การส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการทางภาษาที่เหมาะสมกับวัยนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ดร.สราวดี เพ็งศรีโคตร
ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ
รับผิดชอบงานการจัดการศึกษาปฐมวัย สพป.สระแก้ว เขต 2
…………………………………………………………………….
ใคร ๆ ก็บอกว่า เด็กในวัยแรกเกิด ถึง 6 ปี หรือที่เราเรียนกว่า “เด็กปฐมวัย” เป็นช่วงวัยทองที่สำคัญต่อการพัฒนา ในขณะที่ “วาทกรรม” นี้เกิดขึ้น จะมีใครสักกี่คนที่จะสนใจจริง ๆ ว่า แล้วจะพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างไรให้เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ และบริบทของเด็กปฐมวัยคนนั้น ๆ บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้อ่านและลองทำความเข้าใจไปด้วยกัน ว่าเมื่อเราต้องการทำสิ่งใด หรือพัฒนาอะไร เราก็ควรที่จะต้องรู้จักสิ่งนั้นให้ชัดเจนที่สุด หาข้อมูลให้ดีที่สุดเพื่อใช้เป็นฐานในการทำสิ่งนั้น ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งผู้เขียนอยากเชิญชวนท่านให้ลองได้ศึกษาถึงพัฒนาทางสมองกับ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยให้เข้าใจ ก่อนที่ท่านจะจัดการศึกษา หรือป้อนอะไรๆ ให้เด็ก ๆ เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้อย่างมีความสุข มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ สมวัย เป็นฐานที่มั่นคงในการเรียนรู้ในระดับชั้นที่สูงขึ้น
สิ่งที่เป็นยาขมหม้อใหญ่สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนรู้ หรือนักวิชาการปฐมวัย กับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กบางส่วน คือ ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ระหว่างครูปฐมวัยหรือนักวิชาการปฐมวัย ที่ต้องการพัฒนาส่งเสริมเด็กให้สอดคล้องกับพัฒนาการเด็กตามวัยและหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 แต่ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องบางส่วนคิดว่าการสอนเด็กปฐมวัยที่ดีคือการสอนให้เด็กปฐมวัยอ่านออกและเขียนได้ นั่นคือความสำเร็จของการเข้าเรียนชั้นอนุบาล ตามความมุ่งหวังของผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง อาจเนื่องจากขาดข้อมูลเรื่องนี้ จนบางทีถึงกับปิดกั้นข้อมูล ความรู้ ความคิดที่เหมาะสม ปล่อยให้กระแสความต้องการที่ไม่มีหลักเข้าครอบงำ เกรงว่าลูกหรือเด็กจะไม่ทันคนอื่น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ต่างก็มีฐานคิดที่ดีคือปรารถนาจะให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ลองมาเปิดใจ พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบด้าน ท่านอาจจะได้แนวคิดใหม่ที่ชัดเจน และมั่นใจยิ่งขึ้น ในการที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาและเด็กๆในความรับผิดชอบของท่านไปในทิศทางที่เหมาะสม ทั้งยังจะช่วยให้เด็กเก่ง ดีและมีความสุขสมวัยก็เป็นไปได้
ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการของสมองด้านภาษา เป็นสิ่งแรกที่ควรรู้ เพราะในสมองมีตำแหน่งหรือบริเวณต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่รับเสียงโดยเฉพาะหลายตำแหน่ง เสียงที่กระตุ้นเด็กในระยะแรก ๆ ได้แก่ เสียงสูงต่ำ เช่น อออือ จ๋าจ๊ะ เอ่เอ๊ อื่ออื้อ เสียงเหล่านี้จะเริ่มกระตุ้นให้เซลล์ในสมองทำงาน นิวรอนหรือเซลล์สมองที่ทำงานในระยะแรกนี้ปรากฏอยู่เป็นกลุ่ม นับว่าเป็นแผนที่เสียงในสมองที่เริ่มมีขึ้นในระยะแรก เสียงเหล่านี้มีความหมายมากกว่าเสียงอื่น ๆ เมื่อเด็กรับรู้หรือได้ยินเสียงเหล่านี้ก็จะยังไม่รับเสียงอื่น ๆ เสียงที่ได้ยินในระยะแรก (early sounds) นี้ จะช่วยปรับแต่งสมองให้เข้ารูปเข้ารอย เสียงดนตรีและจังหวะก็เช่นเดียวกัน เด็กเล็กๆ สามารถรับรู้ดนตรีตั้งแต่แรกเริ่ม นักวิจัย พบว่าการให้เด็กเล็กหรือทารกฟังดนตรีในวัยนี้ มีผลต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระยะต่อไป เพราะวงจรคณิตศาสตร์และดนตรีมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ฟังเพลงดี ๆ สักเดือนสองเดือนแล้ว สมองก็จะพัฒนาจนเป็นอัจฉริยะ เด็กควรได้ฟังเสียงแม่เสมอ ให้ฟังเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ฟังเสียงซ้ำ ๆ ใช้เพลงที่มีทำนองไพเราะ เด็กควรได้ฟังเพลงกล่อมเด็ก ฟังบทร้องเล่นต่าง ๆ เพลงพื้นบ้านของไทยและของสากลหลากหลายชาติ มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นประโยชน์ของบทเพลงทำนองพื้นบ้านในประเทศต่าง ๆ ว่ากระตุ้นการเรียนรู้และการเติบโตของสมองเด็ก ผู้ใหญ่มักไม่เปิดเพลงพื้นบ้านให้เด็กฟัง เพราะรู้สึกว่าเชยและคำศัพท์ก็เก่าแก่ แต่ความจริงเด็กยังไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเชย สิ่งนี้ไม่เชย คำเก่าแก่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะเด็กวัยทารกสนใจจังหวะ ทำนอง ไม่ใช่ความหมาย ดังนั้น จึงควรจัดการเรียนรู้ให้เด็กจดจำความเชื่อมโยงระหว่างตัวอักษรและคำที่พูดออกมา เริ่มเรียนรู้ตัวอักษร อ่านสัญญาณและสัญลักษณ์บางอย่างได้ ผู้ใหญ่ควรอ่านและเล่านิทาน จัดหาหนังสือ และใช้ชั่วโมงเล่านิทาน เพื่อช่วยให้เด็กได้เพิ่มพูนและแลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งรวมถึงการพัฒนาความคิดรวบยอด และเริ่มใช้ภาษาเกี่ยวกับรูปทรง พื้นที่ ขนาด และสี นอกจากนี้จำเป็นต้องจัดเวลาให้มีการพูดคุยตัวต่อตัว ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กให้มาก ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมให้เด็กพูดคุย สนทนา รับฟังเด็กอย่างตั้งใจ และช่วยพัฒนาด้านการปฏิสัมพันธ์ จัดให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และเด็กอื่นให้มาก ๆ ทั้งในระดับอายุ และพัฒนาการที่เหมือนและต่างกัน ในช่วงปีแรก ๆ นี้ เด็กกำลังเรียนรู้ที่จะสื่อสารประสบการณ์ของตนในหลาย ๆ ทาง และกำลังเรียนรู้ที่จะตีความสิ่งที่คนอื่นสื่อสาร และแสดงออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขากำลังขยายความสามารถในการใช้สัญลักษณ์ นามธรรม จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ภาษาจะพัฒนาอย่างมีความหมายเมื่อเด็ก ๆ เกิดความต้องการที่จะรู้ และมีความต้องการจะสื่อสาร ผู้ใหญ่ควรให้ความเข้าใจและส่งเสริมให้มีการสื่อสาร ทั้งในรูปการพูดและการใช้ภาษาท่าทาง
การพัฒนาทักษะการอ่าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าจะพยายามสอนภาษาให้เด็ก โดยฝึกให้มองชี้ไปยังคำ แล้วออกเสียง แต่นั่นก็ไม่มีความหมายจนกว่าเด็กจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับรูปภาพมากพอที่จะโยงคำเหล่านั้นเข้ากับประสบการณ์ การศึกษาวิจัยต่าง ๆ ทำให้เชื่อได้ว่า เด็กสามารถฟังคำพูดต่าง ๆ แม้ว่ายังไม่สามารถพูดได้ คำทุกคำไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ มีส่วนช่วยพัฒนาไวยากรณ์ คำศัพท์ และความหมายในช่วงเวลาถัดไป ช่วงเวลานี้เป็นระยะที่สำคัญมากสำหรับการพัฒนาทางภาษาและก็น่าประหลาดที่ว่า ไม่มีตารางที่กำหนดเวลาได้แน่นอนว่าเมื่อไรเด็กจะอ่านได้ ความพร้อมของเด็กอาจแตกต่างกันถึง 3 ปี บางคนพร้อมเมื่อ 4 ปี บางคนพร้อม 7 ปี (โดยเฉลี่ย) บางคน 10 ปี เด็กที่เริ่มอ่านเมื่อ 7 ปี ก็ไม่ใช่พวกที่พัฒนาช้า มีตัวอย่างการจัดการศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในรัฐแมสซาจูเซตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างที่เข้าใจเรื่องความพร้อมของสมองเด็กที่แตกต่างกัน โปรแกรมการสอนในระดับอนุบาลถึงมัธยม ไม่ได้เริ่มต้นที่การบังคับให้นักเรียนต้องอ่าน พวกเขาเชื่อว่า เด็กรู้จักคำเป็นหมื่น ๆ คำ มาแล้ว แทนที่จะสอนอ่าน โรงเรียนจะสนใจหาวิธีหลากหลายมาส่งเสริมให้เด็กมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การอ่านจริง ๆ เสียก่อน เช่น เล่านิทาน อ่านให้ฟัง ให้แสดงละคร ผลก็คือ เด็กบางคนอ่านเมื่ออายุ 5 ปี บางคน 6 ปี บางคนช้าไปถึงอายุ 10 ปี และผลวิจัยพบอีกว่า เด็กที่จบไป 100 % เข้าใจและใช้ภาษาได้เป็นอย่างดีไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านไม่ออกและทุกคนชอบอ่านทั้งนั้น นี่คือวิธีการที่เรียกว่า“รอให้พร้อมถึงเวลานั้นมันจะหยุดไม่อยู่”
นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้จับต้องสัมผัสกับของจริง ของเล่น และวัตถุสามมิติต่าง ๆ รอบตัว จะสื่อไปถึงสมองและอารมณ์ก็จะถูกขับเคลื่อน ให้รู้สึกถึงความหมายของสิ่งที่สมองเข้าไปจับต้องเหล่านี้ เด็กคนนี้กำลังเล่นอย่างเพลิดเพลิน สมองกำลังเข้าไปรับสัมผัส และเคลื่อนไหวกับรูปทรงสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงรี วงกลม โดยตรงทำให้ความหมายของรูปทรงเหล่านี้ ปรากฏเป็นจริงเป็นจังขึ้นในสมอง ทำให้รู้จริง ๆ ว่ามันต่างกัน และในที่สุด คำว่า สี่เหลี่ยม วงรี วงกลม ก็ปรากฏขึ้นในสมองของเด็ก โดยคำชี้แนะของผู้ใหญ่ นี่เองที่กล่าวว่า ภาษาของเด็กเล็กเกี่ยวข้องกับการพัฒนาผัสสะการเคลื่อนไหว (Sensorimotor) ภาษาเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสื่อสาร ในช่วงปฐมวัย ภารกิจทางวัฒนธรรมหลักอันหนึ่งคือ การพัฒนาความสามารถและความเข้าใจภาษา ภาษามิได้มีส่วนประกอบเพียงแค่คำศัพท์ ประโยค และเรื่องราว แต่ยังรวมถึงภาษาภาพ ศิลปะ การเต้นรำ ละคร คณิตศาสตร์ การเคลื่อนไหว จังหวะและดนตรีด้วย ปัญหาของการพัฒนาความสามารถในการสื่อสารของเด็กก็คือ ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กสื่อสารให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้มีสาระ ให้มีข้อเท็จจริงและผู้ใหญ่ต้องการตรวจสอบและวัดผล แต่สมองของเด็กยังต้องอาศัยจินตนาการและความเป็นไปได้ที่สมองต้องการจะลองหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่คิด โดยไม่มีกรอบของ “ความจริง” ขีดคั่นอยู่ ดังนั้นการสื่อสารของเด็กมักถูก “เบรค” โดยผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ถูกล้อเลียนด้วยความขบขัน แต่ที่จริง สิ่งที่สมองทำก็คือ เปิดโอกาสให้แก่ความเป็นไปได้ทุกรูปแบบที่จะอธิบายสิ่งที่เห็นหรือสัมผัส เราเรียกสิ่งนี้ว่า “จินตนาการ”
ดังนั้นเด็กควรจะสามารถใช้เครื่องมือที่จะช่วยให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เช่น เครื่องมือที่จะช่วยให้พัฒนาความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ การอ่าน และการเขียน เครื่องมือเหล่านี้ เช่น หนังสือคำกลอนเกี่ยวกับตัวเลขและการนับ เกมที่ใช้ตัวเลขอย่างเกมไพ่และเกมโดมิโน เครื่องมือที่เกี่ยวกับรูปทรง สี รูปแบบ และน้ำหนัก เครื่องมือทางศิลปะและดนตรี เป็นต้น
เด็กเล็กควรได้รับการกระตุ้นเพื่อสื่อสารให้ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพื่อให้ได้รับความสนใจ การโต้ตอบ และความเป็นเพื่อน เพื่อความสนุกและเพลิดเพลิน และเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมของเขา เด็กสร้างภาษาของเขาผ่านทางปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับชุมชน ซึ่งจะนำเด็กไปสู่ทักษะที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยผ่านทางการโต้ตอบ การเอาอย่าง การฝึกพูดสิ่งที่คิด และเล่าเรื่องตามที่ตัวเองเข้าใจ
ทักษะทางภาษาเบื้องต้นของเด็กเล็กจะพัฒนาอย่างเหมาะสม เมื่อเด็กอยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นของเขา การได้รับการฟังการรู้ภาษาถิ่นมีความสำคัญ ภาษาของเด็กเองก็จะประณีตขึ้นและขยายออกไป เด็กก็จะถูกห้อมล้อมด้วยการกระตุ้นของภาษาและข้อความที่อยู่ในความสนใจของตนเอง จึงควรให้เด็กเล่นของเล่นที่มีสี พื้นผิว รูปทรง และขนาดต่าง ๆ เพื่อทดลองและสำรวจได้อย่างอิสระให้เด็กฟังเพลง บทร้องเล่น ขับ สวดเป็นประจำ ควรมีกิจกรรมเข้าจังหวะ และบทกลอนซ้ำบ่อย ๆ เพื่อเป็นกุญแจไปสู่การอ่าน การสนับสนุนปฏิกิริยาทางอารมณ์เพื่อการเรียนรู้ การสร้างความเข้าใจ และทักษะในการอ่านของเด็กเล็กทำได้โดยการอ่านให้เด็กฟัง ให้เด็กอ่านเสียงดังด้วยกัน และพูดคุยเรื่องที่อ่านอย่างมีความหมาย
การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับเด็ก ที่จะใช้พลังและความสนใจของตน เพื่อค้นหาว่าตนรู้อะไร และต้องการรู้อะไร และเพื่อเพิ่มขีดความรับผิดชอบในการเรียนรู้และความใส่ใจ ประสบการณ์นี้จะช่วยเชื่อมสัมพันธภาพในขณะที่เด็กฝึก “การรับและการให้” การสื่อสาร การเรียนรู้และการที่เด็กได้มีโอกาสทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับคนอื่น ๆ ซึ่งจะมีผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ความสามารถในการสื่อสาร ทำให้เด็กมีความสนุกสนาน และมีส่วนร่วมในครอบครัวและชุมชนมากขึ้น เพราะช่วยให้เด็กเข้าใจและเข้าได้กับสังคมและวัฒนธรรมภายนอก การสื่อสารช่วยเสริมสร้างการพัฒนาเชิงบูรณาการของเด็กในเรื่องการรู้จักตนเอง การเพิ่มความเข้าใจในมิติทางจิตวิญญาณของตน ภาวะแวดล้อม และสิ่งที่สืบทอดมา ซึ่งล้วนแต่มีผลต่อชีวิตของเด็กทั้งสิ้น
การฟัง คือกุญแจสำคัญของการพัฒนาภาษา คุณครูและพี่เลี้ยงเด็กควรเอาใจใส่การพัฒนาภาษาของเด็กเป็นพิเศษ การเล่านิทานและการอ่านหนังสือให้เด็กฟัง มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะนิทานและเรื่องราวในหนังสือเด็กมีเนื้อหาสนุกสนาน น่าทึ่ง น่าตื่นใจ เร้าความสนใจ จูงใจให้เด็กพัฒนาความสามารถในการฟังอย่างต่อเนื่อง คำ ความหมาย และภาษาที่งดงามสร้างขึ้นมาได้จากนิทานและเรื่องเล่าเหล่านี้ลำพังการพูดคุยในชีวิตประจำวัน ไม่พอเพียงที่จะพัฒนาภาษาของเด็ก เรื่องราวที่ซับซ้อนในนิทานต่างหากที่ได้นำเสนอคำและภาษาให้เด็กอย่างมหาศาล นิทานเรื่องหนึ่ง ๆ บางทีนำเสนอคำใหม่นับร้อยคำ และเด็กก็เข้าใจเพราะมีบริบทของเรื่องราวในนิทาน ช่วยสื่อความหมายพร้อมกับภาพที่ปรากฏสอดคล้องกับเรื่องราว
ความสำเร็จในการทำให้เด็กสนใจอ่านอยากอ่าน จนถึงรักการอ่าน ตั้งต้นที่การอ่านให้ฟัง การอ่านให้ฟังทำให้สมองพุ่งความสนใจไปที่การรับเสียง สมองจินตนาการเรื่องราวตามไปได้อย่างเต็มที่ การเลือกหนังสือที่ดีที่สุดมาอ่านให้เด็กฟัง เด็กไม่ต้องกังวลว่า จะต้องอ่านตาม จะต้องตอบคำถามของครูจะต้องจำเรื่องให้ได้ เด็กรู้สึกสนุกที่จะฟัง เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้คุณครูหรือผู้ปกครองอ่าน เมื่ออ่านให้ฟังติดต่อกันยาวนานพอ เด็กเริ่มจดจำเรื่องได้เอง ในที่สุดเด็กจะหยิบหนังสือมาและเปิดอ่าน บางคนจำเนื้อหาได้ทั้งเล่ม การสะกดได้จะตามมา ทีหลัง การสอนอ่านและสอนสะกดทำได้ง่ายมาก เมื่อเด็กรักที่จะอ่านแล้ว ดังนั้น เราจึงไม่ควรเริ่มต้นสอนภาษาแบบหลักภาษาให้กับเด็กปฐมวัยอย่างเร่งรีบเกินไป
การอ่านและการเขียนมีความหมายมาก เพราะเด็กคิดว่าเป็นโลกใหม่อันน่าทึ่ง ดังนั้น จึงไม่ควรเริ่มต้นสอนภาษาแบบหลักภาษา ไม่ควรเริ่มต้นจากเรื่องความถูกต้องหรือการสะกดคำ เด็กควรได้รับการกระตุ้นสอนให้ลองอ่านและลองเขียนดูเมื่อเขาพร้อมแล้ว ความบกพร่องในการอ่านและการเขียนเป็นเพียงพัฒนาการขั้นแรก ๆ เหมือนกับการหกล้มเมื่อหัดเดิน ผู้ใหญ่ต้องทุ่มเทเวลาอ่านให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่อ่านนั้นต้องกว้างขวาง ครอบคลุมตั้งแต่ กวี นิทาน สารคดีง่าย ๆ ครูและผู้ปกครองจึงควรเป็นแบบอย่างด้านการอ่านและการเขียนที่ดี
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังว่าสิ่งที่ท่านได้อ่านไปในครั้งนี้ จะช่วยเป็นแนวทางให้ท่านได้นำไปส่งเสริมพัฒนาการเด็กด้านภาษาที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมองและช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัยในความดูแลของท่านได้ชัดเจนขึ้น ได้รับการสนับสนุนที่ถูกทาง เหมาะสมกับวัยของเด็กที่สำคัญเด็กปฐมวัยน่าจะมีชีวิตการเรียนในวัยเริ่มต้นที่มีความสุขซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนในชั้นสูงขึ้นต่อไปอย่างมีพลัง ขอให้ทุกท่านได้ร่วมกันพัฒนาการศึกษาปฐมวัยอย่างมีความสุขและมีความหวังต่อไป...สวัสดี