EP 2. ฝึกฌาณสมาบัติกับฤาษีวาสุเทพ                

เรื่องเล่าจากพระป่า

 ตอนฝึกฌาณสมาบัติกับฤาษีวาสุเทพ

เรียบเรียงโดย  กัณหา ชาลี

            เมื่อเจ้ามัคคีลาพระภิกษุหนุ่ม  แล้วลาลับหายไปกับสายน้ำ  พระภิกษุหนุ่มได้ทำหน้าที่ของความเป็นพระแก่วิญญาณเจ้ามัคคี  พร้อมเก็บอัฐบริขารมุ่งหน้าเดินทางไปทาง อ.เชียงคานต่อไป  ท่านเดินลัดเลาะตามป่าเขาลำเนาไพร  ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่  ลำธารน้ำตก  พบเห็นฝูงวัวกระทิงแดง  ฝูงลิงแสม  งูจงอาง  บ่างชะนี เป็นที่น่าจำเริญตาจำเริญใจยิ่งนัก ในความงามและเสน่ห์ของธรรมชาติในป่าลึก  

   นอกจากนี้พระหนุ่มยังได้พบฤๅษีผู้ปฏิบัติฌาณสมาบัติ  อยู่ตามหน้าถ้ำ หน้าผา  หุบเหว พระหนุ่มมุ่งหน้าเดินขึ้นถ้ำภูควายเงิน  อันเป็นที่อยู่ของพญานาคใหญ่และเหล่าฤๅษี  จำนวน ๕ ตน ซึ่งกำลังบำเพ็ญสมณธรรมนั่งสมาธิอย่างเคร่งขรึม  และก็พลันมองไปเห็นฤๅษีตนหนึ่ง  ดูแล้วอายุประมาณ ๘๐-๙๐ ปี   เดินจงกรมอยู่ พระภิกษุหนุ่มจึงเดินทางเข้าไปสนทนากับฤๅษีตนนั้ และได้คำตอบจากฤๅษีว่า ท่านอายุหลายร้อยปีแล้ว และมีนามว่า ฤๅษีวาสุเทพ   ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดียแถบภูเขาหิมาลัย  พระภิกษุหนุ่มก็กำลังสนใจเรื่องภูเขาหิมาลัย หรือ ป่าหิมพานต์ที่เคยได้ยีนเรื่องราวเล่าขานกันมานานแล้ว  

  การสนทนาธรรมกับฤๅษีผู้สูงวัยได้ความรู้เรื่องการเข้าฌานสมาบัติในอีกแบบหนึ่งซึ่งก็ตรงกับที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคเคยมาสอน  ท่านอธิบายว่า  ...“การเข้าฌานสมาบัติ  ต้องอาศัยกำลังสมาธิเป็นบาทฐาน  และต้องอาศัยสมาธิขั้นอุปจารสมาธิโดยการฝึกบ่อย ๆ ให้เคยชินโดยการทำจิตให้นิ่ง ให้ว่างไม่รับรู้อะไรเลย  ทั้งอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ท่านเปรียบว่า เป็นดับกายดับจิตโดยมีสังขารร่างกายอยู่  นั่งนิ่ง ๆ อยู่ได้นานถึง ๓-๕ ชั่วโมง หรือการเข้าสมาบัติระยะสั้น ๆ เพียง ครึ่งชั่วโมง  

    ถ้าเราทำได้อย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวันจะได้รับอานิสงส์  คือเกิดลาภที่เหล่าเทวดาจัดการให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน   เทวดาก็จะไปดลใจให้คนมาหาเรา มาสนับสนุนเรา  แต่อย่าเบื่อนะ เมื่อคนมาหาเราเยอะ ๆ และอย่าติดลาภสักการะเพราะจะทำให้ตกนรก  ทำให้ผู้หลงติดตกนรกมามากต่อมากแล้ว”     แต่การฝึกการเข้าเป็นวิชาหนึ่งที่พระภิกษุจะต้องศึกษาและฝึกปฏิบัติให้ได้  ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง  เวลาเราต้องการต่อสู้กับพยาธิก็จะสามารถนำมาใช้ได้ทันที  ทำให้เราเป็นพระผู้มีคุณวิเศษก็ได้ ไม่ใช่เป็นพระภิกษุแล้วไม่รู้เรื่องปฏิบัติ  เหมือนเรามีน้ำดื่มอยู่ในกาน้ำเราแล้ว  เราจะดื่มเมื่อไรก็ได้  

   ดังนั้นพระภิกษุต้องรู้เรื่องกรรมฐาน รู้เรื่องวิปัสสนากรรมฐานทั้งสองอย่างให้เกิดความชัดเจน  แล้วเราจะปฏิบัติไม่ผิดทางและได้เป็นพระแท้จริงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ในการเข้าฌานนั้น พระภิกษุหนุ่มเคยได้ยินมาจาก  หลวงปู่พิมพา โกวิโท   และมาได้ยินจากหลวงปู่ปานวัดปางนมโค  แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก   เพราะว่าท่านทั้งสองที่กล่าวมานั้นได้ละสังขารไปหมดแล้ว  

   จึงทำให้ไม่ได้ฝึกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  เพียงแต่เคยทดลองบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ คราวนี้มาได้ยินจากปากท่านฤๅษีวาสุเทพ   ผู้มีอายุ ๓๐๐-๕๐๐ ปี  และฤๅษีก็ชักชวนให้ทำอยู่ทุกวัน  ที่พำนักอยู่ที่ถ้ำภูควายเงิน  ฤาษีวาสุเทพสอนว่า....ฝึกการเข้าฌานตามหลักการ ๒ ระดับ คือ 

ระดับที่ ๑.  ฝึกโลกิยะฌาน      

ระดับที่ ๒. ฝึกโลกุตตระฌาน

ระดับที่ ๑. ฝึกโลกิยะฌาน  

       ๑. การฝึกขั้นตอนที่หนึ่ง คือ  ขั้นโลกิยะฌาน แต่ถ้าได้โลกุตระฌาน ก็สามารถเข้าได้เช่นกัน  ดังในครั้งพุทธกาลมีพระอรหันต์ชอบเข้าฌาน   เข้าทีเป็นเดือน เป็นปี  ท่านจึงได้เป็นเอตทัคคะด้านการเข้าฌานสมาธิ โดยการทำจิต และสติความรู้สึกเอาไว้ในอารมณ์เดียวนาน ๆ   จนจิตดับอารมณ์นิวรณ์ธรรมที่มารบกวนใจให้สงบระงับลงได้อย่างต่อเนื่อง

             ๒. สามารถกำหนดเข้าฌานได้เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ได้  โดยอาศัยปีติเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิต และปราศจากการขับถ่าย  แต่จะขับถ่ายออกทางรูขุมขนแทน

            ๓. หากตายในขณะเข้าฌาน  จะไปเกิดในชั้นพรหมที่ ๑๐  เรียกว่า พรหมรูปฝัก ไร้ความรู้สึกทั้งหลายจากอายตนะนั้น  แต่ไม่ใช้หลับ และไม่สัปหงก   ตลอดอายุขัยอันยาวนาน  เมื่อหมดบุญกุศลก็เลื่อน

ขั้นลงมาเป็นชั้นที่ ๙  จึงจะรู้สึกตัว  ประสาทหรืออายตนะภายและในภายนอกจึงจะทำงาน

            ๔. การเข้าฌานจะเข้าท่าไหนก็ได้ เช่น ท่านั่ง  ท่านอนตะแคงก็ได้

          ๕. การเข้าฌานส่วนมากมักเข้ากันในขั้น จตุตถฌานเป็นส่วนมาก  บางทีก็เข้าอรูปฌาน

           ๖. การเข้าฌาน เป็นกุศลมากนับประมาณมิได้

          ๗. ต้องได้อภิญญา ๕ หรือ ๖    แต่การเข้าฌานทุกอย่างต้องฝึกให้เกิดความชำนาญ และฝึกให้ต่อเนื่อง  คือการฝึกจิตให้ปล่อยว่าง  จนไม่มีอะไรค้างติดอยู่ในจิต  เช่น การภาวนาว่า  เกสา ๆๆๆ  โลมา ๆๆๆ  นะข าๆๆๆ ทันตา ๆๆๆ  ตะโจ ๆๆๆๆ  หรือ ว่าเป็นภาษาไทยง่าย คือ ผม ๆๆๆ  ขน ๆๆๆๆ   เล็บๆๆๆๆ   ฟัน ๆๆๆๆ   หนัง ๆๆๆ  ภาวนาไปเรื่อย  ๆ  ทีละอย่าง  และปล่อยว่างให้หมดไปตลอด  จนจิตเข้าถึงอารมณ์เดียวอย่างสงบลึกลงไปเรื่อย ๆ  จนตัดอายตนะภายในและภายนอกไม่เชื่อมต่อกันจึงทำให้จิตเกิดความว่าง  สงบระงับจากสื่อต่าง ๆ ที่มาทางอายตนะ ๑๒


 ระดับที่ ๒.  ฝึกโลกุตตรฌาน   การเข้านิโรธสมาบัติ ๗   

๑. เป็นโลกุตตระ  ต้องได้ญาณ คือ วิปัสสนาญาณ

๒. ต้องมีฌานเข็มข้น แข็งแกร่ง ละเอียด  บ่มสุกงอมหลายภพชาติ

๓. การเข้าเต็มที่แต่ละครั้งก็ ๗ วัน  กำหนด ๒ วันหรือกี่วันก็ได้  แต่ไม่เกิน ๗ วัน( นิโรธ )

๔. เป็นมหากุศลอย่างมหาศาล  มากกว่าการเข้าฌานสมาบัติ  อย่างหาประมาณมิได้

๕. การเข้านิโรธ ต้องเป็นพระอริยะ ขั้นอนาคามีขึ้นไป หรือ ฝึกเข้าญาณโสดาบันเข้าขั้นและ

สกิทาคาเข้าขั้น  ฝึกความเข้มข้นจะเต็มที่   จนถึงขั้นอนาคามี   และสามารถเข้านิโรธเต็มที่ ๗ วัน

๖. เมื่อถึงเวลาตายหรือละสังขารแล้วเข้าสู่พรหมชั้น สุทธาวาส  ตั้งแต่ อวิหาพรหมชั้น ๑๒,

อตัปปะชั้น ๑๓,  สุทัสสาชั้น ๑๔,  สุทัสสีชั้น ๑๕, อกทิฏฐาชั้น ๑๖  ชั้นใดชั้นหนึ่ง  แล้วแต่ตามขั้นของญาณ

๗. เมื่อสามารถละกิเลสอันเป็นกามคุณทั้งห้าได้แล้ว เมื่อตายไป หรือละสังขาร หรือนิพพาน จะไม่มาเกิดอีก  

        เมื่อท่านฤๅษีวาสุเทพพูดให้ฟังจบลง ก็เริ่มฝึกเข้าฌานให้พระภิกษุหนุ่มเห็นทันที  ท่านนั่งอย่างสงบ

นานถึงสามวัน   เมื่อเป็นเช่นนั้นพระภิกษุหนุ่มก็ฝึกตามบ้างเหมือนกัน   และก็สามารถฝึกนั่งได้ดีเป็นที่น่าพอใจ  พระภิกษุหนุ่มก็ปักกลดอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำภูควายเงินเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน  ในคืนวันที่ ๗ นั้น

          ขณะที่เดินจงกรมอยู่เป็นเวลา ตีสอง   ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วถามเป็นภาษาอีกสานว่า  ...“ พระคุณเจ้าชอบหมองนี้บ่อ  ถ้าชอบผมซิถวายให้มาอยู่นี้เลย”  พระภิกษุหนุ่มก็ตอบว่า  ชอบแต่ไม่อยู่เพราะอาตมาไม่ต้องการอยู่  อาตมามาเพื่อจะไป  ไม่ได้มาเพื่อจะอยู่  ชายผู้เฒ่าอายุประมาณ ๗๐-๘๐ กว่าปี ชวนอีกว่าถ้าพระคุณเจ้าอยู่ผมจะช่วยให้ทำได้สำเร็จ  เพราะผมมีสมบัติมาก  พระคุณเจ้าตามผมมาซิผมจะพาไปดู  

       พระภิกษุหนุ่มก็กำหนดในจิตว่าแผ่เมตตาเดินตามชายผู้เฒ่าชราภาพไป ลงไปในถ้ำอย่างง่ายดาย  เหมือนเข้าไปในห้องโถงใหญ่กว้างประมาณ ๑๒ เมตร มีห้องเล็ก ๆประมาณ ๓ ห้อง เฒ่าชราคนนั้นก็ค่อย ๆ เปิดประตูออกทีละห้องทั้ง ๓ ห้อง แล้วพูดว่า... “พระคุณเจ้าจะกลัวอะไร  ว่าจะไม่มีคนช่วย  โยมยินดีช่วยทุกอย่าง รัตนะทั้งสามห้องนี้โยมจะยกถวายพระคุณเจ้า และบริวารของผมก็จะมาช่วยพระคุณเจ้าอีกหลายร้อยคน  ที่อยู่หมู่บ้านโน้น”   พร้อมกับชี้มือไป  

         พระภิกษุหนุ่มก็มองตามมือของผู้เฒ่าที่ชี้ไป  เห็นผู้คนทั้งชายและหญิงเป็นจำนวนมาก  ขณะนั้นพระภิกษุหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจว่า  เราถูกหลอกหรือเปล่า  เสียงชายผู้เฒ่าก็พูดขึ้นว่า... “โยมไม่หลอกท่านหรอก”    พระภิกษุหนุ่มพูดขึ้นว่า... “อาตมายังไม่มีความสามารถที่จะรับทรัพย์ของโยมได้หรอก  เพราะทรัพย์เหล่านี้ไม่ใช่ของอาตมา  เป็นสมบัติของแผ่นดิน  และทรัพย์เหล่านี้ก็มีเจ้าของผู้คุ้มครองดูแลรักษาอยู่แล้ว”   ชายผู้เฒ่าก็ได้กล่าวว่า... “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้โยมจะมาหาท่านใหม่บางทีท่านอาจจะเปลี่ยนใจ  แต่โยมชอบท่านอยากให้ท่านอยู่ที่นี่”   แล้วก็เดินออกจากถ้ำและหายไปอย่างรวดเร็ว  

           พอรุ่งเช้าประมาณ ๗ โมงเช้า   ท่านฤๅษีวาสุเทพเดินมาทักว่า  เป็นอย่างไรท่าน เมื่อคืนมีโยมมาหา  ชอบไหม  พระภิกษุหนุ่มตอบอย่างเรียบเฉยว่า ครบวันที่อาตมาจะเดินทางแล้วตามที่ตั้งจิตอธิษฐานในการปักกลดไว้แล้ว  ตามสัจจะที่ตั้งไว้  ท่านฤๅษี  อาตมาลาท่านเลยนะ  ฤๅษีตอบว่า...  “ขอให้มีชัยตลอดกาล”           

          พระภิกษุหนุ่มเมื่อเก็บบริขารเสร็จแล้วก็นั่งแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา  ที่ได้ให้อาศัยอยู่บำเพ็ญสมณธรรม ณ ที่แห่งนี้  พระภิกษุหนุ่มได้เดินทางมุ่งหน้า ไปสู่เขต อำเภอสังคม   จังหวัดหนองคายต่อไป…