สภาพการศึกษาสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ธีรภาพ นาราช
เผ่าพงษ์พัฒน์ บุญกะนันท์
ศรีเพ็ญ พลเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 โดยจำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 341 คน โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซีและมอร์แกน แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามจำนวน 3 ตอน คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับและแบบสอบถามปลายเปิด ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .9676 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงทำการทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ กำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า1. สภาพปัจจัยโดยรวมตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เกี่ยวกับสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านผู้นำทางวิชาการอยู่ในระดับปานกลางส่วนด้านอื่นๆ อยู่ในระดับมาก 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เกี่ยวกับสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เกี่ยวกับสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่ง โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เกี่ยวกับสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ผู้บริหารต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการจัดแผนการเรียนรู้
ธีรภาพ นาราช เผ่าพงษ์พัฒน์ บุญกะนันท์ และศรีเพ็ญ พลเดช (2558) สภาพการศึกษาสภาพปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขามนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 พ.ศ.2558 ; หน้า117-118
https://www.tci-thaijo.org/
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาเขต 2
พรสวรรค์ สุขพรหม
รุจิราพรรณ คงช่วย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 4) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 97 คน และครูผู้สอน จำนวน 317 คน รวม 414 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 60 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณแบบ Enter ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยการบริหารของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 มีความสัมพันธ์กันระดับสูงทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ปัจจัยการบริหารส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 โดยปัจจัยการบริหารด้านปัจจัยภาวะผู้นำ ปัจจัยบรรยากาศและวัฒนธรรมขององค์กร และปัจจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 ได้ร้อยละ 51.50 (R2=.515) มีสมการในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ดังนี้
คะแนนดิบ = .952 + .427(X1) + .306(X3) + .115(X4)
คะแนนมาตรฐาน = .392(X1) + .346(X3) + .135(X4)
พรสวรรค์ สุขพรหม และรุจิราพรรณ คงช่วย (2565) ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาเขต2 วารสาร มจร.อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2565 ; หน้า187-188
https://www.tci-thaijo.org/
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1
นฤมล มณีแดง
สมใจ สืบเสาะ
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยในการบริหารงานวิชาการและประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 และ 3) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 จากปัจจัยในแต่ละด้าน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 304 คน โดยวิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.926 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ระดับปัจจัยในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านผู้บริหาร ด้านครูผู้สอน ด้านสภาพทั่วไปของสถานศึกษา และด้านผู้ปกครองและชุมชน ตามลำดับ ระดับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ผลการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา ผลการวัดผลและประเมินผล ผลการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีการศึกษา ผลการนิเทศการศึกษา ผลการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และผลการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตามลำดับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้บริหาร ปัจจัยด้านครูผู้สอน ปัจจัยด้านผู้ปกครองและชุมชน และปัจจัยด้านสภาพทั่วไปของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.872 สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ได้ร้อยละ 76.00 และสร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ
Y ̂ = .775 + .330(X1) + .195(X2) + .169(X3) + .126(X4)
สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน
Z ̂ = .385(Z1) + .217(Z2) + .185(Z3) + .145(Z4)
องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ เป็นประโยชน์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้พัฒนางานบริหารวิชาการของสถานศึกษา ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นฤมล มณีแดง และสมใจ สืบเสาะ (2566) ปัจจัยในการบริหารงานวิชาการ ประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 พ.ศ.2566 ; หน้า172-173
https://www.tci-thaijo.org/
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำรวม คงสืบชาติ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการบริหารและประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและ 2) ตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของปัจจัยการบริหาร และประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 160 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างเกี่ยวกับปัจจัยการบริหารและประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบและการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนการตรวจสอบและยืนยันความเหมาะสมโดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงอนาคตผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีจำนวน 6 ด้าน ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารด้านบุคลากร 2) ปัจจัยการบริหารด้านงบประมาณ 3) ปัจจัยการบริหารด้านวัสดุอุปกรณ์ 4) ปัจจัยการบริหารด้านการบริหารจัดการ 5) ปัจจัยการบริหารด้านการมีส่วนร่วม และ 6) ปัจจัยการบริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศส่วนประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีจำนวน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาด้านผู้รับบริการ 2) ประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาด้านกระบวนการภายในและ 3) ประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาด้านการเรียนรู้และพัฒนา นอกจากนี้ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีค่าสถิติทดสอบ χ2 = 26.89, df = 16, p = 0.06, RMSEA = 0.03, SRMR = 0.02, GFI = 0.98, AGFI = 0.96 แสดงว่าปัจจัยการบริหารมีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลเท่ากับ .86
สำรวม คงสืบชาติ (2559) ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน บุรีรัมย์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://www.thaiedresearch.org/
รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
บุษบา บุญกะนันท์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาสร้างและตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 660 คน ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างเชิงเส้น ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร ประกอบด้วย ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านแรงจูงใจ และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน 2. การบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพได้รับอิทธิพลทางตรงจากปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนมากที่สุด และได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากปัจจัยด้านภาวะผู้นำมากที่สุด 3. รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (x̅ = 94.36, df = 76, p-value = 0.075, RMSEA = 0.019)
บุษบา บุญกะนันท์ (2561) รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน บุรีรัมย์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://www.thaiedresearch.org/
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย
เฉลิมชัย หรสิทธิ์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 1) เพื่อสำรวจ วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน องค์ประกอบและแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รองผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลปีการศึกษา 2561 – 2562 จำนวน 30 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 12 คน ผู้ปกครองของนักเรียน โรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย ปีการศึกษา ปีการศึกษา 2561 - 2562 จำนวน 350 คน โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิและแต่ละชั้นภูมิสุ่มอย่างง่าย (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นสอบถาม สำรวจวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ประเมินองค์ประกอบ แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ แบบวัดความพึงพอใจต่อรูปแบบ สถิติที่ใช้ ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากล ของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ คือ การนำองค์กร กลยุทธ์ นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การวัดการวิเคราะห์และการจัดการความรู้ บุคลากร การปฏิบัติการและ ผลลัพธ์ 2) ผลการสร้างรูปแบบประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ จุดมุ่งหมายของรูปแบบ กลไกในการดำเนินงาน ของรูปแบบ วิธีดำเนินงานพัฒนารูปแบบ 5) การประเมินรูปแบบ และ เงื่อนไขความสำเร็จ และผลการตรวจสอบรูปแบบฯ มีความเหมาะสม 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากล ของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย พบว่า โรงเรียนสามารถดำเนินการตามรูปแบบ ผลการประเมินด้านคุณลักษณะของนักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด ด้านสื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก นักเรียนเข้าร่วมได้รับรับรางวัล 239 รายการ คิดเป็น ร้อยละ 90.87 โรงเรียนจัดหลักสูตรที่ส่งเสริมความเป็นเลิศตอบสนองความถนัดและศักยภาพตามความต้องการของผู้เรียน ด้านภาษาต่างประเทศ ภาษาที่สอง และวิชาการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study : IS) ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับ การยกย่อง เชิดชูเกียรติและเข้าร่วมอบรมเผยแพร่ผลงาน จากหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานภายนอก มีผลงาน ระดับภาค ชาติ นานาชาติ ร้อยละ 100 ผู้เกี่ยวข้องมีความพึงพอใจต่อรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากล ของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย ด้านความเหมาะสม ความถูกต้อง ด้านความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน
เฉลิมชัย หรสิทธิ์ (2562) รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลตามมาตรฐานโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนหนองพอกวิทยาลัย ร้อยเอ็ด : โรงเรียนจตุรพักตรพิมานรัชดาภิเษก
http://www.thaiedresearch.org/
Factors Affecting the Identification of Research Problems in Educational Administration Studies
Yalçin
Abstract
The purpose of this study is to reveal the factors that affect the identification of research problems in educational administration studies. The study was designed using the case study method. Criterion sampling was used to determine the work group; the criterion used to select the participants was that of having a study in the field of educational administration. Within this scope, the sample was composed of 29 people from various Turkish universities who have conducted studies in the field of educational administration. Content analysis was used to analyze the data collected via a semi-structured interview form. As a result of the content analysis, educational administration researchers' statements about the factors deemed effective in identifying research problems have been grouped under five main themes. These themes are as follows: (i) "criteria for identifying research problems," including the sub-themes of the nature of the problem, personal criteria, the literature and academic relationships; (ii) "resources for identifying research problems," including publications, the literature, academic shareholders, other disciplines, written/visual media and personal criteria sub-themes; (iii) "criteria for limiting the extent of research problems," including methodological criteria, personal criteria, the nature of the problem, the literature and academic stakeholders; (iv) "criteria for assessing research problems," including the nature of the problem, the literature, academic criteria and personal criteria; and (v) "theory-practice balance in research problems," including personal criteria, the nature of the problem, methodological criteria and the literature.
Yalçin, Mikail; Bektas, Fatih; Öztekin, Özge; Karadag, Engin
Educational Sciences: Theory and Practice, v16 n1 p23-52 Feb 2016
Factors Affecting Students' Choice of Educational Administration Major: Why Do Students Join the Program
Wardaya
Didik
Abstract
The study examined factors affecting Behavioral Intention (BI) regarding students' choice of educational administration as their major. Samples were taken from Indonesian students. The process was begun with the adaptation of survey instruments from previous studies validated through content validity. In testing the normality, Skewness and Kurtosis values were computed. Reliability assessment was applied through Cronbach's alpha. Exploratory Factor Analysis (EFA) and Confirmatory Factor Analysis (CFA) were both conducted for the constructs. In examining the relationship, Structural Equation Modeling (SEM) analysis using AMOS 23.0 was applied to 257 responses. The findings informed that two relationships were significant while the other two are insignificant. Perceived Behavioral Control (PBC) and Attitude (AT) significantly predicted BI, while Subjective Norm (SN) and Facilitating Condition (FC) did not significantly predict BI. The current study can expand an in-depth contribution and reference for further researchers as a basis of the empirical evidence in relation to the validated survey questionnaire. Access to the questionnaire may contribute to educational stakeholders establishing policies to improve students' interests in studying in an educational administration study program.
Wardaya, Didik; Prasojo, Lantip Diat; Sugiyono, Sugiyono
International Journal of Evaluation and Research in Education, v10 n4 p1125-1132 Dec 2021
Guidelines for the Application of Design Thinking Processes in School Administration of School Administrators under the Secondary Educational Service Area Office, Phitsanulok, Uttaradit
Sakkumpa Inchuen
Abstract
The purpose of this research is twofold: 1) to study the application of the design thinking process in school administration under the Secondary Educational Service Area Office, Phitsanulok, Uttaradit, and 2) to explore the implementation of design thinking process in school administration of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office, Phitsanulok, Uttaradit. This is a qualitative research study conducted using a sample of 57 educational administrators and 7 qualified personnel as participants. The research tools utilized include document analysis, questionnaires, and interviews, with statistical analysis involving mean values and standard deviations. The research findings indicate that: 1) The application of the design thinking process in school administration of school administrators is at its highest level. When considering each aspect, it was found that the model prototypes had the highest average, while data synthesis had the lowest average. 2) In terms of guidelines for applying design thinking processes in school administration, it was observed that confidence, empathy in work, and awareness of problems with open-ended questioning encourage creativity. Motivating and encouraging the expression of different ideas by participating in the development of models for use in problem-solving and the collection of information of suggestions, for improvement and development were key factors.
Sakkumpa Inchuen; Nopmanee Meethong; Numpong Janto; Nirada Wechayaluck
Journal of Education and Learning, v13 n1 p172-179 2024
Development of New Normal Administration Model According to Good Governance Principles of Schools under Sakon Nakhon Primary Education Service Area Offices in Sakon Nakhon Province
Ponchai Chumpunya
Abstract
The objectives of research were to develop the new normal administration model according to the principles of good governance for schools under the Office of Primary Educational Service Area in Sakon Nakhon Province. The findings were as follows: I) Components of new normal administration for schools, consisting of 8 components: 1) New Normal Administration Planning 2) New Normal Working Method 3) New Normal Learning Curriculum Administration 4) New Normal Learning Administration 5) New Normal Learning Evaluation 6) New Normal Learning Resource Administration 7) New Normal Collaboration, and 8) Safety. Overall, it is at the most suitable level--the possibility at a high level. II) The new normal administration model consists of 5 components: 1) principles 2) objectives 3) structure 4) administration process and 5) mechanism. As for the components of the administration process, there are 8 sub-components, namely 1) New Normal Learning Resource Administration 2) New Normal Learning Administration 3) New Normal Learning Curriculum Administration 4) New Normal Learning Evaluation 5) New Normal Cooperation 6) New Normal Working Methods 7) Safety, and 8) New Normal Administration Planning. Four external factors affect the administration, including: 1) economic 2) technology, 3) social, and 4) political. III) Every component of the model is suitability possibilities and usefulness is at the highest level. IV) The manual for using the model consists of 3 components: 1) an explanation, 2) an introduction that presents details about the background, importance, objectives, and expected benefits, and 3) details of the model with the results of suitability at the highest level.
Ponchai Chumpunya; Waro Phengsawat; Wanphen Nanthasri
International Education Studies, v17 n2 p33-45 2024