การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพพึงประสงค์ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จำนวน 315 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยใช้สูตรของ เครจซี่ และ มอร์แกน (Krejcie & Morgan) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จำนวน 8 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็นในด้านต่าง ๆ โดยใช้ค่าดัชนี PNI Modified และแบบสัมภาษณ์ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินการปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำเชิง สร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ความต้องการจำเป็น (PNI modified) ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 พบว่า ด้านจินตนาการมีค่าความต้องการจำเป็นสูงที่สุด รองลงมา ด้านการแก้ปัญหา ด้านวิสัยทัศน์ ด้านความไว้วางใจ และภาวะผู้นำด้านความยืดหยุ่น ตามลำดับ แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 พบว่า ภาวะผู้นำด้านวิสัยทัศน์ผู้บริหาร สถานศึกษาต้องเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังเสียงสะท้อนจากภายนอก ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการบริหารแบบมีส่วนร่วม ภาวะผู้นำด้านจินตนาการผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นนักวางแผนที่ดี มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน หาทางออกของปัญหาและนำเสนอนโยบายไปสู่ความสำเร็จ ภาวะผู้นำด้านความยืดหยุ่นผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์ คาดการณ์ และตั้งรับเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ เป็นผู้รอบรู้ ใช้เทคโนโลยี เพื่อช่วยสืบค้น ใช้ข้อมูลช่วยตัดสินใจ ภาวะผู้นำด้านการแก้ปัญหาผู้บริหารสถานศึกษาต้องยึดกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์เหตุแห่งปัญหา วางแผนดำเนินการตามลำดับ สื่อสาร สั่งการ ตรวจสอบ ภาวะผู้นำด้านความไว้วางใจผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ยึดหลักธรรมาภิบาล มอบงานตามความรู้ความสามารถของสมาชิก
เสาวณีย์ สมบูรณ์ศิโรรัตน์ (2564) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 20 คน ครูผู้สอน จำนวน 327 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 347 คน จากการเทียบหาสัดส่วนแล้วทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวม พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 อยู่ในระดับสูง (rxy= 0.776)
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ 2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
ปรียานุช ทับหนองฮี (2566) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 กรุงเทพฯ ,มหาวิทยาลัย ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก
The Relationship between School Administrators' Creative Leadership Qualities and School's Organizational Intelligence Levels
This study aims to investigate the relationships between the creative leadership qualities of school administrators and the organizational intelligence of schools. This is a correlational study, one of the methods of quantitative research. Teachers from the Van districts of pekyolu, Tusba, and Edremit are included in the study. The sample for this study consists of 451 teachers randomly selected from schools in these districts. The research data was collected using the Multidimensional Organizational Intelligence Scale and The Creative Leadership Qualities of School Administrators' Scale. Using the arithmetic mean, standard deviation, correlation average, and regression analysis, the data were analyzed. The study found a significant and positive correlation between the creative leadership qualities of school administrators and the organizational intelligence of schools. School administrators' creative leadership qualities and sub-dimensions are significant predictors of their institutions' organizational intelligence.
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนและระดับสติปัญญาขององค์กรของโรงเรียน
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับสติปัญญาขององค์กรในโรงเรียน ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงความสัมพันธ์วิธีหนึ่ง โดยได้รวมครูจากเขต Van ของ Pekyolu, Tusba และ Edremit ไว้ในการศึกษาครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างสำหรับการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยครู 451 คนที่ได้รับการคัดเลือกแบบสุ่มจากโรงเรียนในเขตเหล่านี้ ข้อมูลการวิจัยรวบรวมโดยใช้ Multidimensional Organizational Intelligence Scale (ระดับสติปัญญาขององค์กรแบบหลายมิติ) และ The Creative Leadership Qualities of School Administrators' Scale (ระดับคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียน) โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอย การศึกษานี้พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับสติปัญญาขององค์กรในโรงเรียน คุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์และมิติย่อยของผู้บริหารโรงเรียนเป็นตัวทำนายที่สำคัญของสติปัญญาขององค์กรในสถาบันของตน
Saglam, Ebru and Uçar, Rezzan (2022) The Relationship between School Administrators' Creative Leadership Qualities and School's Organizational Intelligence Levels ,International Journal of Psychology and Educational Studies, v9 n4 p1133-1147 2022
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความสำคัญของโรงเรียน สมาชิกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาโรมันกาฬสินธุ์ เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ 1 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ 1 และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ 1 จำนวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.935 และ 0.841 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน สมการการถดถอยใช้ทำนายตัวแปรตามโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์โดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษาและประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ 1 อยู่ในระดับสูง 2. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 1 โดยรวมเป็นไปในเชิงบวกมาก (rxy = .817) (p<.01) 3. ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 1 มี 3 ด้าน คือ จินตนาการ (X3) ความยืดหยุ่น (X1) และความเป็นปัจเจก (X5) โดยทั้ง 3 ตัวแปรสามารถทำนายความแปรปรวนของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้ 67.70%
สมจิตร-ชูศรีวาส (2563)ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความสำคัญของโรงเรียน สมาชิกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาโรมันกาฬสินธุ์ เขต 1,มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา แบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรทางการศึกษา 362 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.31 - 0.80 ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการพรรณาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ตามลำดับดังนี้ ผู้นำมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน ผู้นำการเรียนรู้แบบทีม ผู้นำของผู้นำ ผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2.1) ผู้บริหารสถานศึกษาควรเป็นผู้ที่มีความคิดเชิงบวกทั้งต่อตนเองต่อการงานและเพื่อนร่วมงาน คอยกระตุ้นบุคลากรในองค์กรให้ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างสร้างสรรค์ 2.2) ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถให้การชี้นำ ชักนำ จูงใจ ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาให้แสดงความเป็นภาวะผู้นำ ตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มตามศักยภาพ 2.3) ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวางแผนกลยุทธ์ และตั้งเป้าหมายขององค์กรได้อย่างชัดเจน 2.4) ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง ติดตามการทำงานสม่ำเสมอ คำสำคัญ : แนวทางการพัฒนา , ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์
ภคินี ศรีสุไชย(2564),แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ,มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18
Factors affecting creativity leadership of school administrators in secondary educational service area office 18
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน สภาพแวดล้อมแบบเปิด ความรู้เชิงลึกและภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมแบบเปิด ปัจจัยความรู้เชิงลึกกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำ เชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 จำนวน 349 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product-moment correlation coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายในที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมแบบเปิดที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3. ปัจจัยด้านความรู้เชิงลึกที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 4. ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 5. ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายในทั้ง 3 ด้าน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 ในระดับค่อนข้างสูง 6. ปัจจัยที่มีอำนาจพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 เรียงลำดับจากตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุด คือ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมแบบเปิด ด้านการสนับสนุนความคิดใหม่ ๆ (X7) ปัจจัยด้านความรู้เชิงลึก ด้านทักษะ (X10) ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมแบบเปิด ด้านความอิสระ (X4) ปัจจัยด้านความรู้เชิงลึก ด้านประสบการณ์ (X9) ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ด้านเป้าหมาย (X1) และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม แบบเปิด ด้านความไว้วางใจ (X6) ได้สมการพยากรณ์ในรูปสมการคะแนนดิบ หรือเขียนในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Y = .211 + .171 (X7) + .308 (X10) + .133 (X4) + .138 (X9) + .117 (X1) + .091 (X6) Z = .187 (ZX7) + .319 (ZX10) + .154 (ZX4) + .157 (ZX9) + .116 (ZX1) + .114 (ZX6)
นพพร โอภาชาติ (2562),ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 ,มหาวิทยาลัยบูรพา. สำนักหอสมุด
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต2
Creative Leadership of school Administrators in Pracharat School under the Office Rayong Primary Education Area 2
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนประชารัฐสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูโรงเรียนประชารัฐ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 จำนวน 93 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยเปิดตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan แล้วสุ่มอย่างง่ายเพื่อหาสัดส่วนแต่ละโรงเรียน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามเป็น แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.90 และแบบสัมภาษณ์เป็นแบบมีโครงสร้าง สุ่มแบบเจาะจง ตัวอย่างที่ใช้ในการสัมภาษณ์จำนวน10 คน ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา 5 คน ครูผู้สอน 5 คน ของโรงเรียนประชารัฐ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลการสัมภาษณ์วิเคราะห์โดยการสรุปเป็นความเรียง
ผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของโรงเรียนแน่นอนว่าจะต้องมีใครบ้างที่โรงงานเหล่านี้รวมถึงการศึกษาระยอง เขต 2 โดยรวมมีแนวปฏิบัติที่ยอมรับได้เป็นอย่างมาก มีการฝึกทักษะที่ประสบความสำเร็จในระดับมาก ซึ่งสูงสุดคือการสร้างมนุษยสัมพันธ์รองใครคือผู้ที่ไว้วางใจ และด้านการเจรจาต่อรองกับคู่แข่งที่มีพฤติกรรมที่ล้มเหลวในระดับมาก ที่สุดคือการเปรียบเทียบการบริหารเวลา 2) แนวทางการพัฒนาสถานการณ์ผู้นำเชิงสร้างสรรค์เชิงอรรถสำหรับทุกคนในโรงเรียนจะต้องมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก บทความนี้ควรอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับเครื่องมือสมัยใหม่ เปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีใหม่ ส่งเสริมและสื่อเทคโนโลยีสำหรับครูด้านการทำงานด้านต่างๆ บริหารเวลาที่กล่าวถึงการแข่งขันและมีความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การเจรจาต่อรองของผู้นำเสนอนำมาซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมที่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้าวที่ดีซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีตามมาสำหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายจัดการเวลา จะขอควรรู้จักวางแผนและทุก ๆ ช่วงเวลาเหล่านี้ควรกำหนดประเด็นด้านเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย จำเป็นและด้านผู้บริหาร ผู้จัดการจะได้รับคำแนะนำจากงานให้สม่ำเสมอตามความรู้ความสามารถที่เหมาะสมและมีคำถามใด ๆ สำหรับทุกคน ประโยชน์จากการวิจัยทำให้พนักงานเป้าหมายและครูได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาความเป็นผู้นำของผู้นำ เชิงสร้างสรรค์ของประเด็นที่ต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านการบริหารเวลาและในการนำผลการวิจัยมาใช้การวางแผนกำหนดนโยบายการจัดการจัดการระบบจัดการลำดับขั้นตอนของการกำหนดเป้าหมายของโรงเรียนเพื่อให้ประชาชนได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและปรับเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้พบกันในปัจจุบัน
จิราภรณ์ ลอยขจร(2565),ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต2 .มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย.วารสารสิรินธรปริทรรศน์ .ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม–ธันวาคม2565
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารจำแนกตามลักษณะประชากร และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูโรงเรียนเอกชนในเขตบางกะปิ จำนวน 170 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามกลุ่มตัวอย่างที่โรงเรียนกำหนด และรองผู้อำนวยการโรงเรียน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนลิเคิร์ต 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.916 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ กระบวนการทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนโดยการทดสอบที ซึ่งกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาพรวมและรายด้านของระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร อยู่ในระดับมาก 2) ครูโรงเรียนเอกชนที่มีอายุต่างกันมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร ในภาพรวมด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การทำงานเป็นทีม ความไว้วางใจ การบริหารเวลา การสื่อสาร และการสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 3) ครูที่มีประสบการณ์การทำงานน้อยกว่า 10 ปี และตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร ในภาพรวมด้านการใช้เวลาและการสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร ประกอบด้วย นโยบายการสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการพัฒนากระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ
ณิชาภา พรหมไชยา, เทราดะภิญโญ, และ สงบอินทรมาณี (2562). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในเขตบางกะปิ. วารสารการศึกษาอุตสาหกรรม , 18 (2), 156–164.
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัยและ 2.แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย โดยวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย โดยใช้แบบสอบถามสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 285 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ทั้ง 5 ด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ รองลงมา คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีจินตนาการ 2) ผลการศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ควรพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถแสดงภาพในอนาคตที่ดีต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลต่าง ๆ ด้วยความเคารพ ต้องประยุกต์ใช้ความรู้จากประสบการณ์เดิมมาคิดใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อโรงเรียน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นจนงานสำเร็จตามเป้าหมายและส่งเสริมการเรียนรู้ของครูภายในทีม ต้องสร้างความเชื่อมั่น ความศรัทธาโดยใช้จินตนาการโดยการออกมาเป็นวิสัยทัศน์ และมีความเป็นกันเองกับบุคลากร
ธนากร ชมภูเครือ และทัศนะ ศรีปัตตา (2024). สภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย. วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.), 6(3), 382–392.
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์และตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ และศึกษาแนวทางการนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ ขั้นตอนการวิจัยมี 4 ระยะ คือ 1) การกำหนดองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ จากการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ จำนวน 7 คน 2) ตรวจสอบเครื่องมือวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ได้ค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ .96 นำเครื่องมือการวิจัยไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .95 ใช้แบบสอบถามไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีการศึกษา 2560 จำนวน 200 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) 3) นำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ที่ได้มาสร้างเป็นแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้รู้แจ้งชัด จำนวน 30 คน 4) สัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบปฏิสัมพันธ์ จำนวน 7 คน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบและตัวบ่งชี้เชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ 61 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ ด้านการปรับตัว 6 ตัวบ่งชี้ ด้านผู้นำการเปลี่ยนแปลง 5 ตัวบ่งชี้ ด้านความฉลาดทางอารมณ์ 5 ตัวบ่งชี้ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ 8 ตัวบ่งชี้ ด้านการสื่อสารและปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ 10 ตัวบ่งชี้ ด้านความคิดริเริ่ม 6 ตัวบ่งชี้ ด้านการคิดนอกกรอบ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านความต้องการความสำเร็จ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านทิศทางและเป้าหมาย 4 ตัวบ่งชี้ และด้านความพึงพอใจในงาน 5 ตัวบ่งชี้
2. ผลตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพ พบว่า ตัวบ่งชี้ทุกตัวมีความเที่ยงตรงตามสภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
3. แนวทางนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ มีแนวทางในการนำไปใช้ที่สำคัญ 5 แนวทาง ได้แก่ แนวทางการปรับตัว แนวทางการสื่อสาร แนวทางการพัฒนากระบวนการคิด แนวทางการพัฒนาศักยภาพหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และแนวทางการสร้างความพึงพอใจในการทำงาน
ดร.ชนภรณ์ อือตระกูล (2560).องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้.ครูและบุคลากรทางการศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2) ตรวจสอบและยืนยันความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 1) ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และนำแนวคิดมาจัดทำเป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 2) การร่างรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 3) ประเมินความเหมาะสมของร่างรูปแบบการภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาโดยการจัดประชุมกลุ่มสนทนา (Focus Group) โดยเป็นผู้ทรงวุฒิด้านบริหารการศึกษา ด้านการบริหารสถานศึกษา และด้านภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ จำนวน 7 คน เพื่อให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอแนะการปรับรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 4) ยืนยันความเป็นไปได้ของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาจากผู้ทรงวุฒิภายนอกโดยการจัดประชุมยืนยัน (Connoisseurship) ผู้ทรงวุฒิอีก 7 คน ผลการวิจัยพบว่า จากการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้กรอบแนวคิดในการวิจัย 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านวิสัยทัศน์ 2) ด้านความคิดสร้างสรรค์ 3) ด้านการทำงานเป็นทีม 4) ด้านการแก้ไขปัญหา และ 5) ด้านความรับผิดชอบในการทำงาน การประเมินความเหมาะสมของร่างรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ลำดับแรกคือ ด้านการทำงานเป็นทีม ลำดับที่สองคือ ด้านการแก้ปัญหา ลำดับที่สามคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และลำดับสุดท้ายคือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านความรับผิดชอบในการทำงานการยืนยันรูปแบบของผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่ารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติร้อยละ 100
ศักดา ทองดี (2559).การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง.นักวิชาการศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 3) เพื่อสร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 และ 4) เพื่อประเมินกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ และการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 125 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือผู้รักษาราชการแทน ครู กรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง นักเรียน รวมทั้งหมด 500 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน จากค่าดัชนีความต้องการจำเป็น วิเคราะห์โอกาส ภาวะคุกคามและกำหนดกลยุทธ์โดยใช้รูปแบบของ SWOT Matrix และประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของกลยุทธ์จากผู้ทรงคุณวุฒิผลการวิจัยพบว่า
1. องค์ประกอบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา มี 5 องค์ประกอบ คือ การมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ และการมีพฤติกรรมทางจริยธรรม
2. ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการพัฒนามากเป็นลำดับที่หนึ่ง คือ การมีพฤติกรรมทางจริยธรรม โดยมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.27 รองลงมา คือ การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล และการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ โดยมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.26, 0.25, 0.20 และ 0.19 ตามลำดับ
3. กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มี 5 กลยุทธ์หลัก คือ กลยุทธ์กระตุ้นพฤติกรรมทางจริยธรรม กลยุทธ์ส่งเสริมการกระตุ้นทางปัญญา กลยุทธ์ส่งเสริมการสร้างแรงบันดาลใจ กลยุทธ์มุ่งเน้นความสำคัญของปัจเจกบุคคล และกลยุทธ์เสริมสร้างอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ โดยมี 19 กลยุทธ์รองและ 92 แนวทางปฏิบัติ 4. การประเมินกลยุทธ์ ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.84 และความเป็นไปได้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75
นายทัพพ์นิธิศ ปิ่นภัคพูลลดา(2560) .กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6.
นักวิชาการศึกษา
Approaches to Disruptive Leadership Development of School Administrators in Schools under the Nonthaburi Primary Educational Service Area Office 2
Abstract
This research utilized a mixed methods approach and was conducted in two phases. In the first phase, the study aimed to investigate the degree of success and important state of disruptive leadership of school administrators from the perspective of teachers in the Nonthaburi Primary Educational Service Area Office 2 (NPESAO2). A total of 306 teachers from NPESAO2 schools were selected using multi-stage random sampling based on a statistical determination using Cohen's sample sizes at a significant level of .05. A five-point Likert scale with a reliability of 0.990 and 0.986, respectively, was utilized for phase one. Statistical analyses included mean, standard deviation, and the modified priority needs index (PNI[subscript modified]) -- the second phase aimed to develop a disruptive leadership approach for school administrators within the NPESAO2. Nine participants, including an academic expert in educational management at the directorial level (or equivalent), educational supervisors from the NPESAO2, and school administrators, were selected using purposive sampling. Semi-structured interviews were employed as the research instrument for phase two. The findings revealed that: 1) the degree of success and importance of state requirements for disruptive leadership of school administrators in schools under the NPESAO2 were at high and highest levels, respectively. The most crucial priority needs were strategic management, digital leadership, creative thinking, and lifelong learning. 2) The approach for developing disruptive leadership among school administrators under the NPESAO2 is the CLUDS model, which includes Creative Thinking, Lifelong Learning, Understanding, Digital Technology in Education, and Strong Teamwork.
Ploychompoo Buranajinda and Patumphorn Piatanom (2024).Approaches to Disruptive Leadership Development of School Administrators in Schools under the Nonthaburi Primary Educational Service Area Office 2 .Shanlax International Journal of Education
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครปฐม เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ใช้แนวทางแบบผสมผสานและดำเนินการในสองระยะ ระยะแรก การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จและสถานะสำคัญของภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนจากมุมมองของครูในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2 นครปฐม (NPESAO2) ครูทั้งหมด 306 คนจากโรงเรียน NPESAO2 ได้รับการคัดเลือกโดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอนตามการกำหนดทางสถิติโดยใช้ขนาดตัวอย่างของ Cohen ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ระยะที่หนึ่งใช้มาตราส่วนลิเคิร์ต 5 ระดับที่มีความน่าเชื่อถือ 0.990 และ 0.986 ตามลำดับ การวิเคราะห์ทางสถิติรวมถึงค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการตามลำดับความสำคัญที่ปรับเปลี่ยน (PNI[subscript modified]) ระยะที่สองมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารโรงเรียนภายใน NPESAO2 ผู้เข้าร่วมเก้าคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการด้านการจัดการการศึกษาในระดับผู้อำนวยการ (หรือเทียบเท่า) หัวหน้างานการศึกษาจาก NPESAO2 และผู้บริหารโรงเรียน ได้รับการคัดเลือกโดยใช้การสุ่มแบบมีจุดประสงค์ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างถูกใช้เป็นเครื่องมือวิจัยสำหรับระยะที่สอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความสำเร็จและความสำคัญของข้อกำหนดของรัฐสำหรับภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนภายใต้ NPESAO2 อยู่ในระดับสูงและสูงสุดตามลำดับ ความต้องการที่มีความสำคัญสูงสุด ได้แก่ การจัดการเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำแบบดิจิทัล การคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์ในหมู่ผู้บริหารโรงเรียนภายใต้ NPESAO2 คือแบบจำลอง CLUDS ซึ่งรวมถึงการคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ความเข้าใจ เทคโนโลยีดิจิทัลในการศึกษา และการทำงานเป็นทีมที่แข็งแกร่ง
พลอยชมพู บูรณจินดา และ ปทุมพร เปียนนม . (2567) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครปฐม เขต 2 .วารสารนานาชาติ Shanlax
Sustainable Leadership Development Strategies of School Administrators under the Secondary Educational Service Area Office Nakhon Phanom
Abstract
The objectives of this mixed-method study were to develop strategies for sustainable leadership of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office Nakhon Phanom. There were 4 research methods: phase I) identify the components of sustainable leadership of school administrators by interviewing 5 experts and confirming factors by 5 experts, phase II) develop strategies for sustainable leadership in a focus group including 7 people, phase III) validate the appropriateness, feasibility and utility of sustainable leadership development by collected of data which comprised 84 school administrators using multi-stage random sampling, and phase IV) produce a user manual of strategies by 5 experts for validate the appropriateness of user manual. The findings were as follows: I) There were four main components in the sustainable leadership of school administrators, namely 1) depth 2) breadth 3) vision, and 4) media literacy. All of the components have appropriateness at the highest level and feasibility at the high. II) The strategies for the development of sustainable leadership of school administrators comprised a vision, 6 missions, 6 objectives, 7 strategies, 61 operational approaches, and 25 indicators. III) The appropriateness, feasibility, and utility of the strategies for the development of sustainable leadership of school administrators were at the highest level. IV) The user manual of the strategies for the development of sustainable leadership of school administrators obtained the overall appropriateness at the highest level.
Theeranan Motham, Waro Phengsawat and Akkaluck Pheasa(2023).Sustainable Leadership Development Strategies of School Administrators under the Secondary Educational Service Area Office Nakhon Phanom .International Education Studies .International Education Studies, v17 n2 p25-32 2024
กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำอย่างยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 นครพนม
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยแบบผสมผสานครั้งนี้ คือ เพื่อพัฒนาแนวทางการเป็นผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 จังหวัดนครพนม โดยใช้วิธีการวิจัย 4 วิธี คือ ระยะที่ 1 ระบุองค์ประกอบของการเป็นผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และยืนยันปัจจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางการเป็นผู้นำที่ยั่งยืนในกลุ่มตัวอย่าง 7 คน ระยะที่ 3 พิสูจน์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และประโยชน์ของการพัฒนาการเป็นผู้นำที่ยั่งยืน โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษา 84 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และระยะที่ 4 จัดทำคู่มือการใช้งานกลยุทธ์โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน เพื่อพิสูจน์ความเหมาะสมของคู่มือการใช้งาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเป็นผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา มีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ คือ 1) เชิงลึก 2) เชิงกว้าง 3) วิสัยทัศน์ และ 4) การรู้เท่าทันสื่อ โดยองค์ประกอบทั้งหมดมีความเหมาะสมในระดับสูงสุดและมีความเป็นไปได้ในระดับสูง II) กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ 6 ภารกิจ 6 วัตถุประสงค์ 7 กลยุทธ์ 61 แนวทางการดำเนินงาน และ 25 ตัวบ่งชี้ III) ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และประโยชน์ของกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด IV) คู่มือการใช้งานกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับเหมาะสมโดยรวมมากที่สุด
ธีรนันท์ หมอธรรม, วโร เพ็งสวัสดิ์ และ อัคลักษณ์ เพสา (2566).กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำอย่างยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 นครพนม.การศึกษาด้านการศึกษาระหว่างประเทศฉบับที่ 17 ฉบับที่ 2 หน้า 25-32 2567
Approaches to Spiritual Leadership Development of School Administrators in Schools under the Bangkok Metropolitan Administration
Abstract
This mixed methods research was applied and divided into two phases. In phase one, was conducted with two main objectives: 1) to study the spiritual leadership of school administrators according to the perspectives of teachers in the Bangkok Metropolitan Administration (BMA); and 2) to compare the spiritual leadership of school administrators according to the perspectives of teachers in BMA, classified by areas, school sizes, education levels, and academic standings. The samples included 370 teachers from educational school inthe BMA. Next, multi-stage random sampling was used to select teachers from the BMAas participants in this research. The research instrument for phase one was a five-point Likert scale. In phase two, was conducted with the objective of creating spiritual leadership development guidelines for school administrators under the BMA. Using purposive sampling,there was a total of nine participants, including two deputy directors, four education supervisors, Department of Education, BMA; and three school administrators, BMA. The research instrument used was structured interviews. The results of the research found that: 1) the spiritual leadership of school administrators from the perspectives of BMA teachers were at high levels overall and in each aspect; 2) the spiritual leadership of educational institution administrators from the perspectives of teachers within the BMA classified by areas, school sizes, education levels, and academic standingswere not different overall and in each aspect; and 3) approaches to the spiritual leadership development of school administrators under the BMAinclude development of knowledge and skills, forming of attitudes, and implementation.
Korngsook Wacharin and Piatanom Patumphorn (2023).Approaches to Spiritual Leadership Development of School Administrators in Schools under the Bangkok Metropolitan Administration .Shanlax International Journal of Education, v11 n3 p9-17 Jun 2023
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร
บทคัดย่อ
การวิจัยแบบผสมผสานนี้ใช้วิธีการและแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนตามมุมมองของครูในกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนตามมุมมองของครูในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามพื้นที่ ขนาดโรงเรียน ระดับการศึกษา และผลการเรียน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครูจากโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 370 คน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนเพื่อคัดเลือกครูจากกรุงเทพมหานครเป็นผู้เข้าร่วมการวิจัย เครื่องมือวิจัยสำหรับระยะที่ 1 คือ มาตราส่วนลิเคิร์ต 5 ระดับ ระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณสำหรับผู้บริหารโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 9 คน ได้แก่ รองผู้อำนวยการ 2 คน หัวหน้าฝ่ายการศึกษากรุงเทพมหานคร 4 คน และผู้บริหารโรงเรียนกรุงเทพมหานคร 3 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาในมุมมองของครูกรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก โดยรวมและทุกด้าน 2) ภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาในมุมมองของครูภายในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามพื้นที่ ขนาดโรงเรียน ระดับการศึกษา และสถานภาพทางวิชาการ โดยรวมและทุกด้าน ไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้แก่ การพัฒนาความรู้ ทักษะ การสร้างทัศนคติ และการนำไปปฏิบัติ
กรรณสุข วัชรินทร์ และ เปียนนม ปทุมพร (2566).แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร.วารสารการศึกษานานาชาติ Shanlax ฉบับที่ 11 ฉบับที่ 3 หน้า 9-17 มิถุนายน 2566