Title
กลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย
Title Alternative
Strategies to increase the number of students for industrial and Community Education College in Pae Uttaradit and Sukhothai
Creator
Name: สราวุธ นิมานะ
Subject
keyword: กลยุทธ์
ThaSH: วิทยาลัยการอาชีพ -- การบริหาร
Classification :.DDC: 370.113
; การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพ
ThaSH: การศึกษาทางอาชีพ
ThaSH: วิทยาลัยการอาชีพ -- นักเรียน
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและตรวจสอบความเหมาะสมของกลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการศึกษากลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพ มีจำนวน 25 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ตัวแทนครู ตัวแทนศิษย์เก่า ตัวแทนศิษย์ปัจจุบัน และตัวแทนผู้ปกครอง ของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง และประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจสอบความเหมาะสมของกลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพ จำนวน 10 คน ได้แก่ ผู้อำนวยการวิทยาลัย และครูที่ทำหน้าที่หัวหน้างานแนะแนวฯ ของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า กลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 ด้านภาพลักษณ์และทัศนคติ มีจำนวน 5 มาตรการ กลยุทธ์ที่ 2 ด้านการจัดการเรียนการสอน มีจำนวน 5 มาตรการ กลยุทธ์ที่ 3 ด้านคุณภาพครูผู้สอนและผู้บริหาร มีจำนวน 4 มาตรการ กลยุทธ์ที่ 4 ด้านการยกระดับค่าตอบแทนและการยอมรับ มีจำนวน 4 มาตรการ กลยุทธ์ที่ 5 ด้านการสนับสนุนการจัดอาชีวศึกษาสำหรับกลุ่มอื่น มีจำนวน 3 มาตรการ การตรวจสอบความเหมาะสมของกลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย ผลการวิจัยพบว่า มีความเหมาะสมใน 5 ด้าน 21 มาตรการ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ในกลยุทธ์ด้านที่ 1 และด้านที่ 5
สราวุธ นิมานะ (2563) กลยุทธ์การเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายอาชีพของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
Title
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3
Title Alternative
INNOVATIVE LEADERSHIP OF SCHOOL ADMINISTRATORS AFFECTING THE ACADEMIC ADMINISTRATION EFFECTIVENESS OF PRIVATE VOCATIONAL SCHOOLS IN NORTHEAST REGION 3
Creator
Name: อรุณี สุวรรณศร
Subject
keyword: ภาวะผู้นำ อาชีวศึกษา
Description
Abstract: การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 2) ศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของ สถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะ ผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้น าเชิง นวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู สถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จ านวน 347 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.82 และแบบสอบถาม ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา เท่ากับ 0.75 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอย พหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่อยู่ในระดับ มากที่สุด ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง การท างานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม การสร้าง บรรยากาศองค์การแห่งการเรียนรู้นวัตกรรม และด้านที่อยู่ในระดับมาก ได้แก่ การมีคุณธรรม จริยธรรม และการมีความคิดสร้างสรรค์ ข 2. ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่อยู่ใน ระดับมากที่สุด ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้การพัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา การวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน และด้านที่อยู่ในระดับมาก ได้แก่ หลักสูตร สถานศึกษา และการนิเทศการศึกษา 3. ภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับ มาก อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการท างานเป็นทีมและการมีส่วน ร่วม (X2 ) ด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง (X1 ) ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ (X5 ) และด้านการมี คุณธรรมจริยธรรม (X4 ) ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ได้ร้อยละ 49.50 เขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Y´ = 1.206 + .345X2 + .200X1 + .089X5 + .100X4 สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z´y = .391ZX2 + .224ZX1 + .166ZX5 + .156ZX4
อรุณี สุวรรณศร (2565) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3. วิทยานิพนธ์ศูนย์วิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
Title
ความเหมาะสมของนโยบายด้านการจัดการอาชีวศึกษาเพื่อการสร้างงานสร้างอาชีพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
Title Alternative
The suitability of vocational education management policies to create jobs, build a career in the three Southern border provinces
Creator
Name: พัชรินทร์ ศรีสวัสดิ์
Subject
keyword: การจัดการอาชีวศึกษา
Description
Abstract: การศึกษาเรื่อง “ความเหมาะสมของนโยบายด้านการจัดการอาชีวศึกษาเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้” มีวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้ (1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการจัดการอาชีวศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและ(2) เพื่อศึกษาความเหมาะสมของนโยบายด้านการจัดการอาชีวศึกษา เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (Key Informants) ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนที่ผ่านการฝึกอบรมและเป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่สถานศึกษาได้คัดเลือกว่าเป็นโครงการมีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ จำนวนรวมทั้งสิ้น 13 สถานศึกษา (ประกอบด้วย ผู้อำนวยการวิทยาลัย จำนวน 13 คน หัวหน้างานวางแผนและงบประมาณ จำนวน 13 คน หัวหน้าแผนกวิชา/หัวหน้างาน/ครูผู้สอนที่รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนวิชาชีพให้กับนักศึกษาและประชาชนในชุมชน จำนวน 13 คน และผู้เรียนที่ผ่านการฝึกอบรมและเป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่สถานศึกษาได้คัดเลือกว่าเป็นโครงการที่ได้มีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ จำนวน 1 คน จากสถานศึกษาละ 1 โครงการ รวม 13 คน) จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จำนวน 6 สถานศึกษา (วิทยาลัยเทคนิคปัตตานี วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก ปัตตานี วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี วิทยาลัย วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี และวิทยาลัยการอาชีพสายบุรี) จังหวัดยะลา จำนวน 5 สถานศึกษา (วิทยาลัยเทคนิคยะลา วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา วิทยาลัยสารพัดช่างยะลา วิทยาลัยการอาชีพรามัน และวิทยาลัยการอาชีพเบตง) และจังหวัดนราธิวาส จำนวน 2 สถานศึกษา (วิทยาลัยสารพัดช่างนราธิวาส และวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก) เป็นต้น ผลการวิจัย 1.สภาพและปัญหาการจัดการอาชีวศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พบว่า (1) ด้านการดำเนินกิจกรรม สถานศึกษาทั้ง 13 แห่งมีการดำเนินการโดยมีขั้นตอนได้แก่ การกำหนดความต้องการของอาชีพการจัดทำโครงการเสนอสถานศึกษา การดำเนินการฝึกอบรม การสรุปผลการดำเนินการ การติดตามประเมินผลและรายงานให้ต้นสังกัดในแต่ละปีงบประมาณ เป็นต้น (2) ด้านการจัดการเรียนรู้ ต้องจัดวิทยากรที่เชี่ยวชาญในการฝึกอาชีพให้กับผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานต่างกัน ต้องเป็นอาชีพที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าอบรมให้มากที่สุด สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และประกอบอาชีพได้ เป็นต้น (3) ด้านการนำไปใช้ ต้องสร้างความเข้าใจในระดับสถานศึกษาร่วมกัน เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง มีการติดตามประเมินผลผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น และ (4) ด้านการบริหารจัดการในพื้นที่พบว่า ต้องมีการประสานงานกับผู้นำชุมชน การปฏิบัติงานมีข้อจำกัดในเรื่องความปลอดภัยจากความไม่สงบของพื้นที่ การมีอาชีพและมีงานทำจะลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ได้ เป็นต้น 2.ความเหมาะสมของนโยบายด้านการจัดการอาชีวศึกษา เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า (1) สถานศึกษาได้มีการดำเนินโครงการและคัดเลือกโครงการที่เป็นเลิศที่เน้นไปกับเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบทุกสถานศึกษา (2) ความเหมาะสมของโครงการต่อนโยบาย สามารถทำให้ผู้ร่วมโครงการมีความรู้ สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ส่วนการมีรายได้ขอผู้ร่วมโครงการ ขึ้นอยู่กับโอกาสของทุน และงบประมาณในการสนับสนุน สามารถเพิ่มปริมาณผู้เรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ได้ ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่มีความพึงพอใจทุกหลักสูตร และนโยบายมีความเหมาะสมกับพื้นที่ เป็นต้น (3) ความเหมาะสมของนโยบายที่ถูกนำมาจัดทำเป็นโครงการ ควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ฝึกอาชีพได้ประสบความสำเร็จ หาโอกาสให้กับผู้ร่วมโครงการมีช่องทางและทุนในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพได้ ควรมีการสนับสนุนในเชิงบูรณาการจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เน้นการติดตามประเมินผลการนำไปประกอบอาชีพได้จริง เป็นต้น และ (4) โครงการของการปฏิบัติที่เป็นเลิศที่จัดในพื้นที่เป็นหลักสูตรระยะสั้น จัดเป็นกลุ่มอาชีพ เป็นอาชีพที่ต่อเนื่องจากอาชีพในท้องถิ่น มีระยะเวลาการฝึกอบรม ตั้งแต่ 2 วัน ไปจนถึง 15-20 วัน เป็นต้น เหตุผลที่เลือก ตรงกับความต้องการของชุมชน นำไปใช้กับชีวิตจริง และเพิ่มความรู้ความสามารถ/นำไปประกอบอาชีพได้ทั้งตนเองและสมาชิก เป็นต้น ความคาดหวังที่ต้องการในการเรียนวิชาชีพนี้เพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้จริงในชีวิตประจำวัน สร้างรายได้ และลดรายจ่าย เป็นต้น ความพร้อมของสถานศึกษาในด้านความรู้ความสามารถของวิทยากร อยู่ในระดับดีถึงดีมาก วัสดุอุปกรณ์อยู่ในระดับปานกลางถึงดีมาก ขั้นตอนการฝึกอบรมช่วยให้เข้าใจและปฏิบัติได้อยู่ในระดับดี ความสามารถที่ได้รับภายหลังการฝึกอบรมช่วยให้นำไปเป็นอาชีพได้ อยู่ในระดับปานกลางถึงดี อาชีพที่ได้ทำ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในลักษณะมีรายได้เพิ่มมากกว่าเดือนละ 1,000-2,000 บาท และนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ความพึงพอใจในภาพรวม อยู่ในระดับดีถึงดีมาก ความต้องการเพิ่มเติม ได้แก่ ความรู้ ทุน และเทคโนโลยี การตลาด บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ข้อเสนอแนะ ตัวแบบการกำหนดนโยบายสาธารณะ ได้แก่ ตัวแบบสถาบัน ตัวแบบกระบวนการ ตัวแบบกลุ่ม ตัวแบบผู้นำ ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล ตัวแบบส่วนเพิ่ม ตัวแบบทฤษฎีเกม และตัวแบบระบบ หากจะนำมาใช้ในพื้นที่ควรเป็นตัวแบบในแบบผสมผสาน โดยมีข้อมูลจากพื้นที่เป็นตัวกำหนด แต่ในขณะเดียวกันสถานศึกษาเมื่อจะนำไปสู่การปฏิบัติก็ต้องนำไปกำหนดเป็นนโยบายในระดับสถานศึกษาซึ่งจะมีความเป็นรูปธรรมมากกว่าในระดับบน ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวแบบในการกำหนดนโยบายเช่นกัน เพราะการนำไปสู่การปฏิบัติในบางเรื่องนั้น นโยบายระดับบนจะยังไม่ชัดเจนเท่ากับนโยบายระดับสถานศึกษาซึ่งเป็นระดับสุดท้ายก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จในเชิงนโยบายจากระดับบนได้ต่อไป
วรรณภา ติระสังขะ(2559) ความเหมาะสมของนโยบายด้านการจัดการอาชีวศึกษาเพื่อการสร้างงานสร้างอาชีพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนโมเดลเชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) การวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Models) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)ผลการวิจัย พบว่า โมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (2=301.99, df = 131, 2/df=2.305, GFI = 0.983, AGFI = 0.945, RMR = 0.042,RMSEA = 0.044) โมเดล เชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา ประกอบด้วยปัจจัย การบริหารงานเชิงสถานการณ์ ความฉลาดทางอารมณ์การเสริมสร้างพลังอำนาจในการทำงาน และความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ ซึ่งปัจจัยทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 50.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด ได้แก่ การบริหารงานเชิงสถานการณ์ รองลงมาคือ ความฉลาดทางอารมณ์การเสริมสร้างพลังอำนาจในการทำงาน และความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ ตามลำดับ
ไกรรัช เทศมี และสุวรรณา นาควิบูลย์วงศ์ (2558) การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา. วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์. ปีที่ 10 ฉบับที่ 29 พ.ศ.2558 หน้า 73
บทคัดย่อ
บทความนี้นำเสนอแนวคิดภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ทางการจัดการอาชีวศึกษาที่สอดรับกับยุคประเทศไทย 4.0 เป็นการศึกษาถึงคุณลักษณะของผู้นำและการนำเสนอ แนวคิดใหม่ของภาวะผู้นำทางอาชีวศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษายุคประเทศไทย 4.0 จนนำไปสู่ความเป็นผู้นำทางอาชีวศึกษามืออาชีพที่สามารถสร้างภาวะผู้นำในการนำตนเอง นำผู้อื่น และนำการทำงาน เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่ผู้นำมีอยู่ในตัว เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีวิสัยทัศน์ เพื่อพัฒนาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายประเทศไทย 4.0 ซึ่งถือเป็นความท้าทายและเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารอาชีวศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาการอาชีวศึกษาเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในยุคประเทศไทย 4.0
ธีรยุทธ รอสูงเนิน สุวรรณา นาควิบูลย์วงศ์ และพัชรา วานิชวศิน () ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์: ปัจจัยสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษายุคประเทศไทย 4.0. วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน. ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 หน้า 286
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์สำหรับผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษา การดำเนินการวิจัยได้นำผลการศึกษาการพัฒนาตัวบ่งชีภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์สำหรับผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์มาศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์สำหรับผู้บริหารวิทยาลัยโดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ยกร่างแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์โดยมี 3 ขั้นตอนย่อยคือ (1) ศึกษาหลักการ ทฤษฏีและแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำ (2) สัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และ(3) จัดทำร่างแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์ของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบร่างแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์ของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาโดยใช้เทคนิคการหาฉันทามติแบบพหุลักษณะจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน ที่ใช้การเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติ แบ่งเป็น 2 กลุ่มประกอบด้วยกลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มนักปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบประเมินความสำคัญและความจำเป็นของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์
ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่า แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์สำหรับผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาประกอบด้วย 1) ผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีแนวทางในการพัฒนาผู้บริหาร 5 ประเด็น 2) การสร้างเครือข่ายพันธมิตรมีแนวทางในการพัฒนาผู้บริหาร 5 ประเด็น 3) การกระจายภาวะผู้นำมีแนวทางในการพัฒนาผู้บริหาร 7 ประเด็น 4)การคิดแบบโลกาภิวัตน์มีแนวทางในการพัฒนาผู้บริหาร 5 ประเด็น และ5) ความฉลาดทางวัฒนธรรมมีแนวทางในการพัฒนาผู้บริหาร 6 ประเด็น
ปกรณ์ ขันช้อน และกนกอร สมปราชญ์ (2560) การพัฒนาแนวทางเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกาภิวัตน์สำหรับผู้บริหาร วิทยาลัยอาชีวศึกษา. วารสารบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น. ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 พ.ศ.2560 หน้า 225
บทความนี้นำเสนอรูปแบบการทดสอบสมรรถนะทางเลือกสำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาในจังหวัดชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะด้านสมรรถนะทักษะด้านยานยนต์ เพื่อทดแทนแบบทดสอบสมรรถนะในปัจจุบันที่ดำเนินการมานานหลายทศวรรษ ซึ่งผู้เขียนมีความกังวลเกี่ยวกับความสำเร็จของนักเรียนในช่วง การทดสอบสมรรถนะมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงผลการทดสอบสมรรถนะเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานของนักศึกษาในตลาดแรงงาน ในปัจจุบัน โมเดลการทดสอบสมรรถนะที่ประยุกต์ใช้คือโมเดล 'ความต่อเนื่อง' ซึ่งนักเรียนจะได้รับมอบหมายงาน 5 ภารกิจ และควรจะเสร็จสิ้นภายใน 5 ชั่วโมงโดยมีเวลาพักจำกัด แบบจำลองนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับความเหนื่อยล้าและความเครียดของนักเรียน ส่งผลให้นักเรียนสูญเสียสมาธิและสมาธิ ซึ่งส่งผลเสียต่อผลการทดสอบความสามารถของตนเอง ในการศึกษานี้ มีการเสนอแบบจำลองการทดสอบสมรรถนะใหม่ที่เรียกว่าแบบจำลองการทดสอบสมรรถนะ 'ความไม่ต่อเนื่อง' โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาชนะปัญหาของแบบจำลอง 'ความต่อเนื่อง' เพื่อวิจัยผลกระทบของการใช้แบบจำลอง 'ความไม่ต่อเนื่อง' ต่อผลการทดสอบความสามารถของนักเรียนและการจัดการการทดสอบความสามารถของโรงเรียนอาชีวศึกษา การศึกษาได้ดำเนินการในนักเรียน 100 คนและครู 50 คนในโรงเรียนอาชีวศึกษา 10 แห่งทั่วชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย ผลการวิจัยพบว่าแบบจำลองการทดสอบสมรรถนะ "ความไม่ต่อเนื่อง" ช่วยให้คะแนนการทดสอบสมรรถนะของนักเรียนมีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลเนื่องจากการนำแบบจำลอง 'ความไม่ต่อเนื่อง' มาใช้ทำให้นักเรียนมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงสำหรับภารกิจด้านความสามารถแต่ละอย่าง หากไม่มีช่วงพัก ระดับความเหนื่อยล้าและความเครียดของนักเรียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนสุดท้ายของความสามารถของนักเรียน นอกจากนี้ การวิจัยครั้งนี้ยังได้เสนอการจัดการการทดสอบสมรรถนะแบบใหม่อีกด้วย
Abdurrahman , Parmin , Stefanus Muryanto (2022) Evaluation on the automotive skill competency test through ‘discontinuity’ model and the competency test management of vocational education school in Central Java, Indonesia. kementerian pendidikan dan kebudayaan universitas negeri semarang