ศึกษา วิเคราะห์ความแตกต่างของการกระทำความผิดระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง การมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองผู้อื่นตามหลักสิทธิมนุษยชน การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและเลือกรับวัฒนธรรมสากลที่เหมาะสม ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และการเสนอแนวคิดในการลดความขัดแย้ง การดำรงชีวิตอย่างมีความสุขในประเทศและสังคมโลก ระบอบการปกครองต่างๆ ที่ใช้ในปัจจุบัน เปรียบเทียบระบอบการปกครองของไทยกับประเทศอื่นๆ ที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยและแนวทางแก้ไข
กฎหมาย คือข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ข้อบังคับแห่งความประพฤติ” คำว่ากฎหมาย อาจหมายความถึงกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป คือความรู้เกี่ยวกับวิชาที่ว่าด้วยความรู้สึกนึกคิดและหลักเกณฑ์ที่เป็นรากฐานของกฎหมาย เดิมเรียกว่าวิชาธรรมศาสตร์ อันเป็นศาสตร์เบื้องต้นในกฎหมายวิชาธรรมศาสตร์ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ธรรมศาสตร์ฉบับของพระมโนสาราจารย์ ซึ่งได้รวบรวมขึ้นในประเทศอินเดียในราว 100 ปี ก่อนคริสตกาล
ฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศต่าง ๆ ของสังคมโลกปัจจุบันนี้ ย่อมจะมีที่มาหรือที่เกิดแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพราะว่ากฎหมายที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นจะใช้บังคับได้ตลอดนานเท่านานไม่ กฎหมายย่อมจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นบ้างและพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมย่อมเป็นที่มาของกฎหมายต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนั้นการเจริญเติบโตของสังคม สภาพทางการเมืองเศรษฐกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในสังคมก็ล้วนแต่เป็นแหล่งที่เกิดขึ้นของกฎหมายด้วยเช่นกัน นักนิติศาสตร์ได้ศึกษาถึงแหล่งที่มาของกฎหมายอย่างกว้าง และในที่สุดสามารถสรุปได้ว่าในปัจจุบันนี้มีแหล่งที่มาของกฎหมายอยู่ 10 ทางด้วยกัน คือ
1. ขนบธรรมเนียม (Custom)
2. การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislation)
3. คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Decree)
4. คำพิพากษาของศาล (Judicial Decisions)
5. บทความทางวิชาการกฎหมาย (Commentaries)
6. รัฐธรรมนูญ (Constitution)
7. สนธิสัญญา (Treaties)
8. ประมวลกฎหมาย (Codification)
9. ประชามติ (Referendum)
10. หลักความยุติธรรม (Equity)
หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งแยกประเภทของกฎหมายนั้นมีอยู่มากมาย ในที่นี้ขอนำเสนอ 2 วิธีดังนี้คือ
ก. การแบ่งแยกตามลักษณะแห่งการใช้
ข. การแบ่งแยกตามลักษณะของความสัมพันธ์ของคู่กรณีหรือตามข้อความของกฎหมาย
ก. การแบ่งแยกตามลักษณะแห่งการใช้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ1. กฎหมายสารบัญญัติ 2. กฎหมายวิธีสบัญญัต
กฎหมายสารบัญญัติ เป็นกฎหมายบังคับความประพฤติของพลเมืองให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น บทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี แต่ถ้าต้องการให้บุคคลนั้นได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนดก็ต้องดำเนินคดี ซึ่งการดำเนินคดี ถือว่าเป็นเรื่องของกฎหมายวิธีสบัญญัติ
กฎหมายวิธีสบัญญัติ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดี เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ หากเป็นคดีอาญาก็ต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประมวลกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐในการดำเนินคดีอาญา การร้องทุกข์ กล่าวโทษ การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน การฟ้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิพากษาคดีในศาล ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด
ข. การแบ่งแยกตามลักษณะของความสัมพันธ์ของคู่กรณีหรือข้อความตามกฎหมายแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 3 ประเภทคือ
1. กฎหมายมหาชน
2. กฎหมายเอกชน
3. กฎหมายระหว่างประเทศ