เหล็ก คือ โลหะที่มนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์มายาวนานนับแต่ 5,000-900 ปีก่อนพุทธศักราชโดยเริ่มจากนำมาเป็นอาวุธ หรือประกอบเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ จนต่อมาขยายขอบเขตการใช้เป็นเครื่องมือช่วยสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงเป็นส่วนประกอบของที่อยู่อาศัยด้วย
ปัจจุบันในวงการก่อสร้างล้วนต้องเกี่ยวข้องใช้ประโยชน์จากเหล็กทั้งทางตรงและ/หรือทางอ้อม ซึ่งตัวเหล็กที่ถูกนำมาใช้นี้แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ได้แก่
1.เหล็กหล่อ (Cast Iron)
เกิดจากการนำแร่ธาตุเหล็กมาผสมกับองค์ประกอบอื่นแล้วหล่อออกมาให้เป็นรูปทรงซึ่งมีคุณสมบัติทั้งแข็งและยังเปราะในเวลาเดียวกัน ทว่าไม่สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ด้วยวิธีการอื่น แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น เหล็กหล่อสีขาว (White Cast Iron), เหล็กหล่อสีเทาหรือสีดำ (Gray Cast Iron), เหล็กหล่อกราไฟต์กลม (Spheroidal Graphite Cast Iron or Nodular Cast Iron), เหล็กหล่อ CGI (Compacted graphite), เหล็กหล่ออบเหนียว (malleable Cast Irons) หรือเหล็กหล่อเหนียว (GT), เหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อพิเศษ (Alloy and Special Cast Iron)
คุณสมบัติเหล็กหล่อที่สำคัญ
-มีปริมาณคาร์บอน 2%-6.67%
-มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1150–1250 °C
-อัตราขยายตัวต่ำ
-รับแรงอัดดี รับแรงดึงได้น้อย
-แข็งแรงอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
-ราคาถูกประหยัดเชื้อเพลิงถลุง
2.เหล็กกล้า (Steel)
เกิดจากการนำแร่ธาตุเหล็กมาผสมกับองค์ประกอบอื่น ให้มีความเหนียวและหยุ่นตัว สามารถนำไปแปรรูปร่างได้ตามต้องการ จึงนิยมมากอุตสาหกรรมก่อสร้าง แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ “เหล็กกล้าคาร์บอน” และ “เหล็กกล้าผสม”
สำหรับเหล็กกล้าที่นิยมมาแปรรูปเพื่อใช้ในวงการอุตสาหกรรมมีด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่เหล็กเส้นคอนกรีต (Reinforced Concrete หรือ Ferro Concrete), เหล็กรูปพรรณ (Structural Steel) และลวดเหล็ก (Wire Rod)
คุณสมบัติเหล็กกล้าที่สำคัญ
-มีปริมาณคาร์บอน 0.008%-2%
-มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1539 °C
-อัตราขยายตัวสูง
-รับแรงอัดดี รับแรงดึงได้มาก
-แข็งแรงอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง-สูง
-ราคาแพง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการถลุง
ขอบคุณบทความจาก "แทนคุณ แบบเหล็ก"
#แทนคุณแบบเหล็ก
www.tankunsteel.com