ปราสาทวัดสระกำแพงน้อยตั้งอยู่วัดสระกำแพงน้อย บ้านกลาง ตำบลขยุง ปราสาทวัดสระกำแพงน้อยประกอบด้วยปรางค์และวิหารก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้าปรางค์มีสระน้ำใหญ่ ทั้งปรางค์ วิหาร และสระน้ำ ล้วนล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง เคยมีทับหลังประตูสลักเป็นพระวรุณเทพเจ้าแห่งฝนประทับบนแท่นมีหงส์แบก ๓ ตัว อยู่เหนือเศียรเกียรติมุข เป็นศิลปะแบบบาปวนมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ สันนิษฐานว่าปราสาทหินแห่งนี้เดิมเป็นศาสนสถานมาก่อน แล้วต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ อาจมีการบูรณะหรือสร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่ สังเกตได้จากมีสถาปัตยกรรมแบบบายนอยู่ด้วย สิ่งก่อสร้างดังกล่าวเรียกกันในสมัยนั้นว่า “อโรคยาศาล” หมายถึง โรงพยาบาล หนึ่งในจำนวน 102 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมโบราณ โปรดให้สร้างขึ้นทั่วราชอาณาจักรในราวพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1724 - พ.ศ. 1761) ก่อด้วยศิลาแลง และหินทราย ตัวปรางค์ประธาน ยังค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ขาดการบูรณะ ส่วนโคปุระหรือกำแพงแก้วพังทลาย แต่ยังมีองค์ประกอบครบถ้วน ทั้งทับหลัง และโครงสร้างอื่น ๆ แต่ยังไม่ได้รับบูรณะและปรับแต่ง ในปัจจุบันน้ำในสระอโนดาตนี้ถูกใช้ในทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีสำคัญของจังหวัดศรีสะเกษ
ลักษณะเด่น กำแพงก่อด้วยศิลาแลงและกลุ่มโบราณสถานบริเวณใกล้เคียง เป็นส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงขนาดประมาณ 40-70 เมตร สูงประมาณ 1.7-40เมตร
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
วัดสระกำแพงใหญ่ (พระอารามราษฎร์) หนึ่งในอู่อารยธรรมแห่งประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ตั้งของ “ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่” โบราณสถานสมัยขอมที่มีอายุยืนยาวกว่า 1,000 ปี ภายในบริเวณวัดสระกำแพงใหญ่ มีปราสาทหินโบราณขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัด ตัวปราสาทมีลักษณะคล้ายเจดีย์ หรือปรางค์โบราณ 3 องค์บนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายมีอิฐแซม ด้านหน้ามีวิหารก่ออิฐ 2 หลัง ล้อมรอบด้วยระเบียงคต ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีโคปุระหรือประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศ ปรางค์ประธานมีทับหลังจำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้าง ทิศเหนือบนฐานศิลาเดียวกัน มีปรางค์ก่อด้วยอิฐ เหนือกรอบประตูมีทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนือพญาอนันตนาคราชกลางเกษียรสมุทร ซึ่งมีความงดงามยิ่ง ทิศใต้มีปรางค์ก่อด้วยอิฐเช่นเดียวกับด้านทิศเหนือ เหนือกรอบประตูมีทับหลังสลักภาพพระอิศวรกับพระอุมาประทับนั่ง จากการขุดค้นบูรณะของกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ.2535 พบวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่าภายในบริเวณปราสาทหินสระกำแพงใหญ่อีกจำนวนมาก เช่น ทับหลังจำหลักภาพศิวะนาฏราช ทับหลังจำหลักภาพพระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ ตามจารึกที่ศิลาทรายหลืบประตูปราสาทหินวัดสระกำแพงใหญ่ บ่งชี้ว่าปราสาทหินแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับศิลปะขอมแบบปาปวน เพื่อเป็นเทวาลัยถวายแด่พระศิวะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ก่อนหน้าที่กรมศิลปากรจะเข้าไปทำการบูรณะ มีการขุดพบพระพุทธรูปปางนาคปรก เป็นพระพุทธรูปที่แกะด้วยหินศิลาทราย สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าสถานวรมันรัชกาลที่ 2-3 ราวปี พ.ศ.1153 ยืนยันถึงความเก่าแก่ของโบราณแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ลักษณะเด่น กราบหลวงปู่ ชมปราสาทสระกำแพงใหญ่ ศึกษาแหล่งประวัติศาสตร์
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
พระธาตุเรืองรอง ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านสร้างเรือง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ พระธาตุเรืองรอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสำหรับให้ชาวพุทธ ลักษณะเป็นอาคารที่มีการผสมผสานศิลปะอีสานใต้ 4 เผ่า ได้แก่ ลาว ส่วย เขมร และเยอ มีความสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์อย่างลงตัว บนยอดพระธาตุมีจุดชมวิว ที่สามารถชมทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างงดงาม มีความสูงทั้งสิ้น 49 เมตร แบ่งออกเป็น 6 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแสดงวิถีชีวิตชนเผ่าลาว ส่วย เขมร และเยอ โดยมีหุ่นจำลองซึ่งแสดงถึงประเพณี วัฒนธรรมต่าง ๆ ในท้องถิ่น อีกทั้งบนขื่อคานยังมีภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานและความเชื่อต่าง ๆ ชั้นที่ 2 – 3 เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านซึ่งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยโบราณ เช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือดักจับสัตว์ ตะเกียง แผ่นเสียง หนังสือ อาวุธ และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ตามฝาผนังยังประดับไปด้วยภาพเขียนสวยงาม โดยในชั้นที่ 2 จะเป็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนชั้นที่ 3 จะเป็นภาพเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ ชั้นที่ 4 ใช้เป็นจุดพักผ่อนก่อนขึ้นไปยังชั้นถัดไป ชั้นที่ 5 เป็นชั้นสำหรับทำสมาธิ และชั้นที่ 6 หรือชั้นสุดท้าย เป็นที่ประดิษฐานพระบรมเกศาธาตุของพระอรหันต์ และยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นบ้านเรือน และท้องทุ่งเขียวขจีได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นบริเวณวัดมีพื้นที่กว้างขวาง มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามหลายจุด เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้า ที่ต้องลอดภาพรูปปั้นม้าขนาดใหญ่ จากนั้นจะเจอโบสถ์วัวเทียมเกวียนที่มีลักษณะเป็นรูปปั้นวัว 2 ตัว ขนาดใหญ่ กำลังลากเกวียนที่ครอบตัวโบสถ์อยู่ ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์วัวเทียมเกวียนนั้น ก็เป็นเหมือนโบสถ์ตามวัดทั่วไป ต่อมาหลวงปู่ธัมมา พิทักษา ได้เห็นว่าในปัจจุบันนั้นหาดูเกวียนได้ยากแล้ว จึงได้จัดสร้างขึ้นให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เกวียนในสมัยก่อน
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
วัดพระธาตุสุพรรณหงส์ หรือวัดบ้านหว้านตั้งอยู่ที่หมู่บ้านหว้าน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมือง ตั้งอยู่ห่างจาก อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 10 กิโลเมตรโดยสำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอเมืองศรีสะเกษ ร่วมกับ ชาวบ้านหว้าน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ท่องเที่ยวภายในหมู่บ้านให้สวยงาม มีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าลาว การสาธิตการทอผ้าแบบโบราณ การสาธิตการทำกล้วยทอดการจำหน่ายสินค้า โอทอป การจำหน่ายพืชผักปลอดสารพิษ ขณะที่วัดแห่งนี้ มีเรือสุพรรณหงส์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยปูน ตกแต่งอย่างสวยงาม ตระกานตา อยู่กลางสระน้ำ ลักษณะคล้ายกับเรือสุพรรณหงส์ลอยอยู่กลางสระน้ำ ด้วยความโดดเด่นของพระอุโบสถที่ก่อสร้างบนเรือสุพรรณหงส์จำลอง ตัวพระอุโบสถกว้าง 5 เมตร ยาว 13.60 เมตร หลังคาทรงจัตุรมุข 3 ชั้น มียอดมณฑปกลางอุโบสถ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และด้วยความสวยงามโดดเด่นของวัดแห่งนี้จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม บนเรือมีการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ให้ชาวพุทธทั่วไปและนักท่องเที่ยว ได้กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล เรือสุพรรณหงส์ลำนี้ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุสุพรรณหงส์ ร่วมกับชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ร่วมกันบริจาคเงินจัดสร้างขึ้นมา เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในชุมชน ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจการท่องเที่ยว ถือเป็นกสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
ลักษณะเด่น อุโบสถกลางน้ำ ทรงเรือสุพรรณหงส์
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
หลวงพ่อโต ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโตวัดมหาพุทธารามปัจจุบันนี้ ในตำนานเมืองศรีสะเกษเล่าว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโตในสมัยสร้างเมืองใหม่ ที่ “ดงไฮสามขา” หลวงพ่อโตที่พบมีสภาพเป็นตุ๊กตาหิน ขนาดเท่าแทน แต่พอไปวัดโดยการโอบด้วยแขนกลับขยายใหญ่ขึ้นจนโอบไม่หุ้ม ดังตำนานเล่าว่า “ที่ตั้งวัดพระโต มีป่าเครือมะยางร่มครื้มหนาแน่น ในขณะที่ถางป่านั้นได้พบตุ๊กตาหินรูปหนึ่ง มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูป เล่ากันว่า ตุ๊กตาหินองค์นี้มีอภินิหารเป็นพิเศษ คือเมื่อมองดูจะเห็นเป็นรูปเล็ก ๆ เท่าแขนคนธรรมดา แต่พอเข้าไปกอดเข้ากลับโอบไม่รอบ พวกราษฎรพากันฉงนยิ่งนัก จึงไปบอกอาจารย์ศรีธรรมาผู้เป็นใหญ่ เมื่อรู้ว่าเป็นจริงก็เลยทำพิธีสมโภชกันขนานใหญ่ และขนานนามตุ๊กตาหินองค์นี้ว่า “พระโต” ซึ่งต่อมาได้นำอิฐหรือปูนสร้างเสริมให้ใหญ่จริงๆ ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน แต่ตำนานที่ค่อนข้างสอดคล้องกับประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางเล่ากันว่า หลวงพ่อโตองค์จริงนั้น ถูกหุ้มอยู่ข้างใน เป็นพระพุทธรูปหินดำเกลี้ยง (บางแห่งว่าหินเขียว บางแห่งว่าหินแดง) ปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร) เดิมมีหน้าตักกว้างยาว ๒.๕๐ เมตร ต่อมากลัวว่าพวกมิจฉาชีพจะทำให้เสียหาย จึงมีผู้ศรัทธาหุ้มเสริมองค์จริงเข้าไปหลายครั้ง จนถึงปัจจุบันนี้ มีขนาดหน้าตัก ๓.๕๐ เมตร ความสูงตั้งแต่พระเกศาลงมา ๖.๘๕ เมตร เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ ได้มีการสร้างวิหารใหญ่ครอบซึ่งมีความกว้าง ๑๔.๐๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ในขณะนี้ จึงพอที่จะสรุปได้ว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโตเมื่อ พระยาวิเศษภักดี (ชม) ย้ายเมืองมาตั้งใหม่ในสถานที่ที่เป็นจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน และได้สร้างวัดพระโตเป็นวัดคู่เมืองศรีสะเกษขึ้น ในปีพ.ศ. ๒๓๒๘ และนับถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๐) วัดพระโตมีอายุ ๒๒๐ ปี ฯ
วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) ได้ชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ ก็เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เป็นปีที่เจ้าเมืองศรีสะเกษคนที่ ๒ พระยาวิเศษภักดี (ชม) ได้ย้ายเมืองศรีสะเกษ จากที่ตั้งเดิมบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาตั้งที่บริเวณที่เป็นศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่สร้างเมืองนั้น มีคนไปพบหลวงพ่อโต ภายในใจกลางป่าแดง (ขณะนั้นบริเวณวัดพระโตเป็นป่าแดง) จึงได้อุปถัมภ์บำรุง โดยให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบหลวงพ่อโต ตั้งชื่อว่า “วัดพระโต หรือวัดป่าแดง” ได้จัดหาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิมาปกครอง ก่อสร้างเสนาสนะที่จำเป็นต่าง ๆ และ เจ้าเมืองศรีสะเกษคนต่อ ๆ มาไม่ว่าเจ้าพระยาวิเศษภักดี (โท) หรือเจ้าพระยาวิเศษภักดี (บุญจันทร์) เป็นต้น ก็ได้อุปถัมภ์เอาใจใส่บำรุงวัดพระโตเสมือนเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษตลอดมา ตราบเท่าที่ศรีสะเกษได้กลายเป็นจังหวัด ตามกฎหมายแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเจ้าเมืองใหม่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนต่างก็ให้ความเคารพยำเกรง เมื่อมาดำรงตำแหน่งใหม่ก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องมาทำพิธีบูชาสักการะหลวงพ่อโตในวิหารก่อนเสมอ
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
วัดหนองตะเคียน ตั้งอยู่หมู่บ้านหนองตะเคียน หมูที่ 9 ตำบลจาน อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากอำเภอเมือง 17 กิโลเมตร ไปตามถนนศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ แยกเลี้ยวซ้ายบริเวณบ้านหนองคูน้อย
เป็นวัดที่สร้างตามแบบผสมผสานศิลปะ ขอม – ล้านนา โดยช่างฝีมือระดับประเทศ วัดหนองตะเคียน เป็นวัดเก่าแก่ สร้างประมาณสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้มีการบูรณะและขยายพื้นที่ใหญ่ขึ้น จนกระทั่ง อาจารย์หม่อม สามารถเข้าสมาธิย้อนอดีต ทำให้ทราบว่า วัดนี้เป็นวัดสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจาก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เคยพาไพร่พลมาพักทัพที่นี่ สมัยกำลังกอบกู้เอกราชของชาติไทยเรา จึงได้สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากไว้ที่วัดนี้ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระศรีอริยเมตตรัย บริเวณข้างพระอุโบสถมีลานพระพุทธรูปปาง สมาธิ 28 องค์ เป็นแนวรูปสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ยังประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อประชาชนทั่วไปได้เคารพบูชาด้วย และที่สำคัญในวันที่ 27 ตุลาคม 2550 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเป็นประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษกวัตถุมงคล เหรียญ และผ้ายันต์สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช รุ่น "ไพรีพินาศอริราชศรัตรูพ่าย" เพื่อพระราชทานให้แก่ข้าราชการตำรวจ ทหาร พลเรือน ครูที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
วัดป่าศรีมงคลรัตนาราม ตั้งอยู่ที่ บ้านสิม หมู่ 8 ตำบลโคกจาน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยการบริจาคที่ดิน ของนายหวย เพ็งพันธ์ และนางสมัยเพ็งพันธ์ รวม 50 ไร่เป็นวัดป่าสายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งเป็นโยมบิดา-มารดา ของพระครูวิจิตรวินัยคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีมงคลรัตนาราม เพื่อเป็นสถานที่อบรมปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ต่อมาด้วยความเพียรของเจ้าอาวาส และแรงศรัทธาจากญาติโยม จึงจัดตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฏหมาย นามว่าวัดป่าศรีมงคลรัตนาราม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 ปัจจุบันวัดป่าศรีมงคลรัตนาราม มีพระครูวิจิตรวินัยคุณ เป็นเจ้าอาวาสวัด มีพระภิกษุจำพรรษา 9 รูป และสามเณร 2 รูป
ปัจจุบันมีพระภิกษุสามเณรจำพรรษา 20 รูป ต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปยังวัดศรีมงคลรัตนาราม อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ทรงวางศิลาฤกษ์ พระมหาเจดีย์ศรีมงคลเกศแก้วมณีเศรษฐียามารามสิทธิราชบูชา ซึ่งพระครูวิจิตรวินัยคุณ เจ้าอาวาสและพุทธศาสนิกชนร่วมกันจัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่บรรจุพพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย รวมถึงพระเกศาธาตุและพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์ และใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ เพื่อสืบทอดศาสนา โดยจำลองรูปแบบให้คล้ายตั้งอยู่บนเขาพระสุเมรี เป็นเจดีย์ สูง 59 เมตร รวม 5 ชั้น ชั้นที่ 1 และ 2 ใช้ประกอบศาสนกิจ ชั้นที่ 3 เป็นอุโบสถ์ สำหรับทำสังฆกรรม และเป็นพิพิธภัณฑ์มหาราช จัดแสดงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของจังหวัดศรีสะเกษ ชั้นที่ 4 บรรจุพระเกศาธาตุและพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์ ชั้นที่ 5 บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความโดดเด่นและความน่าสนใจของวัด คือ การฝึกอบรมปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน สถาปัตยกรรมของวัดที่มีความสวยงาม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ร่มรื่น ล้อมรอบไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่นานาชนิด และสัตว์ต่าง ๆ เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ ทำบุญ พักผ่อนหย่อนใจ และวัดป่าศรีมงคลรัตนาราม ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาและทางธรรมชาติ
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
วัดบ้านทุ่งไชยในทางโบราณคดีในตำบลทุ่งไชย สันนิฐานว่ามีอายุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายและยุคเหล็กเป็นต้น โดยพบหลักฐานที่ปรากฎบนพื้นที่ราบโดยชุมชนพื้นที่ราบจะเลือกตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่มีลักษณะเป็นเนินดิน ในราวพุทธศตวรรษที่12-16 สมัยทวารวดีเป็นวัฒนธรรมเนื่องจากพุทธศาสนาเกิดขึ้นในภาคกลางของประเทศไทยและมีการแพร่หลายในภาคอีสาน ระยะต่อมาได้ปรากฏหลักฐานที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งโบราณคดีในหมู่ที่ 2,3 ของตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ชุมชนที่มีคูดิน คูน้ำ ล้อมรอบถึง 3 ชั้น คือ คูนอก คูชั้นกลาง คูชั้นใน ภายในชุมชนได้ปรากฏชากโบราณสถาน อันแสดงถึงการนับถือศาสนาพุทธ คูดิน คูน้ำ ที่ล้อมรอบ
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00
ปราสาทเมืองจันทร์ หรือ ธาตุเมืองจันทร์ มีตำนานเรื่องเล่าท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องว่า ผู้ชายชาวบ้านตาโกนและผู้หญิงชาวบ้านเมือง จันทร์แข่งกันสร้างธาตุ(เจดีย์) โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า ฝ่ายใดสร้างธาตุครบ 3 องค์เสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ โดย ผู้ชายชาวบ้านตาโกนสร้างธาตุเมืองจันทร์ ส่วนผู้หญิงชาวบ้านเมืองจันทร์สร้างธาตุปราสาท (ปราสาทห้วยทับทัน ต.ปราสาท อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ตั้งอยู่ห่างธาตุเมืองจันทร์ออกไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร) ในระหว่างการก่อสร้างฝ่ายหญิงที่สร้างธาตุปราสาทได้ใช้เสน่ห์ล่อลวงฝ่ายชายที่สร้างธาตุเมืองจันทร์ จนสามารถเป็นฝ่ายชนะได้ โดยเมื่อฝ่ายหญิงสร้างธาตุปราสาทแล้วเสร็จ 3 องค์ฝ่ายชายเพิ่งสร้างธาตุเสร็จเพียงองค์เดียว ดังนั้นธาตุเมืองจันทร์จึงมีองค์เดียวและธาตุปราสาทจึงมี 3 องค์ดังปรากฏในปัจจุบัน นอกจากนี้ชาวบ้านเมืองจันทร์และตาโกนยังมีความเชื่อร่วมกันว่า หากชาวบ้านตาโกนยังไม่มาไหว้ธาตุเมืองจันทร์ ชาวบ้านเมืองจันทร์ก็จะยังไม่สามารถไปไหว้ธาตุปราสาทได้ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อในการไหว้ธาตุ ร่วมกันว่า การไหว้ธาตุทั้งสองแห่งจะสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขให้กับชาวบ้านทุกฅน หากไม่ปฏิบัติจะเกิดความ เดือดร้อนต่างๆนานา ประเพณีการไหว้ธาตุเมืองจันทร์ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีจึงยังคงสืบทอดมาตราบ จนปัจจุบัน
เวลาทำการ
วันอาทิตย์ 06:00 - 18:00
วันจันทร์ 06:00 - 18:00
วันอังคาร 06:00 - 18:00
วันพุธ 06:00 - 18:00
วันพฤหัสบดี 06:00 - 18:00
วันศุกร์ 06:00 - 18:00
วันเสาร์ 06:00 - 18:00