สับปะรดสี : นีโอเรจีเรีย เมเยนดอร์ฟี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Neoregelia Meyendorfii
วงศ์ : Bromeliaceae
สับปะรดสี : นีโอเรจีเรีย เมเยนดอร์ฟี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Neoregelia Meyendorfii
วงศ์ : Bromeliaceae
จำหน่าย ราคา : 80 (ไซด์ S) 100 (L) แดดช่วงเช้า หรือ รำไร
บรอมีเลียดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocot) ในวงศ์ Bromeliaceae ที่มีระบบรากฝอย ธรรมชาติมักพบอิงอาศัยอยู่บนคาคบไม้ใหญ่ หรือตามหน้าผาหิน อากาศเย็นหรือบนพื้นดินชุ่มชื้น มีแสงแดดรำไร
บรอมีเลียดเป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกพืชในวงศ์ Bromeliaceae ซึ่งมีประมาณ 57 สกุล (Genera) มากกว่า 3,000 ชนิด (species) ที่รู้จักคือ สับปะรด (Ananas comosus) ที่รับประทานเป็นผลไม้กันในปัจจุบัน ส่วนที่นำมาใช้เป็นไม้ประดับมีชื่อเรียกในตลาดต้นไม้ว่า "สับปะรดสี"หรือ บรอมีเลียด นั่นเอง
ถิ่นกำเนิดของบรอมีเลียด
บรอมีเลียดเป็นพืชในเขตร้อนของทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ในธรรมชาติพบในป่าฝนเขตร้อนหรือป่าดิบขึ้นตั้งแต่ระดับทะเลไปจนถึงความสูงมากกว่า 4,000 เมตร แต่มีเพียงชนิดเดียวคือ Pitcaimia feliciana ที่พบในแอฟริกาตะวันตกป่าฝนเขตร้อนโดยทั่วไปพบกระจายอยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณเขตอบอุ่นทางซีกโลกเหนือ (Tropic of Cancer) และซีกโลกใต้(ropic of Capricorn) ป่าฝนเขตร้อนที่อยู่ใน
ทวีปอเมริกาเหนือและใต้ถือว่าเป็นป่าเขตร้อนของโลกใหม่ จึงเรียกบรอมีเลียดว่า "พืชจากโลกใหม่"ส่วนป่าฝนเขตร้อนในทวีปอื่นถือเป็นป่าเขตร้อน ของโลกเก่า เช่น ป่าเขตร้อนในทวีปแอฟริกาทวีปเอเชีย ไปจนถึงทวีปออสเตรเลียในธรรมชาติพบเห็นบรอมีเลียดได้ตั้งแต่ตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือทางฝั่งตะวันตกมาจนถึงฝั่งตะวันออกตั้งแต่รัฐแคลิฟอร์เนีย แอริโซนาเทกชัส ลุยเชียนา จนถึงรัฐฟลอริดา ป่าบริเวณนี้เป็รอยต่อระหว่างป่าเขตร้อนกับป่าเขตอบอุ่นเราเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่ากึ่งเขตร้อน"(Subtropical Forest) พรรณไม้ที่พบในบริเวณนี้ได้รับอิทธิพลจากป่าเขตอบอุ่น ทำให้ไม้ต้นมีลักษณะเป็นต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ เช่นพวกโอ๊กหรือสน ซึ่งจะพบทิลแอนด์เชียบางชนิดเช่น T. fosciculata, T.x smalliana อาศัยอยู่บนคาคบไม้ของไม้ต้นเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
การขยายพันธุ์และการปลูก
เราสามารถปลูกและขยายพันธุ์สับปะรดสีได้ด้วย 2 วิธี คือ การแยกหน่อและการเพาะเมล็ด ซึ่งทั้งสองวิธีนั้นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่สามารถนำมาขยายพันธุ์ได้ทั้งคู่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
วิธีแยกหน่อ เราจะแยกหน่อจากต้นแม่ เมื่อสับปะรดสีออกดอกก็จะให้หน่อ ประมาณ 1-5 กิ่ง สำหรับวิธีการแยกหน่อสามารถทำได้ง่าย ๆ คือ ใช้มีดหรือกรรไกรตัดกิ่ง โดยต้องตัดให้ชิดโคนหน่อของต้นแม่ แล้วนำไปปลูกในกระถาง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดินเลย แต่ใช้เพียงกาบมะพร้าวสับเพื่อเป็นวัสดุปลูก ข้อดีของการใช้กาบมะพร้าวคือ เราแทบไม่ต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกหรือจะใช้เป็นอิฐมอญทุบให้แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ ก็สามารถนำมาเป็นวัสดุปลูกได้เช่นกัน สิ่งที่ต้องพึงระวัง อย่างที่บอกไปแล้วว่าต้นสับปะรดสีไม่จำเป็นต้องใช้ดินปลูก เนื่องจากเป็นพืชแบบรากอากาศจึงต้องการเครื่องปลูกที่เบาและระบายน้ำได้ดี การใช้ดินปลูกจะทำให้ต้นเน่าได้ครับ
วิธีเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดนั้น มีข้อดีคือ มีความหลากหลาย สมมติถ้ามีต้นออกมาร้อยต้น ทั้งร้อยต้นนั้นก็จะไม่เหมือนกันเลย โดยวิธีการสังเกตเมล็ดที่สามารถนำมาเพาะได้ คือ เมล็ดจะออกสีม่วง ๆ เปล่ง บีบแล้วเมล็ดจะเด้งออกมาเลยครับ จากนั้นให้นำเมล็ดมาล้างน้ำ ล้างให้เหลือแต่เมล็ดเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์นีโอเรจีเลีย เมล็ดจะมีขนาดเล็กกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เราจะปลูกโดยการโรยเมล็ดลงในที่เพาะได้เลย ส่วนสายพันธุ์แอคเมีย เมล็ดจะค่อนข้างใหญ่ เราสามารถหยิบทีละเมล็ดใส่ในที่เพาะได้เช่นกัน ใช้เวลาเพาะประมาณ 2 เดือน แล้วจึงทำการแยกปลูกลงกระถาง
การดูแลสับปะรดสีง่าย ๆ เนื่องด้วยสัปปะรดสีเป็นไม้ประดับที่โตช้าเเละทนเเล้ง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้ดีเยี่ยม โรคแมลงน้อย การดูแลรักษาก็ไม่ยากมาก โดยจะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและสีสันของต้นสับปะรดสี ดังต่อไปนี้
1. แสง
โดยทั่วไปความเข้มของแสง 40 - 50 เปอร์เซ็นต์เป็นปริมาณแสงแดดที่เหมาะสำหรับปลูกเลี้ยงบรอมีเลียดเกือบทุกชนิด แต่อาจแตกต่างกันบ้างในแต่ละสกุลและชนิด หลายท่านสงสัยว่า ทำไมบรอมีเลียดชนิดเดียวกันเมื่อนำมาเลี้ยงในสภาพพื้นที่แตกต่างกัน ทำไมต้นหนึ่งมีสีสวยขึ้น แต่อีกต้นหนึ่งกลับมีอาการปลายใบไหม้ หรือมีสีสันและทรงต้นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Neoregelia pendulaหากนำไปเลี้ยงในสภาพที่ต่างกัน ต้นหนึ่งได้รับแสง40 - 50 เปอร์เซ็นต์ อีกต้นเลี้ยงในที่ร่มก็จะมีลักษณะแตกต่างกันทั้งสีสันและรูปร่าง ดังนั้นเราควรทราบว่าบรอมีเลียดแต่ละสกุลต้องการแสงมากน้อยเพียงใด แล้วปรับพื้นที่ปลูกให้มีปริมาณแสงเหมาะสมหรือใกล้เคียงกับธรรมชาติของบรอมีเลียดชนิดนั้นๆ เช่น สกุลAnanas ต้องการแสงแดดเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์สกุล Neoregelia ต้องการแสงอย่างน้อย 40 - 50เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้มีรูปทรงและสีสันสวยงามตรงตามชนิดและพันธุ์ และสกุล Cryptanthusในธรรมชาติมักอยู่ตามพื้นดินในป่kใต้ร่มไม้ใหญ่เมื่อนำมาปลูกเลี้ยงควรได้รับแสงแดด 30 - 40เปอร์เซ็นต์
2. อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์
ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ในถิ่นที่พบตามธรรมชาติของบรอมีเลียดแต่ละชนิด สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 20 - 35 องศาเซลเชียส ส่วนความขึ้นสัมพัทธ์อยู่ในช่วง 50 -60 เปอร์เซ็นต์ บรอมีเลียดที่มาจากป่าดิบขึ้น ส่วนใหญ่สามารถปลูกเลี้ยงได้ดีในทั่วทุกภาคของไทย เพราะมีอุณหภูมิใกล้เคียงกันโดยเฉพาะสกุล Aechmea, Billbergia,Cryptanthus, Neoregelia, Nidularium เป็นต้นบรอมีเลียดประเภทพืชอิงอาศัยที่มีถิ่นกำเนิดบนเทือกเขาสูงที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก อากาศเย็นความขึ้นสัมพัทธ์สูง และมีแสงแดดส่องช่วงเวลาสั้นๆเช่น สกุล Alcantarea, Tilandsia, Vrieseaหากนำมาปลูกเลี้ยงในเมืองไทย ควรเลือกพื้นที่ที่มีอากาศเย็น เช่น บนดอยอินทนนท์ และพื้นที่สูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3. น้ำ
สำหรับบรอมีเลียด น้ำที่ดีที่สุดก็คือน้ำฝนซึ่งมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (PH) 5.5 - 6.0หรือเป็นกรดอ่อน เหมาะกับการเจริญเติบโตส่วนน้ำประปาเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านกระบวนการผลิตทำให้ตกตะกอนจนใปราศจากเชื้อโรค และมี pHเท่ากับ 7 แต่มีคลอรีนเจือปนอยู่ หากมีปริมาณคลอรีนสะสมมากขึ้นในแอ่งน้ำบริเวณกาบใบอาจทำให้ใบเสีย สีซีด วิอีแก้ไข ควรใส่น้ำในถังพักเพื่อให้คลอรีนสลายตัวประมาณ 1 - 2 วันก่อนนำมาใช้สำหรับน้ำบาดาลซึ่งมีสภาพเป็นด่าง (PH 7.5หรือมากกว่า) และมีสารแคลเซียมไบคาร์บอเนตที่เป็นอันตรายกับพืช ถ้านำมาใช้ควรปรับสภาพน้ำให้มีความเป็นกรดอ่อนหรือเป็นกลาง (PH = 6.5 - 7.0)โดยสูบน้ำมาพักไว้ ใช้กรดฟอสฟอริก" ในอัตราส่วน10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมและทิ้งไว้ประมาณ3 วันจึงนำมาใช้ บางพื้นที่น้ำมีความเป็นกรดสูง(PH ต่ำกว่า 5.6) สามารถใช้โซเดียมไฮดรอกไชด์ปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางโดยค่อยๆ ใส่โซเดียม-ไฮดรอกไซด์ทีละน้อย และทดสอบด้วยกระดาษลิตมัสเป็นระยะจนกว่าน้ำจะมีสภาพเป็นกลางส่วนน้ำในแม่น้ำลำคลองที่มีการหมุนเวียนตลอดเวลา แม้จะมีตะกอนหรือสารประกอบที่เป็นด่างปนอยู่มาก แต่เป็นอันตรายกับบรอมีเลียดน้อยกว่าน้ำบาดาล ผู้เขียนคิดว่าสามารถนำมาใช้เลี้ยงบรอมีเลียดได้ ซึ่งมีหลายแห่งที่ผู้เขียนไปดูมาก็เลี้ยงบรอมีเลียดด้วยน้ำในแม่น้ำลำคลอง แต่ก็ควรระวังเพราะในบางฤดูกาลอาจมีน้ำทะเลหนุนทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองกลายเป็นน้ำกร่อยคือมีความเป็นด่างมากขึ้น และเป็นอันตรายต่อบรอมีเลียด
4. การถ่ายเทอากาศ
เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญกับบรอมีเลียด ที่ดีต้องอยู่ในที่โล่งอากาศถ่ายเทดี ไม่ควรอยู่ในพื้นที่ที่อับลมเพราะบรอมีเลียดส่วนใหญ่เป็นพีชอิงอาศัยกึ่งรากอากาศหรือพืชรากอากาศ ซึ่งต้องการอากาศหมุนเวียนเพื่อนำความชื้น ไอน้ำ แร่ธาตุและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้สังเคราะห์แสงช่วยให้ต้นแข็งแรง ไม่อ่อนแอต่อโรคถ้าในโรงเรือนมีอากาศหมุนเวียนไม่เพียงพอและอับลมต้นก็จะได้รับแร่ธาตุและก๊าซต่าง ๆ ลดน้อยลงส่งผลให้บรอมีเลียดอ่อนแอและเกิดโรคต่างๆ ตามมา
การให้ปุ๋ย
ปุ๋ยอาจไม่จำเป็นสำหรับบรอมีเลียดมากนัก เพราะบรอมีเลียดได้รับธาตุอาหารและมีกลไกการสร้างอาหารน้อยอยู่แล้ว ถ้าต้องการให้ปุ๋ยเพิ่มบ้างก็สามารถทำได้ แต่ควรให้ในปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละสกุล เพื่อให้ได้รูปทรงและสีสันตรงตามพันธุ์ ปุ๋ยที่นิยมใช้กับบรอมีเลียดส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยเคมี ซึ่งประกอบด้วยธาตุไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P)โพแทสเชียม (K) ซึ่งธาตุอาหารทั้ง 3 ชนิดนี้ให้ผลกับบรอมีเลียดแตกต่างกัน หากได้รับไนโตรเจนในปริมาณสูงจะส่งผลในเรื่องสีและรูปร่าง เช่น สกุล Neoregella จะทำให้ใบยืดยาว ใบเขียวขึ้น ทรงพุ่มผิดเพี้ยนไม่ตรงตามพันธุ์ จึงไม่ควรให้ปุ๋ยมากเกินไป หรือไม่ต้องให้เลยก็สามารถเติบโตอยู่ได้สำหรับปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ คือมี N-P K ในปริมาณเท่าๆ กัน อาจอยู่ในรูปปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำหรือปุ๋ยเม็ดละลายช้าก็ได้ ถ้าเป็น ปุ้ยเกล็ดละลายน้ำ นิยมใช้ปุ๋ยสูตร 20-20-20 กับสกุล Guzmania.Tillandsia, Vriesea โดยใช้อัตรา 10 - 30 เปอร์เซ็นต์จากอัตราส่วนที่กำหนดไว้ ผสมน้ำฉีดพ่นทางใบส่วน ปุ้ยเม็ดละลายข้า ควรใช้สูตร 14-14-14 เหมาะกับบรอมีเลียดบนดิน เช่น สกุล Ananas, Cryptanthus,Dyckia, Hechtia โรยบนผิวดินรอบกระถางหรือผสมกับเครื่องปลูก นอกจากนี้ยังใช้ได้ดีกับบรอมีเลียดอิงอาศัย เช่น สกุล Aechmea, Alcantarea, Billbergia จะช่วยให้ระบบรากเติบโตได้ดีอย่างไรก็ตาม ปุ้ยจะให้ประสิทธิภาพมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ปลูก หากได้รับแสงแดดเพียงพออย่างสม่ำเสมอ มีอากาศถ่ายเทสะดวก ความขึ้นสัมพัทธ์พอเหมาะ ก็ช่วยให้บรอมีเลียดมีรูปทรงและสีสันที่สวยงามอยู่ได้ แต่ถ้าพื้นที่ปลูกเลี้ยงอยู่ในที่ร่มมีแสงน้อย ไม่ควรให้ปุ๋ยมากนักเพราะถ้าได้รับไนโตรเจนสูงใบจะเขียวยืดยาวดังที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นการให้ปุ๋ยอาจพิจารณาที่อัตราส่วนของ N-P -K โดยเลือกใช้ที่อัตราส่วน 1 :2 :3 เช่น ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำสูตร 7-13-34.16-21-27 เป็นต้น
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า สับปะรดสีเป็นไม้ประดับที่เหล่านักจัดสวนนิยมนำมาจัดประดับ ตกแต่งสวนกัน ซึ่งในการจัดสวนนั้นเราสามารถจัดลงในพื้นที่ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ในกระถาง บนโต๊ะ หรือจะนำใส่กระถางเอาไว้แขวนก็ดูมีสไตล์ไม่น้อย ซึ่งรู้หรือไม่ครับว่า สับปะรดสีสามารถนำไปผูกติดอิงกับต้นไม้อื่น ๆ ให้ดูมีมิติขึ้น ทำให้สวยโดดเด่นได้เหมือนกันครับ หรือแม้กระทั่งการนำไปปลูกริมหน้าต่าง หรือริมระเบียงห้อง สับปะรดสีก็สามารถอยู่เพียงแต่ว่าต้องสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับแสงแดดว่าสายพันธุ์ดังกล่าวนี้ชอบแสงแดดมากน้อยเพียงใด จะช่วยยืดอายุของต้นไม้ได้ หรือหากชอบสไตล์การแขวนติดบนกำแพง ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง ด้วยสีสันที่หลากหลายของต้นจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับพื้นที่บริเวณนั้น
#จำหน่ายสับปะรดสีหลายสายพันธ์ุ# #แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรอำเภอวังน้ำเขียว
Email : seema72@hotmail.co.th Tel.0872498855