วิธีเล่น
ก่อนเริ่มเล่นต้องทำการตัดสินก่อนว่าใครเป็นผู้เริ่มเล่นก่อน โดยการเป่ายิงฉุบใครชนะเริ่มเป่าก่อน ผู้เล่นจะเอายางมาวางคนละเส้นอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งฟุต ผลัดกันเป่ายางของตนไปข้างหน้าทีละนิด จนยางเส้นทั้งสองมาอยู่ใกล้กัน มาถึงจุดนี้ต่างฝ่ายต่างต้องเป่ายางของตนให้ขึ้นทับของอีกฝ่ายถึงจะเป็นผู้ชนะและยังได้ยางเส้นของผู้แพ้ไปครอบครอง ผู้เล่นและผู้ชมต่างลุ้นว่ายางของใครจะโดนทับก่อน ลีลาในการเป่าเพื่อเอาชนะชวนขบขัน บ้างก้งโค้งตูดโด่ง หรือนอนราบกับพื้นคล้ายกบ
ความเป็นมา
การเล่นเป่ากบเป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยชนิดหนึ่ง ที่ใช้ยางรัดของ (วงเล็กๆ) มาเป็นอุปกรณ์ในการเล่น โดยผู้เล่นสองคนจะผลัดกันเป่ายางของตนเองให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า เพื่อให้ยางของตนไปทับยางของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดถูกทับถือว่าเป็นฝ่ายแพ้และเสียยางให้ฝ่ายตรงข้าม
วิธีเล่น
การเล่นกระโดดเชือกมีหลากหลายวิธี ทั้งแบบเดี่ยวและแบบหมู่ การกระโดดเชือกแบบเดี่ยว ผู้เล่นแต่ละคนจะผลัดกันกระโดด โดยแกว่งเชือกให้ข้ามศีรษะแล้วกระโดดข้ามเชือกที่กำลังแกว่งไปมา หากเชือกติดเท้าหรืออวัยวะส่วนอื่น จะถือว่าเสียสิทธิ์ในการเล่น ส่วนการกระโดดเชือกแบบหมู่ จะใช้เชือกเส้นยาว ผู้เล่นหลายคนจะยืนเรียงแถวแล้วกระโดดพร้อมกัน โดยมีคนแกว่งเชือกให้
ความเป็นมา
การเล่นกระโดดเชือกมีต้นกำเนิดมาจากประเพณีพื้นเมืองและมีการเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก
วิธีเล่น
โดยมีหินรองปลายราวทั้ง ๒ข้าง ให้สูงจากพื้นดินประมาณ ๓ นิ้ว แล้วขีดเส้นเป็นเขตสำหรับยืนขว้างให้ห่างจากราวประมาณ ๕ เมตร หลังจากนั้นก็นำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ไปวางบนราวตามที่ได้ตกลงกันว่าวางคนละกี่เมล็ดจากนั้นก็เริ่มขว้าง ถ้าคนแรกขว้างถูกและควํ่าหมดถือว่าจบเกมส์คนขว้างจะได้เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทั้งหมด ผู้เล่นแต่ละค ต้องนำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ไปวางบนราวใหม่ แต่ถ้าขว้างไม่ถูกหรือควํ่าไม่หมดคนที่สองก็ขว้างต่อ จนกระทั่งควํ่าหมดจึงเริ่มเล่นใหม่ คุณค่าและแนวคิดการเล่นขว้างราวเป็นการฝึกสมาธิ ความแม่นยำและความสัมพันธ์กันระหว่างสายตากับมือ และก่อให้เกิดความสามัคคีกันในหมู่คณะ
ความเป็นมา
การเล่นขว้างราวเป็นที่นิยมในภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ สุราษฎร์ธานี และนราธิวาส
นิยมเล่นในช่วงที่มะม่วงหิมพานต์ออกผล
เชื่อว่ามีการเล่นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีลักษณะการขว้างปาให้ถูกเป้าหมายเรียกว่า "ปากอง"
ปัจจุบันยังมีการเล่นในชนบท
วิธีการเล่น
ผู้เล่นตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้เล่นก่อนหลัง โดยผู้เล่นมีลูกเกยคนละลูก หลังจากนั้นก็ขีดตารางเป็นช่องสี่เหลี่ยมจำนวน ๖ ช่อง หรือเรียกว่า ๖ เมือง โดยแบ่งเป็นซีกซ้าย ๓ เมือง ซีกขวา ๓ เมือง
การเริ่มเล่น ผู้เล่นคนที่ ๑ เริ่มเล่นโดยการทอยลูกเกยลงไปในเขตเมืองที่ ๑ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ หลังจากนั้นใช้ปลายเท้าฉุดลูกเกยให้ผ่านไปในเขตเมืองที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ตามลำดับแล้วก็ฉุดลูกเกยออกจากเขตเมืองที่ ๖ ต่อไปผู้เล่นคนเดิม ต้องทอยลูกเกยลงในเมืองที่ ๒ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ กระโดดต่อไปในเมืองที่ ๒ หลังจากนั้นก็เล่นเหมือนเดิมไปเรื่อยๆทุกเมือง จนถึงเมืองที่ ๖ เมื่อทอยลูกเกยและฉุดได้ครบทั้ง ๖ เมืองแล้วให้ผู้เล่นกระโดดด้วยเท้าข้างเดียวจังหวะเดียวลงบนเมืองที่ ๑ ถึง เมืองที่ ๖ ตามลำดับ ห้ามกระโดดหลายครั้งมิฉะนั้นถือว่า ตาย ต้องให้คนอื่นๆเล่นต่อ ถ้าเล่นครบท่านี้แล้วไม่ตาย ให้เล่นในท่าต่อไป คือ เอาลูกเกยวางบนหลังเท้าแล้วสาวเท้าลงในเมืองทั้ง ๖ เมือง ตามลำดับ แต่เท้าหนึ่งลงในเมืองหนึ่งได้เพียงครั้งเดียว เช่น เท้าซ้ายเหยียบลงในเมืองที่ ๑ เท้าขวาเหยียบลงในเมืองที่ ๒ เท้าซ้ายเหยียบลงในเมืองที่ ๓ สลับกันไปเช่นนี้จนกว่าจะครบทุกเมือง ลูกเกยนั้นต้องไม่ตกจากหลังเท้าและเท้านั้นต้องไม่เหยียบเส้น ท่าต่อไปนั้นให้ผู้เล่นปิดตา เดินที่ละก้าวโดยไม่ต้องวางลูกเกยบนหลังเท้าขณะเดินขณะที่ก้าวเท้าลงในแต่ละ เมืองผู้เล่นนั้นต้องถามว่า "อู่ บอ" หมายความว่า เหยียบเส้นหรือไม่ ถ้าไม่เหยียบผู้เล่นคนอื่นๆจะตอบว่า "บอ" ถ้าเหยียบเส้นตอบว่า "อู่" เมื่อผู้เล่นที่ปิดตาเหยียบเส้นถือว่า ตาย ต้องเปลี่ยนให้คนอื่นๆเล่นต่อไป ถ้าเล่นยังไม่ตายผู้เล่นนั้นมีสิทธิ์ในการจองเมือง โดยผู้เล่นนั้นต้องเดินเฉียงไปแบบสลับฟันปลาไปตามช่องต่างๆ ให้ลงเท้าได้เพียงเท้าเดียว เช่น ลงเท้าซ้ายในเมืองที่ ๑ ลงเท้าขวาในเมือ งที่ ๓ และลงเท้าซ้ายในเมืองที่ ๕ แล้วกระโดดสองเท้าลงในหัวกระโหลก กระโดดเท้าพร้อมกับหันหลัง และผู้เล่นก็โยนลูกเกยข้ามศีรษะของตน
วิธีการเล่น การเล่นกระโดดเชือกมีหลากหลายวิธี ทั้งแบบเดี่ยวและแบบหมู่ การกระโดดเชือกแบบเดี่ยว ผู้เล่นแต่ละคนจะผลัดกันกระโดด โดยแกว่งเชือกให้ข้ามศีรษะแล้วกระโดดข้ามเชือกที่กำลังแกว่งไปมา หากเชือกติดเท้าหรืออวัยวะส่วนอื่น จะถือว่าเสียสิทธิ์ในการเล่น ส่วนการกระโดดเชือกแบบหมู่ จะใช้เชือกเส้นยาว ผู้เล่นหลายคนจะยืนเรียงแถวแล้วกระโดดพร้อมกัน โดยมีคนแกว่งเชือกให้
๑) เมื่อสัญญาณการเล่นเริ่มขึ้นทุกคนจะกอบหรือกำของที่อยู่ตรงหน้านั้น โดยไม่ให้คนอื่นเห็นว่ามีจำนวนเท่าใด
๒) ให้ทายที่คนว่าของในมือของทุกคนเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนเท่าใด
๓) เมื่อทายเสร็จทุกคนแบมือออกและนับของในมือของทุกคน ใครทายถูกได้เป็นกรรมสิทธิ์ในของนั้น ถ้าทายถูกหลายคนใช้วิธีหารแบ่งกัน ถ้ามีเศษให้รวมไว้เป็นกองกลาง เพื่อเป็นเล่นหนต่อไป
วิธีการเล่น ฉับโผงเป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยชนิดหนึ่ง โดยใช้กระบอกไม้ไผ่และลูกกระสุนที่ทำจากลูกพลาหรือกระดาษที่แช่น้ำแล้วปั้นเป็นก้อนกลม วิธีการเล่นคือยัดลูกกระสุนเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ แล้วใช้ไม้ดันให้แน่น จากนั้นใช้แรงอัดดันลูกกระสุนให้พุ่งออกมา ทำให้เกิดเสียงดัง "ฉับ" และ "โผง"
ลูกลมส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่จะเอาไปปักดิน เริ่มจากขุดหลุมและปักเสาไม้ไผ่ลูกลม แล้วปล่อยให้ลูกลมปะทะลมเกิดเสียงและพริ้วไหว แต่กลุ่มอนุรักษ์ลูกลมบ้านนาหมื่นศรีได้ทำขนาดเล็กเป็นของเล่น ของฝากและตั้งโชว์ วิธีเล่นคล้ายกังหันจะตั้งไว้นิ่งๆ แล้วให้ลมพัด หรือจะเอามาถือแล้ววิ่งให้ลมปะทะ
ซีละ
วิธีกานเล่น การเล่นซีละไม่มีการพักเป็นยก ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนและไม่มีกรรมการ ทั้งนี้เพราะนักซีละแต่ละคนจะมีระเบียบวินัยในตนเอง มีความซื่อสัตย์เคารพกติกา ไม่เอารัดเอาเปรียบคู่ต่อสู้โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมนอกลู่นอกทางศิลปะของซีละ
วิธีการเล่น การชนวัวเป็นกีฬาพื้นเมืองที่นิยมเล่นกันในภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีการคัดเลือกวัวที่มีลักษณะดีมาชนกันเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิง
ซัดต้ม
วิธีการเล่น "ซัดต้ม" เป็นประเพณีพื้นบ้านของภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดพัทลุง มักเล่นในช่วงเทศกาลออกพรรษา หรือวันลากพระ เป็นการละเล่นที่มีการขว้างลูกต้ม (ทำจากข้าวตากและทราย ห่อด้วยใบตาลหรือใบมะพร้าว) ใส่กันเพื่อความสนุกสนานและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
ชักกะเย่อ
วิธีเล่น
แบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย เท่าๆ กัน และมีกรรมการหนึ่งคน ผูกเศษผ้าไว้ตรงกลาง ระหว่างเชือก (อาจเป็นผ้าสีเหลือง) ขีดเส้นแบ่งเขตแดนของทั้งสองฝ่าย จากนั้นให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายเข้ายืนประจำที่ และจับเชือกขึ้นมาระดับเอว และเมื่อกรรมการให้สัญญาณ ผู้เล่น (คนดึง) จะพยายามดึงให้มายังฝั่งของตัวเอง ถ้าฝั่งไหนสามารถดึงข้ามมายังดินแดนตัวเองได้เป็นฝ่ายชนะ
วิธีกานเล่น นักแสดงหรือตัวละครในคณะลิเกป่า ในแต่ละคณะประกอบด้วยตัวละครประมาณ ๑๐-๒๐ คน ในสมัยก่อนคณะลิเกป้านักแสดงจะเป็นผู้ชายล้วน ๆ ปัจจุบันจะมีผู้หญิงมาแสดงเป็นยาหยี แม่ยายี หรือตัวอื่น ๆ ตามชุดของเรื่องที่จะทำการแสดง ทำให้ลิเกป้าได้รับความนิยมและสนใจของผู้คนมากขึ้น เพราะมีความอ่อนช้อยสวยงามของลีลาท่ารำ และบทร้องของนักแสดงที่เป็นผู้หญิง ตัวแสดงที่มีความสำคัญของการแสดงลิเกป่าประกอบด้วย
ซัมเป็ง
วิธีการเล่น
การเล่นซัมเป็งเป็นการแสดงระบำพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทย มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเต้นรองเง็ง แต่มีลีลาท่าเต้นที่แตกต่างกันไป การแสดงซัมเป็งมักใช้ในงานต้อนรับแขกสำคัญ หรืองานรื่นเริงต่างๆ
ชิบโป้ง
วิธีการเล่น การเล่นชิบโป้งเป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยอย่างหนึ่ง นิยมเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความสนุกสนานและสร้างความสามัคคีในชุมชน การเล่นชิบโป้งมีลักษณะคล้ายกับการเล่นสะบ้า แต่จะใช้ลูกสะบ้าขนาดเล็กกว่าและมีกติกาการเล่นที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น