วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 1
การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัล ตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี
Creator
Name: ทนงศักดิ์ สุขกาย
Organization : ผู้วิจัย
Subject
keyword: ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลโรงเรียนมัธยมศึกษา 2) ศึกษาวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ 3) เสนอวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นงานวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) ระหว่างงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) และงานวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitive Research) โดยใช้สถิติคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 290 คน 5 โรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี ภาพรวมทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมาก คือ การสร้างแรงบันดาลใจด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญาด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์และข้อที่มีอยู่ในระดับต่ำสุด ได้แก่ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2) การบริหารตามหลักไตรลักษณ์ควรมีการพัฒนาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผู้นำสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ ในการเข้าอยู่ร่วมสมัย และสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงขององค์กร โดยการไม่ยึดติดในตำแหน่ง ทุกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การโดยยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถและศักยภาพของเพื่อนร่วมงานภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคดิจิทัล 3) ทักษะของภาวะผู้นำยุดิจิทัลที่จะประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ผู้นำต้องมีความก้าวหน้าตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่อย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการทำงานในยุคปัจจุบัน ผู้นำที่ดีนั้นจะสามารถนำพาองค์กรไปได้อย่างถูกทิศทาง และสร้างให้องค์กรประสบความสำเร็จในที่สุด ในขณะเดียวกันก็สามารถนำพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปได้อย่างถูกทิศทางเช่นกัน พร้อมทั้งมอบหมายงานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทนงศักดิ์ สุขกาย. (2563). การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัล ตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขต
ปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี . วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 2
Title
การพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี
Creator
Name: ทรงวุฒิ มงคลดี
Organization : ผู้วิจัย
Subject
keyword: ภาวะผู้นำทางวิชาการ
Description
Abstract: การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี” มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงผสานวิธี ใช้กลุ่มตัวอย่างครู 161 คน ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้สถิติวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์เนื้อหาการสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า 1. ครูมีความคิดเห็นต่อสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการในปัจจุบันของครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม และทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรที่บูรณาการทักษะชีวิต การใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมกิจกรรมตามหลักสูตร การปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การบูรณาการหลักสูตรสู่การจัดการเรียนการสอน และการสร้างเครือข่ายชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสู่การพัฒนาผู้เรียน ตามลำดับ 2. วิธีพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี ด้านการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามหลักอริยสัจ 4โดยมีการวิเคราะห์ผู้เรียน วิเคราะห์กระบวนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ จัดหาแหล่งเรียนรู้และประสบการณ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 3. แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 ด้านการวิเคราะห์สาเหตุปัญหาและกลยุทธิ์ในการแก้ปัญหาในด้านงานวิชาการ (ทุกข์) ครูมีการวางแผนและออกแบบการจัดการเรียนรู้ร่วมกันโดยยึดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักและหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการค้นคว้าหาความรู้และทรัพยากรเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาการแก้ปัญหา (สมุทัย) ครูมีการวางแผน ระดมความคิด เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยมีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองในเรื่องที่ต้องการจะแก้ปัญหา ตลอดจนทรัพยากรที่จะใช้ในการแก้ปัญหา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจของงานนั้นๆ ด้านการบริหารจัดการบรรยากาศทางวิชาการ (นิโรธ) สถานศึกษาและครูดำเนินการตามแผนงาน ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ผู้เรียนโดยเน้นการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านทักษะการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางวิชาการตามกรอบการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการของสถานศึกษา (มรรค) ครูมีการสรุปผลการดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางวิชาการของสถานศึกษา กิจกรรมตามหลักสูตร เพื่อนำเสนอแนวทางที่ดีและเป็นแบบอย่างได้ เผยแพร่สู่ชุมชนของผู้ร่วมวิชาชีพ ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา
ทรงวุฒิ มงคลดี. (2565). การพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูวิทยาศาสตร์ตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดปทุมธานี. วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 3
การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์
Creator
Name: โชติกา ศิริบุญ
Organization : ผู้วิจัย
Subject
keyword: no
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา 2. เพื่อศึกษาหลักการและวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตร ในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา และ 3. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้กลุ่มตัวอย่างครู จำนวน 191 คน เก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามความคิดเห็น ใช้สถิติวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงส่วนเบนมาตรฐาน และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อนำผลจากการสัมภาษณ์มาสนับสนุนงานวิจัยเชิงปริมาณเกี่ยวกับหลักการและวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 ผลการวิจัย พบว่า 1. ครูมีความคิดเห็นต่อสภาพภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านสมรรถนะ ด้านผลสัมฤทธิ์ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการมีส่วนร่วมและด้านการสื่อสารตามลำดับความสำคัญของสภาพภาวะผู้นำในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ 2. การศึกษาหลักการและวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ มีดังนี้ 1. ศรัทธาในวิชาชีพ 2. มีศีลธรรม 3. มีการศึกษาดี 4. มีความเสียสละ 5. มีความเพียร 6. มีสติปัญญา และ 7. มีคุณสมบัติกัลยาณมิตรตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ได้แก่ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล ในการนำหลักการและวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 3.1 ปิโย (น่ารัก) ผู้นำควรศึกษาพัฒนาบุคลิกภาพ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีจิตใจดีงาม ในเบื้องต้น ของความเป็นภาวะผู้นำให้ดียิ่งขึ้น 3.2 ครุ (น่าเคารพ) ผู้นำควรมีวิสัยทัศน์ จริยวัตรดีงาม วางตนน่าเคารพ มีความหนักแน่น เมื่อเข้าใกล้รู้สึกอบอุ่น และมั่นใจต่อตนเองในความปลอดภัย 3.3 ภาวนีโย (น่ายกย่อง) ผู้นำควรปรับทัศนคติตื่นตัวต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษาในศตวรรษที่ 21 3.4 วัตตา (รู้จักใช้คำพูด) ผู้นำต้องเข้าใจวิธีการสื่อสารให้ได้ผลให้สอดคล้องกับสถานการณ์และจริตของแต่ละบุคคล มีควากระจ่างสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรและทุกคนได้ 3.5 วจนักขโม (มีความอดทน) ผู้นำต้องอดทน เป็นนักต่อสู้ ไม่ท้อถอย รับฟังปัญหา อุปสรรคต่างๆ ไม่โกรธ ไม่ฉุนเฉียว ไม่หงุดหงิด ด้วยจิตใจมั่นคง เพราะผลเกิดขึ้นจากการฝึกพัฒนาจิตให้เป็นสมาธินั่นเอง 3.6 คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา (ใช้ถ้อยคำลึกซึ้ง) ผู้นำต้องมีศิลปะอธิบายขยายความได้ลึกซึ้ง อย่างสุขุม ลุ่มลึก รอบรู้ ให้เข้าใจอย่างเป็นรูปธรรมแก่บุคลากรและทุกคนหายสงสัยได้ 3.7 โน จัฏฐาเน นิโยชะเย (ชักนำไปในทางที่ดี) ผู้นำควรนำหลักการและวิธีการหลีกเลี่ยง ไม่ชี้นำบุคลากรให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียได้
โชติกา ศิริบุญ.(2564). การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรในศตวรรษที่ 21 สำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์. วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์
วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
Keywords: รูปแบบการบริหาร, สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา, ประสิทธิผลของสถานศึกษา
ABSTRACT
งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจรูปแบบการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถาบันการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) ศึกษาระดับรูปแบบการจัดการ สังกัดสำนักงานมัธยมศึกษาตอนต้น เขตพื้นที่บริการ กทม. เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับความมีประสิทธิผลของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการจัดการกับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 4) ศึกษารูปแบบการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ อาจารย์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาระดับมัธยมศึกษา กทม.เขต 1 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้ตารางขนาดกลุ่มตัวอย่าง Crazy and Morgan จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน
ผลการวิจัยพบว่า
รูปแบบการบริหารงานในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑ โดยรวมและแต่ละด้านอยู่ในระดับสูง (=3.93)
ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับสูง (=3.76)
รูปแบบการจัดการโดยรวมเกี่ยวข้องกับประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร มีค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.746 โดยรวมแล้วมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.746
รูปแบบการบริหารโดยรวมมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 3. รูปแบบการบริหารสถานศึกษา 2 รูปแบบ คือ แบบบุคคลในองค์กร แบบสิ่งแวดล้อม สามารถทำนายประสิทธิภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์หลายค่า (R) เท่ากับ 0.772 และมีประสิทธิภาพการคาดการณ์โดยรวม (R 2) จาก 0.597 ค่าเผื่อมาตรฐาน (SEest) คือ 0.337 สามารถมีส่วนร่วมในการประเมินประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 59.70% โดยรูปแบบการจัดการทั้งสองฝ่าย ค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ในคะแนนดิบ (ข) เท่ากับ 1.052, 0.490, 0.202, ตามลำดับ และค่าคงที่ของสมการพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) คือ 1.052 สามารถเขียนได้เป็นสมการถดถอยพหุคูณในคะแนนดิบคือ Y= 1.052 + .490X3 + .202 X2 และสมการถดถอยพหุคูณในคะแนนมาตรฐานคือ Zy = .572X3 + .225X2
กรุณา ภู่มะลิ. (2557). ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลโรงเรียนขนาดเล็กในภาคตะวันออก. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 8(1), 158-172.
กันทิมา ชัยอุดม. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยบูรพา.
บุญชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว. (2553). การวิจัยเบื้องต้น (ฉบับปรับปรุงใหม่) (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2557). แนวทางการบริหารโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30, 607-610.
Hoy, Wayne K. and Cecil G, Miskel. (2001). Educational Administration : Theory, Research and Practice. 6th ed. N.Y.: Mc Graw–Hill International Edition.
The relationship between conflict management of school administrators and morale on performance of teachers under Samut Sakhon Primary Educational Service Area Office
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร
Authors
วีรญาณ์ รุ่งเรือง
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
Keywords: การบริหารความขัดแย้ง, ผู้บริหารสถานศึกษา, ขวัญในการปฏิบัติงานของครู
ABSTRACT
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาขวัญในการปฏิบัติงานของครู และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญในการปฏิบัติงานของครู เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมสมุทรสาคร จำนวน 332 คน โดยมีผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 14 คน และครูผู้สอน 318 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้บริหารระดับสูงของประธานบริหารของบางครั้งโดยส่วนใหญ่มักจะพิจารณาจากด้านต่างๆ ที่มี 3 ด้านมาก และ 2 ด้านที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ประนีประนอม การไกล่เกลี่ยการเผชิญหน้า
2. ขวัญในคำถามของครูโดยมองข้ามคำถามเหล่านี้มากเมื่อพิจารณาจากด้านที่มี 1 แง่มุมมากที่สุด และ 9 แง่มุมต่อไปนี้โดยมากเป็นตัวอย่างจากมากที่พบน้อยดังนี้ ครูจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการของเวลาที่เห็นได้ชัดจากชุมชน ความสามัคคีระหว่างครูด้วยกันหลักสูตรการเรียนรู้ ให้การสนับสนุนข้อมูลจากชุมชนปริมาณงานเงินเดือน และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างครูกับผู้บริหาร
3. ผู้บริหารงานของผู้ปฏิบัติงานให้กับเพื่อนร่วมงานเสมอกับเพื่อนร่วมงานในครู โดยรวมทั้งหมดจะรวมกันทางบวกในฐานข้อมูลที่สำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
REFERENCES
เขมมารี รักษ์ชูชีพ. (2553). ทฤษฎีองค์การ. กรุงเทพฯ : ทริปเพิ้ล กรุ๊ป.
ณัฐชนัญ รัตนกิจวรพงศ์. (2562). แนวทางการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2. วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 15, 68-78.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. (2560). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบสอง พ.ศ. 2560 – 2564. กรุงเทพฯ : ผู้แต่ง.
สิญาธร นาคพิน และวิลาวัณย์ สมบูรณ์. (2562). การบริหารความขัดแย้งในองค์กรภาครัฐ ยุคประเทศไทย 4.0. วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี, 6, 21-46.
Muskita, C. & Kazimoto, P. (2017). Workplace environment and employee morale: A study of selected organizations in Jakarta, Indonesia. Human Behavior, Development and Society, 16, 108-117.
Johnson, D. W. & Johnson, F. P. (2003). Joining together: Group theory and group skills. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall.
Bentley, R. R. & Rempel, A. M. (1967). Changing teacher morale: An experiment in feedback of identified problems of teachers and principals. Washington: Office of Education, Department of Health, Education, and Welfare.
Wolman, B. B. (1973). Dictionary of behavioral science. New York: Van Nostrand Reinhold.
วีรญาณ์ รุ่งเรือง (2564) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร. วารสารวารสารสิรินธรปริทรรศน์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม–ธันวาคม 2565 หน้าที่ 225-237.
ทนากร ศรีก๊อ
Western University
ชุติมา มุสิกานนท์
เด่น ชะเนติยัง
การวิจัยแบบผสมเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบแนวทางการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 3) เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของรูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการเดลฟาย โดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารหลักสูตรปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 21 คน โดยใช้เทคนิคการบอกต่อ ขั้นตอนที่ 2 การสนทนากลุ่ม ซึ่งผู้วิจัยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา จำนวน 8 คน มาจัดสนทนากลุ่ม ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความคิดเห็น รูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาเอก ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 100 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเชื่อมั่น วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามทั้งฉบับ โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค มีค่าเท่ากับ .974 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และวิเคราะห์เนื้อหา การวิจัยแบบผสมเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบแนวทางการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 3) เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของรูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการเดลฟาย โดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารหลักสูตรปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 21 คน โดยใช้เทคนิคการบอกต่อ ขั้นตอนที่ 2 การสนทนากลุ่ม ซึ่งผู้วิจัยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา จำนวน 8 คน มาจัดสนทนากลุ่ม ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความคิดเห็น รูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาเอก ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 100 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเชื่อมั่น วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามทั้งฉบับ โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค มีค่าเท่ากับ .974 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ประกอบด้วยปัจจัยนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ประกอบด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. อาจารย์ 2. นิสิตนักศึกษา 3. ผู้บริหารหลักสูตร 4. ทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ ปัจจัยด้านกระบวนการ ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และ การบริหารจัดการ ปัจจัยด้านผลผลิต ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ คุณภาพวิทยานิพนธ์และการตีพิมพ์เผยแพร่ และคุณภาพของดุษฎีบัณฑิต ปัจจัยบริบทของหลักสูตร ประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. วัตถุประสงค์ของหลักสูตร 2. โครงสร้างหลักสูตร 3. รายวิชาหลักสูตร ผลการประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พบว่า รูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี
ทนากร ศรีก๊อ .(2018). รูปแบบการจัดการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารการศึกษา ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน. Princess of Naradhiwas University Journal of Humanities and Social Sciences, 5(1), 36–46.
Abstract
Teachers are among the most important players in the successful implementation of inclusive education. This study aimed to examine Saudi Arabian teachers’ intentions to implement inclusive education and the influence of their demographics, attitudes, self-efficacy, perception of support, and concerns related to inclusive education on their intention. This study included 125 in-service special and general education teachers. The regression analysis results revealed that teachers’ self-efficacy and majors (special education vs. general education) significantly influenced their intentions to implement inclusive education in regular classrooms. Finally, we discuss the results and their implications for research and practice.
ครูเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สําคัญที่สุดในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมที่ประสบความสําเร็จ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความตั้งใจของครูชาวซาอุดิอาระเบียในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมและอิทธิพลของข้อมูลประชากรทัศนคติการรับรู้ความสามารถของตนเองการรับรู้การสนับสนุนและข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแบบเรียนรวมตามความตั้งใจของพวกเขา การศึกษานี้รวมครูการศึกษาพิเศษและการศึกษาทั่วไปในบริการ 125 คน ผลการวิเคราะห์การถดถอยพบว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองและวิชาเอกของครู (การศึกษาพิเศษกับการศึกษาทั่วไป) มีอิทธิพลอย่างมีนัยสําคัญต่อความตั้งใจของพวกเขาที่จะใช้การศึกษาแบบเรียนรวมในห้องเรียนปกติ สุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงผลลัพธ์และความหมายสําหรับการวิจัยและการปฏิบัติ
Hussain A. Almalky ,Abdalmajeed H. Alrabiah (2024). Predictors of teachers’ intention to implement inclusive education. Children and Youth Services Review Volume 158, March 2024, 107457