มาทำความรู้จักเลนส์สต็อก กับ เลนส์แล็บ กันก่อนครับ
🔵 เลนส์สต็อก (stock lens) หรือเลนส์สำเร็จรูป คือเลนส์แว่นตาที่บริษัทเลนส์ได้ทำการวิเคราะห์ค่าสายตาที่มีคนใช้เยอะ จึงผลิตครั้งละมากๆ เป็นแมสโปรดักซ์ ดังนั้นเลนส์สต็อกจึงมีข้อจำกัดด้านค่าสายตาที่ไม่ครอบคลุมทุกค่าสายตา เลนส์สต็อกทั่วไปจะมีคุณสมบัติดังนี้
มีค่าสายตาจำกัด (สายตาสั้น/ยาวไม่มาก สายตาเอียงไม่มาก)
เลนส์ที่ผลิตเสร็จพร้อมส่ง
หากเก็บไว้นานเลนส์จะเหลือง
มีการเคลือบผิวเลนส์ (coat) ธรรมดา
มีขนาดวงเลนส์ตายตัว อาจจะใช้กับกรอบแว่นขนาดใหญ่ไม่ได้
เลนส์ราคาถูก
◾️เลนส์สต็อกเหมาะกับคนที่
มีค่าสายตาไม่มาก
ต้องการใช้แว่นตาด่วน
ยอมรับในคุณภาพเลนส์สต็อกของแต่ละบริษัท
มีงบประมาณจำกัด
🔵 เลนส์แล็บ (Rx Lens) คือเลนส์แว่นตาที่สั่งผลิตตามข้อมูลเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน เช่นค่าสายตาสั้นมาก มีสายตาเอียงมาก หรือต้องการคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม เช่น ต้องการเลนส์โครงสร้างฟรีฟร์อมเพื่อให้ได้มุมมองที่กว้างกว่า สบายตามากกว่า เลนส์แล็บจะมีคุณสมบัติดังนี้
รองรับค่าสายตาครอบคลุมเกือบทุกค่าสายตา
ผลิตใหม่คู่ต่อคู่ เลนส์จะไม่เหลือง
ใช้ระยะเวลาในการสั่งผลิตนาน
สั่งเคลือบผิวเลนส์ (coat) ได้ตามต้องการ
ระบุชนิดกรอบแว่นตา ขนาดกรอบแว่นตาได้
สั่งเพิ่ม feature ต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพของเลนส์ เพื่อให้ได้มุมมองที่ดีกว่า มีความสบายตามากกว่า เช่นการ de-center, เพิ่ม prism, สั่งย้อมสีเลนส์ตามต้องการ
เลนส์มีราคาสูง
◾️เลนส์แล็บเหมาะกับคนที่
มีค่าสายตามาก เลนส์สต็อกไม่รองรับ
ต้องการให้มีการเคลือบผิวเลนส์เฉพาะ
ต้องการเลนส์คุณภาพสูง เพื่อให้ได้มุมมองที่ดีกว่า มีความสบายตามากกว่า
มีความรู้สึกไว ใส่แว่นตาปรับตัวยาก
เลือกกรอบแว่นตาพิเศษ ที่ต้องใช้เลนส์สั่งพิเศษ เช่นกรอบแว่นตาโค้งมาก กรอบแว่นตาใหญ่มาก
😎 ตัดแว่นขอนแก่น ตัดที่ศูนย์แว่นตาโปรวิชั่นแคร์
เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา และเลนส์แว่นตาที่มีประสบการณ์มากกว่า 12 ปี ผ่านการแก้ปัญหาสายตากว่า 10,000 เคส ช่วยแนะนำเลนส์แว่นตาที่เหมาะสมกับคุณ
#ตัดแว่นขอนแก่น #เลนส์ออกแบบเฉพาะบุคคล
#เลนส์เฉพาะบุคคล
#ศูนย์แว่นตา
#ศูนย์แว่นตาโปรเกรสซีฟ
#ศูนย์เลนส์โปรเกรสซีฟ
ผู้ที่มีปัญหาสายตา การใส่แว่นตาจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน ดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างราบรื่น วันนี้ศูนย์แว่นตาโปรวิชั่นแคร์จะมาแนะนำเลนส์แว่นตา 6 ชนิดที่เหมาะกับปัญหาสายตาแต่ละช่วงอายุ
1 - Single vision lens หรือเลนส์ชั้นเดียว คือเลนส์ที่มีกำลังค่าสายตาค่าเดียวทั้งแผ่นเลนส์ ใช้สำหรับแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง เลนส์ชนิดนี้เหมาะกับทุกช่วงอายุ
*** สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัย (อายุเกิน 40 ปี) จะสามารถใช้งานได้เพียงระยะเดียวเท่านั้น ดังนั้นจะต้องระบุระยะการใช้งานได้ด้วย ว่าจะใช้สำหรับมองไกลใส่ขับรถ หรือใช้สำหรับมองใกล้อ่านหนังสือ
2 - Myopia Control Lens หรือเลนส์ควบคุมสายตาสั้น เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของสายตาในเด็ก โดยเลนส์จะมีค่าสายตาอยู่บริเวณตรงกลางเลนส์ ส่วนรอบนอกตรงกลางเลนส์จะมีค่ากำลังเลนส์บวกเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมแสงบริเวณด้านข้างให้ตกที่จอประสาทตา ซึ่งจะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของสายตาในเด็กได้
3 - Digital lens หรือเลนส์ช่วยลดอากการตาล้า เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาให้บริเวณด้านบนเลนส์จนถึงบริเวณกึ่งกลางเลนส์มีค่ากำลังเลนส์ตามค่าสายตา ส่วนบริเวณด้านล่างของเลนส์มีค่ากำลังเลนส์บวกเล็กน้อยเพื่อช่วยให้การมองใกล้อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ได้สบายตามากขึ้น เลนส์ชนิดนี้เหมาะกับคนที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี แต่มีอาการตาล้าจากการใช้งานระยะใกล้เช่น ขายของออนไลน์บนโทรศัพท์ ใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานๆ
4 - Progressive lens หรือเลนส์โปรเกรสซีฟ หรือเลนส์หลายชั้นไร้รอยต่อ เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้สูงวัย 40+ โดยให้มีค่ากำลังเลนส์ตามค่าสายตาบริเวณตำแหน่งตาดำ ช่วยให้มองไกลได้ชัดเจน และมีการเพิ่มกำลังเลนส์บวกต่อเนื่องลงมาบริเวณด้านล่างของเลนส์ จนถึงตำแหน่งที่มองใกล้ได้ชัดเจน จึงทำให้ผู้สูงอายุสามารถมองได้ชัดทุกระยะ แต่เลนส์ชนิดนี้จะมีข้อจำกัดถ้ามองผ่านที่บริเวณด้านข้างของเลนส์จะมีภาพเบลอไม่ชัดเจน ตอบโจทย์วัย 40+ ที่สามารถมองได้ชัดทุกระยะ
5 - Bifocal Lens หรือเลนส์สองชั้น เป็นเลนส์ที่ออกแบบมามาสำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยเลนส์จะมี 2 ค่าสายตาคือสายตามองไกลด้านบนเลนส์ และเลนส์มองใกล้ที่ด้านล่างเลนส์ สามารถมองเห็นรอยต่อของเลนส์ได้ชัดเจน
6 - Office lens หรือเลนส์ใกล้-กลาง หรือเลนส์ Indoor Progressive เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยเลนส์จะมีการใช้มองได้ 2 ระยะ คือระยะใกล้สำหรับอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เล่นโทรศัพท์ และระยะที่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย เช่น การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ การมองเอกสารบนโต๊ะทำงาน การประชุมที่ต้องมองโปรเจคเตอร์ ตอบโจทย์วัยทำงาน 40+ ที่ต้องทำงานเอกสาร ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
1. กรอบแว่นตาชนิดกรอบเต็ม (Full frame) เป็นกรอบแว่นตายอดฮิตที่นิยมเลือกใช้ ลักษณะของกรอบแว่นตาจะมีโครงขอบแว่นตาหุ้มรอบเลนส์เพื่อยึดเลนส์เข้ากับกรอบแว่นตา แว่นตาชนิดนี้จะมีความแข็งแรงทนทานมากที่สุด ตัวกรอบแว่นตาช่วยปกป้องเลนส์แว่นตาได้อย่างปลอดภัยแม้จะทำตก โอกาสเลนส์แตกมีน้อยมาก ไม่ต้องดูแลรักษามาก สามารถใช้กับเลนส์ทุก Index
2. กรอบแว่นตาชนิดเซาะร่อง (Half Frame) เป็นกรอบแว่นตาที่ออกแบบให้ด้านล่างของกรอบแว่นโปร่ง โล่ง การยึดเลนส์เข้ากับตัวกรอบชนิดนี้จะใช้กระบวนการนำเลนส์มาเซาะให้เป็นร่องเล็กๆ ตรงกลางและยึดเลนส์ให้ติดกับกรอบแว่นตาด้วยเส้นเอ็น Nylon แว่นตาชนิดนี้จะมีความเบา โล่งๆ และทันสมัยมากขึ้น ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูภูมิฐาน ต้องมีความระมัดระวังในการใช้งาน แนะนำใช้กับเลนส์ Index 1.6 ขึ้นไป
3. กรอบแว่นตาชนิดเจาะ (Rimless frame) เป็นกรอบแว่นตาที่ออกแบบให้ไม่มีโครงหุ้มเลนส์ การยึดเลนส์เข้ากับตัวกรอบชนิดนี้จะใช้กระบวนการนำเลนส์มาเจาะรูแล้วใช้น๊อตยึดเลนส์เข้ากับขาแว่นตา การออกแบบแบบนี้ช่วยให้แว่นตามีน้ำหนักเบา โปร่ง โล่ง สบาย มีความหรูหรา ช่วยส่งเสริมให้มีความน่าเชื่อถือ เสริมบุคลิกภาพ ต้องมีความระมัดระวังในการใช้งาน ต้องใช้กับเลนส์ Polycarbonate หรือเลนส์เหนียว Index 1.6 ขึ้นไป
ตัดแว่นขอนแก่น ตัดที่ศูนย์แว่นตาโปรวิชั่นแคร์
เพราะสรีระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เมื่อใส่แว่นตา ทำให้ตำแหน่งของแว่นที่อยู่บนหน้าไม่เหมือนกัน
บางคนหูต่ำ บางคนหูสูง มีผลทำให้องศาของมุมเทหน้าแว่นตาไม่เท่ากัน
บางคนจมูกไม่มีดั้ง บางคนจมูกโด่ง มีผลทำให้ระยะห่างตาถึงแว่นตาไม่เท่ากัน
ระยะรูม่านตาจากถึงกึ่งกลางจมูกถึงตาขวา อาจจะไม่เท่ากับตาซ้าย มีผลทำให้จุดเซนเตอร์ของเลนส์ (Optical Center) ไม่ตรงกับรูม่านตา
ความสูงตาดำ 2 ข้างอาจจะไม่เท่ากัน มีผลทำให้จุดเซนเตอร์ของเลนส์ (Optical Center) ไม่ตรงกับรูม่านตา
บางคนเหลือบตาได้สั้น ในขณะที่บางคนเหลือบได้ลึก ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองในระยะใกล้ เช่นการเล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ การใช้งานคอมพิวเตอร์
แว่นตาตัวเดียวกัน พอใส่บนใบหน้าของแต่ละคน ตำแหน่งของแว่นตาที่อยู่บนหน้าจึงไม่เหมือนกัน ทำให้มุมมองและความสบายตาไม่เหมือนกัน
สายตาสั้นเทียม ปัญหาที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี
#สายตาสั้นเทียม (Pseudo myopia) เป็นภาวะสายตาสั้นที่เกิดขึ้นจากเลนส์แก้วตาทำงานหนักมากเกินไปจนเกิดการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเพ่งของเลนส์ตา ทำให้เมื่อมองไกลภาพไม่ชัด ซึ่งมักเป็นอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ถ้ากล้ามเนื้อนี้คลายตัว สายตาก็จะกลับมาเหมือนเดิม หากปล่อยให้เกิดสายตาสั้นเทียมนานๆ ก็จะกลายเป็น “สายตาสั้นจริง” ได้ ความผิดปกตินี้พบได้มากในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
อาการของสายตาสั้นเทียม
- มองไกลมัว แต่อาการมักจะเกิดหลังจากการใช้สายตาดูใกล้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน) ทำให้กล้ามเนื้อภายในลูกตาทำงานหนักมากเกินไปจนเกิดการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อ (Spasm)
- สายตาสั้นเทียมยังทำให้เกิดอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดเครียดรอบๆ ดวงตา (Eyestrain), ไม่สบายตา, เห็นภาพซ้อน, ปวดศีรษะ, ปวดบริเวณท้ายทอย บางครั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
การป้องกันตาสั้นเทียม
- ควรมีการพักสายตาเป็นระยะเมื่อต้องใช้สายตาระยะใกล้ต่อเนื่องนานๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ใช้เพ่งนั้นคลายตัวลง
- ไม่ควรใช้สายตาในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ หรืออ่านหนังสือที่มีตัวขนาดเล็กมากเกินไปเพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการเพ่งมากขึ้นได้
สำหรับคนใส่แว่นสายตา ต้องการจะใส่คอนแทคเลนส์ในบางโอกาส เราสามารถใส่คอนแทคเลนส์ตามค่าแว่นตาได้หรือไหม? ถ้าไม่ได้ต้องใส่ค่าเท่าไร?
คำตอบ ขึ้นอยู่กับค่าแว่นตาครับ ถ้าแว่นตามีค่าสายตาสั้นน้อยกว่า -3.75 D สามารถใส่ค่าเดียวกันได้เลย
แต่ถ้าค่าสายตามากกว่า -3.75 D จะต้องมีการทดระยะจากแว่นตาไปถึงกระจกตา (ระยะประมาณ 12 มิลลิเมตร)
ตัวอย่าง สมมุติคุณสมศรีใส่แว่นตาสั้น -8.00 D จะต้องใส่คอนแทคเลนส์ค่าเท่าไร
สูตรในการคำนวณ
F2 = F1 / (1-dF1)
เมื่อ
F2 = ค่าคอนแทคเลนส์
F1 = ค่าสายตาแว่นตา
d = ระยะจากแว่นตาไปถึงกระจกตา (12 มิลลิเมตร = 0.012 เมตร)
แทนค่าในสูตร
F2 = -8.00 / (1 - (0.012x-8.00))
F2 = -8.00/ (1 - (-0.096))
F2 = -8.00 / 1.096
F2 = -7.30 D
ตอบ ต้องคอนแทคเลนส์ใส่ค่า -7.25 D
** คอนแทคเลนส์บางยี่ห้อ สายตา -7.25 D ไม่มีก็ต้องใส่ค่าสายตา -7.00 D แทนครับ