ThaiLIS👓
ThaiLIS👓
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดชัยภูมิ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิตามความคิดเห็นของครูผู้สอน 2) เปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนจำแนกตามขนาดสถานศึกษา และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2556 จำนวน 26 โรงเรียน จำนวน 324 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .985 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ F–test แบบ One-Way ANOVA ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้ 1. ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิตามความคิดเห็นของครูผู้สอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 2. ผลการเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิตามความคิดเห็นของครูผู้สอนจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีภาวะผู้นำทางวิชาการที่สูงขึ้น มีการจัดอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการหลักสูตรให้ชัดเจนแก่บุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในการจัดทำหลักสูตร เพื่อสนับสนุนให้ครูจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ หลักสูตรรายวิชาท้องถิ่นที่เอื้อกับบริบทของสถานศึกษา ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพและเต็มความสามารถ ควรส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีทักษะด้านการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลที่มีมาตรฐาน สนับสนุนให้ครูวัดผลเพื่อปรับปรุงผลการเรียนและตัดสินผลการเรียน อีกทั้งควรส่งเสริมให้ครูได้จัดแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางวิชาการของครูในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และส่งเสริมการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร
อ้างอิง
กมลทิพย์ บุญโพธิ์ (2561)ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดชัยภูมิ. มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา เปรียบเทียบ ศึกษาความสัมพันธ์ ศึกษาอำนาจพยากรณ์ และหาแนวทางการพัฒนา ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง ขนาดของโรงเรียนและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน การวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (Correlation Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในปีการศึกษา 2565 จำนวน 339 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 70 คน ครูผู้สอน จำนวน 269 คน จากจำนวน 70 โรงเรียน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ คุณภาพของแบบสอบถามทั้งฉบับมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.48 - 0.91 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่าที (t-test) ชนิด Independent Samples การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson’s Product-Moment Correlation Coefficient) และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแต่ละขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาและชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง และจำแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และจำแนกตามประสบการณ์ในการปฏิบัติงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน 3. ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน พบว่า จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่งโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์ในการปฏิบัติงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน 4. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน มีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ระดับสูง 5. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนที่มีอำนาจพยากรณ์ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ ด้านการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ทางวิชาการ (X3) ด้านบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน (X2) ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน (X5) และด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย (X1) โดยอำนาจพยากรณ์ได้ร้อยละ 65.8 6. การวิจัยในครั้งนี้ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียน จำนวน 4 ด้าน ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน คือ 6.1) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจและเป้าหมาย โดยผู้บริหารสถานศึกษาต้องพัฒนาตนเองและจะต้องร่วมมือร่วมใจกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายในการจัดการศึกษา 6.2) ด้านการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน โดยหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติ และนิเทศประเมินการใช้หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง นำมาพัฒนาหลักสูตร 6.3) ด้านการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ทางวิชาการ ผู้บริหารควรสนับสนุนการจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้และควรส่งเสริมการอบรม สัมมนาทางวิชาการให้ครูผู้สอน และ 6.4) ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน โดยผู้บริหารต้องนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผลด้วยวิธีการที่หลากหลาย เป็นระบบและต่อเนื่อง และสะท้อนผลเพื่อนำไปพัฒนา
อ้างอิง
วนิดา เชื้อคมตา (2568) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1.มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรีระยอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ชลบุรี ระยอง ปี การศึกษา 2563 จำนวน 356 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามมาตรา ส่วน 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .38- .92 ค่าความเชื่อมั่น .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X ̅) ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson product moment correlation coefficient) ผลการวิจัยปรากฏว่า 1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ชลบุรีระยองโดยรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดีโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ได้แก่ การกำกับติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน การกำหนดกรอบเป้าหมายของโรงเรียน และการประสานงานด้านหลักสูตร ตามลำดับ 2. ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรีระยอง โดยรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดีโดยเรียงลำดับ ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ได้แก่ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษาการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตามลำดับ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับ ประสิทธิผลในการบริหารงาน วิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรีระยอง โดยรวมและรายด้านมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อเรียงลำดับความสัมพันธ์จากมากไปหาน้อย3 ลำดับแรก ได้แก่ การประสานงานด้านหลักสูตรการจัดหาสิ่งจูงใจสำหรับครูและการผลักดันด้านมาตรฐานทางวิชาการ ตามลำดับ
Abstract: The purpose of the research was to study the relationship between the instructional leadership and the effectiveness of academic administration of administrators in school under the office of secondary educational service area chonburi rayong. The sample group consisted of 356 teachers in the office of secondary educational service area chonburi rayong, academic year 2019. The study instrument was a 5 level questionnaire with a discrimination each item between .38 - . 92 reliability value .98 The statistics used in the data analysis were mean (X ̅), standard deviation (SD) and Pearson product moment correlation coefficient. The findings of the research indicate as follows: 1. The instructional leadership of academic administration of administrators in school under the office of secondary educational service area chonburi rayong. were at a good level. 2. The effectiveness of academic administration of administrators in school under the office of secondary educational service area chonburi rayong. were at a good level. 3. There was relationship between the instructional leadership and the effectiveness of academic administration of administrators in school under the office of secondary educational service area chonburi rayong. at a high level in overall with at .01 level of significance.
นพรัตน์ แย้มโกสุม (2565).ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง.มหาวิทยาลัยบูรพา. สำนักหอสมุด
THAIJO🏝️
การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม และภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อประสิทธิผล ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ฉะเชิงเทรา เขต 2
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร สถานศึกษา 2) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ระดับประสิทธิผลของ สถานศึกษา 4) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมและภาวะผู้นำทางวิชาการของ ผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา 5) การบริหารแบบมีส่วนร่วมและภาวะผู้นำทาง วิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 325 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และค่าการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า
1. ระดับการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแยกเป็น รายด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ การมีส่วนร่วมในการ ประเมินผล การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ
2. ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแยกเป็นรายด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ การประเมินผลการสอนของครู การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน มุมมองต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านหลักสูตร การวางแผน เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพครู
3. ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแยก เป็นรายด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ การจัดการคุณภาพของโรงเรียนโดยรวม ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ความพึงพอใจในการทำงานของบุคลากร
4. การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมและภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับ ประสิทธิผลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์ในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5. การบริหารแบบมีส่วนร่วมและภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อ ประสิทธิผลของสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ Z´y = .660X1 + .323X22558
อ้างอิง
กัญญา เพ็ชรนอก.(2558).การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม และภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อประสิทธิผล ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ฉะเชิงเทรา เขต 2.ฉะเชิงเทรา: หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการสร้างความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่ม : อิทธิพลปฏิสัมพันธ์ของการเป็นครูที่ปรึกษา
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเป็นครูที่ปรึกษาและภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่ม 2) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเป็นครูที่ปรึกษาและองค์ประกอบภายในภาวะผู้นำทางวิชาการที่มีต่อความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่ม ตัวอย่างของการวิจัยเป็นครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 120 คน เป็นครูที่ปรึกษาจำนวน 71 คน และไม่ใช่ครูที่ปรึกษา 49 คน ได้มาด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความตรงและความเที่ยง มีค่าความสอดคล้องภายในของแบบวัดภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา และความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่ม .87 และ .90 ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า อิทธิพลปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเป็นครูที่ปรึกษาและภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (β = .40) สามารถอธิบายความแปรปรวนรวมคิดเป็นร้อยละ 15 และ เมื่อเปรียบเทียบค่าอิทธิพลปฏิสัมพันธ์ของการเป็นครูที่ปรึกษาร่วมกับองค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการ จะพบว่า ปฏิสัมพันธ์ร่วมด้านการกำหนดพันธกิจ มีค่าสูงสุด (β = .38) รองลงมา คือ ด้านการจัดการด้านการเรียนการสอน (β = .34) อธิบายความแปรปรวนได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และ 5 ตามลำดับ ทั้งนี้ไม่พบปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างการเป็นครูที่ปรึกษากับการสร้างบรรยากาศทางวิชาการ ข้อค้นพบที่ได้ ทำให้เข้าใจบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่มให้กับครูในโรงเรียน งานวิจัยนี้ยังพบว่า การเป็นครูที่ปรึกษาแทรกแซงอิทธิพลของภาวะผู้นำทางวิชาการที่มีต่อทัศนคติของครูที่มีต่อทีมงาน ทำให้ได้ข้อเสนอแนะสำคัญ 3 ประการ คือ 1) ควรกำหนดบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของครูที่ปรึกษาที่ชัดเจน และ 2) สร้าง “ครูที่ปรึกษามืออาชีพ” และ 3) เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและครูที่ปรึกษาเพื่อสร้างการทำงานเป็นทีมที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างกัน
อ้างอิง
ถมรัตน์ ศิริภาพ .(2565).ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการสร้างความเชื่อประสิทธิภาพของกลุ่ม : อิทธิพลปฏิสัมพันธ์ของการเป็นครูที่ปรึกษา.นครสวรรค์:สำนักงานส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ภาวะผู้นำทางวิชาการกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน ประชากร จำนวน 2,422 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 296 คน และครูผู้สอน จำนวน 1,918 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 645 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 215 คน และครูผู้สอน จำนวน 430 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน
เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ด้านภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.73 และด้านองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.70 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ สถิติที่ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำทางวิชาการ และองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมากทั้งสองด้าน
2. ภาวะผู้นำทางวิชาการ และองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และ .05 ตามลำดับ
3. ภาวะผู้นำทางวิชาการ และองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดแตกต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน
4. ภาวะผู้นำทางวิชาการกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน สัมพันธ์กันในเชิงบวกอยู่ในระดับ ปานกลาง
5. ภาวะผู้นำทางวิชาการ ด้านการสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ด้านการสร้างและพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้นำของบุคลากร และด้านการสร้างความมั่นใจในเกณฑ์การประเมินผล มีอำนาจพยากรณ์องค์การแห่งการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยทั้ง 3 ด้าน มีค่าอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 21.90 และค่าความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ .18
อ้างอิง
อนัฏติยา ซาระวงศ์ .(2561).ภาวะผู้นำทางวิชาการกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียน.สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ThaiEDResearch ⭐
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสม แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1) การศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และการศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1-42 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 330 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ขั้นตอนที่ 2) การสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 มาใช้ยกร่างรูปแบบการพัฒนา และการสัมมนา อิงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 8 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมของรูปแบบ ขั้นตอนที่ 3) การประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 30 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ภาคกลาง จำนวน 7 คน ภาคเหนือ จำนวน 7 คน ภาคใต้ จำนวน 7 คน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 9 คน ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ที่ทันสมัย การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การสร้างเครือข่ายความร่วมมือการทำงาน และการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ที่ทันสมัย ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ ส่วนด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างเครือข่ายการทำงาน
2. รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1) แนวคิด หลักการ ประกอบด้วย หลักการและเหตุผล และวัตถุประสงค์ ส่วนที่ 2) การพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 5 หน่วยการเรียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา และการจัดการความรู้ในสถานศึกษา ส่วนที่ 3) การประเมินผลหลังการพัฒนา ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ ขอบข่ายเนื้อหา กิจกรรม สื่อ/แบบทดสอบ และเกณฑ์การประเมิน
3. ผลการประเมินความเป็นไปได้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มากที่สุด ได้แก่ ส่วนที่ 1) แนวคิดหลักการ ระดับมาก รองลงมา ส่วนที่ 3 การประเมินผลหลังการพัฒนา ระดับมาก และส่วนที่ 2) การดำเนินการพัฒนา ระดับมาก ความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ การพัฒนาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มากที่สุด ได้แก่ ส่วนที่ 1 แนวคิดหลักการ รองลงมาได้แก่ ส่วนที่ 3 การประเมินผลหลังการพัฒนา ระดับมากที่สุด และส่วนที่ 2 การดำเนินการพัฒนา ระดับมาก ตามลำดับ
อ้างอิง
นายวิเชียร ทองคลี่ (2560) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นักวิชาการศึกษา
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยได้กำหนดวิธีดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษารูปแบบจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่ง คือ จากเอกสารงานวิจัย จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้บริหารสถานศึกษาครูผู้ทำหน้าที่หัวหน้างานวิชาการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 และโรงเรียนบ้านแปรง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 5 ที่เป็นโรงเรียนดีเด่น และจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้ทำหน้าที่หัวหน้างานวิชาการและประธานกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน รวม 372 คน โดยใช้แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การร่างและพัฒนารูปแบบตรวจสอบความถูกต้องและความสอดคล้องของ
รูปแบบตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้หลักการของเทคนิคเดลฟาย ยืนยันความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบกับผู้บริหารสถานศึกษาอาสาสมัครที่ต้องการพัฒนา จำนวน 15 คน ใช้การทดสอบนัยสำคัญโดยการหาค่า Sign-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. พฤติกรรมภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำและต้องพัฒนาคือ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีองค์ประกอบ 6 ด้าน 66 ตัวบ่งชี้ ได้แก่
1) ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา 12 ตัวบ่งชี้ 2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา 10 ตัวบ่งชี้ 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนการสอน 11 ตัวบ่งชี้ 4) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดกระบวนการเรียนรู้ 10 ตัวบ่งชี้ 5) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ 11 ตัวบ่งชี้ 6) ด้านการจัดการทรัพยากรการเรียนรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ 12 ตัวบ่งชี้
2. รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการของรูปแบบ และ 5) การวัดและประเมินผล การดำเนินการในขั้นกระบวนการของรูปแบบแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะก่อนปฏิบัติการ ระยะที่ 2 ระยะปฏิบัติการ ประกอบด้วย 1) การอบรมเข้ม และ 2) ประชุมปฏิบัติการรวม 6 ครั้ง โดยใช้คู่มือพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ 6 ชุด ประกอบการประชุมปฏิบัติการ และการศึกษาดูงานโรงเรียนดีเด่น 1 แห่ง ระยะที่ 3 ระยะติดตามผล โดยการประชุมและใช้แบบประเมินพฤติกรรมภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 3 ระยะ พบว่า หลังปฏิบัติการค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสูงกว่าก่อนปฏิบัติการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และระยะติดตามผลมีค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินสูงกว่าระยะหลังปฏิบัติการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้บริหารสถานศึกษามีความเห็นว่า รูปแบบการพัฒนาเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา เนื่องจากได้มีการเรียนรู้จากวิทยากร จากการศึกษาคู่มือจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาที่ร่วมปฏิบัติการด้วยกันตลอดจนได้เรียนรู้จากผู้บริหารสถานศึกษาดีเด่นที่ได้ไปศึกษาดูงาน
อ้างอิง
ธนวัฒน์ ภิรมย์ไกรภักดิ์ (2558).รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรม และบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้เทคนิคเคลฟายกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 19 คน ระยะที่ 3 ตรวจสอบรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจกับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 300 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น และระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยสรุปผลได้ดังนี้
1. รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า มี 8 องค์ประกอบ คือ 1) การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมายและพันธกิจการเรียนรู้ 2) การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ 3) การส่งเสริมพัฒนาวิชาชีพครู 4) การส่งเสริมพัฒนานักเรียน 5) การบริหารจัดการสถานศึกษา 6) การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ 7) การบริหารตนเองทีมงานและชุมชน และ 8) การจัดโปรแกรมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และประกอบด้วย 57 ตัวบ่งชี้
2. การประเมินรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่ารูปแบบมีความเป็นประโยชน์ มีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม และมีความสอดคล้องทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด
อ้างอิง
กรรณิกา นาคคำ .(2557).การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ERIC📑
Developing a Program to Strengthen Academic Leadership of Primary School Administrators in Northeast of Thailand
This research aimed: 1) to investigate components and indicators of academic leadership of primary school administrators; 2) to explore existing situation and desirable situation, and assessment the needs to enhance academic leadership of primary school administrators; and 3) to develop a program to strengthen academic leadership of primary school administrators. Mixed methods research was employed which divided into three phases. The 1st phase was investigation of components and indicators of academic leadership of primary school administrators and verify by 7 experts. The 2nd ed. phase was exploration of existing situation and desirable situation of academic leadership of primary school administrators. The samples were 750 primary school administrators and teachers in Northeast of Thailand, obtained through stratified random sampling technique. The 3rd ed. phase was developing a program to strengthen academic leadership of primary school administrators and evaluate the program by 9 experts. The research instruments were the components and indicators evaluation form, an existing and desirable situation questionnaire, the structured interview form, and a program evaluation form. Statistics used were mean, standard deviation, and the modified priority needs index. The research results were: 1) The academic leadership of the primary school administrators comprised of 5 components and 26 indicators; 2) The existing situation of academic leadership of primary school administrators was at a high level, desirable situation was at the highest level, and the needs to strengthen academic leadership of primary school administrators were ranked from high to low was visionary, supervision of learning management, teacher professional development, curriculum and learning management, and learning atmosphere and culture development, respectively; and 3) The developed program to strengthen academic leadership of primary school administrators comprised 5 main parts; 1) program rationale, 2) program objectives, 3) content consists of 5 modules and 25 sub-modules, 4) development methods and activities were self-study, training, and knowledge exchanging and practicing, and 5) program evaluation.
Neratchara Kanchak , Kowat Tesaputa and Hatai Noisombut (2023) Developing a Program to Strengthen Academic Leadership of Primary School Administrators in Northeast of Thailand International Education Studies, v16 n5 p29-37 2023
การพัฒนาโครงการเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย: 1) เพื่อตรวจสอบองค์ประกอบและตัวชี้วัดความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 2) เพื่อสํารวจสถานการณ์ปัจจุบันและสถานการณ์ที่พึงปรารถนา และประเมินความจําเป็นในการเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา และ 3) เพื่อพัฒนาโปรแกรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา มีการใช้การวิจัยแบบผสมซึ่งแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ระยะที่ 1 เป็นการสอบสวนองค์ประกอบและตัวชี้วัดความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 7 คน ฉบับที่ 2 ระยะเป็นการสํารวจสถานการณ์ที่มีอยู่และสถานการณ์ที่พึงปรารถนาของความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาและครูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 750 คน โดยได้มาจากเทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ฉบับที่ 3 ระยะกําลังพัฒนาโปรแกรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาและประเมินโปรแกรมโดยผู้เชี่ยวชาญ 9 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบฟอร์มการประเมินองค์ประกอบและตัวบ่งชี้แบบสอบถามสถานการณ์ที่มีอยู่และพึงปรารถนาแบบฟอร์มการสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างและแบบฟอร์มการประเมินโปรแกรม สถิติที่ใช้คือค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและดัชนีความต้องการลําดับความสําคัญที่แก้ไข ผลการวิจัย ได้แก่ 1) ความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ และ 26 ตัวชี้วัด 2) สถานการณ์ปัจจุบันของความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาอยู่ในระดับสูงสถานการณ์ที่พึงปรารถนาอยู่ในระดับสูงสุดและความจําเป็นในการเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาได้รับการจัดอันดับจากสูงไปต่ําคือวิสัยทัศน์การกํากับดูแลการจัดการการเรียนรู้การพัฒนาวิชาชีพครูหลักสูตรและการจัดการการเรียนรู้และบรรยากาศการเรียนรู้และการพัฒนาวัฒนธรรม ตามลําดับ; และ 3) โครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก 1) เหตุผลของโปรแกรม 2) วัตถุประสงค์ของโปรแกรม 3) เนื้อหาประกอบด้วย 5 โมดูลและ 25 โมดูลย่อย 4) วิธีการพัฒนาและกิจกรรม ได้แก่ การศึกษาด้วยตนเอง การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนความรู้และฝึกฝน และ 5) การประเมินโปรแกรม
เนรัชระ กาญจักษ์ โควัฒน์ เตซาปัวต้า ฮาไต นอยซอมบัต (2023) การพัฒนาโครงการเสริมสร้างความเป็นผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การศึกษานานาชาติศึกษา v16 n5 p29-37 2023
Integrating Instructional Leadership with Social Justice Leadership: Insights from Israel's Principals
Purpose: This study explores how school principals can effectively integrate instructional leadership with social justice leadership, recognizing their dual roles in promoting academic excellence and fostering a socially just school environment. Research Methods: Participants in this qualitative study were 32 principals from elementary schools in Israel. Data collection involved one-on-one interviews and focus groups. Data analysis followed a comprehensive four-stage process, including sorting, coding, categorizing, and theorizing. Findings: The study identified four interrelated perspectives on the relationship between instructional leadership and social justice leadership: (1) instructional leadership and social justice leadership have divergent foci; (2) instructional leadership inherently contributes to social justice; (3) social justice leadership defines the teaching approach required by instructional leadership; and (4) social justice leadership shapes the purpose of instructional leadership. Implications: This study suggests that to encompass the entire range of integration between instructional leadership and social justice leadership, principals must consider two aspects: the influence of social justice leadership on instructional leadership goals and its impact on instructional leadership practices.
Haim Shaked.(2024).Integrating Instructional Leadership with Social Justice Leadership: Insights from Israel's Principals.Educational Administration Quarterly, v60 n4 p452-492 2024
การบูรณาการความเป็นผู้นำในการสอนกับความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม: ข้อมูลเชิงลึกจากผู้อำนวยการโรงเรียนของอิสราเอล
วัตถุประสงค์: การศึกษานี้สำรวจว่าผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถบูรณาการความเป็นผู้นำในการสอนกับความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร โดยตระหนักถึงบทบาทสองด้านของทั้งสองบทบาทในการส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการและส่งเสริมสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ยุติธรรมทางสังคม วิธีการวิจัย: ผู้เข้าร่วมในการศึกษาเชิงคุณภาพนี้คือผู้อำนวยการโรงเรียน 32 คนจากโรงเรียนประถมศึกษาในอิสราเอล การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวและกลุ่มสนทนา การวิเคราะห์ข้อมูลปฏิบัติตามกระบวนการที่ครอบคลุมสี่ขั้นตอน ได้แก่ การจัดเรียง การเข้ารหัส การจัดหมวดหมู่ และการสร้างทฤษฎี ผลลัพธ์: การศึกษาระบุมุมมองที่เกี่ยวข้องกันสี่ประการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นำในการสอนและความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม: (1) ความเป็นผู้นำในการสอนและความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน (2) ความเป็นผู้นำในการสอนมีส่วนสนับสนุนความยุติธรรมทางสังคมโดยเนื้อแท้ (3) ความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมกำหนดแนวทางการสอนที่จำเป็นสำหรับความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม และ (4) ความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมกำหนดจุดประสงค์ของความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม นัยสำคัญ: การศึกษานี้แนะนำว่าเพื่อให้ครอบคลุมการบูรณาการทั้งหมดระหว่างความเป็นผู้นำในการเรียนการสอนและความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องพิจารณาสองประเด็น ได้แก่ อิทธิพลของความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมต่อเป้าหมายความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคมและผลกระทบต่อแนวทางปฏิบัติความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม
อ้างอิง
ไฮม์ เชค.(2024). การบูรณาการความเป็นผู้นำด้านการเรียนการสอนกับความเป็นผู้นำด้านความยุติธรรมทางสังคม: ข้อมูลเชิงลึกจากผู้อำนวยการโรงเรียนของอิสราเอล .วารสารบริหารการศึกษา, v60 n4 p452-492 2024
Instructional Leadership of School Administrators and Teachers' Instructional Mood States
This study aims to explain the relation between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods according to teacher opinions. The research is quantitative in nature and designed in a correlational survey pattern using quantitative research methods. A total of 160 participants took part in the study, selected through simple random sampling method. In data analysis, t-tests and ANOVA were used. Pearson product-moment correlational analysis was employed to determine the relation between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods. The impact of school administrators' instructional leadership on teachers' instructional moods were analyzed using simple linear regression analysis. It was found that the level of school administrators' instructional leadership was high, and teachers' instructional moods were at a moderate level. Teachers were found to have a higher sense of enjoyment in their instructional moods, while their anxiety levels were relatively low. School administrators' instructional leadership behaviors were found to be consistent across gender, educational level, years of service in the school, and duration of working with the current school administrator. Similarly, no differences were found in teachers' instructional moods concerning gender, educational level, years of service in the school, and duration of working with the current school administrator. A low level of positive correlation was found between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods. The study concluded that the instructional leadership of school administrators has a minimal impact on teachers' instructional mood states. [This paper was published in: "EJER Congress 2023 Conference Proceedings," Ani Publishing, 2023, pp. 1-23.]
ความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนและสถานะอารมณ์การสอนของครู
การส่งผลงานออนไลน์ บทความนําเสนอในการประชุมวิจัยการศึกษายูเรเซียนานาชาติ (EJERCongress) (2023)
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครูตามความคิดเห็นของครู การวิจัยมีลักษณะเชิงปริมาณและได้รับการออกแบบในรูปแบบการสํารวจเชิงสหสัมพันธ์โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 160 คนเข้าร่วมในการศึกษา โดยคัดเลือกผ่านวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ในการวิเคราะห์ข้อมูล จะใช้การทดสอบ t และ ANOVA การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาของผลิตภัณฑ์เพียร์สันถูกนํามาใช้เพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นําในการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครู ผลกระทบของความเป็นผู้นําด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนต่ออารมณ์การสอนของครูได้รับการวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย พบว่าระดับความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนอยู่ในระดับสูง และอารมณ์การสอนของครูอยู่ในระดับปานกลาง พบว่าครูมีความรู้สึกเพลิดเพลินในอารมณ์การสอนที่สูงขึ้นในขณะที่ระดับความวิตกกังวลค่อนข้างต่ํา พบว่าพฤติกรรมความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนมีความสอดคล้องกันตามเพศระดับการศึกษาปีที่ให้บริการในโรงเรียนและระยะเวลาในการทํางานกับผู้บริหารโรงเรียนปัจจุบัน ในทํานองเดียวกันไม่พบความแตกต่างในอารมณ์การสอนของครูเกี่ยวกับเพศระดับการศึกษาปีที่ให้บริการในโรงเรียนและระยะเวลาในการทํางานกับผู้บริหารโรงเรียนปัจจุบัน พบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ําระหว่างความเป็นผู้นําด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครู การศึกษาสรุปว่าความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนมีผลกระทบน้อยที่สุดต่อสภาวะอารมณ์การสอนของครู
อ้างอิง
อาเม็ต เกอร์จิน; เซเซ็นโทฟูร์.(2023).ความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนและสถานะอารมณ์การสอนของครู
. บทความนี้ตีพิมพ์ใน: "EJER Congress 2023 Conference Proceedings," Ani Publishing, 2023, pp. 1-23.