ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2
บทคัดย่อ
ผลการวิจัยพบว่า: 1) ระดับความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนโดยรวมและแต่ละด้านอยู่ในระดับสูงโดยจัดอันดับตามคะแนนเฉลี่ยจากสูงไปต่ํา: ความยืดหยุ่นการพิจารณาเป็นรายบุคคลความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ 2) ระดับประสิทธิผลของโรงเรียนโดยรวมและแต่ละด้านอยู่ในระดับสูงโดยจัดอันดับตามคะแนนเฉลี่ยจากสูงไปต่ํา: กระบวนการบริหารและการจัดการกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นแนวทางที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและคุณภาพของผู้เรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลของโรงเรียนมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงกับระดับความสําคัญ .01 และ 4) ความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนในแง่ของความยืดหยุ่น วิสัยทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์ และการพิจารณาเป็นรายบุคคลส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในระดับ .01 ของนัยสําคัญ และสามารถคาดการณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนได้ที่ 64.80 เปอร์เซ็นต์ สมการทํานายสามารถเขียนในรูปแบบของคะแนนมาตรฐานเป็น Z'และ = 571Z1 -.520 ซี2 +.505 ซี4 +.259Z3 .
Anusorn Suttaluang
สาขาวิชาพื้นฐานและการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
อ้างอิง อนุสรณ์ สุทธหลวง (2565) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 สมุทรปราการ สาขาวิชาพื้นฐานและการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดสภาพแวดล้อม ในสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 11 ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา และ 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประชากร ได้แก่ ครู จำนวน 2,372 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 331 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ ได้แก่ การวิเคราะห์ ถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ ด้านความยืดหยุ่น ด้านการ แก้ปัญหา และด้านจินตนาการ ตามลำดับ 2) การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา โดยรวมมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ ด้านวิชาการ และด้านกายภาพ ตามลำดับ 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านวิสัยทัศน์ ด้าน จินตนาการ และด้านความยืดหยุ่น ส่งผลต่อการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาตามลำดับ และ สามารถร่วมกันทำนายการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา ได้ร้อยละ 67 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 จากผลการวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีทักษะในการบริหารงานเพื่อให้สอดคล้องกับ บริบท นำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานศึกษา พัฒนารูปแบบการจัดสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียน ควรมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนา และมีการวัดผลประเมินผล ในด้านการบริหารงาน และการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา เพื่อนำสถานศึกษาไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้
Abstract:
The objectives of this study were: 1) to study the creative leadership of school administrators; 2) to study the environmental management in schools; and 3) to study the creative leadership affecting environmental management in schools of school administrators under The Suratthani Secondary Educational Service Area Office 11. The population included 2,372 teachers and the sample of 331 teachers were selected by simple random sampling. Data were collected by the questionnaire with a reliability coefficient of .94. The data were analyzed by basic statistical tools including mean and standard deviation, and test statistical tool including stepwise multiple regression analysis. The results were as follows. 1) The average creative leadership of the sample was at a high level in overall aspects ranked in descending order: vision, flexibility, problem solving, and imagination, respectively. 2) The average environmental management in the schools was at a high level in overall aspects ranked in descending order: management, academic matter, and physical matter, respectively. 3)The creative leadership regarding vision, imagination, and flexibility of the sample affected the environmental management in schools with the predictive power of 67 percent at a significance level of .01. In addition, the results suggests that the sample should have administrative skills related to school contexts and apply those skills into the management. The sample should develop environmental management models, which facilitates the learning of learners, as well as improve those models continuously. Assessment and evaluation methods regarding administration and environmental management in schools should be prepared so that the schools can reach their defined goals.
อ้างอิง จุฑามาส ซุ่นห้วน (2562).ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดสภาพแวดล้อม ในสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 11 ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี .มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี.
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมองค์การที่ส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ ของวิทยาลัยเทคนิคในเขตภาคใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาภาวะผู้นำ เชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมองค์การที่ส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของวิทยาลัยเทคนิคในเขตภาคใต้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคในเขตภาคใต้ จำนวน 210 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์และทดสอบสมมุติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ด้านความความยืดหยุ่นมีอิทธิพลเชิงบวกต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของวิทยาลัยเทคนิคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ด้านแรงบันดาลใจมีอิทธิพลเชิงบวกต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของวิทยาลัยเทคนิคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และวัฒนธรรมองค์การด้านวัฒนธรรมแบบมุ่งความสำเร็จ ด้านวัฒนธรรมแบบเครือญาติ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของวิทยาลัยเทคนิคในเขตภาคใต้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 ทั้งนี้ตัวแปรอิสระทุกตัวสามารถร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 77.6 (AdjR2 = 0.776)
Abstract:
The purpose of this research was to examine the effect of creative leadership and organizational culture on learning organization of Southern Technical and Vocational Colleges in Lao People’s Democratic Republic. The questionnaire was used as a tool for data collection. The samples used in this research were 210 personnel in Southern Technical and Vocational Colleges in Lao People’s Democratic Republic. The statistical analyses applied in this study were percentage, mean, standard deviation. The hypotheses were tested by multiple regressions analysis. The result showed that creative readership in the dimension of flexibility affects learning organization of Southern Technical and Vocational Colleges at 0.01 significant level. In addition, the dimension of inspiration affects learning organization of Southern Technical and Vocational Colleges at 0.05 significant level. Organizational culture in the dimension of achievement culture and clan culture affects learning organization of Southern Technical and Vocational Colleges at 0.01 significant level. All of the independent variables are able to predict the dependent variable at 77.6 % (AdjR2 = 0.776).
อ้างอิง ดาสวรรค์ วงศ์มีชัย (2560) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมองค์การที่ส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ ของวิทยาลัยเทคนิคในเขตภาคใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์และตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ และศึกษาแนวทางการนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ ขั้นตอนการวิจัยมี 4 ระยะ คือ 1) การกำหนดองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ จากการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ จำนวน 7 คน 2) ตรวจสอบเครื่องมือวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ได้ค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ .96 นำเครื่องมือการวิจัยไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .95 ใช้แบบสอบถามไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีการศึกษา 2560 จำนวน 200 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) 3) นำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ที่ได้มาสร้างเป็นแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้รู้แจ้งชัด จำนวน 30 คน 4) สัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบปฏิสัมพันธ์ จำนวน 7 คน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบและตัวบ่งชี้เชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ 61 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ ด้านการปรับตัว 6 ตัวบ่งชี้ ด้านผู้นำการเปลี่ยนแปลง 5 ตัวบ่งชี้ ด้านความฉลาดทางอารมณ์ 5 ตัวบ่งชี้ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ 8 ตัวบ่งชี้ ด้านการสื่อสารและปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ 10 ตัวบ่งชี้ ด้านความคิดริเริ่ม 6 ตัวบ่งชี้ ด้านการคิดนอกกรอบ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านความต้องการความสำเร็จ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านทิศทางและเป้าหมาย 4 ตัวบ่งชี้ และด้านความพึงพอใจในงาน 5 ตัวบ่งชี้
2. ผลตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพ พบว่า ตัวบ่งชี้ทุกตัวมีความเที่ยงตรงตามสภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
3. แนวทางนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ มีแนวทางในการนำไปใช้ที่สำคัญ 5 แนวทาง ได้แก่ แนวทางการปรับตัว แนวทางการสื่อสาร แนวทางการพัฒนากระบวนการคิด แนวทางการพัฒนาศักยภาพหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และแนวทางการสร้างความพึงพอใจในการทำงาน
อ้างอิง ดร.ชนภรณ์ อือตระกูล (2560) องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน 5) ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน และ 6) หาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน
วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร และองค์ประกอบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน และ 3) ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร
ผลการวิจัยพบว่า
องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร มี 5 องค์ประกอบ
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร โดยรวม อยู่ในระดับมาก
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน โดยรวม อยู่ในระดับมาก
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนมีความสัมพันธ์กันทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร การทำงานเป็นทีม และการมีความสามารถในการแก้ปัญหา มีอำนาจพยากรณ์แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ร้อยละ 90
แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน มีจำนวน 2 ด้าน คือ การทำงานเป็นทีม และการมีความสามารถในการแก้ปัญหา
อ้างอิง
ขนิษฐา เปาวะนา (2023) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประชารัฐ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนประชารัฐสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูโรงเรียนประชารัฐ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 จำนวน 93 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยเปิดตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan แล้วสุ่มอย่างง่ายเพื่อหาสัดส่วนแต่ละโรงเรียน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามเป็น แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.90 และแบบสัมภาษณ์เป็นแบบมีโครงสร้าง สุ่มแบบเจาะจง ตัวอย่างที่ใช้ในการสัมภาษณ์จำนวน10 คน ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา 5 คน ครูผู้สอน 5 คน ของโรงเรียนประชารัฐ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลการสัมภาษณ์วิเคราะห์โดยการสรุปเป็นความเรียง
ผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของโรงเรียนแน่นอนว่าจะต้องมีใครบ้างที่โรงงานเหล่านี้รวมถึงการศึกษาระยอง เขต 2 โดยรวมมีแนวปฏิบัติที่ยอมรับได้เป็นอย่างมาก มีการฝึกทักษะที่ประสบความสำเร็จในระดับมาก ซึ่งสูงสุดคือการสร้างมนุษยสัมพันธ์รองใครคือผู้ที่ไว้วางใจ และด้านการเจรจาต่อรองกับคู่แข่งที่มีพฤติกรรมที่ล้มเหลวในระดับมาก ที่สุดคือการเปรียบเทียบการบริหารเวลา 2) แนวทางการพัฒนาสถานการณ์ผู้นำเชิงสร้างสรรค์เชิงอรรถสำหรับทุกคนในโรงเรียนจะต้องมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก บทความนี้ควรอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับเครื่องมือสมัยใหม่ เปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีใหม่ ส่งเสริมและสื่อเทคโนโลยีสำหรับครูด้านการทำงานด้านต่างๆ บริหารเวลาที่กล่าวถึงการแข่งขันและมีความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การเจรจาต่อรองของผู้นำเสนอนำมาซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมที่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้าวที่ดีซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีตามมาสำหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายจัดการเวลา จะขอควรรู้จักวางแผนและทุก ๆ ช่วงเวลาเหล่านี้ควรกำหนดประเด็นด้านเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย จำเป็นและด้านผู้บริหาร ผู้จัดการจะได้รับคำแนะนำจากงานให้สม่ำเสมอตามความรู้ความสามารถที่เหมาะสมและมีคำถามใด ๆ สำหรับทุกคน ประโยชน์จากการวิจัยทำให้พนักงานเป้าหมายและครูได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาความเป็นผู้นำของผู้นำ เชิงสร้างสรรค์ของประเด็นที่ต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านการบริหารเวลาและในการนำผลการวิจัยมาใช้การวางแผนกำหนดนโยบายการจัดการจัดการระบบจัดการลำดับขั้นตอนของการกำหนดเป้าหมายของโรงเรียนเพื่อให้ประชาชนได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและปรับเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้พบกันในปัจจุบัน
อ้างอิง
ปทุม เปียถนอม. (2561). ภาวะผู้นำเต็มรูปแบบ:ปัจจัยสำคัญในการบริหารโรงเรียนประชารัฐ.วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย.
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา 2) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนในขยายโอกาสทางการศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 234คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีพรรณนาผลการวิจัยพบว่า; 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า ปัจจัยตัวแปรที่มีอำนาจพยากรณ์ มีจำนวน 2 ตัวแปร คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านการมีความไว้วางใจ ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์และเปิดกว้างรับความคิดใหม่ๆ รับฟังปัญหาและให้คำปรึกษาได้อย่างดี และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงาน อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง
พรรษา บริบูรณ์ (2565 ) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์และตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ และศึกษาแนวทางการนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ ขั้นตอนการวิจัยมี 4 ระยะ คือ 1) การกำหนดองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ จากการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ จำนวน 7 คน 2) ตรวจสอบเครื่องมือวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ได้ค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ .96 นำเครื่องมือการวิจัยไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .95 ใช้แบบสอบถามไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีการศึกษา 2560 จำนวน 200 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) 3) นำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ที่ได้มาสร้างเป็นแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้รู้แจ้งชัด จำนวน 30 คน 4) สัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบปฏิสัมพันธ์ จำนวน 7 คน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบและตัวบ่งชี้เชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ 61 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ ด้านการปรับตัว 6 ตัวบ่งชี้ ด้านผู้นำการเปลี่ยนแปลง 5 ตัวบ่งชี้ ด้านความฉลาดทางอารมณ์ 5 ตัวบ่งชี้ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ 8 ตัวบ่งชี้ ด้านการสื่อสารและปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ 10 ตัวบ่งชี้ ด้านความคิดริเริ่ม 6 ตัวบ่งชี้ ด้านการคิดนอกกรอบ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านความต้องการความสำเร็จ 6 ตัวบ่งชี้ ด้านทิศทางและเป้าหมาย 4 ตัวบ่งชี้ และด้านความพึงพอใจในงาน 5 ตัวบ่งชี้
2. ผลตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพ พบว่า ตัวบ่งชี้ทุกตัวมีความเที่ยงตรงตามสภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
3. แนวทางนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปใช้ มีแนวทางในการนำไปใช้ที่สำคัญ 5 แนวทาง ได้แก่ แนวทางการปรับตัว แนวทางการสื่อสาร แนวทางการพัฒนากระบวนการคิด แนวทางการพัฒนาศักยภาพหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และแนวทางการสร้างความพึงพอใจในการทำงาน
อ้างอิง
ดร.ชนภรณ์ อือตระกูล (2560) องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2) ตรวจสอบและยืนยันความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 1) ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และนำแนวคิดมาจัดทำเป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 2) การร่างรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 3) ประเมินความเหมาะสมของร่างรูปแบบการภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาโดยการจัดประชุมกลุ่มสนทนา (Focus Group) โดยเป็นผู้ทรงวุฒิด้านบริหารการศึกษา ด้านการบริหารสถานศึกษา และด้านภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ จำนวน 7 คน เพื่อให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอแนะการปรับรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 4) ยืนยันความเป็นไปได้ของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาจากผู้ทรงวุฒิภายนอกโดยการจัดประชุมยืนยัน (Connoisseurship) ผู้ทรงวุฒิอีก 7 คน ผลการวิจัยพบว่า จากการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้กรอบแนวคิดในการวิจัย 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านวิสัยทัศน์ 2) ด้านความคิดสร้างสรรค์ 3) ด้านการทำงานเป็นทีม 4) ด้านการแก้ไขปัญหา และ 5) ด้านความรับผิดชอบในการทำงาน การประเมินความเหมาะสมของร่างรูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ลำดับแรกคือ ด้านการทำงานเป็นทีม ลำดับที่สองคือ ด้านการแก้ปัญหา ลำดับที่สามคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และลำดับสุดท้ายคือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านความรับผิดชอบในการทำงานการยืนยันรูปแบบของผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่ารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติร้อยละ 100
อ้างอิง
ศักดา ทองดี (2559) การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
The Relationship between Intellectual Thinking Tendencies and Creative Leadership of Primary School Administrators
This study aimed to determine the relationship between intellectual thinking tendencies and creative leadership of primary school administrators. In this context, it was tried to investigate how intellectual thinking tendencies influence creative leadership. The study was conducted in the general survey model, which is widely used in quantitative research methods. The participants of study consist of school administrators working in primary schools affiliated to Manisa, Yunusemre District Directorate of National Education. The study was conducted in the fall term of 2022-2023 academic year. The data was collected by "Intellectual Thinking Tendency Scale" and "Creative Leadership Scale" and was analyzed with SPSS 25 package program by taking the significance level as.05. Parametric analysis techniques were used in the analysis of the data. In this meaning: by minimum, maximum, arithmetic mean, and standard deviation values for descriptive statistics; by independent sample t-test for the differences in genders, administrative duties, and administrative seniorities; by One-way ANOVA Analysis for the differences of professional seniorities and professional fields were analyzed. The relation between intellectual thinking tendencies and creative leadership was analyzed with Pearson Correlation Coefficient. According to the results, primary school administrators' intellectual thinking tendencies and creative leadership levels were found as high; according to their genders, administrative duties, administrative seniorities, professional seniorities, and professional fields, no meaningful differences were found. As the last result, the relationship between intellectual thinking tendencies and creative leadership of primary school administrators was observed in high scores.
Yoldas, Cenk; Yildirim, Remzi (2023) The Relationship between Intellectual Thinking Tendencies and Creative Leadership of Primary School Administrators International Journal of Education and Literacy Studies, v11 n3 p294-305
ความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มการคิดทางปัญญากับความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มการคิดทางปัญญาและความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ในบริบทนี้พยายามตรวจสอบว่าแนวโน้มการคิดทางปัญญามีอิทธิพลต่อความเป็นผู้นําที่สร้างสรรค์อย่างไร การศึกษานี้ดําเนินการในรูปแบบการสํารวจทั่วไปซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้เข้าร่วมการศึกษาประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนที่ทํางานในโรงเรียนประถมศึกษาในเครือ Manisa, Yunusemre District Directorate of National Education การศึกษานี้ดําเนินการในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงของปีการศึกษา 2022-2023 รวบรวมข้อมูลโดย "Intellectual Thinking Tendency Scale" และ "Creative Leadership Scale" และวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมแพ็คเกจ SPSS 25 โดยนําระดับนัยสําคัญเป็น 05 เทคนิคการวิเคราะห์พาราเมตริกถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในความหมายนี้: โดยค่าต่ําสุดสูงสุดค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสําหรับสถิติเชิงพรรณนา โดยตัวอย่าง t-test อิสระสําหรับความแตกต่างในเพศหน้าที่ธุรการและอาวุโสการบริหาร โดยการวิเคราะห์ ANOVA ทางเดียวสําหรับความแตกต่างของอาวุโสทางวิชาชีพและสาขาวิชาชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มการคิดทางปัญญาและความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ได้รับการวิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน จากผลการวิจัยพบว่าแนวโน้มความคิดทางปัญญาของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาและระดับความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์อยู่ในระดับสูง ตามเพศหน้าที่ธุรการอาวุโสการบริหารอาวุโสวิชาชีพและสาขาวิชาชีพไม่พบความแตกต่างที่มีความหมาย ผลสุดท้ายพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มการคิดทางปัญญาและความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษามีคะแนนสูง
โยลดาส, เซงค์ (2023) ความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มการคิดทางปัญญากับความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา วารสารการศึกษาและการรู้หนังสือนานาชาติ v11 n3 p294-305
Creative Leadership and Its Relationship to Thinking Styles among Saudi University Leaders
The present research paper aims to identify the level of creative leadership among university leaders in Riyadh, Saudi Arabia and its relationship to their thinking styles. It also reveals the differences between the level of creative leadership and thinking styles according to university type (public or private) and gender. Moreover, it adopted the analytical descriptive method. The sample comprised (60) university leaders. The field data was collected using the creative leadership scale and thinking styles scale. The results indicated a high level of creative leadership among educational university leaders in Riyadh. In terms of the thinking styles, the realist, pragmatist, idealistic, analyst, and synthesis were ranked first, second, third, fourth, and fifth, respectively. Moreover, there were statistically significant differences between the mean ranks of the participants on the flexibility domain according to university type (public or private) favoring educational leaders in public universities. There were no statistically significant differences among the other domains and total score of the creative leadership scale, as well as among the total score and domains of thinking styles scale according to university type (public or private) and gender.
เอกสารการวิจัยฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุระดับความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ในหมู่ผู้นำมหาวิทยาลัยในริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย และความสัมพันธ์กับรูปแบบการคิดของพวกเขา นอกจากนี้ยังเปิดเผยความแตกต่างระหว่างระดับความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์และรูปแบบการคิดตามประเภทของมหาวิทยาลัย (รัฐหรือเอกชน) และเพศ นอกจากนี้ เอกสารการวิจัยยังได้ใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา ตัวอย่างประกอบด้วยผู้นำมหาวิทยาลัย (60) คน ข้อมูลภาคสนามรวบรวมโดยใช้มาตราส่วนความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์และมาตราส่วนรูปแบบการคิด ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าผู้นำมหาวิทยาลัยด้านการศึกษาในริยาดมีระดับความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์สูง ในแง่ของรูปแบบการคิด ผู้นำที่มองโลกในแง่จริง ผู้นำที่มองโลกในแง่จริง ผู้นำที่มองโลกในแง่จริง ผู้นำที่มองโลกในแง่ดี ผู้นำที่วิเคราะห์ และผู้นำที่สังเคราะห์ ได้รับอันดับที่ 1 อันดับที่ 2 อันดับที่ 3 อันดับที่ 4 และอันดับที่ 5 ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างทางสถิติที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างอันดับเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมในโดเมนความยืดหยุ่นตามประเภทของมหาวิทยาลัย (รัฐหรือเอกชน) ที่สนับสนุนผู้นำด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างโดเมนอื่นๆ และคะแนนรวมของมาตราการความเป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับระหว่างคะแนนรวมและโดเมนของมาตราส่วนรูปแบบการคิดตามประเภทของมหาวิทยาลัย (รัฐหรือเอกชน) และเพศ
Alshammri, Fozyah S.; Alenezi, Abdullah K. (2021) Creative Leadership and Its Relationship to Thinking Styles among Saudi University Leaders
International Journal of Education and Practice, v9 n2 p340-353 2021
The Relationship between School Administrators' Creative Leadership Qualities and School's Organizational Intelligence Levels
This study aims to investigate the relationships between the creative leadership qualities of school administrators and the organizational intelligence of schools. This is a correlational study, one of the methods of quantitative research. Teachers from the Van districts of pekyolu, Tusba, and Edremit are included in the study. The sample for this study consists of 451 teachers randomly selected from schools in these districts. The research data was collected using the Multidimensional Organizational Intelligence Scale and The Creative Leadership Qualities of School Administrators' Scale. Using the arithmetic mean, standard deviation, correlation average, and regression analysis, the data were analyzed. The study found a significant and positive correlation between the creative leadership qualities of school administrators and the organizational intelligence of schools. School administrators' creative leadership qualities and sub-dimensions are significant predictors of their institutions' organizational intelligence.
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับระดับความฉลาดขององค์กรของโรงเรียน
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับสติปัญญาขององค์กรในโรงเรียน ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงความสัมพันธ์วิธีหนึ่ง โดยได้รวมครูจากเขต Van ของ Pekyolu, Tusba และ Edremit ไว้ในการศึกษาครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างสำหรับการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยครู 451 คนที่ได้รับการคัดเลือกแบบสุ่มจากโรงเรียนในเขตเหล่านี้ ข้อมูลการวิจัยรวบรวมโดยใช้ Multidimensional Organizational Intelligence Scale (ระดับสติปัญญาขององค์กรแบบหลายมิติ) และ The Creative Leadership Qualities of School Administrators' Scale (ระดับคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียน) โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอย การศึกษานี้พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับสติปัญญาขององค์กรในโรงเรียน คุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์และมิติย่อยของผู้บริหารโรงเรียนเป็นตัวทำนายที่สำคัญของสติปัญญาขององค์กรในสถาบันของตน
ซาแกลัม, เอบรู(2022) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติความเป็นผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนกับระดับความฉลาดขององค์กรของโรงเรียน
วารสารจิตวิทยาและการศึกษานานาชาติ v9 n4 p1133-1147 2022