ประวัติของขนุนนุมีถิ่นกำเนิดในนิวกินีและภูมิภาคอินโด-มาเลย์ และแพร่กระจายไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่โดยชาวเกาะที่เดินทางท่องเที่ยว ชาวยุโรปค้นพบขนุนในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 1500 พวกเขาประหลาดใจและดีใจกับต้นไม้ที่ให้ผลไม้ที่มีแป้งมาก ซึ่งเมื่อนำไปย่างในไฟจะมีเนื้อสัมผัสและกลิ่นที่คล้ายกับขนมปังที่เพิ่งอบใหม่
ลักษณะขนุนผล เป็นผลรวม ผลมีขนาดใหญ่ ในหนึ่งผลใหญ่จะมีผลย่อยอยู่หลายผล ผิวมีหนามสั้นเนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลือง เมื่อสุกมีกลิ่นหอม รสหวาน ลักษณะเมล็ด มีจำนวนมาก รูปค่อนข้างกลม หรือขอบขนาน กว้าง 15-20 มิลลิเมตร ยาว 25-30 มิลลิเมตร ระยะการออกดอกติดผล
วิธีการปลูก
1 . ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการทาบกิ่ง ติดตา หรือเสียบยอด
2. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
3. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 ซม.
4. ผสมดินด้วยปุ๋ยคอกจำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตจำนวน 500 กรัม เข้าด้วยกันในหลุมให้สูง ประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม
5. ยกถุงต้นพันธุ์วางในหลุมโดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
6. ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปลายถุงทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
7. ดึงถุงพลาสติกออกโดยระวังอย่าให้ดินแตก
8. กลบดินที่เหลือลงในหลุม อย่ากลบดินให้สูงถึงรอยเสียบยอดหรือรอยทาบ
9. กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
10. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึดกันลมพัดโยก
11. หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง
12. รดน้ำให้ชุ่ม
13. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
14. แกะผ้าพลาสติกที่พันรอยเสียบยอด หรือรอยทาบ เมื่อปลูกไปแล้วประมาณ ครึ่งเดือน ระยะปลูก8 x 8 เมตร จำนวนต้น/ไร่ ประมาณ 25 ต้น / ไร่
การดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย
ควรพรวนดินรอบบริเวณรัศมีทรงพุ่ม การใส่ปุ๋ยควรใส่ปุ๋ยเคมีพร้อมกับปุ๋ยอินทรีย์ ต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว แบ่งการใส่ปุ๋ย ดังนี้
1. บำรุงต้น ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16
2. สร้างตาดอก ใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-24-24
3. บำรุงผล ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16
4. ปรับปรุงคุณภาพ ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ส่วนปริมาณการใช้ปุ๋ยประมาณ 1 – 2 กิโลกรัม / ต้น / ครั้ง สำหรับต้นขนุนที่มีอายุประมาณ 8 ปี และเพิ่มปริมาณมากขึ้นตามอายุ และขนาดทรงพุ่ม
การให้น้ำ
หลังการปลูกถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำทุกวัน หลังจากนั้นถ้าฝนไม่ตกอีกควรรดน้ำประมาณ 3-4 วัน/ครั้ง จนเห็นว่าตั้งตัวดีจึงเว้นการรดน้ำใหห่างออกไป ในฤดูแล้งนั้นควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ การป้องกันกำจัดศัตรูพืช – ใบ เพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอม ป้องกันโดยใช้สารอโซดริน มาลาไธออน
– ดอก โรคราดำ ป้องกันโดยใช้สารเบโนมิลหรือกำมะหยี่ผงชนิดละลายน้ำ
– ผล แมลงวันผลไม้ ป้องกันโดยการห่อผลหรือใช้สารไดเมทโธเอทหรือโมโนโครโตฟอส
– ด้วงเจาะลำต้น ป้องกันโดยใช้สำลีจุ่มสารเคมีฆ่าแมลงชนิดดูดซึมอุดเข้าไปในรูที่ถูกทำลายแล้วปิดรูด้วยดินน้ำมันหรือดินเหนียว นอกจากนี้ ควรดูแลรักษาความสะอาดของชาวสวน และควรตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคอยู่เสมอ เป็นการป้องกันการเข้าทำลายของศัตรูต่างๆได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปราบศัตรูพืช