ตารีอีนา
ตารีอีนาบ้านสามแยก ตำบลกายูคละ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่มีศิลปวัฒนธรรม ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตนเองคือการแสดง "ตารีอีนา" และ "ซีละ" โดยเฉพาะการแสดงตารีอีนา ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยนั้นนับวันจะสูญหายไปเนื่องจากขาดผู้สืบทอด องค์การบริหารส่วนตำบลกายูคละและศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอแว้ง สนับสนุนให้เยาวชนเป็นพลังสำคัญ ที่จะช่วยสืบสาน ถ่ายทอด ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงร่วมกับองค์กรเยาวชน องค์การ บริหารส่วนตำบลกายูคละ จัดทำโครงการศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น (ตารีอีนา) องค์กรเยาวชนระดับ บริหารส่วน ตำบลกายูคละ เพื่อสร้างจิตสำนึกรักถิ่นฐานบ้านเกิด ตารีอีนาเป็นการแสดงที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ถ้าไม่มีการสืบทอดอีกไม่นานตารีอีนาก็จะ หายไปในที่สุด โดยเยาวชนจากทุกหมู่บ้านในตำบลกายูคละทั้ง 9 หมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่อทำ กิจกรรม เหล่านี้ เพื่อให้เยาวชนได้สืบสานวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และห่างไกลจากยา เสพติดโดยการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งหลังจากที่ได้ดำเนินงานมาเกือบ 1 ปีผลที่ได้ก็ คือเยาวชนเกิดความหวง แหนในศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของตนเอง เกิดความรักใคร่สามัคคีกลมเกลียว เวลาทำกิจกรรมอะไรก็จะทำกัน เป็นกลุ่มในนามของกลุ่มองค์กรเยาวชนกายูคละ ซึ่งต้องการอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านเหล่านี้ไว้เพื่อให้ ลูกหลานคนรุ่นใหม่ได้เห็นได้รู้ได้รักในวัฒนธรรมของตนเอง จึงเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณในการ ซื้อเครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการแสดง มะยะโก๊ะ ยูโซ๊ะ (2561) การแสดงตารีอีนา เป็นการที่แสดงผสมผสานระหว่างยิมนาสติกกับมโนราห์ ในสมัยก่อนผู้ชายนิยมจะเล่นกัน แต่ปัจจุบันต้องเปลี่ยนมาเป็นเด็กผู้หญิงเพราะร่างกายจะอ่อนช้อยสวยงาม กว่า นิยมแสดงในงานต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรืองานมงคลต่างๆ โดยทั่วไปแล้วผู้น าจะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่น่าพึงปรารถนาเป็นผู้ที่มีอ านาจได้รับการยกย่อง นับถือ มีทรัพย์สิน หรือ ความสามารถหลายๆด้าน คุณสมบัติดังกล่าวนี้อาจจะมีแต่เพียงประการเดียวหรือ หลายประการรวมกันก็ได้ แต่ประการสำคัญที่สุดที่ผู้นำต้องมีคือความสามารถในการนำสมาชิกของกลุ่มให้ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ทางกลุ่มได้วางเอาไว้ผู้น าตามธรรมชาติหรือผู้นำที่ไม่เป็นทางการอีกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ผู้นำกลุ่มอันหลากหลายเช่น กลุ่มอาชีพต่างๆ กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน ประธานกองทุน เป็นต้น ควรมีการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำที่เป็น ทางการกับไม่เป็นทางการ นอกจากจะมีผู้นำที่มาจากองค์การท้องที่ องค์การปกครองท้องถิ่น และผู้นำ ธรรมชาติที่สังคมยอมรับในความสามารถแล้วยังมีผู้นำอีกหนึ่งคนในชุมชนให้ความเคารพ นับถือยิ่งกว่า คือผู้นำทางศาสนา ดังนั้นเมื่อชุมชนสามารถรวมตัวผู้น าสี่เสาหลักนี้ได้ (ผู้นำองค์การท้องที่ ผู้นำองค์การปกครอง ท้องถิ่น ผู้นำ ธรรมชาติ และผู้นำทางศาสนา) เพื่อทำกิจกรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็สามารถทำให้ชุมชนที่ตนอาศัย อยู่มีความเข้มแข็งได้ (ประเวศ วะสี, 2552) องค์การบริหารส่วนต าบลกายูคละและศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ แว้งเล็งเห็นว่าองค์เยาวชนเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยสืบสานถ่ายทอด ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงร่วมกับองค์กรเยาวชน องค์การบริหารส่วนตำบลกายูคละ จัดทำโครงการศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น (ตารีอี นา) "เพื่อสร้างจิตส านึกรักถิ่นฐานบ้านเกิดให้เยาวชนมีความภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและ ร่วมกันรักษาไว้อย่างยั่งยืน (ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน “ตารีอีนา-ซีละ”, 2554) "ตารีอีนาเป็นการแสดงที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยถ้าไม่มีการสืบทอดอีกไม่นานตารีอีนา ก็จะหายไปในที่สุด” โดยเยาวชนจากทุกหมู่บ้านในตำบลกายูคละทั้ง 9 หมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่อทำ กิจกรรมเหล่านี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้สืบสานวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์และห่างไกลจากยาเสพติด โดยการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งหลังจากที่ได้ด าเนินงานมาเกือบ 1 ปี ผลที่ได้ ก็คือ เยาวชนเกิดความหวงแหนในศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของตนเองเกิดความรักใคร่สามัคคีกลม เกลียว เวลาทำกิจกรรมอะไรก็จะทำกันเป็นกลุ่มในนามของกลุ่มองค์กรเยาวชนกายูคละ" (ศิลปะการแสดง พื้นบ้าน “ตารีอีนา-ซีละ”, 2554) ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้นสื่อสะท้อนให้เห็นว่ามรดกทางวัฒนธรรมในปัจจุบัน(ตารีอีนา) มีเพียง แห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมกันอยู่ คือที่ ตำบลกายูคละ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส หากไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรภาครัฐใดเข้ามาบริหารจัดการ สนับสนุนอย่างจริงจัง การสูญหายของมรดกทาง
ดังนั้นวัฒนธรรมชิ้นนี้ก็อาจจะสูญหายไปในที่สุด เพราะแม้จะมีหน่วยงานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วน ผลักดันในการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้ ภายใต้การร่วมสืบทอดขององค์กรเยาวชนในพื้นที่ มีส่วนร่วม ให้ผู้คนรักและหวงแหนร่วมกันให้ดำรงอยู่ผ่านกระบวนการจัดการความรู้ที่ทรงคุณค่าสืบต่อไป