสารนี้ จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เท่าทันข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีโดยการพัฒนาความรู้และการคิดวิเคราะห์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่การใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเท่าทันสถานการณ์ต่อการเติบโตของสังคม
จากประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ากระบวนการจัดการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาเป็นปัญหาสะสมมายาวนานเนื่องจากผู้สอนมักมองว่าเนื้อหาสังคมศึกษามีค่อนข้างมากกระบวนการเรียนการสอนจึงยังต้องใช้วิธีบรรยายเล่าเรื่องวิธีให้อ่านเนื้อหาแบบฝึกหัดวิธีให้ค้นตามหัวข้อที่ผู้สอนกำหนดบางครั้งอาจใช้กิจกรรมชุดการเรียนการสอนที่มีแต่การอ่านบัตรเนื้อหาตอบคำถามและอ่านเฉลย หรือใช้บทเรียนโปรแกรมทำให้นักเรียนเบื่อหน่ายบทเรียน จากการใช้กระบวนการเรียนการสอนวิธีดังกล่าว และจากการจัดการสอนแบบเดิมส่งผลให้นักเรียนขาดกระบวนการคิดในสาระ และที่น่าตกใจคือผู้เรียนไม่เห็นความสำคัญของวิชานี้หากวิเคราะห์แล้วนั้นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากผู้สอนเป็นผู้จัดกิจกรรมเองทั้งหมด อีกทั้งนักเรียนยังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคดิจิทัล ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดหวัง
เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและความท้าทายของสังคม ซึ่งโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านความถี่ และความรุนแรง เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุไซโคลน และไฟป่า ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ และเศรษฐกิจในระดับโลก นอกจากนี้ การรับมือกับภัยพิบัติยังต้องการทักษะที่หลากหลาย รวมถึงความคิดวิเคราะห์ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีการปรับวิธีการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในวิธีการที่ถูกนำเสนอคือการใช้ “กระบวนการทางภูมิศาสตร์” (Geographic Inquiry Process) เป็นการสอนแบบสืบสอบทางภูมิศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ เข้าใจ และมีความรู้อย่าง ถูกต้องชัดเจน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 1. การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล 3. การจัดการข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล และ 5. การสรุปข้อมูลเพื่อหา
คำตอบ ช่วยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมและเข้าใจปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากนั้นการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและจำลองสถานการณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) เช่น การทำแผนที่ความเสี่ยงหรือการคาดการณ์ผลกระทบจากภัยพิบัติ เมื่อผนวกกับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมีศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ความซับซ้อน ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ สามารถนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ที่หลากหลายได้
จากสถานการณ์ดังกล่าว การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้ความรู้ การวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยนำ AI มาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้สามารถเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การวิจัยนี้จึงมีความสำคัญในเชิงการพัฒนาการศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นหัวข้อสำคัญซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
1. ขั้นการวางแผน (Plan)
- วิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นข้อมูลสารสนเทศในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน
- กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูล แนวคิด และทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- ออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น การใช้แอป Gimini หรือ Chat GPT เพื่อช่วยสืบค้นข้อมูลในการตอบคำถามเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ, แบบทดสอบประเภท Quizizz หรือ Kahoot เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในการตอบคำถามให้น่าสนใจ, Canva สร้างสไลด์นำเสนองาน, การใช้ Google Forms เพื่อวัดและประเมินผลวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ขั้นการปฏิบัติ (Do)
- พัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แบบทดสอบ: เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการคิดวิเคราะห์ผู้เรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ: เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้
- นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านการปรับปรุงแล้วนำไปจัดการเรียนรู้กับกลุ่มทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
3. ขั้นการตรวจสอบ (Check)
- ประเมินผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยใช้แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70
- วิเคราะห์เชิงปริมาณ: การวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70
- วิเคราะห์เชิงคุณภาพ: วิเคราะห์จากการแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน
4. ขั้นการปรับปรุงแก้ไข (Act)
- รวบรวมข้อมูลตอบกลับจากผู้เรียน (Feedback) ต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อวิเคราะห์ประเด็นในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ว่าช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
- นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่วง PLC เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางการพัฒนาตามประเด็นท้าทาย
- นำผลที่ได้จากการพัฒนาแล้วจัดทำเป็นสารสนเทศเพื่อใช้แก้ปัญหาในรอบปีถัดไป
3. ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
- นักเรียนในกลุ่มทดลองที่เรียนรู้ผ่านการใช้รูปแบบการจัดการเรียนด้วย
กระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร้อยละ 70 มีทักษะการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
- นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนรู้ อยู่ในระดับดีขึ้นไป
3.2 เชิงคุณภาพ
ได้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง
ภูมิศาสตร์(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ข้าพเจ้าได้ดำเนินงานตามประเด็นท้าทายที่ตั้งไว้ตามวิธีการให้บรรลุผล ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นการวางแผน (Plan) 2. ขั้นการปฏิบัติ (Do)
3. ขั้นการตรวจสอบ (Check) 4. ขั้นการปรับปรุงแก้ไข (Act) ซึ่งได้ผลการดำเนินการและสรุปพอสังเขปได้ดังนี้
เชิงปริมาณ
1. ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการภูมิศาสตร์
(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
จากการศึกษาผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้
ด้วยกระบวนการภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ พบว่า การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คือ 14.61 คิดเป็นร้อยละ 74.4 และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ 29 คน คิดเป็นร้อยละ 80.55 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ และการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย คือ 14.69 คิดเป็นร้อยละ 73.45 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ 28 คน คิดเป็นร้อยละ 77.77 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้
2. ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบกระบวนการภูมิศาสตร์(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบกระบวนการภูมิศาสตร์(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ มีความพึงพอใจโดยภาพรวมในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.46 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.08 โดยมีความพึงพอใจมากที่สุดในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รองลงมา คือ ด้านสื่อการเรียนรู้ และด้านเนื้อหาสาระการเรียนรู้ตามลำดับ
เชิงคุณภาพ
ได้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์(Geographic Inquiry Process) ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5