บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร?
บุหรี่ไฟฟ้า หรือ ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic cigarette) เป็นอุปกรณ์สำหรับสูบบุหรี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น แบบปากกา (e-pens) แบบไปป์ (e-pipes) ฮุกกา (e-hookah) ซิการ์ (e-cigars) และบาราก (baraku) ทุกรูปแบบมีลักษณะการทำงานคล้ายกัน คือ การปล่อยสารนิโคตินผสมผ่านออกมาพร้อมกับไอน้ำ เพื่อสูดเข้าไปสู่ทางเดินหายใจและปอด โดยใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆ ดังนั้นจึงแตกต่างจากการสูบบุหรี่มวนทั่วไป คือ จะไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้ แต่จะมีสารเคมีอื่นๆ จากกระบวนการผลิตไอน้ำแทน ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ แบตเตอรี่ ตัวทำให้เกิดไอและความร้อน (Atomizer) และน้ำยา หากจะกล่าวถึงเฉพาะส่วนของน้ำยาที่จะถูกทำให้เป็นไอและเข้าสู่ร่างกายของผู้สูบ จะประกอบด้วยสารเคมีต่างๆ ได้แก่
นิโคติน เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่พบได้ในทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ปกติทั่วไป เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่ ดังนั้นหากใช้ผิดวิธีบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้
โพรไพลินไกลคอลและกลีเซอรีน หากสูดดมจะระคายเคืองปอด กระตุ้นให้เกิดอาการไอ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหอบหืด
สารประกอบอื่นๆ เช่น สารแต่งกลิ่นและรส นิกเกิล ตะกั่ว โคบอลต์ แคดเมียม โครเมียม โทลูอีน เบนซิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่หากสูดเข้าไปเป็นประจำจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
ในปัจจุบันวิวัฒนาการของบุหรี่ไฟฟ้านั้นแบ่งได้ประมาณ 4 ยุค ตั้งแต่ยุคแรกที่คล้ายบุหรี่จริง แบบปากกา แบบเป็นแทงค์ แบบเป็นฝัก (Pod) รูปแบบคล้ายแฟรชไดร์ฟ และบางรุ่นไม่ต้องเติมน้ำยาใช้เทคโนโลยีความร้อนแต่ไม่เผาไหม้ (heat not burn technology) โดยบริษัทผู้ผลิตได้พยายามพัฒนาทั้งรูปแบบ การใช้งาน สารที่ผสม และทำการตลาดเพื่อความสะดวกและความบันเทิงในการใช้งาน กระตุ้นให้เยาวชนอยากครอบครองเป็นเจ้าของมากขึ้น เช่น บางรุ่นสามารถเล่นเกมส์ได้ เป็นนาฬิกา หรือมีการผสมสารชะลอวัย (anti-oxidant) แล้วทำการโฆษณาเพื่อจูงใจให้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น
ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพ
อันตรายจากสารเคมีชนิดต่างๆ ที่พบในน้ำยา เช่น
นิโคติน จะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้นิโคตินยังกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งสารนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวาน นิโคตินกระตุ้นให้จำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง โดยนิโคตินที่ใช้ในน้ำยาจะเป็นนิโคตินสังเคราะห์ที่รองรับการปรุงแต่งกลิ่นรสได้ ซึ่งนิโคตินสังเคราะห์จะดูดซึมได้เร็วกว่านิโคตินแบบดั้งเดิม จึงส่งผลกระทบมากกว่าเดิม
โพรไพลีนไกลคอล กลีเซอรีน และสารเคมีอื่นๆ ที่ถูกผสมใน e-liquid หากสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองตั้งแต่ที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรัง โรคหืด หรือมีภาวะหลอดลมไวเกินต่อสิ่งกระตุ้น
อันตรายจากความร้อน ไอน้ำ และอุปกรณ์มีโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล แคดเมียม ตะกั่ว
เมื่อสูดเข้าไปย่อมไประคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และไอระเหยที่มีสารเคมีและสารก่อมะเร็งผสมอยู่ หากสูดเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอด และมะเร็งระบบอื่นๆ เช่น มะเร็งช่องปาก หลอดอาหาร และตับอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (Vaping-associated lung injury : EVALI) ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยมีอาการคล้ายคลึงกับปอดอักเสบรุนแรงจากโควิด-19 ในยุคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้
กลุ่มผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามือสองก็อาจได้รับผลกระทบ จากการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีต่าง ๆ ที่ปะปนในอากาศบริเวณที่มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้า พบว่าในอากาศเหล่านั้นก็มีสารเคมีต่างๆ รวมถึงสารก่อมะเร็งจากบุหรี่ไฟฟ้าปะปนในปริมาณที่สูงเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสที่จะได้รับสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสารเหล่านี้ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งในผู้ใกล้ชิดด้วยหรือไม่ เนื่องจากยังเป็นอุปกรณ์ใหม่ยังไม่มีข้อมูลถึงผลกระทบระยะยาว นอกจากนี้ไอระเหยที่มีสารเคมีผสมอยู่จะกระตุ้นให้ผู้ที่มีภาวะหลอดลมไวเกินต่อสิ่งกระตุ้น หรือโรคหืด หรือโรคปอดเรื้อรังเดิม มีอาการกำเริบขึ้นได้
บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกการสูบบุหรี่ธรรมดาได้หรือไม่
ผู้ที่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่วนมากเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่จริง ทั้งๆ ที่ในบุหรี่ไฟฟ้าบรรจุสารนิโคตินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับในบุหรี่จริง ดังนั้น การสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึง ไม่ใช่และไม่ช่วย ในการเลิกสูบบุหรี่จริง ในทางตรงกันข้ามเมื่อคิดว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นปลอดภัยก็อาจเพิ่มปริมาณการสูบที่มากขึ้น และนิโคตินสังเคราะห์ในน้ำยาก็ดูดซึมได้ดีกว่า กลิ่นและรสชาติดีกว่า เวลาที่ถืออุปกรณ์สูบแล้วดูดีดูแพง โอกาสติดบุหรี่ไฟฟ้าและนิโคตินยิ่งสูงขึ้น ทำให้ความสำเร็จในการเลิกบุหรี่ยิ่งลดลงไปอีก นอกจากนี้ยังมีข้อมูลพบว่า ผู้ที่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่วนมากก็ยังคงสูบบุหรี่จริงอยู่แม้จะหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วก็ตาม นั่นหมายความว่าผู้สูบยังคงได้รับสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายอยู่ตลอดและอาจมากขึ้นกว่าเดิม
ในปัจจุบันข้อมูลทางการแพทย์ในประเทศไทย ยังไม่สนับสนุนความคิดที่จะนำเอาบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ธรรมดา และยังแนะนำว่าไม่ควรนำเอาบุหรี่ไฟฟ้าทุกประเภทมาใช้จนกว่าจะได้มีการศึกษารวบรวมข้อมูล และสามารถมีนโยบายควบคุมสารเคมีและส่วนประกอบต่างๆ ที่จะนำมาใส่ไว้ในบุหรี่ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยก่อน