💐ThaiLIS 💐
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร โรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร โรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 3) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 4) ประเมินโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 การวิจัยแบบการวิจัยแบบ ผสมผสาน โดยแบ่งวิธีดำเนินการวิจัยออกเป็น 4 ระยะ ซึ่งระยะที่ 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ เพื่อยืนยันความเหมาะสมขององค์ประกอบ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ได้จำนวน 375 โรงเรียน ระยะที่ 3 ผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 จากการสนทนากลุ่ม โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 8 คน เพื่อตรวจสอบโปรแกรม และระยะที่ 4 การประเมินโปรแกรม โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน ซึ่งได้มาได้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบสอบถาม แบบสนทนากลุ่มและแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราคเทคนิค และดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง Modified Priority Needs Index (PNImodified) ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 มีประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง 2) การคิดสร้างสรรค์ 3) การสร้างบรรยากาศองค์กรแห่งนวัตกรรม 4) การทำงานเป็นทีม 5) ความกล้า ผลการยืนยัน ความเหมาะสมขององค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อย ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 โดยผู้ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน ว่ามีความเหมาะสมทุกองค์ประกอบ 2. สภาพปัจจุบันภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษา ไทย 4.0 โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพพึงประสงค์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหาร โรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และความ ต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุค การศึกษาไทย 4.0 โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย พบว่า ความจำเป็นต้องการสูงสุด คือการสร้าง บรรยากาศแห่งนวัตกรรม วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง การคิดสร้างสรรค์การทำงานเป็นทีม และความจำเป็นต้องการต่ำสุดคือความกล้า ตามลำดับ 3. การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียน ประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 ประกอบด้วย 1) หลักการและวัตถุประสงค์ 2) เนื้อหากิจกรรม การพัฒนา 3) กระบวนการเสริมสร้าง 4) การวัดและประเมินผล และ 5) ปัจจัยแห่งความสำเร็จใน การนำโปรแกรมไปใช้และเนื้อหาสาระประกอบด้วยชุดการเรียนรู้ทั้ง 5 ชุด คือ ชุดการเรียนรู้ 1 วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ชุดการเรียนรู้ 2 การคิดสร้างสรรค์ ชุดการเรียนรู้ 3 การสร้างบรรยากาศ องค์กรแห่งนวัตกรรม ชุดการเรียนรู้ 4 การทำงานเป็นทีม และชุดการเรียนรู้ 5 ความกล้า จากความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิโดยการ Focus Group โดยรวมมีความคิดเห็นว่าโปรแกรมมีความเหมาะสม ในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียน 4. ผลการประเมินโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมผู้บริหารโรงเรียน ประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 ในภาพรวมด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และ ด้านความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินคู่มือและชุดการเรียนรู้ทุกชุด มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมาก
รัตนภรณ์ กัญญาคํา. (2567). การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0. ร้อยเอ็ด : วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด.
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ
โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ
บทคัดย่อ
ผลการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ..กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 368 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยด้านภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.959 ด้านประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.951 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.975 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับค่อนข้างสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.782
จรัญญา ทองวิเศษ. (2565). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ. ศรีสะเกษ : วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ.
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร สถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 จําแนกตามขนาดสถานศึกษา และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะ สําหรับการพัฒนาภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จํานวน 706 คน กําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง สําเร็จรูปของ Krejcie และ Morgan แล้วทําการสุ่มแบบกลุ่มตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ ในการศีกษาเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอํานาจจําแนกตั้งแต่ 338-946 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 989 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ F-test แบบ One-way ANOVA สําหรับทดสอบสมมติฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศีกษา พบว่า 1. ระดับความคิดเห็นของครูต่อภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของครูต่อภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 จําแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะสําหรับการพัฒนาภาวะผู้นําเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 ที่สําคัญคือ ผู้บริหารควรมีบุคลิกภาพที่ดี สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้พบเห็น ควรมีทักษะการปฏิบัติงานทั้งองค์ความรู้ที่ทันสมัย มีการนํา เทคนิควิธีการ กระบวนการใหม่ ๆ มาใช้ในการพัฒนาสถานศึกษา มีการประชุมแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นของผู้มีส่วนร่วมในการกําหนดวิสัยทัศน์ และควรสร้างบรรยากาศการทํางานที่ส่งเสริมให้ บุคลากรร่วมสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา รวมไปถึงการสร้างขวัญและกําลังใจในการ ทํางานให้กับสมาชิกเพื่อ หน้า 43 / 208 แกมบระลอภาพ ทํางานขององค์การ
เบญจมาศ ขวาไทย. (2564). ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2. ชัยภูมิ : วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ.
🌻 ThaiJO 🌻
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงและ ข้าราชการครู จำนวน 222 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.992 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ โดยภาพรวมมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงมาก (r=0.917) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ล้ำเลิศวัฒนา, น., & ชาตรูประชีวิน, ฉ. (2566). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่. สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์, 10(1), 53–61.
การพัฒนาตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) สร้างคู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods) โดยดำเนินการเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนาตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ระยะที่ 2 การตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 721 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติและโปรแกรมลิสเรล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น แบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.55 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.82 ระยะที่ 3 การสร้างคู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ประเมินคุณภาพโดยใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert scale) ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษามี 5 องค์ประกอบหลัก 20 องค์ประกอบย่อย 96 ตัวบ่งชี้ จำแนกเป็น การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม จำนวน 19 ตัวบ่งชี้ การทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วมเชิงนวัตกรรม จำนวน 26 ตัวบ่งชี้ การมีทักษะการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม จำนวน 13 ตัวบ่งชี้ การแสดงบทบาทหน้าที่เชิงนวัตกรรม จำนวน 18 ตัวบ่งชี้ และการมีบุคลิกภาพเชิงนวัตกรรม จำนวน 20 ตัวบ่งชี้
2. โมเดลโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าไค-สแควร์ (Chi-Square : c2) เท่ากับ 37.41 ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ df เท่ากับ 54 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.99 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.98 และค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.00
3. คู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก สามารถนำไปใช้สร้างเกณฑ์ประเมินภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาได้
ฐิตินันท์ นันทะศรี และคณะ. (2562). การพัฒนาตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วารสารวิจัยและพัฒนาทางสังคมศาสตร์, 14(3), 93–106.
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ เขตพื้นที่การศึกประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5
บทคัดย่อ
การศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ ตามทัศนะของครู ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 2) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 วิธีดำเนินการศึกษามี 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 โดยใช้แบบสอบถามกับครูผู้สอน จำนวน 68 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) การจัดทำข้อเสนอแนะในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า
1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐมีระดับภาวะผู้นำโดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับดังนี้ การมีวิสัยทัศน์สู่การเปลี่ยนแปลง การสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากร การมีส่วนร่วมในการทำงานและทำงานเป็นทีม การมีคุณธรรมจริยธรรม การสร้างบรรยากาศแห่งการส่งเสริมองค์กรนวัตกรรมและการคิดสร้างสรรค์ ตามลำดับ
2) ข้อเสนอแนะในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 ซึ่งพบว่า 1) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม 2) ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นบุคคลที่เรียนรู้อันจะนำไปสู่การพัฒนาความคิดริเริมสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา 3) ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมและให้การสนับสนุนครูและบุคลากรในโรงเรียนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ และเปิดโอกาสให้ครูได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองเพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ รวมทั้งให้ครูมีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินงานของสถานศึกษา 4) ผู้บริหารสถานศึกษาควรอำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำที่ดีแก่ครูที่ประสบปัญหาในการทำงาน รวมทั้งให้การยกย่องหรือชมเชยแก่ครูที่ทำงานประสบความสำเร็จเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน 5) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความโปร่งใส่และสามารถตรวจสอบได้
ปวีณา กันถิน, มนต์นภัส มโนการณ์, & ธารณ์ ทองงอก. (2560). ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5. วารสารเวอร์ริเดียน มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ, 10(3), 1–15.
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วสันต์ ศักดาศักดิ์ . (2565). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
สภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโนา 2019 (COVID-19) ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการกรณีศึกษา (Case Study) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรค และเพื่อศึกษาบทบาทและภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารจัดการสภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เครื่องมือการวิจัย คือ แบบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informants) และแบบสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 51 คน ครูกลุ่มงานวิชาการจำนวน 51 ครูกลุ่มงานอนามัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 51 คน สัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับการสนทนากลุ่มครั้งที่ 1 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วยคณะศึกษานิเทศก์จำนวน 10 คน และสัมภาษณ์เชิงลึกการสนทนากลุ่มครั้งที่ 2 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วยคณะผู้บริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 6 คน โดยได้มาด้วยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง นอกจากนี้ทําการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปด้วยวิธีการอุปนัย (Inductive method) การสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ทั้งในแง่มุมของคนภายใน (Emic) โดยการสอบถามจากคณะครูในสถานศึกษา และสอบถามความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา รวมถึง การเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของสถานศึกษาเพื่อสังเกตการดำเนินกิจกรรมที่เป็นปัจจุบันเพื่อสนับสนุนการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่าสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นไปอย่างดีตามมาตรฐานของกรมอนามัย และมีการนำรูปแบบการสอน 5 รูปแบบของกระทรวงศึกษาธิการมาใช้ตามบริบทของสถานศึกษา โดยปัญหาอุปสรรคด้านการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น 3 ด้านได้แก่ 1) ครูผู้สอน โดยด้านครูผู้สอนพบว่า ครูผู้สอนต้องใช้เวลาในการเตรียมการสอนที่มากขึ้น มีความกังวลด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านวินัยของผู้เรียนเป็นต้น 2) ด้านผู้เรียนพบว่า ขาดแคลนด้านสัญญาณอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าถึงการเรียนรู้ ความไม่เข้าใจในเนื้อหาสาระ ความเครียด และการขาดวินัยในการเรียน เป็นต้น และ 3)ด้านผู้ปกครองพบว่า ขาดกำลังทรัพย์ในการจัดหาอุปกรณ์และค่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ผู้เรียน ไม่สามารถให้คำแนะนำผู้เรียนเรื่องการเรียน และไม่มีเวลาดูแลผู้เรียนให้มีวินัยในการเข้าเรียนและส่งงานได้ จึงส่งผลให้ผู้ปกครองกังวลกับการเรียนของผู้เรียน
2. บทบาทและภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนและมาตรการการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่า สถานศึกษาที่มีความพร้อมและผู้บริหารบางส่วนสามารถดำเนินการให้มีการสนับสนุนผู้เรียนในการเรียนออนไลน์ได้ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทการสนับสนุน ได้แก่ การให้ยืมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การมอบทุนสำหรับการจัดซื้อสัญญาณอินเตอร์เน็ต และการลดค่าบำรุงการศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นผู้ที่มีทักษะผู้นำในศตวรรษที่ 21 เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงพร้อมปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ มีทักษะการสื่อสาร มีทักษะการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีมนุษย์สัมพันธ์ เป็นผู้อำนวยความสะดวก และประสานความร่วมมือ เป็นผู้นำทางวิชาการ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
ศมณณ์ญา บุญประสพ. (2564). สภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยได้กำหนดวิธีดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษารูปแบบจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่ง คือ จากเอกสารงานวิจัย จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้บริหารสถานศึกษาครูผู้ทำหน้าที่หัวหน้างานวิชาการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 และโรงเรียนบ้านแปรง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 5 ที่เป็นโรงเรียนดีเด่น และจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้ทำหน้าที่หัวหน้างานวิชาการและประธานกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน รวม 372 คน โดยใช้แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การร่างและพัฒนารูปแบบตรวจสอบความถูกต้องและความสอดคล้องของ
รูปแบบตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้หลักการของเทคนิคเดลฟาย ยืนยันความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบกับผู้บริหารสถานศึกษาอาสาสมัครที่ต้องการพัฒนา จำนวน 15 คน ใช้การทดสอบนัยสำคัญโดยการหาค่า Sign-test ผลการวิจัยพบว่า
1. พฤติกรรมภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำและต้องพัฒนาคือ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีองค์ประกอบ 6 ด้าน 66 ตัวบ่งชี้ ได้แก่
1) ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา 12 ตัวบ่งชี้ 2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา 10 ตัวบ่งชี้ 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนการสอน 11 ตัวบ่งชี้ 4) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดกระบวนการเรียนรู้ 10 ตัวบ่งชี้ 5) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ 11 ตัวบ่งชี้ 6) ด้านการจัดการทรัพยากรการเรียนรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ 12 ตัวบ่งชี้
2. รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการของรูปแบบ และ 5) การวัดและประเมินผล การดำเนินการในขั้นกระบวนการของรูปแบบแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะก่อนปฏิบัติการ ระยะที่ 2 ระยะปฏิบัติการ ประกอบด้วย 1) การอบรมเข้ม และ 2) ประชุมปฏิบัติการรวม 6 ครั้ง โดยใช้คู่มือพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ 6 ชุด ประกอบการประชุมปฏิบัติการ และการศึกษาดูงานโรงเรียนดีเด่น 1 แห่ง ระยะที่ 3 ระยะติดตามผล โดยการประชุมและใช้แบบประเมินพฤติกรรมภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 3 ระยะ พบว่า หลังปฏิบัติการค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสูงกว่าก่อนปฏิบัติการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และระยะติดตามผลมีค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินสูงกว่าระยะหลังปฏิบัติการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้บริหารสถานศึกษามีความเห็นว่า รูปแบบการพัฒนาเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา เนื่องจากได้มีการเรียนรู้จากวิทยากร จากการศึกษาคู่มือจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาที่ร่วมปฏิบัติการด้วยกันตลอดจนได้เรียนรู้จากผู้บริหารสถานศึกษาดีเด่นที่ได้ไปศึกษาดูงาน
ธนวัฒน์ ภิรมย์ไกรภักดิ์ . (2558). รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
Developing Innovative School Leadership Scale and Teachers' Views on Innovative School Leadership
Akyürek, Muhammet Ibrahim; Karabay, Ersoy
Journal of Educational Leadership and Policy Studies, v6 n1 Spr 2022
The purpose of this research is to develop a valid and reliable "Innovative School Leadership Scale" and examine the innovation level of school principals. Within the scope of the research, an "Innovative School Leadership Scale" with 28 items was developed. In the trial application, 197 teachers were reached, and 523 teachers in the main application. Exploratory factor analysis and confirmatory factor analysis were performed to determine the construct validity, and Cronbach's alpha coefficient was calculated to test the reliability. The measurement tool, a one-dimensional scale with 28 items, was found to be valid and reliable (=0.989). Teachers of different gender, age and marital status have similar views on innovative school leadership. Teachers have more positive attitudes than teachers with a master's degree. It is stated that the developed scale can be used by researchers.
Akyürek, M. İ., & Karabay, E. (2022). Developing innovative school leadership scale and teachers' views on innovative school leadership. Journal of Educational Leadership and Policy Studies, 6(1), 1–20.
Innovative Leadership Factors and Leader Characteristics That Affecting Professional Learning Community of Primary Schools in Bangkok and Its Vicinity
Khanthap, Juladis
World Journal of Education, v12 n4 p50-58 2022
This research aimed to investigate the innovative leadership factors and leader characteristics of school administrators in affecting teachers' involvement in the professional learning community of primary education schools in Bangkok and its vicinity of Thailand. Hence, the researcher would shed light on a linear structural relationship model to examine the impacts of innovative leadership factors and leader characteristics of primary school administrators on teachers' involvement in the professional learning community. A quantitative approach survey design was employed in this research. A total of 840 respondents responded to questionnaires in a proportional of two teachers to one school administrator from 280 primary schools. The respondents participated in a survey utilizing a multi-stage sampling technique. The researcher planned to test whether the identified innovative leadership factors and leader characteristics are fitting with empirical data as the key research output. The findings indicated that there was a total of five innovative leadership factors and three leader characteristics in a professional learning community model. The linear structural relationship model was supported to the empirical data, with X[superscript 2] = 42.321, df = 31, X[superscript 2]/df = 1.3652, CFI = 0.998, TLI = 0.997, RMSEA = 0.021, and SRMR = 0.01, p = 0.0845. In conclusion, the linear structural relationship model for primary school administrators has a goodness of fit with the attained data. Finally, the findings of this research have successfully proposed a linear structural relationship model that would be guidelines for a primary school administrator to develop his capabilities to promote a professional learning community.
Khanthap, J. (2022). Innovative leadership factors and leader characteristics that affecting professional learning community of primary schools in Bangkok and its vicinity. World Journal of Education, 12(4), 50–58.
Indicators of Innovative Leadership for Secondary School Principals: Developing and Testing the Structural Relationship Model
Somsueb, Aimchit; Sutheejariyawatana, Phrakru; Suwannoi, Paisan
International Education Studies, v12 n2 p11-18 2019
The objectives of this research were to test the fitness of the model that developed from theory and research with empirical data and to verify the factor loading value of major components, sub-components, and indicators by using descriptive research methodology. Determine the sample size in proportion between sample unit and numbers of parameter 20:1 and selected 1,020 samples from 2,359 secondary school principals under the jurisdiction of the Office of the Basic Education Commission of Thailand by using proportional random sampling. Collecting data by using a set of rating scale questionnaires with reliability 0.97. Data were analyzed by using AMOS Program. The research was based on the provided research hypotheses including Visionary Measurement Model (VIS), Collaborative Measurement Model (COL), Risk-taking Measurement Model (RISK), Oriented Change Measurement Model (OCH) and Innovative Leadership Model were fit with empirical data. The main components, sub-components, and indicators were in accordance with the criteria.
Somsueb, A., Sutheejariyawatana, P., & Suwannoi, P. (2019). Indicators of innovative leadership for secondary school principals: Developing and testing the structural relationship model. International Education Studies, 12(2), 11–18.