สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30
Title Alternative
The School Administrators’ Competencies in School Administration based on the Professional Standards of the Teacher Council in the schools under the Secondary Educational Service Area Office 30.
Creator
Name: อนุเทพ กุศลคุ้ม
Subject
keyword: สถานศึกษา-ผู้บริหาร
Classification :.DDC: 371.201 อ191ส 2561
Description
Abstract: บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต30 ปีการศึกษา 2561 จานวน 393 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน แล้วทาการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .953 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ F–test แบบ One-Way ANOVA ผลการวิจัย ปรากฏดังนี้ 1) ระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและข้าราชการครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารด้านวิชาการ รองลงมา ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยี และสารสนเทศ และด้านคุณธรรมจริยธรรมสาหรับผู้บริหาร ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 จาแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา มีดังนี้ ควรพัฒนามุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา ทั้งในระยะสั้นและยาว โดยการเน้นจุดอ่อน จุดแข็งของชุมชน และองค์กร เพื่อนำมาใช้เป็นฐานวิเคราะห์ข้อมูล ควรกำหนดแผนปฏิบัติการประจาปีของสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาให้ตรงตามความต้องการผู้เรียนและนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ควรบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ในสถานศึกษา โดยแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานกลุ่มงานประกันคุณภาพ นิเทศติดตาม ตรวจสอบ สรุปผลการดำเนินงานเพื่อรับการประเมินทั้งภายใน และภายนอกต่อไป ควรมีการจัดการข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ มีการจัดกิจกรรมที่ชุมชนมีส่วนร่วม มีการช่วยเหลือชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรบริหารระบบสารสนเทศภายในสถานศึกษา ให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของครู นักเรียน ผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติปฏิบัติตน ในการปฏิบัติตนทั้งในด้านการทำงาน การดำเนินชีวิตและเป็นกัลยาณมิตร
: อนุเทพ กุศลคุ้ม (2561) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภา ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 วิทยานิพนธ์.สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ.มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา
Title Alternative
The school administrators’ competencies effecting the operation standard of the performance of information and communication technology for education in schools under the secondary educational service area office 6 Chachoengsao
Creator
Name: ฉวีวรรณ ฉัตรวิไล
Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
Subject
keyword: สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา
ThaSH: มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ -- วิทยานิพนธ์
Classification :.DDC: 373.1
ThaSH: วิทยานิพนธ์
ThaSH: เทคโนโลยีทางการศึกษา
ThaSH: ผู้บริหารโรงเรียน
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 4) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ การมีวิสัยทัศน์ การพัฒนาศักยภาพบุคคล ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ การบริการที่ดี การสื่อสารจูงใจ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การทำงานเป็นทีม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การพัฒนาตนเอง 2) การดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ กระบวนการเรียนรู้ การเรียนการสอน การบริหารจัดการภายในสถานศึกษา ความร่วมมือภาครัฐ เอกชนและชุมชน โครงสร้างพื้นฐาน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ทรัพยากรการเรียนรู้ 3) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา ในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การพัฒนาตนเอง และการทำงานเป็นทีม ส่วนการบริการที่ดี การสื่อสารและการจูงใจ การพัฒนาศักยภาพบุคคล และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสร้างเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการถดถอยพหุคูณในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน Z’y = .185X1 - .251X3 - .269X4 + .319X5 + .882X8
: ฉวีวรรณ ฉัตรวิไล (2560).สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินการตามมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา.วิทยานิพนธ์.การสื่อสารเพื่อการศึกษา.เทคโนโลยีทางการศึกษา.มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์.เทคโนโลยีทางการศึกษา.สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0
Title Alternative
A Competency Development Model of School Administrators for Thailand 4.0
Creator
Name: ภิชาพัชญ์ โหนา
Subject
keyword: สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา
Classification :.DDC: 371.2 ภ519ร
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา ในยุคประเทศไทย 4.0 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 และ 3) ประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 วิธีดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะ ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 โดยศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูและประธานกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1,137 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้คือ การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ขั้นตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ ร่างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 และเอกสารประกอบการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้ คือ การวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา ในยุคประเทศไทย 4.0 ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิโดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 มีจำนวน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านการบริหารงานเชิงกลยุทธ์ 2) ด้านความรู้ 3) ด้านบุคลิกภาพ 4) ด้านการพัฒนาทีมงาน 5) ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงและ 6) ด้านการบริหารบุคคล 2. รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 ประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 ส่วนได้แก่ ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ส่วนที่ 2 ส่วนเนื้อหาและส่วนที่ 3 ส่วนการนำไปใช้ 3. การประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก
: ภิชาพัชญ์ โหนา (2561).รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0.วิทยานิพนธ์.ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์.สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สมรรถนะของผู้บริหารอาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก
Article Sidebar
เผยแพร่แล้ว: ก.พ. 22, 2022
คำสำคัญ:
สมรรถนะ, ผู้บริหารอาชีวศึกษา, ศตวรรษที่ 21
Main Article Content
พิริยา บุญเย็น
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้บริหารอาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก ประชากร ได้แก่ บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งสิ้น 394 คน และกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก โดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างครูแบ่งชั้นภูมิตามจำนวนสถานศึกษาเพื่อเทียบสัดส่วนครู จำนวน 191 คน และเลือกแบบเจาะจงผู้บริหาร จำนวน 5 คน รวมทั้งสิ้น 196 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6-1.0 ค่าความเชื่อมั่น 0.975 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะของผู้บริหารอาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านภาวะผู้นำ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการสื่อสารและการจูงใจ
: พิริยา บุญเย็น (2564) สมรรถนะของผู้บริหารอาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.ปีที่ 19.ฉบับที่ 2
Abstract
Recently, the Brazilian Ministry of Education issued New Curriculum Guidelines for engineering programs. This paper encompasses a pedagogical intervention reflecting our efforts to incorporate these new guidelines into our engineering program. Specifically, this work has led to the competency-based rework of the following subjects offered in the Chemical Engineering Undergraduate Program at the Federal University of São Paulo (Unifesp): I) Modeling and Systems Analysis; II) Synthesis and Optimization of Chemical Processes; III) Chemical Process Simulation; IV) Process Analysis and Control; V) Chemical Process Design; and VI) Chemical Installations Design. Thirteen transdisciplinary competencies are integrated throughout the six subjects. Students highlighted design thinking, lifelong knowledge/learning, openness to act autonomously, teamwork, communication, and cooperation as essential qualities. Moreover, the greater focus on the process systems engineering approach involving the analysis, synthesis, design, and control of sustainable processes helps chemical engineers to face new challenges using renewable resources.
บทคัดย่อ
เมื่อเร็ว ๆ นี้กระทรวงศึกษาธิการของบราซิลได้ออกแนวทางหลักสูตรใหม่สำหรับโปรแกรมวิศวกรรม บทความนี้ครอบคลุมการแทรกแซงการสอนที่สะท้อนถึงความพยายามของเราในการรวมแนวทางใหม่เหล่านี้เข้ากับโปรแกรมวิศวกรรมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานนี้ได้นําไปสู่การทำงานซ้ำตามความสามารถของวิชาต่อไปนี้ที่เปิดสอนในหลักสูตรระดับปริญญาตรีวิศวกรรมเคมีที่ Federal University of São Paulo (Unifesp): I) การสร้างแบบจําลองและการวิเคราะห์ระบบ II) การสังเคราะห์และการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทางเคมี III) การจําลองกระบวนการทางเคมี IV) การวิเคราะห์และควบคุมกระบวนการ V) การออกแบบกระบวนการทางเคมี และ VI) การออกแบบการติดตั้งสารเคมี ความสามารถแบบสหวิทยาการสิบสามประการถูกบูรณาการทั่วทั้งหกวิชา นักเรียนเน้นการคิดเชิงออกแบบความรู้ / การเรียนรู้ตลอดชีวิตการเปิดกว้างในการดำเนินการด้วยตนเองการทำงานเป็นทีมการสื่อสารและความร่วมมือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับแนวทางวิศวกรรมระบบกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ออกแบบ และควบคุมกระบวนการที่ยั่งยืนมากขึ้นช่วยให้วิศวกรเคมีเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ โดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียน
Roger Assis de Oliveira, Giovanna Milena Borges Hipólito, Ricardo de Freitas Fernandes Pontes 1, Paulo Henrique Nascimento Ferreira, Ricardo Sanz Moreira, José Plácido 2, Carlos Alexandre Moreira da Silva 3, Laura Plazas Tovar(2022).Transdisciplinary competency-based development in the process engineering subjects: A case study in Brazil.Federal University of São Paulo.Department of Chemical Engineering