การละเล่นพื้นบ้านภาคใต้
การละเล่นพื้นบ้านภาคใต้
ผู้เล่นมีจำนวน ๒ คน หรือเป็นทีมก็ได้ สถานที่เล่น ในที่ร่ม ใช้พื้นที่เรียบ ๆ เช่น พื้นซีเมนต์ พื้นกระดาน หรือพื้นโต๊ะ ซึ่งผู้เล่นจะเอายางเส้น (ยางวง) จะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หรืออาจจะเป็นวงสีต่าง ๆ อยู่ที่ความชอบ ได้แก่ สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล เป็นต้น นำมาวางบนพื้นคนละ ๑ เส้น ให้อยู่ห่างกันประมาณ ๑ ฟุต ผู้เล่นจะผลัดกันเป่ายางเส้น (ยางวง) ของตนไปข้างหน้าทีละน้อย ๆ จนยางเส้นทั้งสองมาอยู่ใกล้กันผุ้เล่นคนใดเป่าให้ยางเส้นของตนไปทับยางเส้นของฝ่ายตรงข้ามได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายแพ้จะต้องจ่ายรางวัลให้กับผู้ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยางเส้น (ยางวง) แต่อาจให้รางวัลอื่น ๆ ก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน
ที่มา: https://karnlalenthai.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9A/
๑) ผู้เล่นนั่งคนละข้างกับรางหมากขุม แต่ละคนใส่ลูกหมากหลุมละ ๗ ลูก ทั้ง ๗ หลุม ส่วนหลุมหัวเมืองไม่ต้องใส่ให้เว้นว่าง
๒) การเดินหมาก ผู้เล่นจะเริ่มเดินพร้อมกันทั้ง ๒ ฝ่าย เรียกว่า แข่งเมือง โดยหยิบลูกหมากจากหลุมเมืองของตนหลุมใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะหยิบหลุมสุดท้ายของฝ่ายตนเอง เพราะคำนวนว่าเม็ด
เล่น เดินหมากอย่างนี้จนลูกหมากเม็ดสุดท้ายหมดลงในหลุมที่เป็นหลุมว่าง ถือว่าหมากตาย ถ้าเดินหมากตายในหลุมเมืองของฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าสิ้นสุดการเดินหมาก แต่ถ้าตายในหลุมเมืองฝ่ายตนเอง
ที่มา : https://traditional-objects.sac.or.th/th/equipment-detail.php?ob_id=427
นำเอาเมล็ดของมะม่วงหิมพานต์มาใช้ขว้างเล่นกัน ซึ่งเมล็ดมะม่วงหิมพานต์นี้สามารถนำไปใช้รับประทานได้ นิยมเล่นกันในหมู่เด็กชาย เป็นการเล่นสนุกสนานในลักษณะการพนันเอาเมล็ดมะม่วงหิมพานต์กัน แต่พบว่ามีการเล่นในลักษณะการขว้างปาให้ถูกเป้าหมายกันแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกว่า “ปากอง” ในสมัยรักาลที่ ๖ พบว่ามีการเล่นปาแม่นในการแข่งขันกรีฑานักเรียนจังหวัดต่างๆ ด้วย
ที่มา : https://skp.ac.th/ONet/306/southern/www/Pe.html
ผู้เล่นตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้เล่นก่อนหลัง โดยผู้เล่นมีลูกเกยคนละลูก หลังจากนั้นก็ขีดตารางเป็นช่องสี่เหลี่ยมจำนวน ๖ ช่อง หรือเรียกว่า ๖ เมือง โดยแบ่งเป็นซีกซ้าย ๓ เมือง ซีกขวา ๓ เมืองการเริ่มเล่น ผู้เล่นคนที่ ๑ เริ่มเล่นโดยการทอยลูกเกยลงไปในเขตเมืองที่ ๑ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ หลังจากนั้นใช้ปลายเท้าฉุดลูกเกยให้ผ่านไปในเขตเมืองที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ตามลำดับแล้วก็ฉุดลูกเกยออกจากเขตเมืองที่ ๖ ต่อไปผู้เล่นคนเดิม ต้องทอยลูกเกยลงในเมืองที่ ๒ แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่ ๑ กระโดดต่อไปในเมืองที่ ๒
ที่มา : https://www.openbase.in.th/node/8003
๑) เมื่อสัญญาณการเล่นเริ่มขึ้นทุกคนจะกอบหรือกำของที่อยู่ตรงหน้านั้น โดยไม่ให้คนอื่นเห็นว่ามีจำนวนเท่าใด
๒) ให้ทายที่คนว่าของในมือของทุกคนเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนเท่าใด
๓) เมื่อทายเสร็จทุกคนแบมือออกและนับของในมือของทุกคน ใครทายถูกได้เป็นกรรมสิทธิ์ในของนั้น ถ้าทายถูกหลายคนใช้วิธีหารแบ่งกัน ถ้ามีเศษให้รวมไว้เป็นกองกลาง เพื่อเป็นเล่นหนต่อไป
ที่มา : https://www.openbase.in.th/node/8015
นำลูกพลา (ผลไม้ป่ามีลักษณะผลเป็นช่อคล้ายมะเขือพ่วงแต่ลูกเล็กกว่าอัดเข้าไปในกระบอกฉับโผง แล้วใช้มือข้างหนึ่งถือกระบอกฉับโผง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งด้ามจับสอดปลายด้ามจับกระทุ้งไปด้านหน้าแรง ๆ ให้แรงอัดดัดลูกพลาพุ่งออกไปนอกกระบอก
ที่มา :http://www.m-culture.in.th/album/168021/js/
ลูกลม หรือกังหันลม เป็นของเล่นชนิดหนึ่ง มีเล่นกันทั่วไปในชนบทที่เป็นท้องทุ่ง มี 2 ลักษณะ คือเป็นลูกลมถือวิ่ง กับลูกลมที่ “ทง” คือผูกติดไว้บนยอดไม้ใหญ่ หรือใช้ลำไม้ไผ่เป็นเสาแทนต้นไม้ ที่ตำบลนาหมื่นศรี อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง มีท้องทุ่งกว้างใหญ่ ที่มีอาณาเขตติดต่อกับท้องทุ่งตำบลอื่น ๆ เช่น ตำบลนาพละ และตำบลนาโยงใต้ หรือเรียกรวม ๆ ว่าท้องทุ่งลุ่มน้ำคลองนางน้อย คนอายุ 90 กว่าปีในวันนี้เล่าว่าเกิดมาพอจำความได้ก็เห็นเขาทงลูกลมกันแล้ว ต่อมาหายไปนานหลายปี เพิ่งกลับมาฟื้นฟูกันใหม่
ที่มา : https://www.andamannlttrang.com/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5/
พอแสดงลวดลายร่ายรำ กระทืบเท้า ตบมือ ตบขา ขู่สำทับดูชั้นเชิงกันพอสมควรแล้ว ดนตรีจะประโคมเร่งเร้าให้นักซีละคึกคะนอง นักซีละก็จะขยับเข้าใกล้กันและหาจังหวะเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน เพื่อให้คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ เช่น หาจังหวะใช้มือหรือเท้าฟาดลำตัวหรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของคู่ต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้เตะ อีกฝ่ายหนึ่งก็มักแก้โดยการใช้มือผลักหรือปัดขาคู่ต่อสู้แล้วชกสวนตรงหน้า หรือลำตัวอย่างฉับไว หรือหาจังหวะที่จะใช้น้ำหนักตัวทุ่มทับลงบนบ่า คู่ต่อสู้ก็พยายามต่อสู้แล้วขัดขาให้คู่ต่อสู้ล้ม
ที่มา : https://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=4938&filename=index
แบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย เท่าๆ กัน และมีกรรมการหนึ่งคน ผูกเศษผ้าไว้ตรงกลาง ระหว่างเชือก (อาจเป็นผ้าสีเหลือง) ขีดเส้นแบ่งเขตแดนของทั้งสองฝ่าย จากนั้นให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายเข้ายืนประจำที่ และจับเชือกขึ้นมาระดับเอว และเมื่อกรรมการให้สัญญาณ ผู้เล่น (คนดึง) จะพยายามดึงให้มายังฝั่งของตัวเอง ถ้าฝั่งไหนสามารถดึงข้ามมายังดินแดนตัวเองได้เป็นฝ่ายชนะ
ที่มา : http://www.m-culture.in.th/album/view/181264/
ลิเกป่ามีนายโรงเช่นเดียวกับหนังตะลุง และมโนราห์ และโร สำหรับการแสดงก็คล้ายกับโรงมโนราห์ ผู้แสดงลิเกป่า คณะหนึ่งมีประมาณ 6 - 8 คน ถ้ารวมลูกคู่ด้วยก็จะมีจำนวนคนพอ ๆ กับมโนราห์หนึ่งคณะ การแสดงจะเริ่มด้วยการโหมโรง "เกริ่นวง" ต่อจากเกริ่นวงแขกขาวกับแขกแดงจะออกมาเต้นและร้องประกอบ โดยลูกคู่จะรับไปด้วย หลังจากนั้นจะมีผู้ออกมาบอกเรื่อง แล้วก็จะเริ่มแสดงเลย
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2
ขั้นตอนที่ ๑
- ท่าออกเมื่อออกมาถึงกลางเวทีโค้ง ทำความเคารพผู้ชม หรือภาษามลายูถิ่น หมายถึงการซาลาม
- ท่าเตรียมหรือท่าเบสิก (ท่าพื้นฐาน)
- ท่าเข้าดอก (การแปรแถวให้มีลักษณะเป็นกลีบดอกไม้)
ขั้นตอนที่ ๒ - ท่ารำวง
- ท่าแดเจ๊าะ
- ท่าโปรยดอกไม้
- ท่าเกล็ดปลายาว
- ท่าเกล็ดปลาสั้น
- ท่ารองเง็ง
- ท่าดอกรัก
ที่มา :http://mculture.in.th/album/180092/%E0%B8%8B%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%87
หมาชิงมุม หรือหมาชิงเสา เป็นการเล่นของเด็ก มีวิธีเล่นคล้ายลิงชิงหลัก คือ มีผู้เล่น 5 คน และมีหลักปักไว้ 4 ต้น หรืออาจเขียนเครื่องหมายบนพื้น 4 ทิศ ให้อยู่ห่างกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เพื่อความสะดวกอาจใช้เสาศาลาพักร้อนหรือเสาของอาคารที่ไม่มีสิ่งกีดขวางก็ได้
ที่มา : google
เป็นการเล่นเสี่ยงทายคัดเลือกคนออกไปจากวงโดยการนับและใช้นิ้วชี้ไปยังมือ หรือนิ้วของผู้เล่น จำนวนผู้เล่นตั้งแต่ ๓-๑๐ คน สถานที่เล่นนิยมเล่นในร่ม ก่อนเริ่มเล่นต้องเสี่ยงทายคนจี้เสียก่อน เมื่อได้ตัวคนจี้แล้ว ผู้เล่นทุกคนรวมทั้งผู้จี้ด้วยต้องนั่งล้อมเป็นวงกลม คว่ำฝ่ามือทั้ง ๒ ข้างลงบนพื้นข้างหน้ายกเว้นคนจี้จะคว่ำฝ่ามือลงข้างเดียว อีกข้างหนึ่งจะใช้สำหรับจี้หลังมือทุกมือที่วางอยูในวง โดยเริ่มจี้จากมือของตนเองก่อน ขณะที่จี้ผู้เล่นช่วยกันร้องเพลงประกอบการเล่น ๑ พยางค์ต่อการจี้ ๑ ครั้ง
ที่มา : https://www.openbase.in.th/node/8057
จำนวนผู้เล่นได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป หรือจะแบ่งเป็นทีมก็ได้ หากเล่นหลายคนต้องตกลงกันก่อนว่าใครจะเป็นผู้เล่นคนแรก
วิธีการที่ใช้ตัดสินว่าใครจะได้เริ่มเล่นก่อน ได้แก่ โอน้อยออก เป่ายิงฉุบ หรือ ใช้วิธีหมากล้าน(ขึ้นร้าน) โยนก้อนหินทั้งหมดขึ้นแล้วใช้ฝ่ามือรับใครรับได้จำนวนมากกว่าก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
มี 9 ขั้น จะเรียกแต่ละขั้นว่า “หมาก” หรือแปลว่า ตา ได้แก่ หมาก 1 / หมาก 2 / หมาก 3 / หมาก 4 / หมากจุ๊บ / หมากเล็กใหญ่ / หมากคาย / หมากแกง และหมากล้าน
ที่มา: https://traditional-objects.sac.or.th/th/equipment-detail.php?ob_id=469
เริ่มด้วยดนตรีโหมโรงพ่อโนราว่าบทกาศครู จากนั้นก็เริ่มแต่งตัว ขณะแต่งตัว เมื่อนุ่งผ้านุ่งผ้าใส่ปีกเสร็จแล้วจะนั่งว่าบท เมื่อแต่งตัวเสร็จพ่อโนราจะลุกขึ้นรำโดยมีนางโนรา ๑ คู่ รำตามหลัง การรำนี้ จะไม่รำเป็นท่าแบบโนราทั่วไป แต่จะรำเป็นเพลงมีการรำเคล้ารำบทกับนางรำ สลับการรำบท มีการ "ทำบท" แบบโนราทั่วไป โดยมีนางโนราทั้ง ๒ คน ร้องรับและโต้ตอบ เมื่อพ่อโนรานั่งว่าบทนางโนราทั้งสองจะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า การร้องโต้ตอบกันนั้นถ้าเป็นโนราที่เป็นคนไทยล้วนจะร้องโต้ตอบกันเป็นภาษาไทยบ้าง มลายูบ้าง เมื่อร้องทำบทหรือเพลงเสร็จจะเป็นการแสดงเรื่องต่อไป
ที่มา: http://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5977&filename=i.