ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา เปรียบเทียบ ศึกษาความสัมพันธ์ อำนาจพยากรณ์ และหาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง ขนาดของโรงเรียนและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 334 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 87 คน หัวหน้าบริหารงานวิชาการ จำนวน 87 คน และครูผู้สอน จำนวน 160 คน ในปีการศึกษา 2564 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie and Morgan และใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi - Stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยแบบสอบถามภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 และแบบสอบถามประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t - test ชนิด Independent Samples การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One - Way ANOVA) การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson’s Product - Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแต่ละขั้นตอน
พิมพิลา อำนาจ (2566). ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ. การศึกษาหลักสูตร ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดโรงเรียน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูจากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำนวน 320 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความตรงรายข้ออยู่ระหว่าง .67-1.00 และ มีค่าความเที่ยงทั้งฉบับเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) การทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสร้างกระบวนการแบบท้าทาย รองลงมาตามลำดับ คือ ด้านการมีวิถีทางสร้างต้นแบบ ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ ด้านการทำให้ผู้อื่นได้แสดงความสามารถ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการแบ่งปันวิสัยทัศน์ให้เกิดแรงบันดาลใจ 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีอายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงานและขนาดโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน กำหนดนโยบายที่ชัดเจน นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ กำหนดบทบาทหน้าที่ตรงกับความสามารถของบุคลากร และประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม
อัญชุมาลย์ บุญประคม และ ชลาภรณ์ สุวรรณสัมฤทธิ์ (2023). ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี.มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่8 ฉบับที่2 พ.ศ.2566;หน้า539
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วสันต์ ศักดาศักดิ์ (2565). เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี. การบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.
Digital Leadership Relationships among School Administrators with the Effectiveness of Academic Work in the New Normal Era
ความสัมพันธ์ความเป็นผู้นำทางดิจิทัลระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลของงานวิชาการในยุคปกติใหม่
Abstract
This research article aims to (1) study the digital leadership of educational institution administrators under the Sukhothai Primary Educational Service Area Office, Area 2, Thailand (2) study the effectiveness of academic work in the new normal era of administrators under the Sukhothai Educational Service Area Office, Area 2, Thailand. Sukhothai Primary Educational Service Area Office 2, Thailand and (3) study the relationship between digital leadership of school administrators and academic work effectiveness in the new normal era under the Sukhothai Primary Educational Service Area Office 2, Thailand. This is quantitative research. The sample group is educational institution administrators. and academic teachers of affiliated educational institutions Sukhothai Primary Educational Service Area Office 2, 230 people. The research tool is a questionnaire on digital leadership of school administrators and academic effectiveness in the new normal era. It is a 5-level rating scale questionnaire. Data is analysed using basic statistics to find the average. and standard deviation and the relationship was analysed using the Pearson correlation coefficient. The results of the research found that (1) the digital leadership of educational institution administrators under the Sukhothai Primary Educational Service Area Office, Area 2, Thailand is overall at a high level; (2) academic work effectiveness in the new normal era of administrators under the district office Sukhothai Primary Educational Service Area Office 2, Thailand, overall is at the highest level, and (3) the relationship between digital leadership of school administrators and academic work effectiveness in the new normal era under the Office of Sukhothai Primary Educational Service Area 2, Thailand, was found. that there is a statistically significant relationship at the 0.01 level
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 (2) ศึกษาประสิทธิผลงานวิชาการในยุคปกติใหม่ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลงานวิชาการในยุคปกติใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 จำนวน 230 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลงานวิชาการในยุคปกติใหม่ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า (1) ภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิภาพงานวิชาการในยุคปกติใหม่ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพงานวิชาการในยุคปกติใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ (4) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพงานวิชาการในยุคปกติใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
Nantawat Khemtong+Kittiyaporn Promchom+Phetcharat Thumsen and Nirada Wechayalak (2024) Digital Leadership Relationships among School Administrators with the Effectiveness of Academic Work in the New Normal Era. Higher Education Studies, v14 n.3 Year:2024 page38-47
การบ้านครั้งที่ 4 ของขวัญปีใหม่ไทย
บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ไทย 3 เรื่อง ฐาน ThaiLIS
เรื่องที่ 1 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ต่อภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อได้แนวปฏิบัติของภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 28 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 28 จำนวน 351 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และการตรวจสอบเอฟ สำหรับกลุ่มตัวอย่าง และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ เชฟเฟ่ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ในภาพรวมภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 28 มีภาวะผู้นำดิจิทัลอยู่ในระดับปานกลาง 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ต่อภาวะผู้นำดิจิทัล จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา ขนาดเล็กกับขนาดกลางไม่แตกต่างกัน สถานศึกษาขนาดเล็กกับขนาดใหญ่ และ ขนาดกลางกับขนาดใหญ่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 มีทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ภาวะผู้นำด้านนวัตกรรม ผู้บริหารควรส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ร่วมงานมีการนำแนวคิดและนวัตกรรมมาใช้พัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ มีความคิดนอกกรอบ โดยไม่ยึดติดกับกรอบงานหรือวิธีการทำงานรูปแบบล้าสมัย และสามารถสร้างทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อหาแนวทาง ในการพัฒนาและขับเคลื่อนการดำเนินงาน ผู้บริหารมีการส่งเสริมและสนับสนุน บุคลากรให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดค้น ทางเลือกที่หลากหลายในการพัฒนางานใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดนวัตกรรมการทำงาน 2) ผู้นำด้านเทคโนโลยี ผู้บริหารมีการประเมินคุณภาพของเทคโนโลยีที่ใช้ในสถานศึกษา ผู้บริหารใช้เทคโนโลยีในการเก็บรวบรวม การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลผลการวิเคราะห์ ผู้บริหารเป็นต้นแบบในการนำเทคโนโลยีมาใช้ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารให้ผู้ร่วมงานเห็นปัญหา ที่เกิดเป็นเรื่องเร่งด่วนแก้ไขเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้แก้ปัญหาร่วมกัน ผู้บริหารมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหารงาน ผู้บริหารให้ขวัญและกำลังใจครูในการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ 4) ภาวะผู้นำด้านการสื่อสาร ผู้บริหารรับฟังความคิดเห็นของครูผู้สอนเพื่อปรับปรุงงานอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ครูเข้าพบเพื่อปรึกษาหารือทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ผู้บริหารสนับสนุนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติงาน 5) ภาวะผู้นำที่แท้จริง ผู้บริหารมีการกระตุ้นให้ผู้ร่วมงานทำงานอย่างอิสระใช้ความคิดในขอบเขตของงานที่ตนมีความรู้ชำนาญงาน ผู้บริหารมีความขยันหมั่นเพียรตั้งใจปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จ ผู้บริหารสนับสนุนสมาชิก ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผนงาน
พิชญาพงศ์ พันธ์จันทร์ (2566). ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28. การบริหารการศึกษา สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
เรื่องที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่จำนวนทั้งสิ้น 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 6 ระดับ ค่าความเชื่อมั่น 0.84 วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่โดยภาพรวม และจำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับจริง 2) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ โดยภาพรวมและจำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับค่อนข้างจริง 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ พบว่ามีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง
วารุณี ธรรมขันธ์ (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยพายัพ.
เรื่องที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2
บทคัดย่อ
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 2) เพื่อศึกษาการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 จำนวน 316 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.98 และค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู มีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางบวกระดับสูงมาก (r = 0.876**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
พรประภา จันทร์เม้า (2567). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยพะเยา.
บทคัดย่อวารสารไทย 3 เรื่อง ฐาน ThaiJO
เรื่องที่ 1 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลกในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้กลุ่มประชากรในการศึกษาได้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 39 แห่ง โดยเลือกแบบเจาะจงกลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 39 คน และครูหัวหน้างานวิชาการ จำนวน 39 คนรวมทั้งสิ้น 78 คน และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คนเพื่อหาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลกโดยภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดเมื่อพิจารณาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลของผู้บริหารรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือด้านการพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุดคือด้านการสื่อสาร 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำควรอบรมและพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีแก่บุคลากรจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้อง
ณิรดา เวชญาลักษณ์ (2023). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นาในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก.วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์. ปีที่18 ฉบับที่1 พ.ศ.2566;หน้า45-58
เรื่องที่ 2 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา ตำแหน่งวิทยฐานะ และกลุ่มสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาใน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 357 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของโคเฮน และใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.977 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) และการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé’s Multiple Comparison Method) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษาและตำแหน่งวิทยฐานะต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน และครูที่สังกัดกลุ่มสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
รุสมัน มะนอ และ อำนวย ทองโปร่ง (2023). ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย. ปีที่15 ฉบับที่1 พ.ศ.2566;หน้า134-149
เรื่องที่ 3 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 1
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้แก่ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครูรวมทั้งสิ้น 328 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.984 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) การปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และ3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้แก่ ด้านการสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลและด้านการรู้ดิจิทัล ร่วมกันพยากรณ์แปรปรวนของการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1ได้ร้อยละ 49.00อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปแบบมาตรฐาน คือZ ́y = .397ZX4 +.351ZX3
วรรณภา ปรึกษา และ กัญญ์รัชการย์ เลิศอมรศักดิ์ (2024). ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 1. วารสารสิรินธรปริทรรศน์. ปีที่25 ฉบับที่1 พ.ศ.2567;หน้า287-296
บทคัดย่องานวิจัยการศึกษาไทย 3 เรื่อง ฐาน ThaiEd Research
เรื่องที่ 1 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
ปรียานุช ทับหนองฮี (2566).ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1.ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก.
เรื่องที่ 2 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ข้าราชการครู จำนวน 346 คน ได้มาจากการได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซีและมอร์แกนแล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่ายตามลำดับ เครื่องมือที่ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบคำถามปลายเปิด โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยการทดสอบค่าที และค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. ผลเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการแสดงเป็นแบบฉบับให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรให้โอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนให้บุคลากรสามารถนำตนเองได้ของผู้บริหารสถานศึกษา และการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ
เทพรัตน์ ศรีคราม (2562). ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.
เรื่องที่ 3 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 3) เพื่อสร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 และ 4) เพื่อประเมินกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ และการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 125 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือผู้รักษาราชการแทน ครู กรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง นักเรียน รวมทั้งหมด 500 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน จากค่าดัชนีความต้องการจำเป็น วิเคราะห์โอกาส ภาวะคุกคามและกำหนดกลยุทธ์โดยใช้รูปแบบของ SWOT Matrix และประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของกลยุทธ์จากผู้ทรงคุณวุฒิผลการวิจัยพบว่า
1. องค์ประกอบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา มี 5 องค์ประกอบ คือ การมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ และการมีพฤติกรรมทางจริยธรรม
2. ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการพัฒนามากเป็นลำดับที่หนึ่ง คือ การมีพฤติกรรมทางจริยธรรม โดยมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.27 รองลงมา คือ การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล และการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ โดยมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.26, 0.25, 0.20 และ 0.19 ตามลำดับ
3. กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มี 5 กลยุทธ์หลัก คือ กลยุทธ์กระตุ้นพฤติกรรมทางจริยธรรม กลยุทธ์ส่งเสริมการกระตุ้นทางปัญญา กลยุทธ์ส่งเสริมการสร้างแรงบันดาลใจ กลยุทธ์มุ่งเน้นความสำคัญของปัจเจกบุคคล และกลยุทธ์เสริมสร้างอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ โดยมี 19
กลยุทธ์รองและ 92 แนวทางปฏิบัติ
4. การประเมินกลยุทธ์ ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.84 และความเป็นไปได้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75
ทัพพ์นิธิศ ปิ่นภัคพูลลดา (2560). กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา.
บทคัดย่องานวิจัยต่างประเทศ 3 เรื่อง ฐาน ERIC
เรื่องที่ 1 The Perceptions of Educational Administrators towards Digital Leadership in the Age of Artificial Intelligence: A Qualitative Study
การรับรู้ของผู้บริหารการศึกษาต่อภาวะผู้นำทางดิจิทัลในยุคปัญญาประดิษฐ์: การศึกษาเชิงคุณภาพ
Abstract
Artificial intelligence technologies are used in many fields and have become a part of our lives. The field of artificial intelligence, which has an important place, especially in the field of education and digital leadership, is constantly developing and is expected to create even greater impacts in the future. The main purpose of this research is to examine the perception of educational administrators towards digital leadership in the age of artificial intelligence. In the research, phenomenological design, one of the qualitative research methods, was used. The study group was comprised of 15 educational administrators. These participants were selected using maximum sampling method, derived from purposive sampling methods. In the study, a semi-structured interview form created by the researchers by analyzing the literature in detail and taking expert opinions was used as a data collection tool. Descriptive and content analysis was used to analyze the data. According to the results of the research, the themes of general perceptions of educational administrators towards artificial intelligence, perceptions on the use of artificial intelligence in education, general perceptions of digital leadership, and suggestions for educational administrators towards artificial intelligence and digital leadership emerged.
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ในหลายสาขาและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา สาขาปัญญาประดิษฐ์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษาและความเป็นผู้นำทางดิจิทัลกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในอนาคต วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยนี้คือการตรวจสอบการรับรู้ของผู้บริหารการศึกษาต่อความเป็นผู้นำทางดิจิทัลในยุคของปัญญาประดิษฐ์ ในการวิจัยนี้ ได้ใช้การออกแบบเชิงปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพวิธีหนึ่ง กลุ่มการศึกษาประกอบด้วยผู้บริหารการศึกษา 15 คน ผู้เข้าร่วมเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างสูงสุด ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มแบบมีจุดประสงค์ ในการศึกษานี้ มีการใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างที่นักวิจัยสร้างขึ้นโดยวิเคราะห์เอกสารอย่างละเอียดและรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์เชิงพรรณนาและเนื้อหาถูกใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล จากผลการวิจัย พบว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้ทั่วไปของผู้บริหารการศึกษาต่อปัญญาประดิษฐ์ การรับรู้เกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการศึกษา การรับรู้ทั่วไปเกี่ยวกับความเป็นผู้นำทางดิจิทัล และข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหารการศึกษาต่อปัญญาประดิษฐ์และความเป็นผู้นำทางดิจิทัล
Gülçin Kurkan and Münevver Çetin (2024). The Perceptions of Educational Administrators towards Digital Leadership in the Age of Artificial Intelligence: A Qualitative Study. International Journal of Contemporary Educational Research, v11 n.3 Year:2024 page425-439.
เรื่องที่ 2 The Leadership Enhancement in Education 4.0 School Administrators
การพัฒนาภาวะผู้นำในสถานศึกษายุค 4.0 ของผู้บริหารสถานศึกษา
Abstract
The objectives of this research were: 1) to study the components, 2) to study the current situation and the desirable conditions, and 3) To assess needs for enhancement of leadership of school administrators in Education 4.0 under the Office of Secondary Education Service Areas in the Northeast region. The sample group included schools under the Office of Secondary Educational Service Areas in the Northeast region. The data were collected from 15 school administrators, 365 teachers, with the total number of 380 persons by using Stratified Random Sampling. The instruments used in this research were component evaluation form and questionnaire. The statistics used for data analysis comprised percentage, mean, standard deviation, reliability and PNI modified. The research results were found that: I. The components for leadership enhancing in education 4.0 professional administrators consisted of 7 components as follows: 1) Knowledge and ability, 2) Leadership skills, 3) Academic skills, 4) Morality and ethics, 5) Modern skills, 6) Characteristics, and 7) Results of performance. II. The current situation for leadership enhancing in education 4.0 professional, in overall, was rated at a moderate level, the desirable conditions, in overall, were rated at the highest level. III. The priorities of needs assessment are 1) Results of performance, 2) Morality and ethics, 3) Characteristics, 4) Modern skills, 5) Leadership skills 6) Knowledge and ability, and 7) Academic skills.
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบ 2) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันและเงื่อนไขที่พึงประสงค์ 3) เพื่อประเมินความต้องการในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในระบบการศึกษา 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษา 15 คน ครู 365 คน รวม 380 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินองค์ประกอบ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความน่าเชื่อถือ และค่า PNI ที่ปรับแล้ว ผลการวิจัยพบว่า I. องค์ประกอบในการเสริมสร้างภาวะผู้นำในผู้บริหารสถานศึกษา 4.0 ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ความรู้ความสามารถ 2) ทักษะความเป็นผู้นำ 3) ทักษะด้านวิชาการ 4) คุณธรรมจริยธรรม 5) ทักษะด้านสมัยใหม่ 6) คุณลักษณะเฉพาะตัว และ 7) ทักษะด้านผลการปฏิบัติงาน II. สถานการณ์ปัจจุบันของการเสริมสร้างภาวะผู้นำในผู้บริหารสถานศึกษา 4.0 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเงื่อนไขที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด III. ลำดับความสำคัญของการประเมินความต้องการ คือ 1) ผลลัพธ์การปฏิบัติงาน 2) คุณธรรมจริยธรรม 3) คุณลักษณะเฉพาะตัว 4) ทักษะด้านสมัยใหม่ 5) ทักษะความเป็นผู้นำ 6) ความรู้ความสามารถ และ 7) ทักษะด้านวิชาการ
Kuljira Raksanakorn1+Supattarasak Khumsamart and Tuwanan Ratthananin-Anan (2022). The Leadership Enhancement in Education 4.0 School Administrators. International Education Studies, v15 n.3 Year:2022 page77-84.
เรื่องที่ 3 Program Development of Digital Leadership for School Administrators under the Office of Primary Educational Service Area
โครงการพัฒนาภาวะผู้นำทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
Abstract
The purposes of the research aim to 1) To study the components and indicators of digital leadership of school administrators 2) To study the current condition desirable conditions and necessities for digital leadership of school administrators 3) Develop a digital leadership development program for school administrators 4) To study the effect of using digital leadership development program of school administrators. Results of the research are as follows: 1) Digital leadership of school administrators consist of 7 components, 22 indicators 2) Desirable Conditions for Digital Leadership of School Administrators. The overall average was at a low level. Desirable Conditions for Digital Leadership of School Administrators Overall, it's at the highest level. and the necessity of developing digital leadership among school administrators, the highest value was digital vision leadership, 3) Program development of digital leadership for school administrators is suitable possible and is useful overall, it was at the highest level. 4) The results of using the program; 4.1) Program development of digital leadership for school administrators. The efficiency was 93.01/95.55, which was higher than the 80/80 threshold set. 4.2) The effectiveness index in the program was 0.9306 or equivalent to 93.06 percent. 4.3) Program development of digital leadership for school administrators has higher academic achievement after school than before with statistical significance at the .05 level. 4.4) Executives developed with the program was no difference in educational achievement scores after 2 weeks of study. 4.5) Satisfaction of school administrators, Overall, the satisfaction level was at the highest level.
วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน เงื่อนไขที่พึงประสงค์และความจำเป็นของภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน 3) พัฒนาโปรแกรมการพัฒนาภาวะผู้นำทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหารโรงเรียน 4) เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการพัฒนาภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ 22 ตัวชี้วัด 2) เงื่อนไขที่พึงประสงค์สำหรับภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ เงื่อนไขที่พึงประสงค์สำหรับภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำทางดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน โดยมีค่าสูงสุดคือ ภาวะผู้นำด้านวิสัยทัศน์ทางดิจิทัล 3) การพัฒนาโปรแกรมภาวะผู้นำทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหารโรงเรียนมีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการใช้โปรแกรม 4.1) การพัฒนาโปรแกรมภาวะผู้นำทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหารโรงเรียน ประสิทธิภาพเท่ากับ 93.01/95.55 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 4.2) ดัชนีประสิทธิผลของโปรแกรมเท่ากับ 0.9306 หรือคิดเป็นร้อยละ 93.06 4.3) การพัฒนาโปรแกรมภาวะผู้นำทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหารสถานศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเลิกเรียนสูงกว่าก่อนเริ่มเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.4) ผู้บริหารที่พัฒนาด้วยโปรแกรมไม่มีความแตกต่างกันในคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากการเรียนรู้ 2 สัปดาห์ 4.5) ความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
Chutima Luecha+Chalard Chantarasombat and Chaiyuth Sirisuthi (2022). Program Development of Digital Leadership for School Administrators under the Office of Primary Educational Service Area. World Journal of Education, v12 n.2 Year:2022 page15-27.
Prompt สร้างบุคลิกการ์ตูนอย่างน้อย 5 แบบ