อาข่า ชาติพันธุ์มิตรไมตรี
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : อ่าข่า
ชื่อเรียกตนเอง : อ่าข่า
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : อีก้อ, ข่าก้อ, ก้อ, โอนิ-ฮานิ
ภาษาที่ใช้พูดและเขียน : ตระกูลภาษาธิเบต-พม่า สาขาโลโล ภาษาอ่าข่ารียกว่า “ยิ” อ่าข่า
มิติทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ :
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ อ่าข่า (AKHA)
เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาศัยอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของประเทศจีน จัดอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต สายธิเบต - พม่า แขนงชนชาติโลโลมีชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าอยู่หลายชื่อ เช่น ประเทศจีนเรียกว่าฮาหนี่ หรือไอ่หนี่ฉุ ที่ประเทศลาวเรียกว่า ก้อ ส่วนที่ประเทศพม่าและเวียดนามเรียกว่า อ่าข่า ส่วนประเทศไทยในอดีตนั้นเรียกอีก้อ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเรียกอ่าข่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนเรียกอีก้ออยู่ (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2546: 6-7)
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง อ่าข่าในประเทศไทย พม่า ลาว เรียกตนเองว่า อ่าข่า สำหรับในประเทศจีนและประเทศเวียดนามจะ เรียกตนเองว่า ซานี, ยานี หรือฮาหนี่ โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ฮาหนี่” นอกจากนั้นในบทเพลง บทซอ คำสุภาษิต หรือการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวอ่าข่าทุกประเทศ เรียกตนเอง เหมือนกันว่า “หญ่าหนี่หญ่า” (วิไลลักษณ์ เยอเบาะ, 2561: ออนไลน์)
ชื่อเรียกตนเอง
หญ่าหนี่หญ่า (Zaqnyiqzaq) เป็นชื่อที่คนในกลุ่มชาติพันธุ์นี้ใช้เรียกตนเองมา (วิไลลักษณ์ เยอเบาะ, 2560: 1) พวกเขาใช้นิยามตนเองภายในกลุ่มวัฒนธรรมของพวกเขาเอง เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มของพวกเขารู้ว่าตนเองมีความแตกต่างจากคนกลุ่มอื่นๆ ส่วนชื่อ “อาข่า” นั้นพวกเขาก็ใช้นิยามตนเองเช่นกัน แต่ในบริบทที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนนอกวัฒนธรรม
อ่าข่า ชื่อนี้สันนิษฐานว่าเป็นชื่อที่คนจีนใช้เรียกคนกลุ่มชาติพันธุ์นี้ (จิตร ภูมิศักดิ์ 2552: 397) และในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Akha” (ลูวิส, 2528 และ Bernatzik, 1970) แต่ก็มีผู้รู้กลุ่มชาติพันธุ์นี้พยายามตีความคำดังกล่าวจากฐานของภาษากลุ่มชาติพันธุ์นี้ด้วยว่าเป็นคำที่มาจากภาษาอาข่า โดยคำว่า “อา” มาจากคำว่า “อ่า” ในภาษาอาข่าที่แปลว่า “เปียกชื้น” และคำว่า “ข่า” แปลว่า “ไกล” ทั้งสองคำรวมกันจึงหมายถึง “ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากที่ชื้นแฉะ” (อาจู จูเปาะ อ้างใน ปนัดดา บุณยสาระนัยและหมี่ยุ้ม เชอมือ, 2547: 3) นอกจากนี้ก็มีชาวตะวันตกได้สันนิษฐานว่าชื่อนี้มีความหมายสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในบางมุมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองสิ่งหรือเป็นกลาง ๆ ” ดังที่ ไพโรจน์ ทวีศักดิ์ (2555: 38) ได้หยิบยกข้อเสนอต่าง ๆ ของหลาย ๆ คนดังนี้ เช่น อังรี รู (Henri Roux) เห็นว่าอาข่า น่าจะหมายถึงลักษณะของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ที่ชอบปลูกบ้านในลักษณะที่ตัวบ้านส่วนหนึ่งวางอยู่บนเสาตัวบ้าน ส่วนเลโอ อัลติ้ง วอน เกอเซา (von Geusau, 1986) กลับเห็นว่าคำดังกล่าวนั้นสื่อถึงตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ที่ชอบตั้งบ้านเรือนอยู่ตามที่ลาดเนินเขาระดับกลางที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ราบลุ่มกับที่อยู่ของกลุ่มที่ชอบอยู่สูงกว่า คำว่าอาข่าจึงน่าจะหมายถึง “ผู้อยู่ตรงกลาง” เพราะในบทขับเชิงตำนานของคนกลุ่มนี้มักจะให้ภาพสะท้อนว่า พวกเขาคือผู้ที่ถูกกักอยู่ในที่ลาดเขาระดับกลางและระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้คอร์เนเลีย แอน แคเมอเรอร์ก็ยังอธิบายที่มาของชื่อดังกล่าวจากคำว่า “เลาะข่า” ซึ่งหมายถึงผนังกั้นห้องระหว่างห้องของผู้หญิงกับห้องของผู้ชายในบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในแบบสมัยก่อน คำดังกล่าวจึงถูกนำมาใช้เรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์นี้เพื่อสื่อให้เห็นวัฒนธรรมของการแบ่งแยกพื้นที่หญิงชายออกจากกัน ดังที่สันนิษฐานข้างต้น คำว่า “ข่า” จึงไม่ได้มีความหมายที่สัมพันธ์กับสถานะของการเป็น “ข่า” หรือ “ข้า” ตามความหมายในภาษาตระกูลไทที่แปลว่าทาสหรือเชลยแบบที่ จิตร ภูมิศักดิ์ (2562: 399) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ปัจจุบันคำนี้เป็นชื่อที่กลุ่มชาติพันธุ์นี้ใช้นิยามตนเองเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนนอกวัฒนธรรม และมีความต้องการให้คนวัฒนธรรมนั้นเรียกพวกเขาด้วยชื่อดังกล่าว ในห้วงที่ผ่านมาเราจึงเห็นนักวิชาการบางส่วนหันมาใช้คำดังกล่าวแทนคำว่า “อีก้อ” รวมทั้งปัจจุบัน ก็มีทั้งคนอาข่าเองและไม่ใช่อาข่าก็ใช้คำว่า “อ่าข่า” (ไม้เอกที่ “อ่า”) อย่างจงใจเพราะเห็นว่าเสียงนี้ใกล้เคียงกับการออกเสียง “Aqkaq” ในภาษาของพวกเขามากที่สุด ดังเห็นได้จากการใช้ของ ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์ (2551, 2554, 2555) นักมานุษยวิทยาที่ทำการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์นี้ในเมืองเชียงใหม่ และแม้กระทั่งชื่อเครือข่ายชาติพันธุ์ของพวกเขาก็ใช้คำดังกล่าว คือ เครือข่ายอ่าข่าลุ่มน้ำโขง เป็นต้น ซึ่งในภาษาจีนเขียนว่า “阿卡” พวกเขาเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกทางการจัดอยู่ในชนชาติฮาหนี่ (Hani nationality) ในประเทศจีน (Wanjiao, 2563)
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ทางวิชาการ: ชาติพันธุ์อ่าข่า
เงื่อนไขที่ใช้ในการกำหนดชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ทางวิชาการ: เพื่อให้มีความหมายที่เป็นกลางมากกว่ากล่าวคือ ไม่ได้บ่งบอกประเภทหรือระดับคุณลักษณะทางวัฒนธรรมที่เหนือกว่าหรือต่ำกว่า เพียงแต่บ่งบอกว่าเป็นกลุ่มชนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนอื่น: ภาษาไทย เรียกว่า อีก้อ/อ่าข่า, ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Akha, ภาษาละหู่ เรียกว่า ต่อกอย่า, ภาษาม้ง เรียกว่า คั่ว, ภาษาไต เรียกว่า “ก้อ” หรือ “อีก้อ”
ชื่อที่คนอื่นเรียก
ก้อ (Kaw) คำนี้เป็นคำที่คนอาข่าในสิบสองปันนาในอดีตใช้เรียกตนเองก่อนที่จะเรียกตนเองว่าตนเองว่าอาข่า (ดู จิตร ภูมิศักดิ์, 2562: 198) คนพม่าเองก็เรียกคนอาข่าด้วยคำนี้ (Howard, 2005: 98)
อีก้อ (Ekaw) เป็นคำที่ไทยพายัพเติม “อี” จนกลายเป็นอีก้อ คำนี้ไม่ปรากฏว่ามีการใช้เรียกคนอาข่าเลย นอกจากในประเทศไทย (ดู จิตร ภูมิศักดิ์, 2562: 397) คำนี้เองก็ปรากฏอยู่ในวารสารวชิรญาณเสศ พ.ศ. 2428 ที่มีชื่อบทความคือ “ว่าด้วยประเภทคนป่าฤาข่าฝ่ายเหนือ” ของขุนประชาคดีกิจ (ธงชัย วินิจจะกุล, 2560: 19) และงานต่างๆ ภายหลังที่เขียนขึ้นในช่วงสงครามเย็นก็ล้วนแล้วแต่ใช้ชื่อนี้ โดยเฉพาะราชการไทยอย่างสถาบันวิจัยชาวเขา และหน่วยงานทหาร (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2555; สถาบันวิจัยชาวเขา, 2541; สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ, 2518;) สำหรับคนอาข่าแล้ว พวกเขาไม่ชอบให้เรียกพวกเขาด้วยชื่อนี้
ข่าก้อ เป็นคำที่คนไตลื้อในสิบสองปันนาใช้เรียกคนอาข่า คำนี้มาจากการรวมความหมายของคำสองคำว่า คือ คำว่า ข่า ซึ่งเป็นคำที่ไตลื้อให้ความหมายกับคนอาข่าว่าว่าเป็นพวกที่ด้อยกว่าตนเนื่องจากพ่ายแพ้และสูญเสียดินแดนของตนแก่ไทลื้อทางตะวันตกของเฉียงใต้ของเมืองต้าหลี่ โดยคำว่า “ข่า” ในตระกูลภาษาไทนั้นแปลว่า เฉลยหรือทาสตามที่จิตร ภูมิศักดิ์ (2562: 397) ได้ตั้งข้อสังเกตตามข้อมูลที่นายหลี่ ฟูอี ข้าราชการจีนของรัฐบาลจีนในยุคก๊กมินตั๋งกล่าวไว้กับเขา
โอนิ-ฮานิ คำนี้ไม่ปรากฏในเอกสารและการเรียกชื่อ อย่างไรก็ตาม มีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “โวหนี่” ซึ่งหมายถึงคนลีซู กับ คำว่า ฮาหนี่ ซึ่งหมายถึงคนฮาหนี่ ที่นักมานุษยวิทยาจีนชื่อ หลิน หยื่อ ฮวา ได้พูดถึงว่า สองกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับอาข่าในฐานะที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ใช้ภาษาโลโลตระกูลธิเบต-พม่าเหมือนกัน (Lin Yueh-hwa, 1994 อ้างใน ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์ 2555: 33)
ฮานิ/ฮาหนี่ (Hani) และอาข่าเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ก็มีการเรียกสลับกลับไปมา เพราะในจีนและเวียดนาม ซึ่งมีประชากรกลุ่มฮานิมากกว่าอาข่า คณะสำรวจกลุ่มชนชาติของรัฐบาลจีนช่วงหลังการปฏิวัติปี ค.ศ. 1949 จึงได้เหมารวมเอากลุ่มชาติพันธุ์อาข่าให้รวมอยู่ภายใต้กลุ่มชนชาติฮานิด้วย จึงไม่แปลกใจที่ชาวอาข่ามักจะถูกเรียกว่าฮานิด้วย (Howard, 2005: 3-4) ขณะเดียวกัน ในพม่าซึ่งมีชาวฮานิจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาก็ถูกรัฐบาลพม่าจัดให้อยู่ภายใต้กลุ่มอาข่าด้วยเช่นกัน (Howard, 2005: 83) เมื่อเป็นเช่นนี้ ในมุมมองหนึ่ง อาข่าก็เป็นฮานิได้ แต่ไม่ใช่ฮานิจะเป็นอาข่าได้ (Morton, 2015)
อื่น ๆ :
ภาษาอ่าข่า เป็นภาษาหนึ่งในสาขาโลโล-พม่ากลุ่มโลโลใต้ ของภาษาตระกูลทิเบต-พม่า (TibetoBurman) ภายใต้ภาษาตระกูลใหญ่จีน-ธิเบต (Sino-Tibetan language family) ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น 22 หน่วยเสียง ไม่มีหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย มีหน่วยเสียงสระ 13 หน่วยเสียง ไม่แยกความสั้น - ยาวของเสียงสระ มีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง แบ่งเป็น 2 ชุด คือ ชุดเสียงวรรณยุกต์กลาง ต่ำ สูง ที่เป็นเสียงปกติ และชุดเสียงวรรณยุกต์ กลาง ต่ำ สูง ที่มีลักษณะเสียงบีบหนัก (creaky) ในด้านไวยากรณ์ภาษาอ่าข่าเป็นภาษาที่มีโครงสร้างไวยากรณ์แบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) เช่นเดียวกับภาษาอื่นๆในตระกูลทิเบต-พม่า (Panadda 1993, 2010)
ตระกูลภาษา ภาษาพูดอยู่ในกลุ่มของตระกูลภาษาธิเบต-พม่า สาขาโลโล
ภาษาพูด: ตระกูล Tibeto-Burman ภาษาอ่าข่ารียกว่า “ยิ” อ่าข่า
ตัวอักษรที่ใช้เขียน[1]: อักษรโรมัน ภาษาอ่าข่าเรียกว่า (ฮ่องกู่มส้อโบ้) กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าซึ่งกระจายตัวอาศัยอยู่ในเขตชายแดนของรัฐชาติต่าง ๆ ในเขตตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ รัฐชาติไทย พม่า จีน และลาว แต่มีความสัมพันธ์กันในทางเครือญาติ ประวัติศาสตร์ และวิถีวัฒนธรรม การอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐชาติที่ต่างกันทำให้กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าต้องปรับตัวไปตามบริบททางการเมืองสังคม และวัฒนธรรมของแต่ละรัฐชาติ ในบริบทของการใช้ภาษาก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือชาวอ่าข่าในทุกรัฐชาติสามารถใช้ภาษาอ่าข่าเป็นภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีสำเนียงภาษาพูดที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่ต้องใช้ภาษาเขียนของรัฐชาตินั้น ๆ สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ อ่าข่า-ฮาหนี่ ทั้งหมดในประเทศจีน ซึ่งเป็นภาษาเขียนระบบอักษรโรมัน คล้ายระบบเขียนแบบพินยิน (pin yin) ของภาษาจีนกลาง ขณะที่ในประเทศไทยและประเทศพม่า ระบบการเขียนภาษาอ่าข่าถูกสร้าง และพัฒนาขึ้นจากอักษรโรมันโดยกลุ่มมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายแบบติสต์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า และได้แพร่ขยายเข้ามาถึงประเทศไทย เฉพาะในประเทศไทยระบบภาษาเขียนที่มิชชันนารีได้ประดิษฐ์ไว้ให้นี้มีระบบที่แตกต่างกันไปประมาณเกือบสิบระบบ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของชาวอ่าข่าในบริเวณชายขอบรัฐชาติเหล่านี้ มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างอัตลักษณ์ความเป็นอ่าข่าร่วมกัน ทั้งในทางประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ภาษาเขียนร่วม (common language) จนกระทั่งปลายปี 2552 จึงได้ข้อตกลงร่วมกันในการเลือกใช้ภาษาเขียนร่วมเพื่อการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอ่าข่า (Panadda, 2010)
[1] มีตำนานอ่าข่าเล่าว่า สมัยบรรพบุรุษชาวอ่าข่าเคยมีภาษาเขียนของอ่าข่าเองโดยเขียนลงบนหนังควาย แต่เมื่อเกิดศึกสงครามทำให้เผชิญภาวะขาดอาหารรุนแรง บรรพบุรุษจึงต้มหนังควายกินเพื่อเอาชีวิตรอด เลยทำให้จดจำตัวอักษรไว้ในสมอง จึงทำให้ภาษาเขียนอ่าข่าสูญหายไป ทำให้ชาวอ่าข่าสืบทอดพิธีกรรมประเพณีต่าง ๆ โดยใช้ความจำต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง :
เนื้อหาโดย นางสาวอำภา วูซือ นักศึกษาปริญญาโท สาขาสังคมศาสตร์ แขนงชาติพันธุ์สัมพันธ์กับการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปีงบประมาณ 2562 , วันที่อัพโหลด: 24 กันยายน 256
ที่มา : ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชา) https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups/99