หากคุณมีคำถามในเรื่องศาสนา อย่าปล่อยให้ค้างคา คุณสามารถถามเราได้ตลอดเวลา ในที่ลิ้งค์คำถามประจำเดือนในกลุ่มการเรียนรู้
หากคุณมีคำถามในเรื่องศาสนา อย่าปล่อยให้ค้างคา คุณสามารถถามเราได้ตลอดเวลา ในที่ลิ้งค์คำถามประจำเดือนในกลุ่มการเรียนรู้
เรามิใช่ผู้มีความรู้มากมาย แต่ความเข้าใจศาสนาของคุณ คืออมานะฮ์ของเรา
Q.1 อยากทราบข้อตัดสินของการรับประทานการอาหารสุหูรในขณะที่มัสยิดทำการอะซาน (คำถามเดือน 4/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
เราขอแยกเรื่องนี้เป็น 3 ประเด็น
ประเด็นแรก : ถ้าถึงเวลารุ่งอรุณขึ้นแล้วจริงๆ เรียกว่า ฟัจรุศศอดิก เราสามารถรับประทานอาหารได้ไหม?
ตอบ เรื่องนี้ตามทัศนะส่วนมากของบรรดาอุลามา บอกว่า ถ้าแสงรุ่งอรุณขึ้นแล้วห้ามรับประทานเด็ดขาด ไม่ว่าอาหารจะอยู่ในมือหรืออยู่ในปาก ต้องคายออก มิหนำซ้ำยังมีรายงานมติเอกฉันท์ของอุลามาบางท่านในเรื่องนี้ว่า ถ้าแสงรุ่งอรุณขึ้นแล้ว ไม่อนุญาตให้รับประทานอาหาร มิเช่นนั้นจะเสียศีลอด
แต่เป็นไปได้ว่า การรายงานมติเอกฉันท์นั้นอาจจะมีการรายงานที่ผิดพลาด เพราะมีอุลามาบางท่านบอกว่า ทานได้เฉพาะอาหารที่อยู่ในมือ หากอาซานแล้ว
แต่ถึงอย่างไร ไม่เป็นที่สงสัยว่า เมื่อแสงรุ่งอรุณขึ้นแล้ว การหยุดรับประทานทุกอย่างเป็นทัศนะของบรรดาอุลามาส่วนมาก และปลอดภัยกว่าแน่นอน ทั้งนี้ก็เนื่องจากหลักฐานจากซูเราะอัลบากอเราะ : 187
ส่วนฮะดีษที่กล่าวประมาณว่า หากอาซานแล้ว อย่าได้วางอาหารที่มือลงจนกว่าจะกินมัน
มีการอธิบายว่า ที่นบีหมายถึงคือ เป็นการอาซานก่อนเข้าเวลาซุบฮ์ หมายถึง การอาซานก่อนแสงรุ่งอรุณขึ้น
ประเด็นที่ 2 : ตามหลักชารีอะ การจะถือว่าเข้าเวลาจริงๆแบบยะเก็น(ชัดเจน) จะต้องมีการเห็นแสงรุ่งอรุณ(ฟะญัรศอดิก)กับตา และไม่มีการขัดแย้งกันในการเห็นนั้น(หมายถึง สมมุติมีคนเฝ้าดูแสงรุ่งอรุณสองคน ทั้งสองคนจะต้องพูดตรงกันว่า แสงรุ่งอรุณขึ้นแล้ว และเห็นด้วยกับตา)
ดังนั้นตามที่อุลามาได้กล่าวไว้ คือ ปฏิทินเป็นการประมาณเวลาเฉยๆ แต่ยังไม่ได้บอกถึงความชัดเจน แต่ถึงอย่างไร อุลามาก็ไม่ได้แนะนำให้เรากินไปเรื่อยๆแน่นอน ท่านเหล่านั้นยึดเอาสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความสงสัย นั่นก็คือ คุณจะต้องหยุดกิน ตั้งแต่อาซาน เพราะเราไม่รู้จริงๆว่า แสงรุ่งอรุณมันขึ้นตอนไหน
และแสงรุ่งอรุณในสมัยนี้ เราไม่สามารถดูแสงรุ่งอรุณด้วยตาในเมืองได้ เพราะในเมืองมีแสงต่างๆ มากมาย จึงทำให้บดบังการเห็นแสงรุ่งอรุณในเวลาจริง
ประเด็นที่สาม : ในโลกอาหรับ แม้กระทั่งในวงของอุลามา มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลายว่า การคำนวณเวลาในปฏิทินเกี่ยวกับการเข้าเวลาซุบฮฺ มีการกล่าวกันว่า ปฏิทินเร็วกว่าเวลาจริง ถูกกล่าวแม้กระทั่งในคำถามของฟัตวา และถูกกล่าวในคำพูดของอุลามาบางท่านด้วย
เพราะกล่าวกันว่ามีการทดลองแล้ว(ซึ่งพวกเขาอาจจะออกไปนอกเมือง ที่ๆ ไม่มีแสงจากในเมือง และเฝ้าดูแสงรุ่งอรุณ) เวลาปฏิทินเร็วกว่าเวลาจริง แต่ถึงอย่างไร เราก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเวลาจริงเข้าตอนไหน ดังนั้นอุลามาบางท่านจึงแนะนำว่า เมื่ออาซานซุบฮฺแล้ว คุณก็จงหยุดรับประทานอาหารทันที และเว้นระยะเวลาสักพัก(5-10 นาที) หลังจากนั้นคุณก็ค่อยละหมาดซุบฮฺ
เพราะสิ่งนี้เป็นการกระทำที่ปลอดภัยที่สุด เพราะถ้าเราเริ่มละหมาดซุบฮฺก่อนเข้าเวลา ละหมาดนั้นใช้ไม่ได้
ส่วนการถือศีลอด ที่อุลามาแนะนำให้หยุดรับประทานทันทีตอนอาซาน ก็เนื่องจากความปลอดภัย เพราะเราไม่รู้ว่า แสงรุ่งอรุณจริงๆจะขึ้นตอนไหน
วัลลอฮุอะลัม
Q.2 อยากสอบถามความเห็นของผู้รู้เกี่ยวกับการซิเกรใช้ไมค์หลังอาซาน ไม่ทราบว่ามีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ไหมค่ะ เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างจะขัดกับหลักการเพราะเมื่อเราไปมัสยิดหลังอาซานเสร็จเราก็อยากละหมาดรอวาติบแบบมีสมาธิและซิเกรเงียบๆในใจ แต่ในบางครั้งทางมัสยิดได้ซิเกรใช้ไมค์เพื่อรอเข้าเวลาละหมาดวายิบ (มัสยิดในอินโดนีเซีย ไม่ทราบว่าที่ไทยมีไหมเรื่องซิเกรออกไมหลังอาซาน) โดยส่วนตัว คิดว่าค่อนข้างรบกวนสมาธิผู้ที่ต้องการละหมาดรอวาติบก่อนละหมาดวายิบค่ะ มันคือบิดอะใช่ไหมคะ หรือมีหลักฐานอะไรมารองรับตรงนี้หรือไม่ Jazakallah ค่ะ (คำถามเดือน 4/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
เราจะแบ่งเรื่องนี้ ออกเป็นหลายๆประเด็น แล้วผู้อ่านก็ค่อยๆพิจารณาทีละประเด็นๆ ไปพร้อมๆกับเรานะครับ
การซิเกรแบบขยับริมฝีปากหรือขยับลิ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.การซิเกรแบบเสียงเบา - คือการซิเกรที่อยู่ในระดับที่เบามากจนตัวเองไม่ได้ยิน(มีแค่การขยับลิ้น) หรือได้ยินเสียงตัวเองเท่านั้น แต่คนรอบข้างไม่ได้ยิน
ประเภทนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน
2.การซิเกรแบบเสียงดัง - นักวิชาการได้แบ่งการซิเกรแบบเสียงได้ไว้ 3 ระดับ
-ระดับที่หนึ่ง คือ ระดับความดังประมาณคนรอบข้างได้ยิน(อาจจะอยู่ในห้อง และคนในห้องได้ยิน)
-ระดับที่สอง คือ ความดังประมาณ การอ่านของอิหม่ามในมัสยิดขณะนำละหมาด
-ระดับที่สาม คือ ความดังในระดับการอะซาน
***อยากให้ผู้อ่านจำระดับเสียงสามระดับนี้ เพื่อจะได้อ่านบทความต่ออย่างเข้าใจง่าย
.
ประเด็นต่อมา - ข้อตัดสินของการซิเกรเสียงดังในระดับเสียงทั้ง 3 ระดับในสถานการณ์ทั่วไป ที่ไม่มีหลักฐานเฉพาะเจาะจง มีทั้งหมด 3 ทัศนะดังนี้
- ทัศนะที่หนึ่ง - ไม่อนุญาตให้ซิเกรเสียงดังในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเสียงดังระดับไหน นอกจากมีหลักฐานว่าการอิบาดะนั้นต้องใช้เสียง เช่น การอาซาน การละหมาด การกล่าว (ลับบัยกัลลอฮฺ) ตอนทำฮัจญ์ เป็นต้น มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นบิดอะ (หนึ่งในอุลามาที่มีทัศนะนี้คือ อิหม่ามอบูฮะนีฟะฮ์)
- ทัศนะที่สอง - อนุญาตให้ใช้เสียงดังในการซิเกรได้ในทุกกรณี ในสภาพปกติทั่วไป ไม่ว่าจะใช้เสียงระดับไหนก็ตาม อนุญาตให้ซิเกรโดยใช้เสียงได้ นอกจากในบางสถานการณ์ที่ห้ามการใช้เสียงดังจริงๆ เช่น การเป็นมะมูมในละหมาด
- ทัศนะที่สาม - อนุญาตให้ซิเกร โดยใช้เสียงดังได้ในระดับที่ 1(ระดับที่คนรอบข้างได้ยินหรือคนในห้องได้ยิน) ในสถานการณ์ทั่วไป ในสถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐานเฉพาะเจาะจงในการใช้เสียง (ซึ่งเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก)
และเราเห็นว่าทัศนะที่สามนี้ มีน้ำหนัก แต่ถึงอย่างไรโดยพื้นฐานของการซิเกรคือการใช้เสียงเบา(แบบคนอื่นไม่ได้ยิน) และการใช้เสียงเบานับว่าประเสริฐกว่า ซึ่งหลักฐานในเรื่องนี้มีมากมาย ยกเว้นในกรณี การซิเกรโดยใช้เสียงดัง จะเตือนคนรอบข้างเราไม่ให้เผลอไผลจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การซิเกรโดยใช้เสียงเพื่อให้คนรอบข้างได้ยินก็ถือว่าประเสริฐกว่า
***ดังนั้นผู้อ่านลองพิจารณาสถานการณ์ที่ผู้อ่านได้เจอมาดูครับ
ประเด็นถัดมา - ข้อตัดสินของการซิเกรเสียงดังและไปรบกวนผู้อื่น เช่น รบกวนคนละหมาด รบกวนคนที่กำลังรำลึกถึงอัลลอฮฺอยู่ มีทั้งหมด 3 ทัศนะดังนี้
- ทัศนะที่หนึ่ง - มักโรฮ์(น่ารังเกียจ)
- ทัศนะที่สอง - ฮุกุ่มคือมักโรฮฺ ถ้าเสียงของเราไปรบกวนคนละหมาดเล็กน้อย และจะฮะรอมก็ต่อเมื่อ เสียงของเรารบกวนคนละหมาดจนเสียสมาธิ
- ทัศนะที่สาม - ถ้าเสียงของเรารบกวนคนละหมาด ถือว่าฮะรอมทันที(บาป) ทัศนะนี้เป็นทัศนะของเชคอุซัยมีน และเราเลือกทัศนะนี้ตามเชคอุซัยมีน
และแน่นอนว่ามีฮะดีษชัดเจนถึงการห้ามการซิกรุลลอฮฺเสียงดังจนรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะคนละหมาด
ส่วนอีกประเด็นเรื่องบิดอะ เป็นคำถามที่ทางเราถกกันว่า ผู้ถามถามในเรื่องอะไร? แต่เราขอแยกประเด็นดังนี้
1.การใช้ไมค์เป็นบิดอะไหม? / 2.การใช้เสียงดังแบบนี้ ในช่วงเวลานี้เป็นประจำ เป็นบิดอะไหม? / 3.ทางเราคิดว่าการกระทำนี้ อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น เช่น อาจจะมีการซิเกรหมู่ คำถามคือ ซิเกรหมู่บิดอะไหม?
คำถามแรก : ใช้ไมค์เป็นบิดอะไหม?
ตอบ : ไม่เป็น การใช้ไมค์เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการอิบาดะเท่านั้น ตัวการใช้ไมค์ไม่ได้ถือว่าเป็นการอิบาดะ แต่เป็นแค่เครื่องมือช่วยเท่านั้น และสภาพการอิบาดะก็ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เราเรียกตามภาษาอาหรับ(ศัพท์ศาสนา)ว่า มะศอลิฮฺ มุรซะละฮฺ
คำถามที่สอง : การใช้เสียงดังแบบนี้ ในช่วงเวลานี้เป็นประจำ ถือเป็นบิดอะไหม?
ตอบ : เนื่องจากเราไม่เจอฟัตวาในเรื่องนี้แบบตรงๆ เราจึงไม่กล้าตอบว่า เป็นบิดอะไหม แต่การอิบาดะนั้น หากว่ามีการจำกัดในรูปแบบนี้ และจำกัดเวลาในช่วงนี้ และทำเป็นประจำ
โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน ก็มีโอกาสเป็นบิดอะได้ ยกเว้นในเรื่องการเรียนการสอน ก็จะถือว่าสิ่งนั้นไม่ใช่บิดอะ ทั้งนี้ถ้าการกระทำนี้เป็นบิดอะ การกระทำนี้ก็จะอยู่ในหมวด บิดอะ อิดอฟียะ(บิดอะที่เพิ่มมาจากอิบาดะฮ์ที่อนุญาต)
คำถามที่สาม : ซิเกรหมู่พร้อมกันเป็นบิดอะไหม?
ตอบ : หากการซิเกรเป็นกลุ่ม นำมาสู่การประสานเสียงกันแบบไม่ได้ตั้งใจ สิ่งนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นบิดอะ แต่หากตั้งใจซิเกรพร้อมกันเป็นหมู่คณะ สิ่งนี้ถือว่าเป็นบิดอะ และแน่นอนเรื่องนี้มีฟัตวาตรงๆว่าบิดอะ ทั้งนี้เนื่องจากไม่เคยมีการกระทำนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยนบี ศอฮาบะและยุคสลัฟซอลิฮฺ
และอาจจะมีบางฮะดีษที่อาจจะทำให้เข้าใจได้ว่ามีการซิเกรหมู่ในยุคนบี แต่ทว่าเป็นความเข้าใจผิด เราสามารถตอบโต้ได้ไม่ยาก เพราะบรรดาสลัฟก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ และหากว่ายุคนบีเคยทำจริงๆ บรรรดาสลัฟคงรุดหน้าทำมันก่อนหน้าพวกเราไปแล้ว
การตอบของเรา หวังว่าผู้ถามจะกระจ่างในทุกประเด็น และเราคงไม่ต้องสรุปคำตอบแล้ว เพราะเราได้เชิญชวนให้ผู้ถามได้พิจารณาทีละประเด็นแล้ว
วัลลอฮุอะลัม
Q.3 อยากรู้ว่า บิดอะห์ (ทั้งหมด) มีอะไรบ้างครับ อยากรู้เเค่ว่า หัวข้อย่อยๆ จะได้ระวังตัวครับ ผมกลัวว่าถ้าไม่รู้ว่าอันไหนบ้างเป็นบิดอะห์ ผมกลัวว่าจะหลงไปทำมันครับ (คำถามเดือน 4/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
ท่านผู้ถามสามารถอ่านข้อมูลเรื่องบิดอะฮ์ได้ จากเอกสารที่ทางเราได้แนบไว้ให้ โดยในเอกสารได้ระบุถึงข้อมูลคร่าวๆ และรูปแบบของบิดอะฮ์ในเบื้องต้นไว้อย่างครบถ้วน
คำตอบโดยสรุปของเราคือ บิดอะที่ต้องห้ามในเรื่องศาสนาและต้องระวังมี 2 ประเภทใหญ่ๆ
-บิดอะฮ์ที่เกิดในเรื่องความเชื่อ เช่น แนวคิดที่หลงผิดทั้งหลาย
-บิดอะฮ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องการอิบานดะฮ์ มีทั้งหมด 4 รูปแบบ
- การริเริ่มอิบาดะฮฺหนึ่ง ที่มันไม่มีหลักฐานในศาสนาโดยสิ้นเชิง เช่นการอุตริการละหมาด การถือศีลอด หรือกำหนดวันรื่นเริง อาทิ การฉลองวันเกิดต่างๆ ขึ้นมาโดยที่สิ่งดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในศาสนา
- สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในอิบาดะฮฺที่ถูกบัญญัติไว้ เช่น การเพิ่มร็อกอะฮฺที่ห้าในละหมาด ซุฮรฺ หรือ อัศรฺ เป็นต้น
- การประกอบอิบาดะฮฺที่ไม่ตรงตามหลักลักษณะที่ถูกบัญญัติไว้ เช่น การกล่าวซิกรุลลอฮฺและขอดุอาอ์ในวาระต่างๆเป็นแบบกลุ่มหรือหมู่คณะพร้อมเพียงกันเหมือนเป็นท่วงทำนองขับร้อง หรือจะเป็นการเลยขอบเขตในการประกอบอิบาดะฮฺจนถึงขั้นออกนอกแบบอย่างสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม
-การกำหนดวันเวลา เพื่อการประกอบอิบาดะฮฺที่ศาสนาไม่ได้บัญญัติไว้ อาทิ การกำหนดคืนนิศฟูชะฮฺบาน สำหรับถือศีลอดในตอนกลางวัน และ ละหมาดยามค่ำคืนในวันดังกล่าว เพราะการละหมาดและการถือศีลอดแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติในศาสนาอยู่เดิมแล้ว เพียงแต่การกำหนดวันเวลาเฉพาะเจาะจงในการปฏิบัติมัน จะต้องมีตัวบทหลักฐานมากำกับด้วย
ในความเห็นของเรา ไม่มีหนทางใดที่จะปลอดภัยจากบิดอะฮ์ นอกจากเราจะมีความรู้และความเข้าใจในสิ่งนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งข้อมูลในเอกสารที่เราแนบไปด้วยนั้น ถือว่าครบถ้วนในระดับหนึ่งได้ดี
วัลลอฮุอะลัม
อ่านเพิ่มเติม : d1.islamhouse.com/data/th/ih_books/single/th_bidah_kwammai_praphet_hukum.pdf
Q.4 ในการเลือกคู่ครอง ระหว่างคนที่มีมันฮัจญ์ที่ถูกต้อง แต่การวางตัว(ในเรื่องเพศตรงข้าม การพูดจา รวมถึงการปฏิบัติอื่นๆที่สวนทางกับความรู้ที่ตนมี) กับ คนที่มีมารยาทที่ดี (การวางตัวต่อเพศตรงข้าม การพูดจา การนอบน้อมถ่อมตน) แต่มันฮัจญ์ไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือ เราควรจะเลือกคู่ครองแบบใด เพราะอะไร (คำถามเดือน 4/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
คู่ครอง ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้นได้รับความดี คือหนึ่งในความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ประทานให้กับมนุษย์ในดุนยาและอาคิเราะฮ์ หากใครมีความสามารถศาสนาส่งเสริมให้คนๆนั้นทำการแต่งงานกับผู้ศรัทธาที่ดี มีความรู้ศาสนาและมีความสามารถที่จะรับผิดชอบในอมานะฮ์คู่ชีวิตได้ กลับกันคู่ชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั่งความเจริญ การทำความดีและโอกาศในการเป็นชาวสวรรค์ของเราได้ หากคนๆนั้นเป็นคนที่ไม่เข้าใจศาสนา ไม่มีความรับผิดชอบ หรือไม่มีเป้าหมายเดียวกัน
หลักการอิสลาม ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ในการเลือกคู่ครอง โดยให้พิจารณาจาก ศาสนา, หน้าตา, วงตระกูล, ทรัพย์สิน แต่หากคนๆหนึ่งมีสิ่งดังกล่าวไม่ครบ สิ่งแรกที่ศาสนาให้พิจารณาคือ “ศาสนา”
แต่หนึ่งในสิ่งที่มีความสำคัญและพึงตระหนักในการเลือกคู่ครองคือ ระดับในศาสนาของคนๆนั้น มีมากน้อยเท่าไหร่ เขาทำสิ่งที่บาปหรือฝ่าฝืนพระเจ้าหรือไม่ ดังนั้นเราควรจะเข้าใจกันก่อนว่า
“ข้อตัดสินของการแต่งงานกับผู้ที่ทำบิดอะฮ์(ทั้งในเรื่องความเชื่อ มันฮัจ หรือการกระทำ)” ฮุก่มของมันมีเพียง 2 อย่าง
บิดอะแบ่งเป็น 2 ประเภท
1.บิดอะที่เป็นกุฟรฺ - ถ้าใครมีบิดอะประเภทนี้ไม่อนุญาตให้แต่งงานกับเขา เช่น มีการขอดุอาต่อนบี หรือวะลีย์ หรือคนที่ตายไปแล้ว หรือเชื่อว่ามีใครหน้าไหนรู้สิ่งเร้นลับอื่นนอกจากอัลลอฮฺ เป็นต้น
2.บิดอะที่ไม่ใช่กุฟรฺ - เช่นบิดอะด้านการซิเกรหมู่ การตีกรอบจำนวนในการซิเกร การทำเมาลิด การมีความคิดล้มผู้นมุสลิม การส่งเสริม หรือการออกไปร่วม เป็นต้น
คนที่มีบิดอะประเภทนี้ตามฮุกุ่มศาสนา การแต่งงานกับคนประเภทนี้ถือเป็นมักโรฮฺขั้นรุนแรง กล่าวคือการแต่งงานใช้ได้ แต่เป็นสิ่งที่ศาสนาไม่ส่งเสริมอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากจะนำผลเสียต่างๆตามมา บางทีอาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองที่มีจิตใจอ่อนแอหรือยอมรับในบิดอะ หรือส่งผลต่อไปในอนาคตเรื่องการเลี้ยงดูอบรมลูก เราควรที่จะคำนึงถึงอาคิเราะของเราด้วย
แต่ถ้าคนที่ทำบิดอะกลับตัวแล้ว ก่อนการแต่งงาน ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ส่วนคำถามในเรื่องที่ว่า ไม่แน่ใจในมันฮัจญ์ ผู้ถามก็ควรสืบให้ทราบแน่ชัด ว่าอนาคตเขาจะไปทางไหน และตัดสินใจ และเราต้องคำนึงถึงอาคิเราะของเราด้วย
***จุดนี้ เราขอเบรคผู้ถาม ไว้เป็นจุดพักการอ่าน และพิจารณานั้นเป็นเพราะ การแต่งงานกับผู้ที่ทำบิดอะฮ์ โดยเฉพาะกับหญิงที่ดีกับชายที่ชั่วนั้น จะส่งผลเสียกับชีวิตในอนาคต โดยเฉพาะการได้ผู้นำที่ทำบิดอะฮ์หรือความเชื่อ มันฮัจที่แปลกปลอม เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงกับลูก(ในกรณีที่คนๆนั้นยังไม่เตาบะฮ์) ผู้เป็นลูกจะเกิดการสับสนว่าจะเชื่อใครและลูกจะเข้าใจว่าสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเชื่อคือสิ่งที่ถูก โดยธรรมชาติและหลักการผู้เป็นพ่อคือผู้นำ คนที่คอยว่าแผนทุกอย่าง และอัลลอฮ์ให้สิทธิ์ผู้เป็นพ่อในการได้รับการเชื่อฟัง และเขาจะเชื่อตามนั้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อันตรายกับตัวของลูกและสังคมของลูกในอนาคตเป็นอย่างมาก
ต่อมา ฮุก่มของการแต่งงานกับผู้ที่ทำบาป(อย่างเปิดเผย)แต่เขาไม่ได้บกพร่องในเรื่องการทำหน้าที่สามีหรือตัวหน้าครอบครัว เป็นที่อนุญาตให้แต่งงานกับคนที่ทำมะศียะได้ แต่นักวิชาการได้ให้ความเห็นไว้ว่า ในกรณีนี้จำเป็นที่เราจะต้อง “ชั่งน้ำหนัก” ระหว่างผลดีและผลเสีย ทั้งนี้ต้องดูว่าบาปที่เขาทำมันรุนแรงแค่ไหน หากมันรุนแรงมากไป ก็อย่าได้แต่งงานกับเขา
แต่หากว่าอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก และเราก็ไม่สามารถหาคนอื่นได้แล้ว เช่นนี้ก็ให้ชั่งน้ำหนักว่า การที่เรายังคงอยู่เป็นโสดไปอีกระยะหนึ่ง(ในกรณีที่หาคนอื่นไม่ได้) มีผลเสียมากกว่า หรือการแต่งงานกับคนที่ทำมะศียะนี้มีผลเสียมากกว่ากัน ทั้งนี้ก็ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของการแต่งงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาต้องเองให้พ้นจากบาป ความสงบจิตสงบใจ และความดีต่างๆที่จะมาหลังจากแต่งงาน และอื่นๆ
ซึ่งคำตอบในเรื่องนี้อาจจะไม่ตายตัว ต้องอาศัยการปรึกษาหารือกัน อุลามาจะกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในหมวดของการฟัตวา แต่อยู่ในหมวดการปรึกษาหารือกัน
ทั้งนี้ก็อยู่ที่เราด้วยว่าเราจะเลือกคนอื่นไหม ถ้าเรามีโอกาส
เช่น ในกรณีของหญิงที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษและทางเลือกในการแต่งงานมีอยู่แค่คนเดียว ถ้าไม่แต่งกับคนๆนี้ อาจจะไม่มีโอกาสอื่นและถ้าไม่แต่งงาน ชีวิตนางจะประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต กรณีเช่นนี้การแต่งงานกับคนทำบาปถือเป็นสิ่งที่ดีกว่า พร้อมๆกับการที่หญิงคนนั้นจะต้องขอดุอาอ์ให้อัลลอฮ์มอบทางนำให้แก่ตัวสามี แต่ในกรณีที่หญิงคนนั้นมีโอกาสในการพิจารณาคนอื่นๆ ก็ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะเลือกคนที่ดีกว่าชายคนนี้
หลักคร่าวๆในการชั่งน้ำหนัก ในการแต่งงานกับคนที่ทำบาปอย่างเปิดเผย คือ เราควรพิจารณาว่าเราจะสามารถดำรงความดีที่เราเคยทำได้ไหม เขาจะมาส่งเสริมการทำดีของเราได้ไหม หรือเขาจะมาฉุดให้แย่ลง หากเราอยู่ใต้การดูแลของชายคนนั้น ชายคนนั้นมีโอกาสจะกลับตัวหรือไม่ เราจะสามารถปกป้องลูก(ในอนาคต)ไม่ให้ทำบาปแบบเดียวกับผู้เป็นพ่อได้ไหม ชายคนนั้นจะเป็นผู้นำที่ดีในหลักการได้ไหม
โดยสิ่งเหล่านี้ เราไม่ควรพิจารณาด้วยตัวคนเดียว แต่สิ่งที่ควรทำคือ เราควรปรึกษา(มุชาวะเราะฮ์)กับคนที่มีความรู้ มะฮ์รอม หรือเราอยู่ในความรับชอบของเขา เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดและที่สำคัญ ไม่ต้องลืมที่จะขอดุอาอ์ ละหมาดอิสติคอเราะฮ์เพื่อให้อัลลอฮ์ให้สัญญานแก่เรา
ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด สำหรับเราขอสรุปดังนี้
กรณีที่ 1 การเลือกคนที่มีอะกีดะฮ์ที่ถูกต้องและการวางตัว และมารยาทดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดและเราต้องขอดุอาอ์ให้อัลลอฮ์ประทานสิ่งที่ดีนี้ให้เรา
กรณีที่ 2 การเลือกคนที่มีอะกีดะฮ์ที่ถูกต้องย่อมดีกว่าคนที่มีอะกีดะฮ์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันคือ รากฐานของศาสนาที่จะส่งผลถึงตัวเรา ลูกและครอบครัวของเราในอนาคต ส่วนเรื่องการกระทำที่ไม่ดี ที่ไร้มารยาทของเขา ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อเสียของเขา ที่เราต้องนำมาเปรียบเทียบคนที่มีอะกีดะฮ์ที่ถูกต้องคนอื่นๆ แต่ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกับคนที่มีอะกีดะฮ์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะระดับของสองคนนี้แตกต่างกันในศาสนา เราแนะนำว่าควรลองคุยกับฝ่ายชายถึงสิ่งที่เราติดใจโดยตรงและแจ้งความประสงค์ของเราผ่านวิธีการที่ถูกหลักการ ไปว่าเราอยากให้เขาปรับปรุงในสิ่งดังกล่าวโดยชี้แจงด้วยสิ่งที่มีน้ำหนักและหลักฐาน จากกุรอ่านและฮะดีษ หากชายคนนั้นยอมรับ เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องพร้อมจะเตาบะฮ์ สิ่งนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและเป็นความเมตตาจากอัลลอฮ์ที่ให้เขาผ่านตัวเรา แต่ถ้าเขาไม่ต้องการที่จะปรับปรุง เช่นนี้ก็อยู่ที่การพิจารณาของเราว่าเราจะยืนยันในชายคนนี้ พร้อมยอมรับข้อเสียดังกล่าว หรือตัดสินอย่างอื่น
กรณีที่ 3 การแต่งงานกับคนไม่ดี แบ่งเป็น 2 ประเภท
-การแต่งงานกับคนที่ทำบิดอะฮ์ หรือมีมันฮัจไม่ถูกต้อง = 2ฮุก่ม คือ หะรอม(บาป)กับมักโรฮ์(น่ารังเกียจ)
-การแต่งงานกับคนที่ทำบาป = เราต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย และลองนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ที่มีความรู้ คนใกล้ตัวที่มีความรู้ คนที่เราอยู่ในความรับผิดชอบของเขา(มะฮ์รอม) เพื่อดูว่าการแต่งงานกับชายคนนี้หรือไม่แต่ง อะไรจะส่งผลเสียกับชีวิตเรามากกว่ากัน (ในกรณีที่เราไม่มีตัวเลือกอื่น)
กรณีที่ 4 ในกรณีที่คนๆ นั้นไม่ชัดเจนหรือเราไม่ทราบถึงจุดยืนมันฮัจของเขา เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องสืบให้ทราบว่าเขานั้นมีมันฮัจในศาสนาเช่นไร หากเขามีมันฮัจที่ถูกต้องก็จะไปตรงกับ กรณีที่ 1 หรือ 2 / หากคนๆนั้นมีมันฮัจที่ไม่ถูกต้อง ก็จะไปตรงกับ กรณีที่ 3 และหากคนๆนั้นไม่ตัดสินตายตัวหรือยังไม่เลือก ก็แนะนำให้ทำการดะวะฮ์ เรียกร้องเชิญชวนเขาเสียก่อน ให้ข้อมูลเขาและให้เขาตัดสินใจเสียก่อน ก่อนที่จะดำเนินการเรื่องอื่นๆ ไม่แนะนำให้แต่งงานกับคนที่มันฮัจยังไม่ชัดเจนหรือยังไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะสิ่งนี้คือการนำตัวเองและครอบครัวในอนาคตไปสู่ความเสี่ยงและผลเสียระยะยาวและการออกจากสิ่งที่คลุมเครือไปสู่ความชัดเจน คือสิ่งที่ดีกว่า
วัลลอฮุอะลัม
Q.5 สำหรับทัศนะของอิบนุ ตัยมียะห์ที่ว่ามุสลิมะห์สามารถอ่านกุรอานช่วงมีประจำเดือนได้ หมายถึงอ่านออกเสียงได้ด้วยไหมคะ หรือหมายถึงอ่านภายในใจ หรืออ่านแบบขยับปากแต่ไม่เปร่งเสียง? (คำถามเดือน 4/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
ปกติแล้ว สภาพที่เรียกว่าอ่านหรือไม่อ่าน คือการขยับลิ้น ตามมติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามา ดังนั้นหากในละหมาดไม่มีการขยับลิ้น ก็เท่ากับไม่ได้อ่าน และการละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ และเช่นเดียวกัน จะไม่นับว่าเป็นการอ่านกุรอาน หากไม่ได้ขยับลิ้นและริมฝีปาก แต่จะถูกนับว่าเป็นการพิจารณาใคร่ครวญเฉยๆ
ดังนั้นในสภาพที่อ่านกุรอ่านในใจ โดยไม่ขยับปาก ก็ถือว่าไม่ได้อ่าน ฉะนั้นในสภาพของการอ่านแบบไม่ขยับปากนี้(อ่านในใจ) ไม่ว่าจะมีญะนาบะ เฮด นิฟาส ไม่ว่าจะทัศนะไหนของบรรดาอุลามา ก็ถือว่าอ่านในใจได้ ส่วนการอ่านออกเสียง หรือมีการขยับลิ้น สำหรับผู้ที่มีประจำเดือน บรรดาอุลามามีความเห็นต่างกันว่า สามารถอ่านได้หรือไม่?
โดยที่ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะ มีทัศนะว่า อ่านได้ และเป็นทัศนะของมัสฮับอิหม่ามมาลิก และเป็นริวายะหนึ่งจากอะหมัด
เนื่องจากให้เหตุผลว่า
1.ไม่มีหลักฐานห้าม 2.การกิยาสกับคนที่มีญะนาบะเป็นการกิยาสที่ผิดพลาด เนื่องจากสภาพต่างกันในหลายๆกรณี
ดังนั้นทัศนะของชัยคุลอิสลามถือว่าอ่านกุรอานแบบออกเสียงได้ สำหรับคนมีประจำเดือน
ส่วนการสัมผัสกับมุศฮัฟ(เล่มกุรอ่าน) การสัมผัสกับมุศฮัฟขณะมีประจำเดือนไม่เป็นที่อนุญาต แต่เราต้องพิจารณาก่อนว่า เล่มกุรอานที่เราจับใช่มุศฮัฟหรือไม่?
วิธีการดูคือ หากในเล่มมีคำอธิบาย มีคำตัฟซีร มากกว่าตัวอักษรกุรอานภาษาอาหรับ แสดงว่าเล่มนั้นเป็นตัฟซีร ไม่ใช่มุศฮัฟ ดังนั้นสำหรับคนที่มีประจำเดือนก็สามารถจับหรือสัมผัสได้ แต่หากว่าเล่มนั้นมีอักษรกุรอานภาษาอาหรับ มากกว่าตัวตัฟซีร แสดงว่าเล่มนั้นคือมุศฮัฟ ก็ไม่อนุญาตให้ผู้มีประจำเดือนจับกุรอาน นอกจากมีตัวขวางกั้น เช่น ถุงมือ หรือเอาละฮามาตั้ง หรือใช้ปากกาเขี่ยกระดาษเพื่อพลิกหน้ามุศฮัฟ
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
มติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามาว่าคนกาเฟรไม่สามารถเป็นวะลีย์ได้ และการนิกาฮ์ที่คนกาเฟรเป็นวะลีย์นั้นใช้ไม่ได้
ส่วนลำดับการเป็นวะลีย์ ในกรณีที่คนพ่อของผู้หญิงนั้นเป็นกาเฟร ก็จะเริ่มจากคนที่สามารถรับมรดกต่อจากนางได้(ที่เป็นมุสลิม) เช่น พี่น้องชาย ลุง และไม่อนุญาตให้เลื่อนตำแหน่งไปหาอิหม่ามมัสยิดหรือผู้อื่นในทันที นอกจากผู้ที่สามารถรับมรดกได้(ที่เป็นมุสลิม)จะมอบหมายการเป็นวะลีย์ให้กับมุสลิมคนอื่น
ส่วนในกรณีที่ไม่มีญาติของนางคนใดเป็นมุสลิมเลย ตำแหน่งวะลีย์ก็จะย้ายไปหากอดีย์มุสลิม(ศาลศาสนา) ส่วนในประเทศกาเฟรที่ไม่มีกอดีย์ ก็ให้ไปหาศูนย์กลางของมุสลิม ถ้าที่ประเทศไทยก็คือ สำนักจุฬาฯ
และหากว่าไม่มีศูนย์กลางของมุสลิมอีก ก็อนุญาตให้แต่งตั้งอิหม่ามมัสยิด เป็นวะลีย์ หรือชายที่มีความยุติธรรม โดยนางอาจจะเป็นคนแต่งตั้งเอง(ในกรณีที่ไม่มีใครแล้วจริงๆ)
ทั้งนี้อาจจะมีบางทัศนะบอกว่า ถ้าไม่มีวะลีย์แล้ว ก็แต่งตั้งอิหม่ามมัสยิดใกล้ๆ บ้านได้(โดยไม่ต้องไปหาสำนักจุฬาก่อน)
แต่เราขอแนะนำว่า ให้ไปที่ทำการของมุสลิมสูงสุด นั่นก็คือ สำนักจุฬา เพราะ ณ ที่นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆ ว่าการนิกาฮ์จะใช้ไม่ได้
ส่วนการที่พ่อแม่กาเฟรไม่รู้นั้น ไม่ได้ทำให้การแต่งงานนั้นใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาขัดขวางการแต่งงานกับมุสลิม
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
เราไม่ค่อยเข้าใจคำถามของผู้ถามมากนัก
-ผู้ถามถามว่า จำเป็นต้องเช็ดคุฟไหมก่อนออกจากบ้าน?
คำตอบคือ ไม่จำเป็น มันคือสิ่งที่สามารถเลือกกระทำได้ตามความสมัครใจ ถ้าผู้ถามประสงค์จะเช็ดคุฟก็เช็ดครับ ถ้าไม่ประสงค์ก็ไม่ต้อง
-คำถามต่อมา - ต้องอาบน้ำซุนนะก่อนเช็ดคุฟไหม?
คำตอบคือ ไม่ต้องอาบน้ำอัลฆุสลฺ(หรือที่ผู้ถามเรียกว่า อาบน้ำซุนนะ) ก่อนเช็ดคุฟ ณ ที่นี้เราเห็นว่าผู้ถามถามเกี่ยวกับเรื่องการเช็ดคุฟ ดังนั้นเราจึงจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเช็ดคุฟดังนี้
.
เงื่อนไขของการเช็ดคุฟมีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาในบางส่วน แต่เราขอเลือกดังนี้
1.ก่อนที่จะทำการเช็ดคุฟ ผู้ที่จะเช็ดคุฟจะต้องปราศจากฮะดัษใหญ่และฮะดัษเล็ก ณ ตอนใส่ถุงเท้า นั่นหมายความว่า ก่อนที่จะใส่ถุงเท้า ถ้ายังไม่มีน้ำละหมาดก็ต้องอาบน้ำละหมาดก่อน หลังจากนั้นจึงใส่ถุงเท้า
2.คุฟ - ถุงเท้า ถุงหนัง จะต้องปราศจากนะยิส
3.การเช็ดคุฟสามารถทำได้ เฉพาะในเรื่องของฮะดัสเล็กเท่านั้น
4.มีการจำกัดระยะเวลา สำหรับผู้ที่พำนักอยู่ในเมือง(มุกีม) อนุญาตให้นับการเช็ดคุฟได้ 1 วันหรือ 24 ชม.
ส่วนสำหรับผู้ที่เดินทาง อนุญาตให้เช็ดคุฟได้ 3 วันหรือ 72 ชม.
ทั้งนี้จะเริ่มนับเวลาการเช็ดคุฟ ตั้งแต่ตอนที่เราเช็ดคุฟครั้งแรก โดยไม่ได้เริ่มนับตั้งแต่ตอนใส่คุฟ
กล่าวคือ หากเรามีน้ำละหมาดแล้ว หลังจากเราก็ใส่ถุงเท้า เวลาการเช็ดคุฟ 1 วันสำหรับผู้ที่พำนักในเมืองที่เขาไม่ได้เดินทาง(มุกีม) จะยังไม่เริ่มนับ แต่จะเริ่มนับก็ต่อเมื่อ หลังจากที่เราใส่ถุงเท้าแล้ว และเสียน้ำละหมาด และเราก็ไปอาบน้ำละหมาดโดยทำการเช็ดคุฟ ณ ช่วงเวลาที่เราอาบน้ำละหมาดโดยทำการเช็ดคุฟครั้งแรก ณ เวลานั้นเราจะเริ่มนับเวลาการเช็ดคุฟ
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการเหนียต คำถามคือก่อนใส่ถุงเท้า เราต้องเหนียตไหมว่า เราใส่ถุงเท้าครั้งนี้เพื่อที่เราจะได้เช็ดคุฟ คำตอบคือ ไม่ต้อง
ดังนั้นหากเราไม่ได้เหนียตแต่แรก แต่เรามีน้ำละหมาดอยู่แล้วตอนใส่ถุงเท้า หลังจากนั้นถ้าเราเสียน้ำละหมาดเราก็สามารถเช็ดคุฟได้เลย ส่วนมากของคำตอบที่เราตอบไปนั้น มีความเห็นต่างในบรรดาอุลามา
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
การถือไม้เท้าขึ้นตอนคุตบะ มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาในเรื่องรายละเอียดอย่างมาก แต่ทัศนะของบรรดาอุลามาส่วนมาก คือ การใช้ไม้เท้าระหว่างคุตบะเป็นซุนนะ
ส่วนทัศนะที่บอกว่า การใช้ไม้เท้าระหว่างคุตบะ ไม่ใช่ซุนนะ เป็นมักโรฮฺ คือ มัสฮับฮานาฟีย์ และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ ปกติแล้ว คอตีบเป็นคนที่ใช้ไม้เท้าอยู่แล้ว เพราะถือว่าฮะดีษต่างๆที่มีรายงานจากท่านนบี ท่านนบีใช้ไม้เท้าเนื่องจาก มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะถ้ายืนนานๆแบบไม่พิงอะไร อาจจะลำบาก
ส่วนทัศนะที่บอกว่า มีซุนนะให้ใช้ไม้เท้าก็เนื่องจากอธิบายการกระทำของท่านนบี ท่านนบีทำสิ่งนี้เพื่อบ่งบอกว่ามันคือซุนนะ ทั้งนี้ในฮะดีษมีการบอกว่า ท่านนบีใช้คันธนู(قوس) ด้วย หรือไม้เท้า ดังนั้นตามที่มีรายงานคือ 2 อย่าง นั่นก็คือ คันธนูและไม้เท้า
อุลามาบางท่านบอกว่าใช้ดาบด้วยก็ได้ แต่อิบนุกอยยิมปฏิเสธทัศนะนี้ เพราะ
1.ไม่มีรายงานว่าท่านนบีใช้ดาบ
2.จะทำให้อิสลามถูกเข้าใจว่า อิสลามขยายใหญ่ออกไปด้วยกับความแข็งแกร่งและแข็งกร้าว ซึ่งอันที่จริงแล้ว ต้องถืออิสลามถูกขยายออกไปด้วยกับความรู้และสัจธรรม
อุลามาบางท่านกล่าวว่า การใช้ทั้ง 3 สิ่ง(ไม้เท้า คันธนู ดาบ)จะเป็นซุนนะก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ หรือใช้เพื่อจะได้พิงไม้เท้าและทำให้ผ่อนคลายไม่เมื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุตบะนานๆ แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องใช้ เพราะถือว่า มักศูด(เป้าประสงค์)ที่นบีใช้ เพื่อให้ผ่อนคลาย ดังนั้นถ้าทำเพื่อให้ผ่อนคลายก็ถือว่าเป็นซุนนะ
อุลามาบางท่านกล่าวว่า นบีใช้ตอนที่ยังไม่มีมินบัร ดังนั้นถ้ามีมินบัรแล้วก็ไม่ต้องใช้ และมักศูด(เป้าประสงค์)การใช้ก็คือ เพื่อที่มือจะได้ ไม่จุกจิกไปไหน ดังนั้นถ้ามีมินบัรแล้ว และหากว่ามีราวไม้อยู่ด้านหน้าตัวคอตีบ ก็ให้เอามือไปจับราวไม้นั้น โดยไม่ต้องใช้ไม่เท้า
อุลามาบางท่านกล่าวว่า มักศูด(เป้าประสงค์) การใช้ดาบเนื่องจากแสดงถึงความเข้มแข็ง (อิบนุกอยยิม โต้ทัศนะนี้ ดังที่เรากล่าวไปแล้ว)
อุลามาบางท่านกล่าวว่า ให้วางไม้เท้าไว้บนมินบัรเลย พอขึ้นไปบนมินบัร แล้วใช้ได้ โดยกล่าวว่า ไม่ใช่ถือไม้เท้าขึ้นไปบนมินบัร
อุลามาบางท่านกล่าวว่า ให้ถือไม้เท้าก่อนขึ้นไปบนมินบัร พอขึ้นไปแล้ว ไม่ต้องใช้
ดังนั้นทัศนะต่างๆมากมายที่เรากล่าวไปนี้ เราขอเลือกทัศนะของเชคบินบาซ -รอฮิมะฮุลลอฮฺ- ท่านกล่าวว่า เรื่องนี้เปิดกว้าง จะถือไม้เท้าหรือไม่ถือก็ได้ การกระทำของท่านนบีอาจจะตีความได้ว่า นบีทำเพื่อบ่งชี้ว่ามันคือซุนนะ หรืออาจจะตีความการกระทำของท่านนบีว่า นบีใช้บางครั้งเพราะมีความประสงค์จะใช้มัน
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
รูปแบบวิธีการเช็ดศีรษะไม่วาญิบว่าต้องทำรูปแบบไหนวิธีการใด แต่วิธีการที่ประเสริฐที่สุดคือ การเริ่มเช็ดศีรษะตั้งแต่ด้านหน้า ไปจนถึงศีรษะด้านหลัง(ประมาณท้ายทอย) หลังจากนั้นก็ลูบผมกลับมายันด้านหน้าของศีรษะ
วิธีการข้างต้นนี้ เป็นวิธีที่มีรายงานฮะดีษจากท่านนบีในหลายๆฮะดีษ และวิธีการนี้เป็นมติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามาว่า เป็นวิธีการนี้ประเสริฐที่สุด อุลามาบางท่านกล่าวว่า วิธีการนี้ สำหรับคนผมสั้น
แต่ยังมีสำนวนฮะดีษบทอื่น ที่รายงานว่า ท่านนบีเช็ดทั่วศีรษะ โดยที่ผมไม่เสียทรง หรือยุ่งเหยิง และนบีทำให้ดูต่อหน้าผู้หญิง แต่ในฮะดีษที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้บอกวิธีการชัดเจนว่า นบีทำแบบใด
อุลามาบางท่านอธิบายว่า
1.ลูบศีรษะตั้งแต่ต้นศีรษะ(บริเวณหน้าผาก) ไปถึงท้ายศีรษะ(บริเวณท้ายทอย) โดนไม่ต้องย้อนกลับ เพราะผมจะได้ไม่เสียทรง
อุลามาบางท่านกล่าว การทำให้ผมยุ่งเนื่องจากเช็ดผมเป็นมักโรฮฺ
2.และมีการกล่าวว่า เริ่มจาก วางมือบนกลางศีรษะ และลูบไปด้านหน้า หลังจากนั้นยกมือขึ้นจากศีรษะ
และนำมือวางไว้กลางศีรษะอีกที และลูบไปด้านหลัง และมีการกล่าวว่า อนุญาตเช่นกัน ถ้าจะใช้มือขวาเช็ดศีรษะด้านขวาให้ทั่ว และใช้มือซ้ายเช็ดศีรษะด้านซ้ายให้ทั่ว หรือจะเริ่มเช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้าก็ได้ แลเวย้อนกลับไป ที่สำคัญคือเช็ดให้ทั่วศีรษะ(ตามทัศนะที่มีน้ำหนัก)
วัลลอฮุอะลัม
Q.10 สามารถใช้ทิชชู่เปียกเช็ดปัสสาวะแมวได้ไหมครับ แล้วนะยิสมันจะหายไปไหมถ้าตรงนั้นไม่มีปัสสาวะแมวเหลือแล้ว เหลือแต่รอยเช็ด(น้ำ)จากทิชชู่ดังกล่าว และช่วยแนะนำสิ่งที่ใช้ทำความสะอาดนะยิสนอกจากน้ำหน่อย และผมควรจะทำความสะอาดอย่างไร ในกรณีที่แมวปัสสาวะบนที่นอนแล้วมันก็ซึบลงไป ผมเคยเอาน้ำเยอะกว่าราดลงไป อยากทราบว่ามีวิธีอื่นไหมครับ (คำถามเดือน 5/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
ประเด็นแรก
การทำความสะอาดให้นะยิสหลุดออกไป เราต้องดูว่าสิ่งของหรือพื้นที่ที่เราทำความสะอาดนั้น คืออะไร?
หากว่าฉี่แมวเปื้อนบนพื้น วิธีการทำความสะอาด มีความเห็นต่างของบรรดอุลามา โดยที่อุลามากลุ่มหนึ่งบอกว่า ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด โดยเทน้ำลงไปให้มากกว่านะยิสก็พอ และอุลามาอีกกลุ่มหนึ่ง(มัสฮับฮานาฟีย์ อิบนุตัยมียะ เชคอุซัยมีน และฯลฯ) กล่าวว่า หากตัวนะยิสหายไปแล้ว และไม่เหลือร่องรอย สี กลิ่น รส เช่นนี้ก็ถือว่าตัวนะยิสได้หายไปแล้ว ไม่ว่าจะหายไปด้วยกับกาลเวลา หรือโดนลมโดนแดด หรือการถู ก็ถือว่านะยิสถูกขจัดออกไปแล้ว
ณ ที่นี้เราไม่ขอกล่าวว่าทัศนะไหนถูกต้อง แต่เราขอกล่าวว่า ทางที่ดีถ้าไม่ลำบากเกินไป ก็ควรเทน้ำทำความสะอาด ทั้งนี้เป็นการออกจากคิลาฟของบรรดาอุลามา
ประเด็นถัดมา
ส่วนหากว่าแมวฉี่บนเบาะ วิธีการที่เชคอุซัยมีนสอนคือ นำฟองน้ำมาเช็ดให้แห้ง และราดน้ำลงไปสักสองถึงสามรอบ
ประเด็นถัดมา
ส่วนคำถามที่ว่า ถ้ามันซึมลงไปจะทำอย่างไร? เราขอตอบว่า ถ้าไม่ลำบากอะไรสำหรับผู้ถาม ก็ให้ท่านผู้ถามราดน้ำลงไป ให้ซึมลง ดังที่เชคอุซัยมีนสอน
ส่วนถ้าหากว่า มีความไม่สะดวกจริงๆ หรือที่นอนอาจจะเสีย หากโดนน้ำบ่อยๆ หรือน้ำไม่สามารถเข้าถึงได้ ณ ที่นี้ อุลามามีความเห็นต่างกัน
กลุ่มหนึ่งบอกว่า หากน้ำเข้าไม่ถึงภายใน ก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นนะยิสไปเลย
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง กล่าวว่า เราตัดสินแค่ส่วนของภายนอกเท่านั้น(ทำความสะอาดภายนอกเท่านั้น) เพราะมันเป็นการยากลำบากเกินไป และหากว่าทรัพย์สินนั้นเป็นนะยิสไปเลย จะทำให้ทรัพย์สินนั้น นำมาใช้ต่อไม่ได้ในบางเรื่อง และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย และเรามองว่าทัศนะนี้สะดวกและง่ายกว่าในการปฏิบัติ
ประเด็นถัดมา
หากว่าเบาะนั้นติดนะยิสอยู่ โดนที่ผู้ถามไม่ได้ทำความสะอาดตามหลักชารีอะ ก็ถือว่านะยิสนั้นยังติดอยู่ที่เบาะอยู่ แต่หากว่านะยิสนั้นแห้งแล้ว การที่ผู้ถามนอนอยู่ที่เบาะนั้น ก็ไม่ได้ทำให้นะยิสติดตัวผู้ถาม และไม่วาญิบสำหรับผู้ถามที่จะต้องทำความสะอาดเบาะนั้นตามหลักชารีอะ นอกจากผู้ถามต้องการจะละหมาดเท่านั้น
ประเด็นถัดมา
พิ้นที่ที่มีนะยิสอยู่ หากเราไม่ทำความสะอาด เราก็ไม่สามารถละหมาดบนพื้นที่นั้นได้ แต่จะละหมาดได้ก็ต่อเมื่อ เราปูผ้าทับบนพื้นที่นั้น เช่นปูพรมหรือผ้าปูละหมาด หากว่าผู้ถามต้องการจะละหมาดบนพื้นที่ที่มีนะยิส ก็สามารถปูผ้าละหมาดทับลงไปได้ และละหมาดใช้ได้ (แต่พื้นที่นั้นนะยิสต้องแห้งแล้ว)
ส่วนในเรื่องความเห็นต่างของบรรดาอุลามา อุลามาเพียงเห็นต่างกันว่า การเอาผ้าปูทับนะยิส เป็นมักโรฮฺหรือไม่เท่านั้น
วัลลอฮุอะลัม
Q.11 อยากรู้ถึงความสำคัญที่อัลลอฮมีให้ต่อสิ่งถูกสร้างที่เป็นมนุษย์ อัลลอฮให้ความสำคัญกับมนุษย์ยังไงบ้าง เคยเห็นในอัลกุรอานที่ว่าอัลลอฮสร้างจักวาลมาเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายกับมนุษย์อีกที และในบทสนทนาระหว่างอัลลอฮฺกับมลาอีกะฮเรื่องที่พระองค์บอกว่าจะสร้างมนุษย์ ความเป็นมนุษย์นั้นดีกว่าหรือพิเศษกว่าสิ่งถูกสร้างอื่นๆ ยังไงบ้าง (คำถามเดือน 5/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
มนุษย์ ณ ที่อัลลอฮ์ นั้นถือเป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุด มนุษย์เป็นหนึ่งใน 2 สิ่งมีชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงให้อิสระในการเลือกกระทำ และจะทรงได้รับการตอบแทนและการลงโทษตามสิ่งที่เขาได้เลือกกระทำ ความเมตตาที่อัลลอฮ์มีให้กับมนุษย์นั้น คือ สิ่งที่เราไม่สามารถคำนวนนับได้
. وَلَوْ أَنَّمَا فِي الْأَرْضِ مِن شَجَرَةٍ أَقْلَامٌ وَالْبَحْرُ يَمُدُّهُ مِن بَعْدِهِ سَبْعَةُ أَبْحُرٍ مَّا نَفِدَتْ كَلِمَاتُ اللَّهِ ۗ إِنَّ اللَّهَ عَزِيزٌ حَكِيمٌ
และหากว่าต้นไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินเป็นปากกาหลาย ๆ ด้าม และมหาสมุทร (เป็นน้ำหมึก) มีสำรองไว้อีกเจ็ดมหาสมุทรพจนารถของอัลลอฮฺก็จะยังไม่หมดสิ้นไป
แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ - ลุกมาน อายะฮ์ที่ 27
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อบ่าวของพระองค์เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพทั้งหมดบนโลกดุนยานี้มา เพื่ออำนวยความต่อมนุษย์ อัลลอฮ์ไม่ได้สร้างมนุษย์มาและปล่อยให้พวกเราอยู่ตามลำพัง แต่ได้ทรงส่งเราะสูล(ศาสนทูต)ของพระองค์แก่เรา ดังนั้นผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูล ก็ได้เข้าสวรรค์ และถ้าผู้ใดขัดขืนต่อเราะสูลก็เข้าในไฟนรก หลักฐานคือพระดำรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งว่า
“แท้จริง เราได้ส่งเราะสูลคนหนึ่งแก่สูเจ้าเพื่อเป็นพยานต่อสูเจ้า ดั่งที่เราได้ส่งเราะสูลคนหนึ่งแก่ฟิรฺอาวน์ / แล้วฟิรฺอาวน์ได้ขัดขืนต่อเราะสูลนั้น เราจึงได้ลงโทษเขาด้วยการลงโทษที่ร้ายแรง” (อัล-มุซซัมมิล 73 :15-16)”
หมายถึง อัลลอฮ์นั้นทรงดูแลเราและเมตตาเราโดยการประทานปัยยังชีพที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ที่อยู่ ลูกหลาน รวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในจักรวาลที่เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ชีวิตมนุษย์ในการเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งนี้ถูกกล่าวไว้อย่างมากมายในอัลกุรอ่านและฮะดีษ อัลลอฮ์ตรัสว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ คือผู้ประทานปัจจัยยังชีพอันมากหลาย ผู้ทรงพลัง ผู้ทรงมั่นคง” , “จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแด่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตายและเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ” แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า “อัลลอฮ์” ดังนั้นจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “พวกท่านไม่ยำเกรงหรือ?”” และอายะฮ์อื่น ๆ อีกมากมายที่บ่งชี้ถึงความเมตตาของพระองค์
แต่ทั้งหมดทั้งหมดทั้งมวลนั้น อัลลอฮ์นมิได้สร้างเราอย่างไร้จุดหมาย มิได้สร้างเรามาเพื่อให้มาใช้ชีวิตไร้สาระ ตามอารมณ์ใผ่ต่ำของตัวเองไปวัน ๆ โดยไร้ค่า ไร้ประโยชน์ แต่อัลลอฮ์ทรงบอกถึงจุดมุ่งหมายที่พระองค์ทรงสร้างเราว่า
((وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالْإِنسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ))
“และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า” (อัซซาริยาต อายะฮ์ที่ 56)
ดังนั้นจงรู้ไว้เถิดว่าเรามิได้ถูกกำเนิดมาโดยไร้จุดหมาย ! เรามิได้เกิดมาเพื่อทำตัวตามอารมณ์ปล่อยตัวตามใจไปวัน ๆ ใช้เวลาหมดไปกับการไล่ล่า ความต้องการของตัวเองที่ไม่ตรงกับศาสนา ! เพราะความจริงแล้วอัลลอฮ์มิได้ทรงสร้างเรามาเพื่อสิ่งใดเว้นเสียแต่เพื่ออิบาดะฮ์อัลลอฮ์ ! และพระองค์มิได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพให้แก่เราอย่างไร้จุดหมาย เว้นเสียแต่เพื่อให้มันอำนวยความสะดวกแก่มนุษย์เพื่อทำการอิบาดะฮ์ ! เพราะเรานั้นไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย ในชีวิตของพวกมันมีแต่กิน นอน และสืบพันธ์ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังถูกสร้างเพื่อมาเป็นหนึ่งในปัจจัยยังชีพแก่พวกเราอีกต่างหาก เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างมนุษย์และเดรัจฉานหากแต่มันไม่ใช่การเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ! ดังนั้นมนุษย์คนใดที่ถูกกำเนิดมาแล้วแต่ในช่วงชีวิตของเขากลับไม่ได้ใช้มันไปเพื่อการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์
หรือท่านคิดว่าอัลลอฮ์สร้างท่านมาเพื่อกิน นอน และตาย จากนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ? ไม่เลย เพราะความจริงแล้วท่านจะต้องถูกเรียกขึ้นมาสอบสวนถึงสิ่งที่ท่านได้กระทำลงไปในดุนยาทั้งหมด ท่านจะถูกถามเกี่ยวกับเวลาอันมีค่าที่พระองค์ทรงให้กับท่าน ท่านจะถูกถามถึงปัจจัยยังชีพต่างๆ ที่อัลลอฮ์ประทานให้กับท่าน ท่านจะถูกถามว่าทั้งหมดนี้สิ่งใช้มันไปกับสิ่งใด ? เพื่ออัลลอฮ์ หรือ เพื่อตัวท่านเอง ? และบั้นปลายของมันช่างน่ากลัวยิ่งนักสำหรับผู้ขาดทุน และสิ่งเหล่านี้คือเป้าหมายที่มนุษย์และญินถูกกำเนิดขึ้นมา
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ความเมตตาต่ออัลลอฮ์ที่ให้กับมนุษย์ อิสระในการเลือก การตอบแทนที่พระองค์จะต่อบ่าวจากการเลือก การมอบความสบาย เครื่องอำนวยความสะดวกต่อเราทั้งในดุนยา การมีทรัพสินย์ที่ดี ครอบครัวที่ดี สุขภาพที่ดี การที่เรามีความรู้ศาสนาและในอาคิเราะฮ์ คือ การมอบสวรรค์อันนิรันด์ให้กับบ่าวของพระองค์ คือ สิ่งที่บ่งชี้ว่ามนุษย์นั้นคือสิ่งถูกสร้างที่ได้พิเศษ ณ ที่อัลลอฮ์
วัลลอฮุอะลัม
Q.12 อยากทราบว่าอะไรคือความแตกต่างในการแยกระหว่างการริยาอฺกับการที่ชัยตอนกระซิบกระซาบ และหากเรากลัวที่จะทำความดีเพราะกลัวว่าจะเป็นการริยาอฺ หรือกลัวจะไม่บริสุทธิใจเพราะมีเสียงกระซิบกระซาบของชัยตอน เราต้องทำตัวยังไงดี (คำถามเดือน 5/2021)
بسم الله الرحمن الرحيم
ริยาอ์ หรือ การโอ้อวด คือ การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากการอิบาดะฮ์ พร้อมๆกับความตั้งใจที่จะแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นและต้องการได้รับการชื่นชมหรือสรรเสริญ สิ่งเป้าหมายของการริยาอ์ คือ ต้องการได้รับการชื่นชมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยข้อตัดสินของการกระทำเช่นนี้คือ สิ่งต้องห้าม ถือเป็นชิกร์เล็ก และเป็นสิ่งที่ท่านศาสนทูตได้ย้ำเตือนเราอย่างมากให้เรานั้นระวังและขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ให้ปลอดภัยจากมัน
การริยาอ์ นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการกระซิบกระซาบของชัยตอน ในความหมายนี้การกระซิบกระซาบของชัยตอน คือ สิ่งที่กินความหมายกว้างกว่าไปยังทุกๆ การกระทำชั่ว เช่น การยุให้ดื่มสุรา การยุให้เนรคุณต่อพ่อแม่ การยุให้รามีความโอ้อวดในขณะทำอิบาดะฮ์ ดังนั้นการโอ้อวดนั้นถือหนึ่งในการกระซิบกระซอบต่อมนุษย์ ซึ่งโทษของการริยาอ์นั้นคือจะได้รับบาปและทำให้ผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นหมดสิ้น
ฮุก่มของผู้ที่เกิดการโอ้อวดที่เกิดกลางคันในขณะอิบาดะฮฺ
ไม่มีที่ขัดแย้งกันในหมู่อุลามาอฺว่าหากคนคนหนึ่งกระทำอิบาดะฮฺด้วยเพื่อต้องการโอ้อวดตั้งแต่แรก การงานของชายผู้นี้ถือเป็นโมฆะเพราะไม่มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ(ผิดเงื่อนไขอิบาดะฮฺที่อัลลอฮฺจะทรงรับ) แต่มีขัดแย้งกันว่าหากชายคนหนึ่งเกิดความรู้สึกโอ้อวดขึ้นในขณะการทำอิบาดะฮฺ(และเขาก็คล้อยตามความรู้สึกนั้นด้วย)การงานที่เขาทำอยู่นี้จะถือเป็นโมฆะหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้อุลามาอฺมีความเห็นต่างกันออกเป็น 2 ทัศนะ
1. ความดีเขาทำจะสูญสลายไปทั้งหมดตั้งแต่ต้นแม้ว่า ณ ขณะที่เริ่มทำจะมีใจที่บริสุทธิ์ก็ตาม
2. ความดีที่เขาทำจะไม่สูญสลายไปในตอนต้น(เพราะตอนนั้นทำด้วยใจที่บริสุทธิ์) แต่ความดีหลังจากที่เกิดการโอ้อวดจะหายไป
โดยหากใครที่เกรงกลัวว่าตนนั้นจะตกไปสู่การโอ้อวด มีซุนนะฮ์จากท่านร่อซูลว่าให้บ่าวขอดุอาอ์ว่า
اَللهُمَّ إِنِّيْ أَعُوذُ بِكَ أَنْ أُشْرِكَ بِكَ وَأَنَّا أَعْلَمُ، وَأَسْتَغْفِرُكَ لِمَا لَا أَعْلَمُ
อัลลอฮุมมะ อินนี อะอูซุบิกะ อันอุชริกะ บิกะ วะอันนา อะลัม วะอัสตัฆฟิรุกะ ลิมา ลา อะลัม
ความหมาย “โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อท่าน จากการที่ฉันทำชิรก์ต่อท่านในสิ่งที่ฉันรู้ และฉันขออภัยโทษต่อท่าน ในสิ่งที่ฉันไม่รู้”
(อิหม่ามอัลบานีย์ในทัศนะว่าเป็นฮะดีษซอเฮี้ย)
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
การลืม และจำจำนวนวันที่ขาดไม่ได้ มีอยู่แบบ 2 คือ
1.มีจำนวนวันที่อยู่ในใจแต่ไม่แน่ใจ เช่น จำไม่ได้ว่า ขาด 8 วัน หรือ 9 วัน หรือ 10 วัน ณ ที่นี้ ให้เรายึดว่าเราขาด 8 วัน (โดยถือจำนวนที่น้อยกว่า) เพราะจำนวนที่น้อยกว่าคือความยะเก็น(ความมั่นใจและชัดเจน) แต่ส่วนที่เลยออกมานั้น คือจำนวน 9 วันหรือ 10 วัน มันคือความสงสัย ดังนั้นตามหลักการวินิฉัยแล้ว เราจะยึดถือว่าความแน่ใจเป็นหลัก โดยที่เราจะยึดจำนวนที่น้อยกว่า
แต่หากเราถือศีลอดใช้ไปทั้ง 10 วันเลยก็ถือเป็นการดีกว่า เพราะเราจะได้พ้นจากสิทธิ์ที่ต้องให้กับอัลลอฮฺอย่างมั่นใจ แต่ถึงอย่างไร ถ้าถือศีลอดแค่ 8 วันก็ไม่เป็นอะไร
2.จำไม่ได้เลยว่าขาดไปกี่วัน - ณ ที่นี้ ให้เราคาดการณ์เอาว่า เราขาดกี่วันโดยยึดถือบนพื้นฐานการคาดการณ์ที่น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุด (เนื่องจากเราไม่สามารถยะเก็นหรือมั่นใจได้ว่าขาดกี่วัน ดังนั้นเราจะยึดการคาดการณ์ที่น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุดแทน)
ประเด็นถัดมา - โดยปกติแล้ว การไม่ถือศีลอดชดใช้ในรอบปี จนกระทั่งทะลุไปถึงอีกรอมดอนหนึ่ง เป็นบาป เพราะการถือศีลอดชดใช้ให้ทันในรอบปีก่อนถึงอีกรอมดอนหนึ่ง ฮุกุ่มคือวาญิบ ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้ถือศีลอดใช้จนถึงอีกรอมดอนหนึ่ง เขาจะต้องเตาบัตตัว และต้องจ่ายกัฟฟาเราะให้กับคนยากจน
การจ่ายกัฟฟาเราะ คือ ต้องจ่ายอาหารที่คนเมืองเขากินกัน 1 วันต่อ 1 มุด
1 มุด คือ 1 กอบมือ หรือมีการวินิฉัยมาแล้วว่า ประมาณ 750 กรัม
หากขาดไปสองวัน ก็จ่าย 2 กัฟฟาเราะ
ส่วนการจ่ายกัฟฟาเราะสำหรับคนที่ไม่ได้ถือศีลอดชดใช้จนทะลุอีกรอมดอนหนึ่ง ฮุกุ่มจะตกไป(ไม่ต้องทำ)ก็ต่อเมื่อ เขาไม่รู้ว่าการถือศีลอดให้ทันครบรอบปี ฮุกุ่มของมันคือวาญิบ(หากเขาไม่รู้ว่ามันคือวาญิบก็ไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะ) หรือหากเขารู้ฮุกุ่ม แต่เขามีฮุซุร(ติดอุปสรรคบางอย่าง)จริงๆ จนไม่สามารถถือศีลอดชดใช้ได้ทัน เช่นนี้ก็ไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะเพราะถือว่ามีอุซุร
ทั้งนี้ในบางส่วนของคำถามอาจจะมีความเห็นต่างๆของบรรดาอุลามา
ดังนั้นผู้ถามลองพิจารณาดูว่าผู้ถามต้องจ่ายกัฟฟาเราะไหม หรือถ้าบางอย่างอยู่บนความไม่แน่ใจ ว่าต้องจ่ายไหม การจ่ายกัฟฟาเราะก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ถามครบถ้วนสมบูรณ์กว่าในการให้สิทธิต่ออัลลอฮฺอย่างครบถ้วน และเป็นการหลุดพ้นจากวาญิบมากกว่า
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
รูปปั้นแมวกวัก คือ หนึ่งในสิ่งที่เป็นชิรก์หรือการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และผู้ใดที่เชื่อว่าสิ่งนี้สามารถดลบันดาลบางอย่างได้ เขาคนนั้นเป็นมุชริก(ในกรณีที่เขารู้หลักการแล้วแต่ยังปฏิเสธไม่ทำตาม)
สำหรับกรณีการซื้ออาหารในร้านที่มีชิรก์อยู่ในนั้น ฮุก่มของของการซื้ออาหารนั้นคือฮะล้าล และสามารถรัปประทานอาหารนั้นได้ ในกรณีที่อาหารนั้นไม่มีสิ่งต้องห้ามตามหลักการปะปนอยู่
ส่วนกรณีการนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทำ จำเป็นที่เราจะต้องออกห่างจากสถานที่ที่มีชิรก์อยู่ และใจของเรานั้นต้องไม่ยอมรับการกระทำดังกล่าว
สรุปคือ สำหรับร้านอาหารที่มีชิรก์อยู่นั้น อนุญาตให้สามารถซื้อของจากร้านนั้นได้ในกรณีที่อาหารนั้นไม่มีสิ่งที่หะรอมปะปน และไม่อนุญาต(ฮะรอม)สำหรับการนั่งรับประทานอาหารในนั้น
วัลลอฮุอะลัม
วัลลอฮุอะลัม
بسم الله الرحمن الرحيم
ทางเราไม่ทราบว่าผู้ถามต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของเฮดในเรื่องใด ณ ที่นี้เราขอนำข้อมูลจากอิสลามมอร์มาอธิบายคร่าวๆ
เลือดเฮด(حيض) คือ เลือดประจำเดือนของสตรีที่จะออกมาเป็นประจำทุกๆเดือน อย่างน้อย 1 วัน ปกติ ก็ 7 วัน และไม่เกิน 15 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของสตรีคนนั้นและช่วงเวลาต่างๆ หากเกินกว่า ช่วงเวลาที่ปกติ ก็พิจารณาได้ว่า มิใช่ประจำเดือน แต่เป็นเลือดเสีย(อิสติฮาเดะฮ์)
จากท่านอุมมุสะละมะฮฺ ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านร่อซูลลุลลอฮฺ (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ,นางถามท่านร่อซูลตอบว่า: "นางจงพิจารณาจำนวนวันและคืนซึ่งนางเคยมีเลือดประจำเดือน โดยพิจารณาจำนวนคืนวันดังกล่าวนั้นของเดือน (ในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน) นางจงละทิ้งการละหมาด จากนั้น (ภายหลังที่เกลี้ยงจากเลือดประจำเดือนแล้ว) ให้นางอาบน้ำ(ยกฮะดัส) และให้ชับเลือด (ด้วยผ้าอนามัยเพื่อความรอบคอบ) จากนั้นให้นางปฏิบัติละหมาดได้" (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่ 208,อบูดาวูด หะดีษที่ 240 และอิบนุมาญะฮฺ หะดีษที่ 610)
โดยปกติประจำเดือนนั้นสีเหมือนเลือดปกติ สีเข้ม ถึงสีดำ
ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)บอกว่า "ปรากฏว่าเลือดประจำเดือนเป็นสีดำ ซึ่งเป็นสีที่ถูกรู้จักกันดี (ในหมู่ของสตรี)" (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่ 215)(อิสบามมอร์) (อิศรา โต๊ะการิม)
ส่วนคำถามที่ว่า “และเราสามารถรับประทานอาหารสุหูรก่อนอาบน้ำญะนาบะฮ์ได้หรือไม่”
ตอบ : หากสตรีมั่นใจแล้วว่า ประจำเดือนของนางหมดแล้ว และนางอยู่ในสภาพที่สะอาดแล้ว(ในสภาพที่มั่นใจ) ก่อนรุ่งอรุณขึ้น ฮุกุ่มการถึงศีลอดสำหรับนางในวันนั้นคือวาญิบ แม้ประจำเดือดจะหมดไปแค่นาทีเดียวก่อนเข้าเวลาก็ตาม
ส่วนการอาบน้ำยกฮะดัษ นางสามารถอาบน้ำยกฮะดัษหลังจากเข้าเวลาซุบฮ์แล้วก็ได้ เช่นนี้ไม่ได้ทำให้เสียศีลอด และฮุกุ่มวาญิบในการถือศีลอดสำหรับนางก็ยังคงอยู่
ดังนั้นการถือศีลอด และการเข้าสู่ช่วงเวลารุ่งอรุณ(คือเวลาห้ามกินห้ามดื่ม) ในสภาพที่มีฮะดัษใหญ่ ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการถือศีลอด เช่นเดียวกับคนที่มีญะนาบะ ก็สามารถเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการถือศีลอดในสภาพที่มีญะนาบะ
เพียงแต่คนที่มีฮะดัสใหญ่จะต้องรีบอาบน้ำยกฮะดัส เพื่อที่เขาจะละหมาดในเวลานั้นได้ทัน
และไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะรับประทานอาหารซะโฮรก่อนการอาบน้ำยกฮะดัษ
ส่วนอีกประเด็น หากว่านางพบว่าประจำเดือนของนางหมดแล้ว หลังจากรุ่งอรุณขึ้น ไม่ว่าจะหลังรุ่งอรุณทันที หรือจะช่วงกลางวันก็ตาม นางจะต้องถือศีลอดต่อจากนั้นไหม? เรื่องนี้มี 2 ทัศนะของบรรดาอุลามาอ์
1.ทัศนะของอิหม่ามอบูฮะนีฟะและในมัสฮับของอิหม่ามอะหมัด บอกว่า ต้องถือศีลอดต่อจนกระทั่ง ดวงอาทิตย์ตกดิน และต้องชดใช้วันนั้นในภายหลังด้วย เพราะการที่นางมีประจำเดือนในวันนั้น จะทำให้การถือศีลอดใช้ไม่ได้
2.ทัศนะของอิหม่ามมาลิกและอัชชาฟีอีย์ บอกว่า ไม่วาญิบต้องถือศีลอดสำหรับนางในวันนั้น เพราะไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าวาญิบ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องถือศีลอดชดใช้ในวันนั้น
เราเลือกทัศนะของอิหม่ามมาลิกและอัชชาฟิอีย์ คือไม่ต้องถือศีลอดในวันนั้น แต่ให้ถือศีลอดชดใช้
ส่วนหากนางสงสัยว่านางหมดประจำเดือนก่อนรุ่งอรุณขึ้นหรือหลังรุ่งอรุณขึ้น ก็วาญิบสำหรับนางให้ถือศีลอดในวันนั้นไปเลย เนื่องจากให้คาดคะเนว่า นางหมดประจำเดือนก่อนรุ่งอรุณขึ้น ดังนั้นฮุกุ่มจึงเป็นวาญิบสำหรับนาง พร้อมๆกันนั้น ก็ให้นางถือศีลอดชดใช้ในวันนั้นด้วย ทั้งนี้เนื่องจากการคาดคะเนอีกมุมหนึ่งว่า นางอาจจะหมดประจำเดือนหลังรุ่งอรุณขึ้น ตามที่อัดดุซูกีย์ อุลามามัสฮับมาลีกีย์ได้กล่าวไว้
วัลลอฮุอะลัม
Q.16 อัสลามมุอาลัยกุม ผมเป็นมุสลิมที่ทำงานรับราชการในประเทศที่มีกฎระเบียบห้ามไว้เคราเกือบทุกหน่วย โดยเฉพาะ หน่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของประเทศที่ต้องตรวจทุกอาทิตย์ เช่น ทหาร-ตำรวจ(อาจมีบางกรณีที่ไว้ได้ เช่น ตร.ฝ่ายสืบสวนที่ต้องปกปิดตัวตน) ซึ่งเป็นส่วนน้อยซึ่งถ้ากลับมารายงานตัวหรือมีงานที่ต้นสังกัดต้องใช้กำลังพลในหน้าที่ ที่ต้องกลับมาใส่เครื่องแบบก็ต้องตัดเคราอยู่ดี มีคำถามว่าเราควรมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ในประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิม(ผมไปสังเกตุในประเทศมุสลิมเองก็ตัดเกือบหมดอาจเพราะทั่วโลกรับวัฒธรรมองค์กร ทหาร-ตำรวจ จากตะวันตก) ศาสนาได้ให้ทางออกไว้ไหมคับในประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม ควรมีเนียตอย่างไร หรือ ถ้ามีโอกาสควรหางานใหม่ ถ้าทำต่อไปถือว่าเป็นผู้กระทำบาปอยู่เป็นประจำไหมคับ เราควรมีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้คับ
بسم الله الرحمن الرحيم
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านในการให้ความสำคัญและการเอาใจใส่ต่อฮุกุ่มทางศาสนา ในเรื่องการงานหน้าที่ของท่าน ขออัลลอฮฺทำให้ท่านมั่นคงอยู่บนความถูกต้อง ประการแรก : คำถามของผู้ถามที่ว่า ศาสนาได้ให้ทางออกไว้ไหมครับ?
ตอบ : ประเด็นนี้ที่ผู้ตอบต้องการจะเคลียร์ปัญหานี้ก่อน เพราะผู้ตอบเห็นแนวคิดผู้นำทางศาสนาหลายๆคน ที่เขลาต่อชารีอะของอัลลอฮฺ บางคนถึงกับตำหนิบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม เนื่องจากความเขลาของเขาเอง โดยเขาคิดว่าการจะขับเคลื่อนประชาชาติอิสลาม ต้องเป็นไปตามยุคสมัย แน่นอนว่า การวินิฉัยทุกปัญหาต้องเป็นไปตามทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ชารีอะของนบีมูฮัมหมัด -ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม- ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเราก็จะใช้ชารีอะเดิมของนบีเรา ในการวินิฉัยปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย ทั้งนี้ผู้ตอบอยากชี้แจงเรื่องนี้คร่าวๆ ประเด็นหนึ่งที่ผู้ตอบอยากชี้แจงคือ อยากจะยกตัวอย่างชารีอะบางข้อกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่เราอาจจะคิดว่าชารีอะคงไม่ได้บอกเรื่องนี้เอาไว้ แต่อันนี้จริงแล้ว หลักการของอัลลอฮฺนั้นสมบูรณ์ แต่อย่างที่บอก เราเห็นผู้นำศาสนาบางคนยังเขลาต่อชารีอะของอัลลอฮฺในบางเรื่อง และเนื่องจากพื้นที่นี้จำกัด เราจึงขออธิบายไว้เท่านี้
ประเด็นถัดมา อยากให้ผู้ถามทราบไว้ว่า บรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม พยายามคิดให้คำตอบแก่ประชาชาติอิสลามด้วยกับหลักชารีอะ ในประเด็นปัญหาต่างๆที่ครอบคลุมทุกๆคำถามในชีวิตของพวกผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นในบางยุคบางสมัย นักนิติศาสตร์อิสลามได้คิดคำถามเผื่อว่าประเด็นปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต(ซึ่งในยุคที่ท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ ยังไม่เกิดปัญหานั้น) บางประเด็นก็เกิดขึ้นจริงหลักจากที่พวกท่านเหล่านั้นเสียชีวิตไปแล้วเป็นร้อยๆปี ดังนั้นแล้วไม่ว่าปัญหาใดจะเกิดขึ้นในสมัยไหน เป็นหน้าที่ของบรรดาอุลามาอ์ที่เขาจะต้องให้คำตอบกับประชาชาติอิสลามอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะปัญหาไหนในอุมมะฮ์
---------
ประการถัดมา : เราขอแจกแจงเล็กน้อยกับประเด็นการโกนเครา ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยสำหรับท่านผู้ถามในอนาคต หากมีใครโยนชุบฮาตมาสู่ผู้ถามว่า อิสลามอนุญาตให้โกนเคราได้ เราขอกล่าวว่า ฮุกุ่มของการโกนเคราคือ ฮะรอม โดยที่อุลามาบางท่าน รายงานว่ามันคือมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ในเรื่องนี้ ถึงแม้ในมุมมองของผู้ตอบจะเห็นว่า การโกนเคราไม่ใช่มติเอกฉันท์ เพราะมีอุลามาบางท่านที่บอกว่า การโกนเคราเป็นมักโรฮฺ ซึ่งเป็นอุลามาส่วนน้อยมาก
1.ดังนั้นเราขอกล่าวว่าการยึดทัศนะของบรรดาอุลามาส่วนใหญ่ของประชาชาติ ที่อีกฝั่งหนึ่งมีเพียงน้อยนิด การยึดเช่นนี้ปลอดภัยกว่าแน่นอน
2.โดยกฎเกณฑ์การวินิฉัยปัญหาศาสนาแล้ว หากว่ามีฮะดีษที่บ่งชี้ถึงคำสั่ง(ณ ที่นี้คือคำสั่งใช้ให้ไว้เครา และทำตัวให้ค้านกับพวกมุชริกีน) หากไม่มีหลักฐานอื่นที่มาบ่งชี้ว่า คำสั่งดังกล่าวนี้ฮุกุ่มของมันคือ ส่งเสริมให้กระทำเท่านั้นไม่ใช่วาญิบ หากไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปทางนั้น ดังนั้นคำสั่งใช้ของท่านนบี ฮุกุ่มของมันคือวาญิบ และการละทิ้งสิ่งที่วาญิบคือฮะรอม
3.นี่คือการกระทำและความเข้าใจศาสนาของบรรดาศอฮาบะ ตาบีอีน และสลัฟ
4.เราไม่ได้สักการะต่ออัลลอฮฺด้วยกับการแสวงทัศนะที่ง่ายๆของอุลามา โดยไม่สนใจหลักฐาน เป็นมันเป็นบาปใหญ่
----------
ประการถัดมา : การทำงานที่ฮะรอม หรือสภาพแวดล้อมที่ฮะรอม ไม่อนุญาตให้กระทำ นอกจากจะถูกพิจารณาเป็นกรณีพิเศษดังต่อไปนี้
1.พิจารณาว่างานนั้น จำเป็นที่มุสลิมจะต้องเข้าไปไหม เพื่อผู้ที่เป็นมุสลิมที่อยู่ในหน้าที่นั้นๆ จะได้ปกป้องผลเสียที่เกิดขึ้นกับบรรดามุสลิม หรือเข้าไปทำงานนั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือลดหย่อนความชั่วร้ายในงานนั้นให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ก็มาจากหลักการทางฟิกฮฺที่ว่า เมื่อ 2 ความเสียหายมาประจบกัน(โดนหลีกเหลี่ยงไม่ได้นอกจากจะต้องเลือกทำสักอย่าง) ก็ให้เลือกสิ่งที่เบากว่า ซึ่งกฎข้อนี้ก็ถูกถอดความมาจากกุรอานและซุนนะ ซึ่งหลักฐานมีมากมาย
2.หากงานๆนั้น ไม่ได้อยู่ในกรณีที่จะช่วยเหลือสังคมมุสลิมได้ ก็ให้กลับมาพิจารณาถึงสภาพของตนเองว่า ถ้าเราทิ้งงานนี้ไป จะเดือดร้อนกับตัวเราเองและคนที่เราเลี้ยงดูอยู่หรือไม่? เราสามารถหางานอื่นได้หรือไม่? ถ้าหางานอื่นได้ ก็ฮะรอมที่จะทำงานนี้ แต่ถ้าหางานอื่นไม่ได้ และมีอยู่งานนี้งานเดียวที่เพียงพอกับตัวเราและคนที่เราเลี้ยงดู ก็อนุญาตให้ทำงานนี้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากเราอยู่ในสภาวะที่คับขันที่ศาสนาอนุญาตให้ทำในสิ่งที่ฮะรอมได้ ดังปรากฎในซูเราะอัลอันอาม อายะที่ 119 แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ภาวะความยากลำบากนี้หมดไปแล้ว งานที่ฮะรอมนั้น ฮุกุ่มของมันก็กลับมาสู่ฮุกุ่มเดิม นั่นก็คือฮะรอม
3.ถูกบังคับในงานนั้นๆ หรือกลัวว่าจะถูกลงโทษ หรือถูกขู่ขาดโทษที่รุนแรง ทั้งนี้ไม่ใช่การคาดคะแนแบบเลื่อนลอย แต่คือการมั่นใจอย่างมีน้ำหนักว่าจะถูกทำร้ายอย่างจริงจัง ก็อนุญาตให้ทำงานที่ฮะรอมนั้นๆได้ ดังที่ปรากฎในซูเราะอันนะฮฺ อายะที่ 106 แต่ถ้าบางอย่างที่ถูกลงโทษ แบบไม่รุนแรงก็ไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ในฟัตวาของเชคเฟาซาน ท่านไม่อนุญาตให้โกนเคราแม้ในประเทศที่จะจับคนโกนเคราเข้าคุกก็ตาม เพราะถ้าเขาจับเข้าคุก ถ้าตัวเราไม่ได้ทำผิดอะไร เขาก็จะปล่อยเราออกไปในท้ายที่สุด และเราติดคุกไม่นาน แต่หากว่าถูกขังคุกนานๆเพราะโกนเครา เช่นนี้ ก็เป็นที่อนุญาตสำหรับเขาแล้วที่จะโกนเคราได้ เหล่านี้คือหลักคร่าวๆ ในการอนุญาตตามหลักการศาสนาให้ทำงานที่ฮะรอม หรือ ทำสิ่งที่ฮะรอม ในบางสภาพการณ์
--------
ประการถัดมา : เรามาเข้าประเด็นปัญหาของเรา ณ ที่นี้ ผู้ตอบจะเริ่มวิเคราะห์จากอาชีพทหารก่อน หลังจากนั้นจะกล่าวถึงอาชีพตำรวจ เราจะเริ่มจากกองทัพทหารในประเทศมุสลิม อุลามาฝั่งหนึ่ง เช่น เชคอุซัยมีนกล่าวว่า ถ้าไม่มีคนดีๆเข้าไปอยู่ในกองทัพ ก็จะมีคนชั่วๆ อยู่ในกองทัพแทนที่คนดีๆ และมันก็จะมีแต่ความเลวร้าย และถ้าคนดีเข้าไปอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือลดหย่อนความชั่วลงได้ และท่านก็ยกฟัตวาของชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะบางฟัตวา ว่าท่านอนุญาตให้ทำงานที่ฮะรอมบางงานที่อธรรมต่อผู้คนทางด้านการเงิน ทั้งนี้เป้าหมายการเข้าไปคือลดหย่อนความชั่วร้าย แต่ท้ายที่สุดแล้วเชคอุซัยมีนก็ไม่ยอมออกคำฟัตวา ท่านบอกว่าท่านสับสนกับประเด็นปัญหานี้อยู่ อุลามาอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนมากของบรรดาอุลามาสลาฟี่ เพียงแค่ในกองทัพให้มีการโกนเคราพวกท่านเหล่านั้นก็ไม่อนุญาตให้ทำงานในกองทัพแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพในประเทศมุสลิมก็ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ฮะรอมเช่น การเคารพธงชาติ การเอารูปแบบ วิธีคิดของศัตรูอิสลามมาใช้ เช่นกฎหมายกาเฟร
ส่วนถ้าใครกล่าวว่า ถ้าคนดีๆมีอีหม่านไม่ยอมเสียสละเข้าไปอยู่ในกองทัพ(โดยทำบาปด้วย เช่น โกนเครา) ชาวบิดอะ และคนชั่วๆทั้งหลาย หรือคนชั่วที่มีแนวคิดแหวกแนวออกจากอิสลามไป จะเข้ามาแทนที่คนดีในกองทัพ บรรดาอุลามากลุ่มนี้ก็จะตอบกลับว่า การฟื้นฟูอิสลามจะต้องเริ่มด้วยกับเตาฮีดและการไม่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ ดังเช่นตามหลักฐานทางกุรอานได้บอกไว้ และแนวทางของท่านนบี และแนวทางของบรรดาบรรพชน การที่ในกองทัพมีความชั่วร้าย จะทำให้อัลลอฮฺไม่ช่วยเหลือ(ดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ในกุรอาน) และอิสลามที่ถูกต้องจะไม่ถูกแผ่ไปบนหน้าแผ่นดิน ดังนั้นการฟื้นฟูประชาชาติอิสลามจะมาด้วยกับ การเรียนรู้อิสลามที่ถูกต้อง และการเผยแผ่ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่การเข้าไปในกองทัพที่มีการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ มุสลิมปราศชัยในสงครามอุฮุด เพียงเพราะการฝ่าฝืนเพียงครั้งเดียว แล้วนับประสาอะไรกับกองทัพในปัจจุบันที่มีการฝ่าฝืนที่มากมาย ดังนั้นการเข้าทำงานในกองทัพประเทศมุสลิมที่ค้านกับคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺจึงไม่เป็นที่อนุญาต ซึ่งผู้ตอบก็ยังคงสับสนกับมัสอาละนี้อยู่ ในเรื่องการทำงานในกองทัพมุสลิมที่มีการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ แต่ที่ปลอดภัยแล้ว ก็อย่าเข้าไป
---------
ประการถัดมา : เรามาวิเคราะห์ดูว่า ในกองทัพไทยมีอะไรบ้างที่ฮะรอม เท่าที่ผู้ตอบได้สอบถามจากหลายๆคน ผู้ตอบเรียบเรียงมาได้ประมาณนี้
1.การเข้าไปเป็นทหารในกองทัพไทย ถ้ามันหมายถึง การปกป้องระบอบการปกครองของกาเฟร เช่นนี้ไม่เป็นที่อนุญาตอย่างมติเอกฉันท์
2.ในกองทัพไทยมีหลายเหตุการณ์ที่เราจะต้องให้ความยิ่งใหญ่กับสิ่งที่ไม่สมควรจะมีใครได้รับนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น เช่น การให้ความยิ่งใหญ่กับตอฆูต
3.การร่วมพิธีกรรมทางศาสนา หรือ การร่วมพิธีกรรมเชิดชูตอฆูต โดยที่เราต้องร่วมอยู่ในพิธีกรรมนั้นด้วยถึงแม้จะไม่ได้พนมมือไหว้ก็ตาม ก็ฮะรอมเช่นกัน เพราะเป็นร่วมอยู่ในวงเดียวกัน ขณะที่มีชิริกเกิดขึ้น
4.มีการปฏิญาณตน ซึ่งผู้ตอบไม่แน่ใจว่า เป็นการปฏิญาณตนจะหมายถึงปกป้องระบอบกาเฟรหรือตอฆูตหรือป่าว
5.มีมะศียัตต่างๆ ถ้าหากเป็นเกณฑ์ทหาร ก็จะเลยเวลาละหมาดซึ่งเป็นเสาหลักของศาสนา การเปลือยกายอาบน้ำ การโกนเคราและอื่นๆ หากว่าผู้ถามมีอาชีพเป็นทหาร เราขอตอบว่า ท่านจงสละสิ่งหนึ่งเพื่ออัลลอฮฺ และพระองค์จะทดแทนสิ่งที่ดีกว่าแก่ท่าน เช่นนี้คือคำตอบที่ผู้ตอบจะตอบผู้ถาม เป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ถามเท่านั้น หากว่าผู้ถามคาดว่าตนเองไม่สามารถเติบโตเป็นระดับนายพลได้ หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกองทัพหรือไม่สามารถช่วยเหลือมุสลิมอะไรเป็นพิเศษได้ ถ้าตัวผู้ถามอยู่ในกองทัพ ส่วนคำตอบระดับสังคม ผู้ตอบคงให้คำตอบไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าบรรดาผู้รู้ต้องมาปรึกษาหารือกันว่า จะมีผลดีผลเสียอย่างไร หากสังคมเราไม่อนุญาตให้มุสลิมเข้าไปเป็นทหาร แต่แน่นอนว่า อุลามาที่ห้ามเข้าไปเป็นทหารในประเทศกาเฟรเลยมีแน่นอน และเราก็ยังไม่แน่ใจว่าต่อให้คุณเล่งเห็นว่า การที่คุณเข้าไปทำงานจะทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อสังคมมุสลิม เราก็ยังไม่แน่ใจว่า การคาดการณ์เช่นนี้จะทำให้อาชีพทหารเป็นที่อนุญาตตามหลักการศาสนาหรือไม่ เพราะในกองทัพไทยมีที่สิ่งที่ฮะรอมมากมายเหลือเกิน ท้ายที่สุดแล้วเราขอให้คำตอบว่า ถ้าผู้ถามเล็งเห็นว่าตัวเองไม่สามารถไต่ระดับถึงขั้นผู้บังคับบัญชาระดับสูง ผู้ตอบเห็นว่า อย่าทำงานนี้(ต้องคำนึงว่าพื้นฐานของอาชีพนี้ฮะรอม) แต่ถ้าผู้ถามสามารถไต่ระดับถึงขั้นสูงได้ เราขอไม่ให้คำตอบในเรื่องนี้(แต่อย่างไรก็ตามผู้ถามต้องคำนึงว่า โดยพื้นฐานของอาชีพนี้ในประเทศไทย มันฮะรอม) และเราจะเสริมอีกอย่างว่า ทางผู้ตอบมีเพื่อนที่เรียนอยู่มาดีนะฮ์ ซึ่งเพื่อนได้มีโอกาสถามเชคที่นั่นเกี่ยวกับเรื่องการให้สินบนเพื่อหนีเกณฑ์ทหารสำหรับมุสลิมในประเทศไทย เชคตอบว่า ให้เลือกให้สินบน ทั้งนี้เพราะเป็นการทำสิ่งที่ชั่วน้อยกว่าในยามที่เราไม่สามารถหลีกหนีความชั่วทั้งสองสิ่งได้
------
ประการถัดมา : ถ้าเป็นงานตำรวจ โดยพื้นฐานของงานนั้น ถ้าเป็นไปเพื่อรักษาความยุติธรรม ขจัดความชั่วร้ายแล้ว งานนั้นก็เป็นที่อนุญาต เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกๆสังคมต้องมี มันคือวาญิบสำหรับสังคมนั้นๆที่จะต้องขจัดความชั่วในสังคม แต่หากว่าอาชีพนี้เป็นไปเพื่อรักษาระบอบการปกครองของกาเฟร เช่นนี้ก็ไม่เป็นที่อนุญาต และสมมุติว่า การเข้าทำงานในกรมตำรวจของคุณอยู่ในส่วนที่ขจัดความชั่วร้ายในสังคมเท่านั้น(เช่นกองปราบปรามยาเสพติด) โดยพื้นฐานเดิมสิ่งนี้ก็เป็นที่อนุญาต(เพราะไม่ใช่ศาลที่ต้องตัดสินปัญหาโดยใช้กฎหมายอื่นจากกฎหมายของอัลลอฮฺ) แต่คำถามต่อมาคือ คุณสามารถหลีกหนีจากกุฟุรต่างๆ ที่เราได้กล่าวไปแล้วหรือไม่ ว่ามีอะไรบ้างในกองทัพไทย ถ้าหลีกหนีได้หมด งานนั้นก็มีโอกาสเป็นที่อนุญาต โดนคุณจะต้องไม่โกนเครา ทั้งนี้ก็ให้ผู้ถามพิจารณาถึงกฎการอนุญาตให้ทำงานที่ฮะรอม 3 ข้อที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อันที่จริงแล้วอุลามาส่วนหนึ่งก็ได้ฟัตวาว่า ห้ามทำงานในกรมตำรวจประเทศมุสลิมที่มีการฝ่าฝืน เพราะในนั้นมีการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺอยู่ เช่นการโกนเครา และริสกีของอัลลอฮฺนั้นกว้างขวาง อัลลอฮฺซุบฮานะฮุวะตะอาลาตรัสว่า “ผู้ใดที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พระองค์ก็จะให้ทางออกแก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขาไม่ได้คาดคิด และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้เพียงพอแก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงบรรลุในกิจการงานของพระองค์โดยแน่นอน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น อัลลอฮฺทรงกำหนดกฏสภาวะไว้แล้ว”
วัลลอฮุอะลัม
Q.17 อยากทราบขอบเขตของคำว่านินทา และการเล่าเรื่องของคนอื่น
- ในกรณีที่เราเล่าเรื่อง(เรื่องทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดี)ของคนที่เรารู้จัก ให้กับเพื่อนของเราฟัง โดยที่เพื่อนไม่ได้รู้จักคนคนนั้น อย่างนี้ถือเป็นการนินทาไหม
- หรือ หากเราเล่าเรื่องของคนในครอบครัวเรา เช่น เรื่องของพี่น้อง เรื่องของป้า ของน้า ของอา ให้กับเพื่อนฟัง โดยบอกว่า น้า,อา,ป้า เราทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ซึ่งเพื่อนรู้แค่ว่าเป็นน้า เป็นอา แต่ไม่ได้รู้ว่า น้าหรืออานั้นคือคนไหน ไม่ได้รู้จักหรือเคยเห็นหน้าตากัน) เช่นนี้ถือเป็นการนินทาไหม
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - การนินทาคือการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 ในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่จะมีบางสถานการณ์ที่บรรดาอุลามาอ์ได้กล่าวไว้ถึงการอนุญาตให้กล่าวถึงบุคคลที่ 3 ในสิ่งที่เขาไม่ชอบ โดยที่บางสถานการณ์เป็นมติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามาอ์ว่าอนุญาตให้กระทำได้ หรือบางสถานการณ์ถึงขั้นวาญิบต้องพูด และบางสถานการณ์มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาอ์
.
- ส่วนการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 โดยระบุตัวตนว่าเขามีสถานะเป็นอะไรกับเรา แต่ผู้ฟังไม่รู้ว่าตัวคนๆนั้นคือใคร เช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการนินทา เช่นกล่าวถึงสามีหรือภรรยาของเรา โดยที่ผู้ฟังไม่มีโอกาสจะได้รู้จักเลยว่าสามีหรือภรรยาของเราเป็นใคร เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการนินทา เพียงแต่การกล่าวถึงบุคคลที่ 3 ที่ไม่เป็นที่รู้จักในทางที่ไม่ดีนั้น ก็ให้อยู่ภายใต้มารยาทอันดีงาม
.
และในทางกลับกัน การกล่าวถึงบุคคลที่ 3 โดยไม่กล่าวชื่อ แต่รู้กันว่าคือใคร ก็นับว่าเป็นการนินทา
วัลลอฮุอะลัม
Q.18 สลามครับ ผมมีคำถามที่ยังตอบกับตัวเองไม่ได้ และยังหาคำตอบไม่เจอครับ
คำถามคือ ผมนั้นมีความคิดอยากจะเรียนต่อ ป.โท ด้านสาธารณสุข เเต่ติดปัญหาตรงที่ว่า ถ้าเรียนเเล้วเพื่อไม่ให้มันเสียโอกาสได้รับผลบุญ ผมไม่รู้จะนิยัตว่าอย่างไรให้เป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ เพื่อศาสนา เพราะอีกด้าน ผมก็อยากเรียนศาสนามาก ถึงขั้นอยากลงเรียนภาษาเพื่อจะได้อ่านตำราเข้าใจ ประเด็นคือ ผมหาจุดสมดุลไม่ได้ว่าควรจะเอาอันไหนก่อน ขอคำเเนะนำด้วยครับ
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - การเรียนหรือทำงานอาชีพหนึ่งที่ไม่ใช่งานศาสนาโดยตรง ถ้าหากว่างานนั้นเป็นงานที่สังคมมีความต้องการ และสังคมมุสลิมขาดมันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นอาชีพหมอ วิศวกร หรือเช่นเดียวกัน อาชีพทางด้านสาธารณสุข และเป็นความรู้ที่สังคมกำลังขาดนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ งาน ๆ นั้นก็จะกลายเป็น "ฟัรฎูกิฟายะ(สิ่งจำเป็นที่สังคมต้องมีและถ้าไม่มีคนในสังคมจะได้รับบาปทั้งหมด)" และหากผู้เรียนมีเจตนาเพื่ออัลลอฮฺ และเจตนาเพื่อช่วยเหลือสังคมเพื่ออัลลอฮ์ การเรียนและการทำงานสายนั้นก็นับเป็นผลบุญที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นการทำงานศาสนารูปแบบหนึ่งเช่นกัน
.
ส่วนงานที่ไม่ได้เป็นฟัรฎูกิฟายะ ฮุกุ่มสำหรับงาน ๆ นั้นก็คือมุบาฮฺ แต่ทว่าสิ่งที่เป็นมุบาฮฺสามารถกลายเป็นอิบาดะได้ หากเราเจตนาเพื่อช่วยเหลือมุสลิม และเจตนาเพื่อใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ
.
แต่ถ้าหากผู้ถามมีความสามารถแบ่งเวลาสำหรับเรียนรู้ศาสนาและเรียนสามัญเข้าด้วยกันมันก็เป็นสิ่งที่ดีมาก(และจำเป็นต้องทำหากตัวเรานั้นไม่มีความรู้ศาสนาพื้นฐานเลย) โดยความรู้ชุดแรกของการเรียนศาสนาที่เราแนะนำอยากให้ผู้ถามเรียน และแบ่งเวลาควบคู่ไปกับการเรียนสามัญ คือ
.
"ความรู้ศาสนาที่เป็นฟัรดูอีน" คือ ความรู้ที่ไม่มีจะข้อแม้ ณ ที่อัลลอฮ์หากเราไม่มีความรู้จะต้องได้รับบาป ซึ่งเป็นภาระรายบุคคลที่จะต้องมีความรู้ชุดนี้และไม่สามารถรับหรือแทนกันได้ ซึ่งขอบเขตของความรู้ที่เป็นฟัรดูอีนนั้นก็คือความรู้ในสิ่งที่เป็นวาญิบที่อัลลอฮ์สั่งในเราทำ
.
เช่น ถ้าอัลลอฮ์บอกว่าการละหมาดเป็นวาญิบ การมีความรู้ในเรื่องการละหมาดก็เป็นวาญิบที่จะต้องรู้เช่นกัน โดยผู้เรียนอาจเริ่มจากการเรียนรู้หลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ / เตาฮีด / ชิกร์ / ข้อกำหนดและสั่งใช้ต่างๆในเรื่องละหมาด,ถือศีลอดและอื่นๆที่เป็นวาญิบ เป็นต้น ในกรณีที่ผู้ถามยังไม่มีความรู้เหล่านี้หรือไม่แน่นพอ(ในกลุ่มการเรียนรู้มุนาดิยา ทางเราได้สอนในความรู้ที่เรียกว่า “ฟัรดูอีน” ในเรื่องความเชื่ออยู่พอสมควร เช่น หนังสืออะกีดะตุตเตาฮีด หนังสืออุซูลซะลาซะ เป็นต้น) ดังนั้นในขณะที่ผู้ถามทำการศึกษาแบบสามัญอยู่นั้น ผู้ถามก็จำเป็นต้องแบ่งเวลามาเรียนความรู้ชุดนี้ด้วยแต่ไม่ต้องไปหักโหมให้เรียนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามความสามารถที่มี พร้อมเจตนาที่บริสุทธิ์ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์และทำมันอย่างเต็มความสามารถ ขออัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือผู้ถามให้ประสบความสำเร็จทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ครับ
วัลลอฮุอะลัม
Q.19 อธิบาย กฏمراعاة الخلاف โดยสังเขปหน่อยครับ จะใช้ได้เมื่อไหร่อย่างไร
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - คำว่า “มุรออาตุลคิลาฟ” ตามศัพท์หมายถึง การคำนึงหรือพิจารณาถึงความเห็นต่าง
กล่าวคือ ให้พิจารณาหลักฐานของฝ่ายตรงข้ามด้วย เมื่อจะออกคำฟัตวา หรือจะปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม
คำว่า “มุรออาตุลคิลาฟ” ถูกใช้ใน 2 ความหมาย
.
ความหมายที่ 1 : “มุรออาตุน กุลลียะฮฺ” ความหมายของมันคือความหมายเดียวกับ
الخروج من الخلاف
“อัลคุรูญุ มินัล คิลาฟ”
นั่นก็คือ การออกจากคิลาฟ
ยกตัวอย่างเช่น การที่เรื่องๆหนึ่งมีความเห็นของบรรดาอุลามาว่าคือ วาญิบหรือมุบาฮฺ แน่นอนว่าที่ปลอดภัยคือ ให้เลือกทัศนะที่เป็นวาญิบ เพราะจะได้ปลอดภัย และตัวเราจะได้บริสุทธิ์จากบาป เพราะไม่ว่าทัศนะไหนของบรรดาอุลามา เราก็ทำสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
ส่วนศัพท์คำว่า “มุรออาตุน กุลลียะฮฺ” จะใช้ในมัสฮับมาลีกีย์ ส่วนมัสฮับอื่นๆจะเรียกว่า “การออกจากคิลาฟ” ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มีความหมายเดียวกัน ฮุกุ่มของมันคือ ส่งเสริมให้กระทำ(มุสตะฮับ)
..
ความหมายที่ 2 : “มุรออาตุน ยุซอียะ” กฎเกณฑ์นี้ ส่วนมากจะใช้กันในมัสฮับมาลีกีย์ ซึ่งอิหม่ามมาลิกเป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์นี้ โดยวินิฉัยจากการกระทำบางอย่างของท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยวะซัลลัม ซึ่งอุลามาในมัสฮับอื่นๆจะไม่ใช้กัน
คำว่า “มุรออาตุน ยุซอียะ” หมายถึง คำนึงถึงหลักฐานของฝั่งตรงข้ามบางส่วน ประกอบกับหลักฐานของฝั่งเราเองที่ตัดสินไปแล้ว และนำทั้งสองคำตัดสินมารวมกัน หรือมาบาลานซ์กัน ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกมัสอาละจะใช้กฎเกณฑ์นี้ได้ ท่านอิหม่ามมาลิกเอง บางมัสอาละท่านก็ใช้กฎเกณฑ์นี้ และบางมัสอาละท่านก็ไม่ได้ใช้
ซึ่งมันมีเงื่อนไขการใช้กฎเกณฑ์ข้อนี้ดังต่อไปนี้
1.ผู้ที่ใช้มันได้ต้องเป็นมุจตะฮิด(นักวินิฉัยปัญหาศาสนา)
2.ต้องมีหลักฐานฝั่งของเราเองในการตัดสินด้วย ไม่ใช่ว่าเลือกทัศนะของฝั่งตรงข้ามโดยไม่คำนึงถึงทัศนะของฝั่งเราเลย
3.สมมุติมัสอาละหนึ่งมี 4 ทัศนะ ไม่ว่าเราจะพยายามบาลานซ์อย่างไร มันก็จะไปค้านกับอีกทัศนะหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ ไม่อนุญาตให้ใช้กฎ مراعاة الخلاف
4.หลักฐานฝั่งตรงข้ามต้องมีน้ำหนัก
5.ต้องไม่เกิดทัศนะใหม่ขึ้นมา เช่น เราพยายามบาลานซ์ทั้ง 3 ทัศนะ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ไม่เหมือนใครเขาเลย ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าค้านอิจมา
วัลลอฮุอะลัม
Q.20 มีปัญหากับเพื่อนในเรื่องนิสัยส่วนตัวของเพื่อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เคยคุยกันหลายต่อหลายครั้ง หากเราเลือกที่จะทิ้งระยะห่างทางความสัมพันธ์ จะเป็นการกระทำที่ถูกหรือผิดในทางศาสนา และควรมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรต่อปัญหานี้ (เรื่องที่มีปัญหาไม่ได้ผูกโยงในทางศาสนา แต่เป็นเรื่องที่นิสัยส่วนตัวที่เข้ากันไม่ได้)
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - ผู้ตอบไม่ทราบในรายละเอียด ความขัดแย้งระหว่างผู้ถามกับเพื่อนว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ซึ่งตามหลักการศาสนาก็มีการแบ่งแยกประเภทต่าง ๆ และวิธีการปฏิบัติในกรณีที่แตกต่างกัน
.
กรณีที่ 1 - ถ้าหากเพื่อนผู้ถาม เป็นผู้ที่ใช้คำรุนแรง หรือพูดเสียดแทงจิตใจอยู่สม่ำเสมอ(หรือมีนิสัยที่ทำให้ผู้ถามเสียใจ, ไม่สบายใจหรือลำบากใจ) ก็ถือว่าสอดคล้องกับรายงานมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการที่ว่า อนุญาตให้ถอยห่างจากเพื่อนคนนี้ ในเรื่องที่เขาทำให้เกิดผลเสียกับเรา ไม่ว่าจะในมุมของดุนยา หรือในมุมของศาสนาก็ตาม ซึ่งใช้คำว่า الهجر “อัลฮัจรฺ” และการกระทำนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับคำพูดของท่านนบีที่ว่า ห้ามละทิ้งหรือออกห่างจากพี่น้องของเขาเกิน 3 วัน
.
กรณีที่ 2 - หากเพื่อนผู้ถามไม่ได้มีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อด้านดุนยาของผู้ถาม หรือไม่ได้มีนิสัยด่าทอ เช่นนี้ก็จะสอดคล้องกับคำพูดของท่านนบีที่ว่า ห้ามออกห่างหรือละทิ้งพี่น้องของเขาเกิน 3 วัน แต่หากผู้ถามไม่ชอบอะไรบางอย่างในตัวเพื่อน การไม่ชอบนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด การให้สลามและการทักทายกันเล็กน้อย ก็ไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งพี่น้องตามฮะดีษของท่านนบี ผู้ถามอาจจะลดการพบปะให้น้อยลง(ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์แค่เพิ่มระยะห่างให้มากขึ้น จากคนสนิทอาจเปลี่ยนเป็นคนรู้จัก) เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ให้จำไว้ว่า การให้อภัยจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเกียรติให้วันกิยามะฮ์
.
ในอีกกรณีหนึ่ง อยากให้ผู้ถามรับทราบไว้ว่า การให้อภัยในทุกกรณี หรือให้อภัยในทุกๆเรื่องอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่สิ่งที่สอดคล้องกับหลักการศาสนา กล่าวคือหากเรื่องไหนที่เราให้อภัย และมันนำมาสู่ความต่ำต้อย หรือนำมาสู่การอธรรมที่เพิ่มเติม หรือมีผลเสียที่มากกว่า เช่นนี้จะเข้าอายะกุรอานที่ว่า ให้เอาคืน ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลเสียต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และอิสลามคำนึงถึงสิทธิ์ของทุกคนและยุติธรรมต่อทุกๆฝ่าย
.
ส่วนการออกห่างจากเพื่อน หากเขาเป็นคนที่สร้างผลเสียให้กับผู้อื่นอยู่บ่อยๆ และเราเล็งเห็นว่าการออกห่างจากเพื่อนนั้น จะทำให้เขาสำนึก และเลิกทำสิ่งไม่ดีที่เขาทำอยู่ เช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักการศาสนา ทั้งนี้ต้องช่างน้ำหนักผลดีและผลเสีย
วัลลอฮุอะลัม
Q.21 อ่านกุรอ่านให้คนตาย เป็นปัญหาคิลาฟจริงไหม? แค่ตัวการอ่านกุรอ่านให้คนตาย เป็นปัญหาคิลาฟจริงไหม? แล้วถ้ามีช่องอนุโลมจริง ๆ กรณีที่ทำในประเทศไทยถือว่าเข้าข่ายหรือไม่ อย่างไร?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - การอ่านกุรอานให้คนตายเป็นความเห็นต่างของบรรดาอุลามาอะลิซซุนนะ ว่าผลบุญจะถึงผู้ตายไหม ถ้าอ่านในเชิงที่ไม่ใช่บิดอะฮ์(หมายถึง อ่านกุรอานตามปกติที่เราอ่าน และตั้งเจตนาว่าให้ผลบุญนี้แก่ผู้ตาย) ส่วนการอ่านในเชิงที่บิดอะ เช่น การอ่านกุรอานพร้อมกัน(การอ่านพร้อมกันจะอนุโลมในกรณีที่เป็นการเรียนการสอน) การอ่านกุรอานพร้อมกันในสถานการณ์ปกติถือเป็นบิดอะ
ส่วนในประเทศไทย หากมีการเจาะจงซูเราะหนึ่งซูเราะฮ์หนึ่ง วันที่ถูกอ่าน จำนวนรอบที่อ่านโดยไม่มีหลักฐานสิ่งนั้นก็ถือเป็นบิดอะฮ์(เช่น ลักษณะที่ทำกันที่ถูกเรียกว่า อิซิกุโบร)
ส่วนการอ่านกุรอานที่กุโบรเป็นบิดอะฮ์เช่นกัน ตามคำฟัตวาของนักวิชาการซุนนะฮ์
วัลลอฮุอะลัม
Q.22 อะไรคือเกณฑ์การแบ่งประเภทของชิริก ว่าสิ่งนี้เป็นชิริกใหญ่ และสิ่งนี้เป็นชิริกเล็ก?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - ชิริกใหญ่คือการทำให้สิ่งหนึ่งเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ หรือมีหุ้นส่วนในเรื่องต่าง ๆ / ชิริกเล็กคือ สิ่งต่างๆที่เป็นสื่อไปสู่ชิริกใหญ่ แต่สิ่งนั้นยังไม่นับว่าเป็นการนำสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ
.
ชิริกใหญ่จะทำให้ผู้ปฏิบัติมันสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมส่วนชิริกเล็กยังไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติมันสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม และสองคำอธิบายนี้จะกระจ่างมากขึ้นได้ก็ด้วยกับการยกตัวอย่าง
.
ตัวอย่างของชิริกใหญ่ เช่น การทำชิริกใหญ่ต่ออัลลอฮฺในเรื่องของนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ เช่น เรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งด้วยกับนามของอัลลอฮฺ โดยเจาะจงว่าอัลลอฮฺและสิ่งๆนั้น คือชื่อเดียวกัน
หรือบอกว่าสิ่งๆหนึ่งมีคุณลักษณะเช่นเดียวกับอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์มี หรือชิริกใหญ่ในเรื่องของการอิบาดะ เช่น การถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดในเรื่องอิบาดะ ให้กับสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ เช่นการวิงวอนขอดุอา การละหมาดเป็นต้น หรือเชื่อว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการบัญญัติหลักการศาสนานอกจากอัลลอฮฺ โดยทำการอนุญาตในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม และทำการห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุญาต เป็นต้น
.
ส่วนตัวอย่างในเรื่องของชิริกเล็ก ที่นับว่าเป็นสื่อไปสู่ชิริกใหญ่ แต่ยังไม่นับว่าตัวของมันคือการนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ เช่น การสาบานต่ออื่นนอกจากอัลลอฮฺ หรือดังเช่นการกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เกิดสิ่งนี้และคุณก็ประสงค์สิ่งนี้ด้วย” แน่นอนว่าผู้พูดไม่ได้หมายถึง คุณเป็นผู้กำหนดด้วย แต่การพูดของเขามันผิด อาจจะทำให้เข้าใจผิด และเป็นสื่อไปสู่ชิริกใหญ่
ดังนั้นวิธีการพูดที่ถูกต้อง คือ “อัลลอฮฺเป็นเพียงผู้เดียวที่ประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์นี้” หรือกล่าวว่า “อัลลอฮฺเป็นผู้ที่ประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์นี้หลังจากนั้นท่านจึงมีความประสงค์”
.
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งของชิริกเล็กคือ การโอ้อวดในการทำอิบาดะฮฺ ที่หลักการศาสนานับว่าสิ่งนี้เป็นชิริกเล็กเนื่องจากพื้นฐานเดิมของการอิบาดะมันคือการถวายให้แด่อัลลอฮฺ แต่มันมีการเจือปนในการอิบาดะนั้น คือผู้ทำอิบาดะต้องการได้รับคำชมเชยจากผู้คน ซึ่งพื้นฐานเดิมของอิบาดะตัวนี้ เขาถวายให้แด่อัลลอฮฺ
.
และอีกตัวอย่างหนึ่ง เราจะยกมาเพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างชิริกใหญ่กับชิริกเล็กมากขึ้น นั่นคือ
การสาบานต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ นับเป็นชิริกเล็ก
ส่วนการบนบานต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ นับเป็นชิริกใหญ่
.
ที่การสาบานต่อสิ่งอื่นเป็นชิริกเล็กเพราะมันเป็นเพียงการสาบานและการเทิดเกียรติสิ่งที่ถูกสาบานเท่านั้น โดยที่ยังไม่ได้มีการอิบาดะมาเกี่ยวข้อง แต่ตัวมันเป็นสื่อไปสู่ชิริกใหญ่ได้
ส่วนการบนบานต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ ที่ถูกนับเป็นชิริกใหญ่ เนื่องจากการบนบานนั้นมีการอิบาดะเข้ามาเกี่ยว เช่น
เราบนบานต่อโต๊ะวลีคนหนึ่ง(ซึ่งการบนบานนี้จะต้องมีการอิบาดะมาเกี่ยวข้อง)
เรากล่าวว่า ถ้าฉันหายป่วย ฉันจะทำการเชือดแพะให้แก่โต๊ะวลี เป็นต้น
.
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งการแขวนตะกรุด หากว่าแขวนตะกรุดโดยเชื่อว่าสิ่งๆนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้อัลลอฮฺประทานความดีงามต่างๆมาให้ จะได้รับสิ่งดีๆเนื่องจากการแขวนตะกรุดนี้ สิ่งนี้ถือว่าเป็นชิริกเล็ก
เพราะเขายังเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การกำหนดของอัลลอฮฺ แต่การกระทำของเขามันเป็นสื่อไปสู่ชิริกได้ และเนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานทางศาสนาที่บอกว่าตะกรุด เป็นสาเหตุว่าจะช่วยรักษาอะไรได้ ด้วยกับเหตุนี้ท่านนบีจึงห้ามแขวนของพวกนี้ แต่หากเขาเชื่อว่าตะกรุดตัวนี้สามารถทำให้เขาปลอดภัยได้ เนื่องจากอำนาจของตะกรุดเอง โดยที่อัลลอฮฺไม่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้ถือว่าเป็นชิริกใหญ่ เพราะการกำหนดความเป็นไปต่างๆไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นจากการกำหนดของอัลลอฮฺ แต่ ณ ที่นี้เขาเชื่อว่าตะกรุดมีอำนาจในการให้โชคลาภ ซึ่งถือว่ามันถูกทำให้เป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮฺ
.
หรืออีกตัวอย่างที่นักวิชาการได้กล่าวไว้ ในเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด
หากเชื่อว่ากฎนี้มีอำนาจด้วยกับตัวมันเอง ก็ถือว่าเป็นชิริกใหญ่ แต่หากเชื่อว่าตัวมันเป็นเพียงสาเหตุเท่านั้น
สิ่งนี้ถือเป็นชิริกเล็ก
วัลลอฮุอะลัม
Q.23 อธิบายฮะดีษที่ว่า “ประชาชาติของฉันทั้งหมดล้วนเป็นผู้ได้รับการอภัย นอกจากผู้ที่กระทำความผิดอย่างเปิดเผย “ หากว่า คน ๆ หนึ่งได้กระทำความผิดอย่างเปิดเผยไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ หากเขาสำนึกผิดและเตาบัตด้วยความเสียใจจริงๆ การเตาบัตของเขาจะถูกตอบรับหรือไม่?
.
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - อันที่จริงแล้วฮะดีษที่ยกมานั้น มีความเข้าใจได้หลายแบบ และก่อนที่จะไปสู่ความเข้าใจต่างๆ เราก็ต้องเข้าใจในตัวคำศัพท์ก่อน แต่ก่อนที่เราจะเข้าการอธิบายฮะดีษ อยากให้ทราบก่อนว่าไม่มีบาปใดที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้ ไม่ว่าบาปนั้นจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม หากบ่าวขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺในดุนยานี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
.
۞ قُلْ يَا عِبَادِيَ الَّذِينَ أَسْرَفُوا عَلَىٰ أَنفُسِهِمْ لَا تَقْنَطُوا مِن رَّحْمَةِ اللَّهِ ۚ إِنَّ اللَّهَ يَغْفِرُ الذُّنُوبَ جَمِيعًا ۚ إِنَّهُ هُوَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย! บรรดาผู้ละเมิดต่อตัวของพวกเขาเอง พวกท่านอย่าได้หมดหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอภัยความผิดทั้งหลายทั้งมวล แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
(ซูเราะหฺอัซซุมัร - ๕๓)
.
แต่หากว่าเขาตายไปในสภาพที่ทำชิริก โดยที่ไม่ได้เตาบัตก่อนตาย ไม่ได้เตาบัตในโลกดุนยานี้ เขาก็จะไม่ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ อัลลอฮฺ ตรัสว่า
.
إِنَّ اللَّهَ لَا يَغْفِرُ أَن يُشْرَكَ بِهِ وَيَغْفِرُ مَا دُونَ ذَٰلِكَ لِمَن يَشَاءُ ۚ وَمَن يُشْرِكْ بِاللَّهِ فَقَدِ افْتَرَىٰ إِثْمًا عَظِيمًا
แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคี ขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวงขึ้น
(ซูเราะหฺอันนิสาอ์ - ๔๘)
.
จากอายะข้างต้นนี้บ่งบอกว่า หากบ่าวคนใดที่ไม่ได้ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺในบาปที่เขาทำผิดในโลกดุนยา หากเป็นบาปที่เป็นชิริก เขาก็จะไม่ได้รับการอภัยโทษในอาคิเราะฮฺ ส่วนหากเป็นบาปทั่วๆไป บาปประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ว่าพระองค์จะอภัยโทษให้หรือไม่(หมายถึงหากบ่าวยังไม่ได้ขออภัยต่ออัลลอฮฺในดุนยานี้) ซึ่งบาปประเภทนี้ก็รวมทั้งบาปที่บ่าวปกปิดและบาปที่บ่าวเปิดเผยด้วย ส่วนหากว่าบ่าวทำการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺในดุนยานี้แล้ว โดยครบเงื่อนไขการกลับเนื้อกลับตัวทุกอย่าง เช่นนี้เขาก็ได้รับการอภัยโทษตั้งแต่ในดุนยานี้แล้ว ไม่ว่าบาปนั้นจะเป็นบาปอะไรก็ตาม
-----------
ประการถัดมา ฮะดีษที่ผู้ถามยกคำแปลฮะดีษมาคือ
“ประชาชาติของฉันทั้งหมดล้วนเป็นผู้ได้รับการอภัย นอกจากผู้ที่กระทำความผิดอย่างเปิดเผย”
(รายงานโดย อบูฮุรอยเราะฮ์ / บันทึกอยู่ในซอเฮี้ยทั้งสอง)
แต่เราขอแปลฮะดีษนี้ โดยทำการทับศัพท์บางตัวในฮะดีษ ดังต่อไปนี้
.
“ประชาชาติของฉันทั้งหมด ล้วนเป็นผู้ได้รับ “มุอาฟาฮ์” นอกจากผู้ที่กระทำความผิดอย่างเปิดเผย”
ลำดับแรกเราขออธิบายคำศัพท์ก่อน คำว่า “มุอาฟาฮ์”(معافاة) เป็นรากศัพท์ของคำที่ถูกใช้ในฮะดีษ ซึ่งคำว่า “มุอาฟาฮ์”(معافاة) นี้ แปลว่า “การทำให้ได้รับความปลอดภัย” หรือแปลว่า “การปกป้อง”
.
ส่วนในฮะดีษ ใช้คำนามประเภทที่แปลว่า “ได้รับ” หรือ “ถูกได้รับ” เรียกคำนามประเภทนี้ว่า “อิสมุนมัฟอูล” หรือคำนามที่ให้ความหมายเป็นผู้ถูกกระทำจากรากคำกริยา(คำนามคำนี้ มีรากมาจากคำกริยา)
.
ดังนั้นเราจะแปลฮะดีษนี้ใหม่ว่า
“ประชาชาติของฉันทั้งหมดล้วน ((ได้รับความปลอดภัย/ถูกทำให้ปลอดภัย/ได้รับการปกป้อง/ถูกปกป้อง)) นอกจากผู้ที่กระทำความผิดอย่างเปิดเผย”
.
ดังนั้นเราจะยึดความหมายที่เราแปลมาล่าสุดเป็นหลักในการอธิบายฮะดีษ อุลามาฮฺได้กล่าวว่า คำศัพท์คำว่า มุอาฟา(ในฮะดีษที่เราแปลว่า ได้รับความปลอดภัยหรือได้รับการปกป้อง) สามารถเข้าใจได้หลายทาง ในมุมหนึ่งสามารถเข้าใจได้ว่า อัลลอฮฺวางบัญญัติกฎหมายอิสลามสำหรับผู้ที่ไม่ทำบาปอย่างเปิดเผย ให้เขาปลอดภัยจากการถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ดังนั้นถ้าบาปไหนถูกปกปิด กฎหมายอิสลามก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ดังนั้นผู้ที่ไม่ทำบาปเปิดเผยจึงถูกปกป้องตามฮะดีษที่นบีกล่าวไว้
.
หรือสามารถเข้าใจได้ว่า คนที่ไม่ทำบาปเปิดเผย ตามหลักการศาสนาไม่อนุญาตให้พูดถึงเขาลับหลัง มิเช่นนั้นจะนับเป็นการนินทา แต่สำหรับผู้ที่ทำบาปเปิดเผย ตามหลักการศาสนาอนุญาตให้กล่าวถึงบาปของเขาที่ทำอย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับการปกป้อง ส่วนผู้ที่ไม่ได้ทำบาปเปิดเผยเขาจึงได้รับการปกป้อง
.
หรือสามารถเข้าใจได้ว่า คนที่ทำบาปเปิดเผยเขาจะไม่ได้รับการอภัยโทษในวันกิยามะฮฺ(หมายถึง หากเขายังไม่กลับเนื้อกลับตัวในดุนยานี้ เขาจะไม่ได้รับการอภัยโทษในอาคิเราะฮฺ สำหรับบาปเปิดเผย) และเขาจะต้องถูกลงโทษก่อนที่เขาจะเข้าสวรรค์(หากเขาไม่ได้ทำบาปที่เป็นชิริก)
หรืออาจจะหมายถึงการที่เขาทำบาปอย่างเปิดเผย(โดยที่ยังไม่ได้กลับเนื้อกลับตัว) การทำบาปเปิดเผยนี้ จะนำไปสู่ความหายนะได้มากกว่าการทำบาปปกปิด หรือมีโอกาสได้รับการอภัยโทษน้อยกว่าการทำบาปปกปิด ด้วยเหตุนี้ฮะดีษจึงกล่าวว่า “เขาจะไม่ได้รับการปกป้อง/เขาจะไม่รับความปลอดภัย”
.
ส่วนถ้าผู้ที่ทำบาปเปิดเผย และเขากลับเนื้อกลับตัวในดุนยานี้แล้ว เขาก็จะบริสุทธิ์และจะไม่ถูกลงโทษในวันกิยามะแล้ว
และนี่คือการตีความฮะดีษที่ไม่ขัดกับหลักฐานบทอื่น ๆ
วัลลอฮุอะลัม
Q.24 การวาดรูปตาอย่างเดียวโดยไม่มีใบหน้าสิ่งนี้เป็นที่อนุญาตไหมคะ? / หรือการวาดรูปหน้าตาบนแก้วน้ำโดยทำการวาดปาก ด้วยกับการขีดเป็นเส้นแค่เส้นเดียวเป็นที่อนุญาตไหม และเช่นเดียวกัน วาดดวงตาโดยทำการจุดเฉยๆ? / และภาพการ์ตูนเป็นที่อนุญาตไหม? / และพรมที่มีรูปสิ่งมีชีวิตสามารถใช้ได้ไหม หรือละหมาดบนพรมนั้นได้ไหม? และเรื่องตุ๊กตาหมีสำหรับผู้ใหญ่สามารถเล่นได้ไหมคะ?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - อันที่จริงแล้วในเรื่องของรูปวาดหรือรูปร่างสิ่งมีชิวิตต่างๆ มีความเห็นต่างๆของบรรดาอุลามาฮ์อย่างมากมาย เราจะค่อยๆตอบคำถามทีละประเด็นของผู้ถามนะครับ / การวาดรูปอย่างเดียวโดยไม่ใบหน้าเป็นสิ่งที่อนุญาตตามทัศนะส่วนมากของนักวิชาการ เพราะถือว่าสิ่งๆนั้นไม่มีชีวิต หรือไม่สามารถมีชีวิตได้ถ้ามันออกมาในความจริง
.........
ประการถัดมา - การวาดหน้าตา แบบไม่ใช่หน้าตาที่มีชีวิตจริงๆ เช่น ดวงตาเป็นแค่จุด และหน้าตานั้นก็ไม่มีจมูก หรือการวาดปากโดยขีดเส้นแค่เส้นเดียว โดยทำการวาดลงบนแก้วน้ำ สิ่งนี้เป็นที่อนุญาตเนื่องจากมันห่างไกลจากรูปร่างของสิ่งมีชีวิต และที่อุลามาฮ์บางท่านถูกถามก็ใกล้เคียงกับประเด็นนี้คือ ท่านถูกถามว่า วาดรูปหน้าตาลงบนช้อนได้ไหม ท่านตอบว่าได้
.........
ประการถัดมา - เรื่องภาพวาดการ์ตูน ประเด็นนี้มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาฮ์ ซึ่งในมุมมองของผู้ตอบมีความเห็นว่า ถ้ามันบ่งชี้ว่าสิ่งนั้นมีชีวิต มันก็สมควรที่เราจะระวังไว้และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน
.........
ประการถัดมา - พรมที่พื้นมีรูปสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่าพรมเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องเหยียบย่ำ ซึ่งหากมันถูกย่ำยีไม่ได้ถูกยกให้สูง หรือมันถูกด้อยค่า สิ่งๆนั้นก็เป็นที่อนุญาต ส่วนเรื่องการละหมาดบนพรมที่มีรูป
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่อนุญาตแต่พื้นไม่ควรเป็นพรมที่เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะอาจจะทำให้จิตใจล่องลอยออกไปจากการละหมาดได้
.........
ประการถัดมา - เรื่องตุ๊กตาหมีเป็นที่อนุญาตสำหรับผู้ใหญ่หรือไม่? ประเด็นนี้มีความเห็นต่างของบรรดานักวิชาการโดยบางทัศนะไม่อนุญาตให้เล่นเลยแม้ว่าจะเด็กก็ตามหากตัวนั้นเป็นสิ่งที่คล้ายกับสิ่งมีชีวิตหรือบางทัศนะของนักวิชาการเห็นว่าอนุญาตสำหรับเด็กผู้หญิงเท่านั้น หรือบางทัศนะของนักวิชาการอนุญาตทั้งชายและหญิงที่เป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ซึ่งการบรรลุศาสนภาวะก็มีความเห็นต่างของนักวิชาการอีก ไม่ว่าจะเรื่องอายุ หรือลักษณะต่างๆที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นๆบางลักษณะ โดยเห็นต่างกันว่าถ้าลักษณะนี้เกิดขึ้นกับเขา เขาจะถูกตัดสินเป็นผู้ที่บรรลุศาสนภาวะหรือยัง?
.
ในมุมมองของผู้ตอบเข้าใจว่า ตัวบทต่างๆที่ท่านนบีได้ห้ามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ตัวบทพวกนี้ไม่ได้รวมถึงเรื่องของตุ๊กตาหรือของเล่น ดังนั้นตามทัศนะที่ผู้ตอบเลือกคือ อนุญาตให้เล่นของเล่นที่เป็นรูปสิ่งมีชีวิต
ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง หรือไม่ว่าจะบรรลุศาสนภาวะแล้วก็ตาม(หมายถึงผู้ใหญ่ก็ใช้ตุ๊กตาได้) เพียงแต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือของเล่นที่เหมาะกับเพศไหนก็ควรให้เพศนั้นเล่น เช่นตุ๊กตาบางตัว เป็นตุ๊กตาที่ผู้หญิงเขาเล่นกัน ดังนั้นผู้ปกครองก็อย่าได้ให้ลูกผู้ชายของเขาเล่นตุ๊กตาที่เป็นของผู้หญิง และทัศนะก็เป็นทัศนะของนักวิชาการหลายท่าน และเป็นทัศนะที่ถูกเลือกตามฟัตวาอิสลามคิวเอ
วัลลอฮุอะลัม
Q.25 สำหรับมุสลิมใหม่ บาปฮักกุลอาดัมของเขาจะถูกลบล้างหรือไม่ครับ?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - มีความเห็นต่างของบรรดานักวิชาการครับ และผู้ตอบจะตอบตาม 2 ทัศนะ ของบรรดานักวิชาการ แต่ก่อนอื่นต้องแบ่งหลักๆก่อนว่า ฮักกุลอาดัมมีอะไรบ้าง
1.เลือดเนื้อ(อาจจะหมายถึงฆ่า ชกต่อย)
2.เงิน(อาจจะหมายถึงการขโมย)
3.เกียรติ(อาจจะหมายถึงนินทา ด่าทอ)
.
การรับอิสลามมีความเห็นต่างกันว่า ผู้รับอิสลามใหม่ จะได้รับการอภัยโทษในทุกบาปหรือไม่?
ทัศนะที่ 1 บอกว่า : ได้รับการอภัยโทษทั้งหมดที่เคยทำมา นั่นหมายความว่า ถ้าเขาฆ่าคนมา และรับอิสลาม เขาจะไม่ถูกฆ่ากลับหรือทำซินาในรัฐอิสลาม หลังจากนั้นรับอิสลาม เขาจะไม่ถูกโทษฮัด
.
ส่วนทัศนะที่ 2 บอกว่า : การรับอิสลามจะลบบาปที่เป็นกุฟรฺเท่านั้น ส่วนบาปอื่นถ้าเขาไม่กลับตัว บาปมันก็ยังคงอยู่เช่นนั้น การที่บาปจะถูกลบได้ก็ด้วยกับการเข้ารับอิสลาม และหยุดทำบาปนั้นๆ
และเช่นเดียวกัน หากฆ่าคนและรับอิสลามก็จะถูกฆ่ากลับ ส่วนหากว่าทำซินาหลังจากนั้นรับอิสลาม เขาก็จะถูกโทษฮัด และตามทัศนะนี้เข้าใจว่าฮักกุลอาดัมต่าง ๆ ยังคงค้างอยู่ ไม่ว่าจะในเรื่องของ เลือดเนื้อ
.
ส่วนเรื่องการขโมยผู้ตอบพบคำพูดของนักวิชาการบางท่านว่า ถ้ากาเฟรขโมยและเข้ารับอิสลาม ท่านกล่าวว่า จะต้องถูกโทษฮัด(ตัดมือ) และเช่นเดียวกันหากมีการกล่าวหามุสลิมว่าทำซินา โดยไม่มีพยานครบ ก็จะถูกโทษฮัด(เฆี่ยน)เช่นกันถึงแม้จะรับอิสลามแล้ว แต่หากว่าทำซินามาและรับอิสลามจะไม่ถูกโทษฮัด(เฆี่ยน) ย่อหน้านี้อ้างอิงจากตัฟซีรอัลกุรตุบีย์ เป็นทัศนะหนึ่งที่อิหม่ามกุรตุบีย์ได้เขียนไว้
.
ส่วนในเรื่องของการนินทา หรือการกล่าวถึงบุคคลที่สาม ถ้าเป็นการกล่าวถึงกาเฟร มีคิลาฟกันว่าฮะรอมหรือไม่ ส่วนการนินทามุสลิมบาปแน่นอนหากไม่มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุง หรือแก้ไข หรือชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสียในการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 ส่วนหากถามว่า การนินทามุสลิมก่อนรับอิสลาม หลังจากรับอิสลามบาปจะถูกลบล้างไหม หรือต้องทำอย่างไร?
คำถามนี้ผู้ถามไม่ทราบว่าบรรดาอุลามาวินิฉัยปัญหาเรื่องนี้กันอย่างไร
.
แต่เอาเป็นว่า ถ้าเขาไม่รู้ก็ให้กล่าวถึงเขาในสิ่งที่ดี ส่วนถ้าเขารู้ก็ให้ไปขอโทษเขา สิ่งนี้ก็สิ่งที่ปลอดภัยสำหรับผู้เข้ารับอิสลามใหม่
วัลลอฮุอะลัม
Q.26 อะไรคือการค้าขายตัดหน้าครับ ถ้าขายของชนิดเดียวกับพ่อค้าคนอื่น ในตลาดเดียวกัน เช่นนี้ถือว่าเป็นการค้าขายตัดหน้าไหมครับ? หรือสินค้าบางอย่างผมสามารถขายถูกกว่าพ่อค้าคนอื่นๆได้หรือไม่ครับ เพราะบางทีเรามีต้นทุนที่แตกต่างกัน?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - ผมจะแยกมัสอาละหลักๆเป็น 4 มัสอาละฮ์นะครับ
.
1.การขายตัดหน้า หรือภาษาอาหรับที่ว่า البيع على البيع
2.การขายตัดหน้าหลังจากการเสนอราคา ซึ่งในฮะดีษใช้คำว่า السوم(อัซเซามุ)
3.การขายตัดราคา(ในที่นี้หมายถึง การที่อยู่ในตลาดเดียวกัน และมีการขายราคาที่สูงกว่าหรือขายราคาที่ต่ำกว่า)
4.การตั้งร้านขายอยู่ใกล้ๆกัน
.
เรามาดูมัสอาละที่หนึ่งที่ผมใช้สำนวนว่าการขายตัดหน้าหรือเรียกตามภาษาอาหรับว่า
البيع على البيع
ซึ่งสภาพการขายตัดหน้ามีหลายรูปแบบครับ บางรูปแบบเป็นเอกฉันท์ว่าฮะรอม บางรูปแบบมีคิลาฟว่าฮะรอมไหม รูปแบบต่างๆที่ผมสรุปได้จากบรรดาอุลามามีดังนี้
.
รูปแบบที่หนึ่ง การที่พ่อค้าคนที่หนึ่งทำการพูดคุยกับลูกค้า และตกลงกันว่าจะซื้อขายสินค้าตัวนั้น ๆ แล้ว
(ซึ่งการตกลงกับแบบนี้ ตามหลักการศาสนา ถ้าหากว่าพ่อค้าและลูกค้ายังไม่แยกจากกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็สามารถยกเลิกการซื้อขายได้ แต่หากว่าเกิดแยกทางกันในสภาพที่ทั้งสองตกลงกันแล้วว่าได้ทำการซื้อขายแล้ว เช่นนี้ไม่เป็นที่อนุญาตที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะขอยกเลิกการซื้อขายที่เกิดขึ้นแล้ว สรุปคือผู้ซื้อและผู้ขายสามารถยกเลิกข้อตกลงการซื้อขายได้ตราบใดที่ทั้งสองยังไม่ได้แยกออกจากกัน แต่หากว่าแยกออกจากกันแล้ว จะถือว่ายกเลิกการซื้อขายไม่ได้แล้ว)
.
ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่อยู่วงเล็บข้างต้นแล้ว เรามาดูต่อ
หากว่าทั้งพ่อค้าและลูกค้าคุยตกลงกันแล้วแต่ยังไม่ได้แยกออกจากกัน และมีบุคคลที่สามไปขายแทรก เช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามฮะดีษของท่านนบี และเป็นที่สิ่งที่ต้องห้ามตามมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการ
.
รูปแบบที่สอง ที่เชคอับดุลมุฮฺซินอัซซามิลได้กล่าวไว้คือ พ่อค้าและลูกค้าคุยกันแล้ว ลูกค้าดูมีใจเอนเอียงว่าอยากได้สินค้า แต่เขายังไม่ได้ตกลงซื้อขายกัน หลังจากนั้นลูกค้าก็เดินออกไป ทันทีที่ลูกค้าเดินออกไปมีบุคคลที่สามมาขายซ้อนทันที สิ่งนี้เป็นที่อนุญาตไหม? คำตอบคือ มีความเห็นต่างของบรรดานักวิชาการว่าเป็นที่อนุญาตไหม ฝ่ายที่ไม่อนุญาตให้เหตุผลว่าบางทีลูกค้าคนนั้นอาจจะกลับมาหาพ่อค้าคนแรกและทำการซื้อจากพ่อค้าคนแรก แต่เผอิญมีบุคคลที่สามไปขายแทรก ลูกค้าเลยไปซื้อของจากบุคคลที่สาม ทั้งนี้ที่เขาถือว่ามันฮะรอมเพราะว่ามันจะทำให้เกิดความบาดหมางกันด้วย ณ ตรงนี้สำหรับผมก็ไม่ได้ตัดสินอะไร เอามาแจ้งให้พี่น้องทราบเฉยๆ
.
รูปแบบที่สาม การที่พ่อค้ากับลูกค้าทำการซื้อขายกันแล้ว ตกลงกันแล้ว หลังจากนั้นทั้งสองแยกทางกัน(ย้อนกลับไปดูในวงเล็บรูปแบบที่หนึ่งนะครับ ผมอธิบายไปแล้วว่าถ้าแยกทางกันแล้วไม่อนุญาตให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกเลิกข้อสัญญานั้น) รูปแบบนี้เราสมมุติสถานการณ์ว่า หากว่าเกิดการซื้อขายแล้ว และแยกทางกันแล้ว หลังจากนั้นช่วงเวลาเพียงเล็กน้อย(ย้ำว่ารูปแบบนี้พูดถึงช่วงเวลาเพียงเล็กน้อย) มีบุคคลที่สามไปขายต่อ คำถามคือการกระทำของบุคคลที่สามนี้ เป็นที่อนุญาตหรือไม่? คำตอบคือมีความเห็นต่างของบรรดานักวิชาการว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ขายซ้อนต่อกันเลย นักวิชาการกลุ่มหนึ่งบอกว่าอนุญาต เพราะถือว่าการที่พ่อค้าคนแรกและลูกค้าได้ทำการซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว พอแยกทางออกจากกันก็ไม่เป็นที่อนุญาตแล้วให้ยกเลิกการซื้อขายนั้นแล้ว ดังนั้นถ้าหากมีใครจะไปขายต่อเลยหลังจากที่สองคนนั้นซื้อขายกันเสร็จแล้ว ก็เป็นที่อนุญาต
.
แต่อีกส่วนหนึ่งของบรรดานักวิชาการบอกว่า ยังฮะรอมอยู่ ถึงแม้ว่าการซื้อขายมันได้เกิดขึ้นแล้ว และตามกฎทั่วๆไปคือถ้าแยกทางออกจากกันแล้ว ไม่เป็นที่อนุญาตให้ยกเลิกการซื้อขายนั้น ((((แต่))))บางทีเมื่อผู้ซื้อมารู้ว่า ยังมีของราคาถูกกว่าจากบุคคลที่สาม บางทีเขาอาจจะหาวิถีทางยกเลิกการซื้อขายจากพ่อค้าคนแรกก็เป็นได้ เช่น เขาอาจจะหาวิธีและบอกว่าสินค้าของคุณมีตำหนิเช่นนั้นเช่นนี้ ผมขอคืนสินค้าตัวนี้และเอาตังผมคืนมาด้วย และหลังจากนั้นเขาก็ไปซื้อสินค้าจากบุคคลที่สาม ด้วยกับเหตุนี้นักวิชาการกลุ่มหนึ่งยังถือว่ารูปแบบนี้ยังฮะรอมอยู่ที่จะไปขายต่อเลยทันที ผู้ที่ยึดถือทัศนะนี้เช่น เชคอุซัยมีน และเชคอับดุลมุฮฺซิน อัซซามิล
.
รูปแบบที่สี่ การที่เกิดการซื้อขายระหว่างพ่อค้าและลูกค้าแล้ว และแยกทางกันแล้ว และระยะเวลาหลังจากการซื้อขายห่างกันมากๆ เช่น เป็นเดือนๆ เช่นนี้เป็นที่อนุญาตแน่นอน รูปแบบนี้จะต่างจากรูปแบบที่สามเล็กน้อยคือความยาวของช่วงเวลาหลังจากการซื้อขายเสร็จ(ที่ยกรูปแบบนี้มาเพราะเชคอุซัยมีนก็ยกตัวอย่างรูปแบบนี้)
.
รูปแบบที่ห้า มีบุคคลที่สามเข้ามาขายในช่วงเวลาที่เรียกว่า คิยารุชชัรตฺ(หมายถึง ช่วงเวลาของการเลือกว่าจะซื้อสินค้าหรือไม่ซื้อดี เช่น พ่อค้าให้สินค้ากับลูกค้าไป โดยให้เอาไปลองดูว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ ให้ลูกค้าเก็บไว้ 3 วัน ถ้าลูกค้าพอใจก็ซื้อไป ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อและคืนสินค้า) ในช่วงเวลาที่สินค้าอยู่กับลูกค้า ในช่วงเวลาของการเลือกนี้ เรียกว่า คิยารุชชัรตฺ ซึ่งมัสอาละนี้มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาว่า ถ้าในช่วงนี้บุคคลที่สามเขาไปขายของให้แก่ลูกค้า จะถือเป็นการตัดหน้าไหม? โดยที่เชคอุซัยมีนมีทัศนะว่าการกระทำเช่นนี้ฮะรอม
.
รูปแบบที่หก หลังจากผ่านช่วงคิยารุชชัรตฺ(อธิบายไปแล้วในรูปแบบที่ห้า) และลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าแล้ว คำถามคือในสถานการณ์เช่นนี้บุคคลที่สามสามารถขายสินค้าให้แก่ลูกค้าทันที ในช่วงระยะเวลาที่ห่างจากการตัดสินใจซื้อจากพ่อค้าคนแรกเล็กน้อย เช่นนี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่? มัสอาละฮ์นี้ก็เป็นความเห็นต่างของบรรดานักวิชาการว่าอนุญาตหรือไม่ โดยที่เชคอุซัยมีนมีทัศนะว่าไม่เป็นที่อนุญาต
.
รูปแบบที่เจ็ด หากว่าพ่อค้าขายของแพงมากเกินไปจากราคาปกติ หรือคดโกงลูกค้า คำถามคือหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เป็นที่อนุญาตสำหรับบุคคลที่สามหรือไม่ ที่เขาจะแทรกการขายและไปขายต่อเลย เพราะถือว่าพ่อค้าคนแรกคดโกง มัสอาละนี้ท่านเชคอับดุลมุฮฺซิน อัซซามิล ให้คำตอบว่า ให้ทำการตักเตือนพ่อค้าว่าอย่าคดโกง และบอกลูกค้าว่าสินค้าตัวนี้ที่เขาขายให้คุณ คุณกำลังถูกหลอก หรือเขาขายแพงเกินไป เชคกล่าวว่า เรายังใช้วิธีการตักเตือนได้แทนการไปขายตัดพ่อค้าที่คดโกง
---------------
มัสอาละที่ 2 โดยเรียกมัสอาละนี้ว่า การขายตัดหน้าหลังจากการเสนอราคา หรือเรียกตามภาษาอาหรับว่า อัซเซามุ السوم
.
ซึ่งลักษณะของมัสอาละฮ์นี้จะค่อนข้างใกล้เคียงกับมัสอาละฮ์ที่หนึ่ง นั่นคือการขายตัดหน้า แต่ในรูปแบบของมันจริงๆแล้ว มันแตกต่างกัน ถึงจะแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตาม และในฮะดีษก็ใช้คำศัพท์แยกออกจากกันระหว่างมัสอาละที่ 1 และมัสอาละที่ 2 คำว่าอัซเซามุ ตัวศัพท์หมายถึง การเสนอราคาขาย
.
ทีนี้เรามาดูกันว่า อะไรคือการที่ท่านนบีห้าม อัซเซามุ ตามความเข้าใจของบรรดาอุลามาฮ์ ซึ่งอัซเซามุ บางรูปแบบก็เอกฉันท์ว่าฮะรอม บางรูปแบบเอกฉันท์ว่าฮะล้าล บางรูปแบบมีคิลาฟ
.
รูปแบบหลักๆที่ อัซเซามุ ต่างจากการซื้อขายตัดหน้าคือ อัซเซามุ เป็นการเสนอราคาของพ่อค้า หรือคุยเรื่องราคากับลูกค้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตกลงซื้อขายกัน
รูปแบบที่หนึ่ง มีการตกลงราคากันแล้วระหว่างพ่อแล้วกับลูกค้า และลักษณะของลูกค้าบ่งบอกชัดเจนว่าเขาพอใจในสินค้าตัวนั้น เพียงแต่ยังไม่เกิดการซื้อขาย ในช่วงเวลานั้นบุคคลที่สามเข้ามาแทรกและขายสินค้าให้ลูกค้าคนนั้น การกระทำเช่นนี้ฮะรอมตามตัวบทฮะดีษ และฮะรอมตามมติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามาฮ์
รูปแบบที่สอง มีการคุยกันระหว่างพ่อค้าและลูกค้า และมีการเสนอราคาจากพ่อค้า แต่ดูลักษณะของลูกค้าไม่ออกว่าเขาพอใจสินค้าจากพ่อค้าคนนั้นหรือไม่ หรือดูจากสถานการณ์อาจจะสังเกตได้ว่าลูกค้าค่อนข้างมีใจเอนเอียงไปที่พ่อค้าคนนั้นและสินค้าตัวนั้น แต่คำตอบสุดท้ายที่เราสังเกตได้คือ ไม่แน่ใจว่าลูกค้าคนนั้น พอใจกับสินค้าของพ่อหรือไม่? คำถามคือ ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่สำหรับบุคคลที่สามที่เขาจะขายแทรกพ่อค้าคนแรก?
ตอบ มัสอาละฮ์นี้มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามา โดยที่เชคอับดุลมุฮฺซิน อัซซามิล มีทัศนะว่าฮะรอม ในการเข้าไปขายแทรกในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ท่านอิบนุกุดามะมีทัศนะว่าอนุญาต เพราะถือว่าลักษณะความพอใจของลูกค้ายังไม่ปรากฎออกมาไม่ชัดเจน(และท่านก็ได้ยกหลักฐานของท่าน)
.
รูปแบบที่สาม มีการเสนอราคาจากพ่อค้าแล้ว แต่ลูกค้ายังเงียบ และยังไม่มีลักษณะบ่งบอกถึงความพอใจของลูกค้าเลย เช่นนี้สำหรับเราถือว่าเป็นที่อนุญาตตามทัศนะของท่านอิบนุกุดามะฮฺ และเข้าใจว่ามีคิลาฟ(ซึ่งอาจมีรายละเอียดมากกว่าที่เราค้นคว้า)
รูปแบบที่สี่ การประมูล แน่นอนว่าเป็นที่ทราบกันดีว่าการประมูลเป็นที่อนุญาตตามมติเอกฉันท์ของบรรดาอุลามาฮฺ และที่ผมยกเรื่องการประมูลมาอยู่ในรูปแบบที่สี่ ก็เพราะว่าวิธีการของการประมูลมันเกี่ยวข้องกับศัพท์ที่อยู่ในฮะดีษนบี(อัซเซามุ) นั่นก็คือการเสนอราคาขาย แต่วิธีการประมูลนี้ ไม่ใช่เจตนาของท่านนบีตามฮะดีษ กล่าวคือท่านนบีห้าม อัซเซามุ แต่การห้ามของท่านไม่เกี่ยวข้องกับการประมูล
.
ทั้งนี้ที่การประมูลเป็นที่อนุญาติเพราะ ผู้ขายไม่ได้มีใจเอนเอียงว่าจะขายให้แก่ผู้ซื้อคนไหนเป็นการเฉพาะ และลักษณะเช่นนี้เป็นที่รับรู้กันอย่างชัดเจน
.
***ในประเด็นที่มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาฮฺจะอยู่ประมาณนี้คือ ในทัศนะของอิบนุกุดามะท่านมีความเห็นว่า ตราบใดที่สภาพของลูกค้ายังไม่แสดงความพึงพอใจอย่างชัดเจนในสินค้าของพ่อค้าคนแรก ถึงแม้ว่าสภาพของลูกค้าจะดูบ่งชี้ว่าพึงพอใจ แต่หากเขายังไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน บุคคลที่สามก็สามารถไปขายต่อได้ แต่อีกทัศนะหนึ่งของบรรดานักวิชาการมีความเห็นว่า หากมีการพูดคุยหรือเสนอราคาจากพ่อค้าแล้ว และตัวลูกค้าก็อยู่กับพ่อค้าคนแรกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเงียบ จะยืนครุ่นคิดก็ตาม และถึงแม้ว่ายังไม่มีลักษณะบ่งบอกถึงความพึงพอใจต่อสินค้าของพ่อค้าคนแรกก็ตาม ก็ไม่อนุญาตให้บุคคลที่สามขายแทรก(ทัศนะนี้เป็นความเข้าใจของเราจากเชคอับดุลมุฮฺซิน อัซซามิล)
---------
มัสอาละฮฺที่ 3 การขายตัดราคา(หมายถึงการขายของราคาถูกกว่าในตลาดเดียวกัน)
มัสอาละฮฺนี้มีความเห็นต่างของบรรดาอุลามาฮฺ โดยที่บรรดาอุลามาส่วนมากมองว่า อนุญาตให้ขายสินค้าได้อย่างเสรี กล่าวคือจะขายราคาเท่าไรก็ได้ ซึ่งความเห็นนี้เป็นทัศนะของมัสฮับฮานาฟีย์ ชาฟีอีย์ ฮัมบาลีย์ และอิบนุฮัซมินอัซซอฮิรีย์ อีกทัศนะบอกว่า ต้องขายสินค้าเท่ากับราคาตลาดเท่านั้น ความเห็นนี้เป็นทัศนะของมัสฮับมาลีกีย์
.
ซึ่งเท่าที่เราศึกษามาในระดับที่ไม่ได้ละเอียดมากนัก โดยพื้นฐานเดิมแล้วเรามักจะพิจารณาทัศนะของบรรดาอุลามาฮฺส่วนมากเป็นพิเศษ และปรากฎว่าตอนที่ศึกษาหลักฐาน ฝั่งที่ห้ามขายราคาที่แตกต่างจากตลาดพบว่าไม่มีหลักฐาน(ส่วนในเรื่องรายละเอียดไม่พูดถึงนะครับ) โดยที่ทัศนะของบรรดาอุลามากลุ่มนี้มีความเห็นว่า ถ้าใครขายสินค้าต่ำกว่าราคาตลาด ก็ต้องให้เขาไปขายที่อื่น
แต่พบว่าฝั่งที่บอกว่าให้ขายได้อย่างเสรี มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปทางนั้นจากคำพูดของท่านนบี แต่ถึงอย่างไรมันก็มีหลักฐานตัวอื่นมาตีกรอบว่า ถ้าขายต่ำกว่าราคาตลาด และส่งผลเสียต่อพ่อค้าท่านอื่นๆก็เป็นที่ต้องห้าม หรือถ้าตลาดมันเสียหายเพราะเกิดการตัดราคากัน ก็วาญิบสำหรับผู้นำที่จะต้องกำหนดราคาซื้อขายอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของผู้คน และวาญิบสำหรับพ่อค้าที่จะต้องทำตามคำสั่งผู้นำ
.
จากการศึกษาหลักฐานทั้งสองฝั่ง(ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดนะ) แต่ละฝั่งก็จะถือว่าการกระทำของฝั่งตรงข้ามนั้นไม่ยุติธรรม กล่าวคือ ทัศนะของบรรดาอุลามาฮฺส่วนมากมองว่าการไปห้ามพ่อค้าขายราคาที่แตกต่าง ไม่ถือเป็นความยุติธรรมเลยที่จะกำหนดราคาการสินค้าของเขา และในทัศนะตรงข้ามก็มีความเห็นการขายสินค้าในราคาที่ไม่เท่ากัน นับเป็นความอยุติธรรม เช่นกัน
.
ทัศนะที่เราเลือกคือทัศนะของบรรดาอุลามาฮฺส่วนมาก(ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพ่อค้าท่านอื่น) และจะเห็นได้ว่าทัศนะนี้ง่ายกว่าในการปฏิบัติ เพราะพ่อค้าแต่ละคนเขาอาจจะรับสินค้ามาในราคาไม่เท่ากัน จึงอาจจะทำให้เกิดความยากลำบากในการที่จะขายราคาที่เท่ากันได้
.
วัลลอฮุอะลัม
----------
มัสอาละที่ 4 การตั้งร้านใกล้ๆกัน และขายสินค้าชนิดเดียวกัน มัสอาละนี้ทางเราไม่ได้ศึกษาละเอียดมาก แต่ในอิสลามเว็ปหมายเลข382273 บอกว่าพื้นฐานเดิมยังไม่ถือว่าฮะรอม แต่ควรย้ายออกไปให้ร้านอยู่ห่าง ๆ กัน ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เกิดความบาดหมาง
วัลลอฮุอะลัม
Q.26 เพื่อนผมฝากมาถามน่ะครับว่า อยากรู้ว่าเราสามารถขายสินค้าทางออนไลน์แบบประมูลราคากับการขายแบบเสนอราคา ได้หรือไม่ อาทิเช่น ขายต้นไม้แบบเปิดประมูลราคาและตั้งเวลาปิดราคา และบอกลูกค้าว่าเปิดแรกเริ่มต้นที่100และให้ลูกค้าใส่ราคามาเมื่อถึงเวลาปิด ก็ปิดให้กับลูกค้าคนสุดท้ายที่ใส่ราคาเอาไว้ ส่วนการขายแบบเสนอราคาคือการที่เราให้ลูกค้าใส่ราคามาถ้าราคานั้นเราพอใจเราก็ปิดและขายให้ลูกค้าทันทีแต่ถ้าราคาที่ลูกค้าให้มาเราไม่พอใจเราก็ขอปิดเก็บ แต่ในกรณีของการขายแบบเสนอราคาก็จะมีการแจ้งล้วงหน้าก่อนแล้วว่า ราคาโดนใจปิดให้ทันที ถ้าราคาไม่ถึงขออนุญาติปิดเก็บ อยากรู้ว่าทั้งสองรูปแบบการขายนี้เราสามารถขายได้หรือไม่ครับ?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - การขายสินค้าเช่นนี้คือการขายสินค้าที่เรียกว่า การประมูล หรือเรียกตามภาษาอาหรับว่า บัยอุลมุซายะดา ซึ่งนักวิชาการส่วนมากอนุญาตการขายแบบประมูล หรือบางแหล่งอ้างอิงใช้คำว่า นักวิชาการเห็นตรงกันว่าเป็นที่อนุญาต หากผู้ถามต้องการความรู้เพิ่มเติม ผู้ถามสามารถไปดูคำถามที่ 26 เรื่องการขายตัดหน้า
.
แต่ที่ต้องระวังไว้อย่างหนึ่งสำหรับการขายแบบประมูลคือ การจ้างคนโดยให้เขาแสร้งเสนอราคาสูง ๆ เพื่อที่ลูกค้าคนอื่นจะได้แข่งเสนอราคา และจะได้ขายได้ในราคาที่สูง
สิ่งที่เป็นที่ต้องห้ามคือ การแสร้งว่าจะซื้อ เพื่อทำให้สินค้าตัวนั้นน่าสนใจ หรือทำให้สินค้าตัวนั้นราคาสูงขึ้น
วัลลอฮุอะลัม
Q.28 สตรีสามารถพูดคำว่างับ,ครัช,ค้าบ,คับ คำพูดหางเสียงเชิงน่ารักกุ๊กกิ๊บ จำพวกนี้กับสามี หรือ คนในครอบครัว ,พี่น้องมุสลิมะห์กันเองได้หรือไม่? รวมถึงการที่สามีพูด คะ,ขา กับภรรยาเป็นการสร้างความสดใสให้ชีวิตคู่แบบนี้ถือว่าอนุญาตหรือไม่? แล้วกรณีการพูดกับลูก ๆ หรือเด็ก ๆ ที่บางครั้งก็ลงหางเสียงตามเพศของอีกฝ่ายเช่น แม่ที่คุยกับลูกผชก็ลงท้ายด้วยครับ กรณีแบบนี้ถือว่าอนุญาตหรือไม่? แล้วถ้าอนุญาตขอบเขตที่อนุญาตมีอะไรบ้าง? สามารถเทียบเคียงการเลียนแบบเพศตรงข้ามได้หรือไม่?
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - แน่นอนว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่สามารถพบเจอได้ตามการฟัตวาของบรรดาอุลามาฮฺ และที่เราพบเจอจากการฟัตวาของบรรดาอุลามาฮฺคือ ไม่อนุญาตให้เลียนแบบเป็นเพศตรงข้าม ไม่ว่าจะทำจริง จะล้อเล่น หรือแสดงก็ตาม
.
แต่สำหรับคำถามนี้ เราต้องอาศัยหลักหรือวิธีการวินิฉัยบางอย่างตามระบบอิสลามนั่นก็คืออุรฟฺ(หมายถึง ธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละสังคม) ด้วยกับเหตุนี้อุลามาฮฺจึงกล่าวว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ที่เดินทางไปยังเมืองๆหนึ่งที่จะทำการฟัตวา โดยที่เขาไม่รู้จักสภาพของเมืองๆนั้นอย่างดี ดังนั้นถ้าเรานับตามธรรมปฏิบัติ(อุรฟฺ) คำถามของเราที่เกิดขึ้นก็คือ การพูดจาครับ/ค่ะ โดยใช้หางเสียงของเพศตรงข้าม ในสภาพการณ์ที่ผู้ถามถามมา เช่นนี้จะถือเป็นการลอกเลียนแบบเพศตรงข้ามหรือไม่ โดยนับตามธรรมเนียมปฏิบัติ(อุรฟฺ)ของบ้านเมืองที่เราอยู่?
.
สำหรับผู้ตอบเห็นว่า ถ้าการที่พ่อแม่พูดกับลูก สำหรับบางครอบครัวหรือบางพื้นที่ที่ธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขาคือต้องการให้ลูกพูดหางเสียง โดยถือว่าเป็นความสุภาพ เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดในการที่เขาจะพูดกับลูกโดยใช้หางเสียงอีกเพศหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำนี้ไม่ได้ถูกเข้าใจตามสังคมของเราว่า มันคือการลอกเลียนแบบเพศตรงข้าม แต่ในสังคมเราเข้าใจว่ามันคือการฝึกฝนลูกให้พูดจาไพเราะ หรือนับว่ามันคือการพูดโดยแสดงถึงความอ่อนโยน
.
ทั้งนี้สมมุติว่าเราต้องการฝึกฝนลูกชายให้เขาพูด(ครับ)หรือให้พูดแบบมีหางเสียง ถ้าไม่อนุญาตให้แม่พูด(ครับ)กับลูกชาย โดยนางพูดค่ะ(กับลูกชาย) อาจจะทำให้เด็กเล็ก ๆ สับสนได้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมเราไม่ได้ถือว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นการลอกเลียนแบบเพศตรงข้าม
.
และเช่นเดียวกันในมุมของสามีภรรยา ถ้าสามีพูด(ค่ะ)กับภรรยา ตามมุมมองของผู้ตอบ ผู้ตอบมองว่ามันเป็นการแสดงถึงความอ่อนโยนระหว่างสามีภรรยา และการกระทำแบบนี้ไม่ใช่การลอกเลียนแบบเพศตรงข้าม มิหนำซ้ำอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกดีมากกว่าสำหรับบางคู่
.
ส่วนในกรณีของผู้หญิงพูดกับเพื่อนผู้หญิงของนางเองหรือพูดกับคนทั่วไป ผู้ตอบเห็นว่าไม่สมควรเลยที่จะใช้หางเสียง(ครับ) เพราะปกติของผู้หญิงเวลาพูดคุยกัน ถ้าพูดหางเสียงก็ต้องพูด(ค่ะ) ดังนั้นการพูดคุยกันเองระหว่างผู้หญิงจึงไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้หางเสียงว่า(ครับ) และอุลามาก็ห้ามการลอกเลียนแบบเพศตรงข้ามในเชิงล้อเล่นด้วย
ส่วนถ้าผู้หญิงที่พูดกับเพศตรงข้ามและใช้หางเสียงว่า(ครับ) ในกรณีผู้ใหญ่คุยกับเด็ก เช่นนี้ตามสังคมเรา ผู้ตอบก็เห็นว่าสังคมเราไม่ได้มองว่าสิ่งนี้เป็นการลอกเลียนแบบเพศตรงข้าม แต่ทว่ามันเป็นการแสดงความอ่อนโยนต่อเด็ก
.
อย่างไรก็ดีกรณีการพูดด้วยหางเสียงที่ตรงข้ามกับเพศตัวเองกับเด็ก หรือพูดในสถานการณ์ที่เด็กก็ได้ยิน ก็ไม่ควรที่จะทำให้มันบ่อยเกินไป ควรทำในจุดที่พอดีและไม่ให้เป็นประจำ เนื่องจากเป็นหนึ่งในการป้องกันการเข้าใจผิด หรือสร้างความเคยชินกับเด็กในเรื่องดังกล่าว ภายใต้สังคมที่มีการเรียงร้องอัตลักษณ์ทางเพศแบบใหม่ขึ้นมา และควรกำชับให้เด็กทราบและเข้าใจถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่อยู่ในกรอบของอิสลามอย่างเข้มข้น เนื่องจากเด็กอาจไม่อยู่ในจุดที่จะเข้าใจเจตนาและบริบทของคำพูดได้ด้วยตัวของเขาเอง
วัลลอฮุอะลัม
Q.29 การอ่านกุรอานแบบรวมกันเป็นบิดอะห์ทุกกรณีมั้ย /เช่นอ่านในรอมฏอน
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - การรวมกันในสถานที่หนึ่ง โดยทำการอ่านแบบต่างคนต่างอ่าน คือ สิ่งนี้มีรายงานมาจากซุนนะฮ์ท่านนบี
.
แต่การอ่านกุรอาน เป็นเสียงเดียวกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฎจากซุนนะฮ์ รวมทั้งศอฮาบะฮ์และตาบีอีน ดังนั้นนักวิชาการส่วนหนึ่งจึงตัดสินว่ามักโรฮ์(น่ารังเกียจ) และเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ ถ้าเป็นในเชิงของการอ่านเพื่ออิบาดะฮ์(หมายถึง ไม่ใช่ในเชิงของการเรียนการสอน หรือเพื่อช่วยในการท่องจำ)
.
แต่หากทำการสอนเด็กโดยให้เด็กอ่านกุรอานพร้อมกัน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นการสอน อุลามาจึงอนุญาต ส่วนคำถามที่ถามมา แม้ในเดือนรอมฎอน ก็ไม่สมควรอ่านกุรานพร้อมกันเช่นกัน
วัลลอฮุอะลัม
Q.30 ในการเตาบัตอันความผิดบาปที่เป็นฮักกุลอาดัม ในการเตาบัตจำเป็นต้องคืนสิทธิที่ได้ละเมิดผู้อื่นด้วย ในกรณีการนินทา หากผู้ใดนินทาคนอีกคน ผู้นินทาต้องไปขออภัยผู้ที่เขาได้ละเมิด หากในกรณีที่ว่าผู้ถูกนินทาเป็นต่างศาสนิกให้ การเตาบัตตัวนั้น มีข้อแตกต่างไปจากการนินทามุสลิมหรือไม่อย่างไรครับ
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - บรรดาอุลามาอ์มีความเห็นต่างกันว่า การนินทากาเฟรที่ญาติดีกับเรา ถือว่าเป็นสิ่งฮะรอมหรือไม่ ตราบใดที่ไม่ได้กล่าวเกินความเป็นจริง ถ้าตามทัศนะของนักวิชาการที่ถือว่าไม่ฮะรอม แน่นอนว่าผู้ที่นินทาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปขอโทษคนกาเฟร
.
ส่วนถ้าตอบบทฐานของทัศนะที่ว่าการนินทากาเฟร ถือเป็นสิ่งฮะรอม ในเรื่องนี้อุลามาไม่ได้กล่าวถึงหรือแทบไม่ได้กล่าวถึง ตามที่ระบุไว้ในอิสลามเว็ป โดยระบุว่าตามที่ทีมงานของเว็ปไซต์ได้สืบค้นมา
.
แต่เรามีคำตอบที่ใกล้เคียงกับคำถามของผู้ถามจากอิหม่ามอัรรอมลี ในหนังสือ นิฮายะตุลมุหตาจญ์ โดยมีคำถามว่า ถ้าเรานินทาคนกาเฟร จะอนุญาตให้เราขออภัยโทษให้กับเขาได้ไหม เพื่อที่เราจะได้บริสุทธิ์จากบาปที่เรานินทาไป ซึ่งโดยพื้นฐานเดิมเราทราบมาว่าไม่อนุญาตให้อภัยโทษให้แก่คนกาเฟร?
.
ตอบ เป็นไปได้ที่จะขอให้เขาได้รับการอภัยโทษในบาปที่ไม่ใช่ชิริก หรือขอให้เขามีทรัพย์สมบัติมากๆก็ได้ พร้อมกับให้มีการเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปด้วย
วัลลอฮุอะลัม
Q.31 อัสสาลามุอาลัยกุมครับ กระผมมีงานที่ใฝ่ฝัน เเละส่วนใหญ่นั้นจำเป็นต้องใช้การจำที่เเม่นยำ ดังนั้นผมจึงมีคำถามว่า จะทำอย่างไรถึงจะจำได้อย่างเเม่นยำ เนื่องจากเคยฟังอาจารย์สอนศาสนาท่านหนึ่งพูดถึงบรรดาอูลามะอยู่บ่อยครั้งถึงคุณูปการ และความสามารถทางวิชาการด้านศาสนา ที่มีเนื้อหาเยอะ เเต่ท่านเหล่านั้นก็จดจำมันเหมือนท่องอัลฟาตีฮะ ซึ่งมันน่าทึ่งเป็นอย่างมาก พอจะมีรูปแบบหรือกระบวนการอะไรหรือไม่อย่างไร จบคำถาม
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - ทางเราไม่ทราบว่าผู้ถามเป็นนักศึกษาศาสนาหรือไม่ เพราะการให้คำแนะนำนักศึกษา และคนที่ศึกษาศาสนาแบบทั่วไปนั้นแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เราสามารถแนะนำผู้ถามได้เบื้องต้นคือ ให้พยายามออกห่างจากบาปต่าง ๆ ให้มากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากความรู้มันจะไม่อยู่คู่กับมะศียะฮ์
.
ถ้าหากเป็นนักศึกษา ก็ให้เริ่มต้นการศึกษาตามที่อุลามาได้แนะนำทางไว้ และให้มีการทบทวนสิ่งที่ท่องจำมาอย่างสม่ำเสมอ หรือให้มีการอ่านทบทวนความรู้ที่สำคัญให้มากๆ
.
วิธีบรรดาอุลามาอ์เขาอยู่กับการท่องจำคือพวกท่านจะทบทวนบทเรียนตั้งแต่จำนวน 50 ครั้งถึงหนึ่ง 100 ครั้ง มีรายงานจากสลัฟบางท่านว่าท่านได้ทบทวนฮะดีษจำนวน 3000 บท เป็นจำนวน 500 ครั้ง โดยใช้เวลา 10 ปี
.
ทั้งนี้ความจำของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไปตามที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา
วัลลอฮุอะลัม
Q.32 เราสามารถเรียกคู่ชีวิตด้วคำที่บ่งชี้ถึงสถานะเป็นพี่-น้องได้ไหม ในกรณีที่อีกฝั่งมีอายุมากหรือน้อยกว่า เหมือนการเรียกพี่.. น้อง... อาบัง อาแบ อาเดะ การเรียกคู่ชีวิตด้วยสถานะแบบนี้เข้าข่ายการเรียกด้วยสถานะของคนที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ไหม? เหมือนพี่ชาย-น้องชาย พี่สาว-น้องสาว ของเราเอง
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - เรื่องการเรียกสามีหรือภรรยาว่า พี่หรือน้อง หรือเรียกว่าแม่ หรือเรียกนางให้อยู่ในฐานะเหมือนกันมะรอมของเขา โดยมีเจตนาทำร้ายจิตใจนาง สิ่งนี้เรียกว่า “ซิฮาร”
.
สามีจะต้องทำการจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ตามที่หลักการศาสนากำหนดไว้
.
ในมุมหนึ่งหากมีการเรียกภรรยาว่าน้อง นักวิชาการเห็นต่างกันว่า ฮุกุ่มเกี่ยวกับการกระทำนี้คืออะไร?
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งบอกว่า มักโรฮ์ เนื่องจากมีฮะดีษที่ท่านนบีไม่ให้ชายคนหนึ่งเรียกภรรยาของเขาว่าน้องสาว เนื่องจากมันทำให้เกิดความสับสน และมันอาจจะใกล้เคียงกับการ “ซิฮาร”
.
แต่นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า ไม่เป็นอะไร ทั้งนี้เนื่องจากการงานขึ้นอยู่กับการเจตนา และบางทีการเรียกแบบนี้อาจจะทำให้เกิดความรักซึ่งกันและกันมากขึ้น
และเชคอัลบานีย์ก็ให้สถานะฮะดีษว่าดออีฟ
.
ทั้งนี้ทางเราก็เห็นว่า การเรียกภรรยาว่าน้องสาว ถือว่าไม่เป็นอะไรตามทัศนะของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง และการงานนั้นขึ้นอยู่กับเจตนา
วัลลอฮุอะลัม
Q.33 หากมีคนถามเราเกี่ยวกับความผิดบาปนึง ว่าเคยทำมั้ย ซึ่งเราเคยทำความผิดนั้นแต่ไม่อยากบอกว่าเคยทำเพราะไม่อยาเปิดเผยว่าเคยทำหรือเตาบัตแล้ว ควรจะตอบกลับไปอย่สงไรครับ
بسم الله الرحمن الرحيم
ตอบ - อนุญาตสำหรับผู้ถามที่จะใช้คำเลี่ยงบาลีได้ เช่นเขาถามว่าเคยทำบาปนี้ไหม เราอาจจะตอบเขาว่า ไม่เคยทำ(หมายถึงไม่เคยทำวันนี้) ตามภาษาอาหรับเรียกว่า "มะอารีฏ"
วัลลอฮุอะลัม
หากท่านมีคำถาม สามารถถามได้ที่ลิ้งค์คำถามประจำเดือนในกลุ่มการเรียนรู้ Munadiya