ScholarAI: https://scholarai.io/
Paperpal: https://paperpal.com/
Jenni AI: https://jenni.ai/
SciSpace: https://typeset.io/ (ชื่อเดิม SciSpace)
Brittle - โลกที่เปราะบาง ไม่ยั่งยืน และถูก disrupt ได้โดยง่าย ไม่เว้นแม้แต่ความสำเร็จทางธุรกิจ ดังนั้นองค์กรจึงควรเสริมความเปราะบางนี้โดยการเพิ่ม Soft Skill, Hard Skill และ Digital Skill ให้แก่พนักงาน เพื่อให้มีศักยภาพที่จะรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ตัวผู้นำเองก็ต้องก้าวทันเทคโนโลยีด้วยการพัฒนาระบบขององค์กรให้ทันสมัย ไม่เว้นช่องว่างให้เกิดการแทนที่กันทางธุรกิจ จึงจะช่วยให้พนักงานและองค์กรมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
Anxious - โลกที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ไม่เพียงแต่เฉพาะชีวิตส่วนตัว แต่ในการทำงานก็เช่นกัน ส่งผลต่อสุขภาพจิต เกิดความเครียดและทรมานจากอาการ Burn out มากขึ้น องค์กรจึงควรมีวิธีในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานด้วยความเข้าอกเข้าใจ สร้าง mindset ให้ทุกคนในองค์กรมีสติพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
Nonlinear - โลกที่ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเส้นตรง หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด ขาดตรรกะ และไม่เป็นเหตุเป็นผล ในสถานการณ์เช่นนี้ องค์กรควรปฏิรูปรูปแบบการทำงานใหม่ให้มีความยืดหยุ่น ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้พนักงานเคยชินกับรูปแบบเดิมๆ นานเกินไปจนปรับเปลี่ยนตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน พัฒนาทีมทำงานให้ทันโลกอยู่เสมอ
Incomprehensible - โลกที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก ในภาวะที่ทุกอย่างไม่ได้มีความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผล ข้อมูลข่าวสารไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนมีปริมาณมากและซับซ้อน ทำให้การวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือสรุปเป็นไปได้ยาก องค์กรจำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ Big Data เข้ามาช่วยในการทำงาน และบางครั้งการวางแผนระยะยาวอย่างละเอียดอาจไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป
หากมีอาการโควิด 19 ควรทำอย่างไร ?
หากมีอาการของโรคที่เกิดขึ้นตาม 5 ข้อดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด และเมื่อแพทย์ซักถามควรตอบตามความเป็นจริง ไม่ปิดบัง ไม่บิดเบือนข้อมูลใด ๆ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องมากที่สุด
หากเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรกักตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 14-27 วัน เพื่อให้ผ่านช่วงเชื้อฟักตัว (ให้แน่ใจจริง ๆ ว่าไม่ติดเชื้อ)
วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
ระมัดระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่ รวมถึงสิ่งที่มีคนจับบ่อยครั้ง เช่น ที่จับบน BTS, MRT, Airport Link ที่เปิด-ปิดประตูในรถ กลอนประตูต่าง ๆ ก๊อกน้ำ ราวบันได ฯลฯ เมื่อจับแล้วอย่าเอามือสัมผัสหน้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋า ฯลฯ
ล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% (ไม่ผสมน้ำ)
งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
รับประทานอาหารสุก สะอาด ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา
ที่มา https://www.gj.mahidol.ac.th/main/covid19/covid19is/
ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
ความรู้ COVID19, ความรู้ทั่วไป
ไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 คืออะไร ?
ไวรัสโคโรนา (Coronavirus) เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19) นั่นเอง
อาการเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสโควิด-19
อาการของไวรัสโควิด-19 ที่สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
1. มีไข้
2.เจ็บคอ
3.ไอแห้ง ๆ
4.น้ำมูกไหล
5.หายใจเหนื่อยหอบ
สัญญาณ Covid-19 สรุปจากสาธารณสุข !!!
อาการวันต่อวัน...สังเกตกันด้วยค่ะ !!
💊วันที่ 1-3
1. คล้ายหวัด
2. ปวดในคอเล็กน้อย
3. ไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย
4. กิน/ดื่มปกติ
💊วันที่ 4
1. เจ็บคอเล็กน้อย
2. พูดเริ่มเจ็บในคอ
3. ไข้ดูปกติ 36.5°C
4. รบกวนกับการกิน
5. ปวดหัวเล็กน้อย
6. ท้องเสียออ่อนๆ
7. รู้สึกเหมือนเมา
💊วันที่ 5
1. ปวดในคอ พูด_เจ็บ
2. อ่อนเพลียเล็กน้อย
3. ปรอทไข้ 36.5° -36.7°C
3. อ่อนเพลีย ปวดข้อต่อ
💊วันที่ 6
1. ปรอทไข้ 37 ° C+
2. ไอแห้ง
3. ปวดคอขณะกิน/พูด
4. อ่อนเพลีย คลื่นไส้
5. หายใจลำบากเป็นครั้งคราว
6. นิ้วรู้สึกเจ็บปวด
7. ท้องร่วง อาเจียน
💊วันที่ 7
1. มีไข้ 37.4° -37.8°C
2. ไอต่อเนื่อง มีเสมหะ
3. ปวดร่างกาย/ศีรษะ
4. ท้องร่วงมาก
5. อาเจียน
💊วันที่ 8
1. ไข้ 38°C+++
2. หายใจลำบาก
3. ไอต่อเนื่อง
4. ปวดหัว ข้อต่อ กล้ามเนื้อ
5. ง่อยและปวดก้น
💊วันที่ 9
1. ไม่ดีขึ้น และแย่ลง
2. ไข้สูงมาก
3. อาการทรุดลงมาก
4. ต้องต่อสู้เพื่อหายใจ
🔬อาการในวันที่ 9 ต้องตรวจเลือด CT Scan ทรวงอก🔬
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19
เด็กเล็ก (แต่อาจไม่พบอาการรุนแรงเท่าผู้สูงอายุ)
ผู้สูงอายุ
คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง
คนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือกินยากดภูมิต้านทานโรคอยู่
คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมาก (คนอ้วนมาก)
ผู้ที่เดินทางไปในประเทศเสี่ยงติดเชื้อ เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อิตาลี อิหร่าน ฯลฯ
ผู้ที่ต้องทำงาน หรือรักษาผู้ป่วย ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
ผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ลูกเรือสายการบินต่าง ๆ เป็นต้น
โรงเรียนจะจัดการเรียนการสอนรูปแบบใด ให้ได้ผลดีที่สุด ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สวัสดีครับ คุณครูและท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมมีบทความสาระดีๆเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาฝากคุณครูและท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ส่งผลให้การเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เลื่อนออกไปจากเดิม (17 พฤษภาคม 2564) เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการเองจะได้ประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ว่าจะสามารถเปิดภาคเรียนได้หรือไม่ และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไม่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อาจจะส่งผลให้โรงเรียนได้จัดรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน โดยโรงเรียนจะต้องคำนึงถึงความพร้อมและความปลอดภัยของนักเรียน และครูเป็นสำคัญ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งวันนี้ ครูอัพเดตดอทคอม ได้สรุปย่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้ง 5 รูปแบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. On-site : การจัดการเรียนการสอนแบบปกติที่โรงเรียน (มาตรการ ศบค.) คือ การจัดการเรียนการสอนแบบปกติที่โรงเรียน โดยโรงเรียนสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขจังหวัดอย่างเคร่งครัด และมีเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
1.1) นักเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนทางไกล หรือ มีอุปกรณ์สำหรับ การเรียนการสอนทางไกลไม่เพียงพอ (เช่น ครอบครัวมีบุตรหลาน 2 คน แต่มีโทรทัศน์ 1 เครื่อง)
1.2) นักเรียนที่ไม่มีผู้ปกครองดูแลในขณะเรียนทางไกล อยู่ที่บ้าน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของนักเรียน
1.3) นักเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนทางไกล (ข้อ 1) และไม่มีผู้ปกครองดูแล (ข้อ 2)
1.4) โรงเรียนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
1.5) โรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถจัดการเรียนการสอนตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขจังหวัด
2. On-air : การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรทัศน์ คือ การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรทัศน์ ใช้สัญญาณดาวเทียม KU-Band (จานทึบ) C-Band (จานโปร่ง) ระบบเคเบิ้ลทีวี (Cable TV) ระบบ Application TV และระบบ IPTV ซึ่งเป็นช่องทางในการเผยแพร่การเรียนรู้ DLTV ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในระดับอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3. On-hand : การจัดการเรียนการสอนด้วยการนำส่งเอกสารที่บ้าน คือ การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่ไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนทางไกล โดยการนำหนังสือเรียน แบบฝึกหัด ใบงาน และสื่อการเรียนรู้อื่นๆ ไปให้นักเรียนได้เรียนรู้ที่บ้าน ภายใต้ความดูแลช่วยเหลือของผู้ปกครองในขณะที่เรียนรู้
4. On-demand : การจัดการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คือ การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่สามารถเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ DLTV (www.cltv.ac.th) , Youtube (DLTV 1 channel – DLTV 12 Channels) , Application DLTV , DLIT (www.dlit.ac.th), Application DLIT หรือ OBEC Content Center บน Smart Phone / Tablet
5. Online : การจัดการเรียนการสอนแบบถ่ายทอดสด คือ การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในลักษณะการสื่อสารสองทาง ซึ่งเป็นการเรียนการสอนแบบถ่ายทอดสด (LIVE) ระหว่างครูและนักเรียน โดยนักเรียนจะต้องมีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ทั้งนี้ ในการเลือกรูปแบบที่โรงเรียนจะจัดการเรียนการสอนในรูปแบบใดนั้น โรงเรียนจะต้องคำนึงถึงความพร้อมและความปลอดภัยของนักเรียน และครูเป็นสำคัญ โดยโรงเรียนสามารถเลือกรูปแบบการจัดการเรียนการสอนได้มากกว่า 1 รูปแบบ ตามความเหมาะสมของโรงเรียน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณครูและท่านผู้อ่านทุกท่านได้ไม่มากก็น้อย สาระความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกหลายประการ ซึ่งจะได้นําเสนอในโอกาสต่อไป
ที่มา : https://www.kruupdate.com/40261/
1. What do you think? ถามหาความคิดเห็น
2. I trust you พูดแสดงออกให้ลูกน้องรู้ว่าคุณเชื่อใจเขา
3. I know you can do it ผมรู้ว่าคุณทำได้
4. It's not your Fault ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดคุณ5. I'm proud of you ภูมิใจในตัวพวกคุณ
6. Please ใช้คำพูดเชิงขอ มากกว่าการออกคำสั่ง
7. Thank you ขอบคุณ
8. Great idea-let's do it เป็นความคิดที่ดีมาก ทำต่อไปนะ
9. I've always got time for you มีเวลาให้ตลอดเวลา
10. I couldn't have done it without you สองหัวดีกว่าหัวเดียว
11. No one is perfect ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
12. What can I do to help? มีอะไรให้ช่วยได้บ้าง
13. I made a mistake ยอมรับเมื่อทำขอผิดพลาด
14. I need your help อย่าอายที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ด้อยกว่า
15. Anything is possible ทุกสิ่งเป็นไปได้
16. I'm sorry กล่าวคำขอโทษบ้าง
17. I've got your back เป็นแนวหลังที่คอยสนับสนุน
ที่มา : https://www.winnews.tv/news/4297
QR Code ก็คือรหัสชนิดหนึ่ง หรือที่กันว่า Quick Response (การตอบสนองที่รวดเร็ว) หรือที่นิยิมเรียกก็คือ QR Code ซึ่ง QR Code นี้เทคโนโลยีนี้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1994 โดยบริษัท Denso-Wave ประเทศญี่ปุ่น และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ QR Code ไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลก เพื่อเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ ในปัจจุบัน QR Code ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นไปแล้ว
สามารถนำ QR Code มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
- การแสดง URL ของเว็บไซต์ เพราะเราไม่ต้องมานั่งพิมพ์ URL ให้เสียเวลา - สร้างข้อมูล เป็น Text หรือ ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ที่เก็บได้มากถึง 4000 ตัวอักษรและยังรองรับภาษาได้หลากหลาย - สร้างข้อมูลพิกัดตำแหน่งแผ่นที่
- การใช้ QR code ในงานโฆษณาสินค้า ต่างๆ
เราสามารถสร้าง QR CODE ขึ้นมาได้ทุกคนเพราะตอนนี้มีเว็บไซต์มากมายที่อำนวยความสะดวกให้การ สร้าง QR code โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที่เราก็จะ Qr Code ในรูปแบบต่างไว้ใช้งานกัน และที่สำคัญ ฟรี!!
QR code ก็เหมือน bar code จะอ่าน Bar Code ก็ต้องใช้เครื่องยิง หรือสแกน Bar Code แต่สิ่งที่ QR Code สามารถทำให้มากว่า บาร์โค้ดนั้นก็คือ การอ่าน ผ่านกล้องมือถือที่มีความละเอียดสูง ซึ่งมือถือรุ่นใหม่ๆสามารถอ่าน QR Code ได้หมดแล้ว แต่ถ้ามือถือรุ่นไหนยังไม่รองรับสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม QR Code Reader ลงเครื่องเพิ่มเติม และสามารถดาวน์โหลดได้ที่ wap.mobilelife.co.th/qr มือถือที่รองรับ ได้แก่ Smart Phone ทั่วไป ที่มีความละเอียดของกล้องสูง iPhone:iPhone2,iPhone3G,iPhone3Gs,iPhone4 Samsung: i550W, M8800, S8300, i450, i780, i600, i7110 Nokia: 2700C, 3250, 3700c,5120,5320,5800Xpress,6110 NAVI, 6120, 6260, 6600, 6680, 6681, N70, N71, N72, N73, N76, N78, N79, N80, N81, N86, N91, N93 เป็นต้น
การวิจัย เป็นการศึกษาตัวแปรครับ (variable) อธิบายง่าย ๆ ครับ ตัวแปรที่เราใช้วิจัยในชั้นเรียน หลัก ๆ มี 3 ตัว ประกอบด้วย
1.ตัวที่เรารู้แล้วและเราเป็นผู้กำหนดหรือสร้างขึ้นมา (ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ; independent variable) และเราจะจัดให้ต่างกันกี่ตัวก็ได้ ได้แก่ แบบฝึก ชุดฝึก เทคนิควิธีการ สื่อการสอน นวัตกรรม เป็นต้น โดยมากมักจะทำให้หน้าเชื่อถือ้วยการหาประสิทธิภาพ (E1/E2)
2.ตัวที่เรายังไม่รู้ และเราอยากรู้อยากหาคำตอบ (ตัวแปรตาม; dependent variable) ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ (คะแนน น้ำหนัก ส่วนสูง พฤติกรรมทางบวก ทัศนคติทางบวก ความสามารถที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้เราต้องหาเครื่องมือที่น่าเชื่อถือมาวัด (หาค่าความตรง ความเชื่อมั่น ความเที่ยง ความยากง่าย )
3.ตัวที่เราต้องจัดให้เหมือนกัน (ตัวแปรควบคุม ; control variable) ได้แก่ แบบทดสอบ และเวลาที่ใช้ทดสอบของสองกลุ่มที่ใช้ตัวแปรต้นต่างกัน เป็นต้น
โดย พนมไพร วงษ์คลองเขื่อน
โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล
วัตถุประสงค์
1. เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบขนาดตะกอนดินบริเวณพื้นที่โดยรอบเกาะสีชัง และบางพื้นที่ของอ่าวศรีราชาระหว่างสถานีตรวจวัด
2. เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนระหว่างพื้นที่ชายฝั่งกับพื้นที่ในทะเล บริเวณโดยรอบเกาะสีชัง และบางพื้นที่ของอ่าวศรีราชา
วิธีการศึกษาวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ทำการศึกษาโดยแบ่งสถานีเก็บตัวอย่างออกเป็น 13 สถานี รอบชายฝั่งทะเลเกาะสีชังและบางพื้นที่ของอ่าวศรีราชา ใช้การเก็บตัวอย่างตะกอนแบบการสุ่มอย่างเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) โดยตรวจวัดตัวแปรขนาดตะกอนดินและตัวแปรปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนสถานีบนชายหาด สถานีละ 3 ตัวอย่างตามแนวกึ่งกลางระหว่างบริเวณน้ำขึ้นสูงสุดและน้ำลงต่ำสุดตามความเหมาะสมของความกว้างของชายหาด สถานีในทะเล สถานีละ 2 ตัวอย่าง นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ชนิดของดินตะกอนเปรียบเทียบแต่ละสถานี และค่าปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนที่วัดได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบ และหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยตัวแปรปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนระหว่างสถานีด้วย t-test: Paired Two Sample for Means โดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS 11.5 for Windows
ผลการศึกษาวิจัยและสรุปผลการศึกษาวิจัยอการศึกษาขนาดตะกอนดินบริเวณโดยรอบเกาะสีชังและบางพื้นที่ของอ่าวศรีราชา จังหวัดชลบุรี
Area Station Mean Grain Size (microns) Wentworth Size Class
Coastal 1 ท่าบน >1000 Very coarse sand - Granule
Coastal 2 ถ้ำพัง 624-678 Coarse sand
Coastal 3 แหลมงู 532-674 Coarse sand
Coastal 4 ท่าวัง 412-678 Coarse sand
Coastal 5 ทรายแก้ว 758->1000 Very coarse sand - Granule
Coastal 6 ท่าเรือศรีราชา 297-616 Medium sand - Coarse sand
sea 7 ท่าบน 219-272 Medium sand
sea 8 ถ้ำพัง 616-624 Coarse sand
sea 9 แหลมงู 646-712 Coarse sand
sea 10 ท่าวัง 259-283 Medium sand
sea 11 ทรายแก้ว 325-493 Medium sand
sea 12 เกาะร้านดอกไม้ >1000 Very coarse sand – Granule
sea 13 ท่าเรือศรีราชา 140-170 Fine sand
การศึกษาขนาดตะกอนดิน พบว่า ขนาดตะกอนดินในพื้นที่โดยรอบเกาะสีชังและบางพื้นที่ของอ่าว ศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 140 ไมครอน ขึ้นไป โดยมีค่าต่ำสุดที่บริเวณในทะเลท่าเรือเกาะลอย ศรีราชา มีค่าอยู่ระหว่าง 140-170 ไมครอน มีค่าสูงสุดที่บริเวณหาดท่าบนและบริเวณในทะเลเกาะร้านดอกไม้ มีค่ามากกว่า 1000 ไมครอน สามารถจำแนกชนิดของตะกอนดินโดยใช้ Wentworth Size Class เป็นเกณฑ์ที่พบได้ 5 ชนิด ได้แก่ Fine sand, Medium sand, Coarse sand, Very coarse sand และ Granule เมื่อพิจารณาแยกเป็นบนชายฝั่งกับในทะเล พบว่าบนชายฝั่ง 6 สถานี มีค่าเฉลี่ยขนาดตะกอนดินเป็น 4 ชนิด ได้แก่ Medium sand, Coarse sand, Very coarse sและ Granule และ ในทะเล 7 สถานี มีค่าเฉลี่ยขนาดตะกอนดินเป็น 5 ชนิด ได้แก่ Fine sand, Medium sand, Coarse sand, Very coarse sand และ Granule และขนาดตะกอนดินในทะเลมีขนาดเล็กกว่าบนชายฝั่งทุกสถานี
การศึกษาปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนชายฝั่งทะเลบริเวณโดยรอบเกาะสีชังและบางพื้นที่ของอ่าวศรีรา จังหวัดชลบุรี พบว่า ค่าเฉลี่ย Oxidisable Organic Matter (%) ค่าเฉลี่ยระหว่างสถานีตรวจวัดมีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยบริเวณในทะเลมีค่าสูงกว่าบริเวณชายฝั่งในทุกจุดที่ทำการศึกษา สำหรับบริเวณชายฝั่งเมื่อเทียบโดยใช้แหลมงูที่ไม่มีชุมชนและกิจกรรมอื่นๆเป็นบริเวณควบคุมแล้ว พบว่ามีเฉพาะบริเวณหาดท่าบนที่มีค่าสูงกว่าบริเวณควบคุม ในขณะที่ในทะเลเมื่อเทียบกับบริเวณแหลมงู พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าสูงกว่า ได้แก่ บริเวณในทะเลท่าวัง บริเวณในทะเลหาดทรายแก้ว และบริเวณทะเลเกาะร้านดอกไม้ โดยมีค่าสูงสุดที่บริเวณทะเลท่าเรือเกาะลอย ศรีราชา สำหรับค่าเฉลี่ย Total Organic Matter (%) ค่าเฉลี่ยรวมระหว่างสถานีตรวจวัดไม่มีความแตกต่างกัน (P>0.05) เมื่อใช้แหลมงูเป็นบริเวณควบคุม พบว่าชายฝั่งส่วนใหญ่มีค่าต่ำกว่า มีเฉพาะบริเวณหาดท่าบนที่มีค่าสูงกว่าบริเวณแหลมงู และพบว่า Total Organic Matter (%) บริเวณในทะเลเมื่อเปรียบเทียบกับแหลมงู กลับพบว่าส่วนใหญ่มีค่าสูงกว่า โดยบริเวณท่าเรือเกาะลอย ศรีราชา มีค่าสูงสุด (7.54%) บริเวณอื่นๆ ได้แก่ บริเวณทะเลท่าวัง (3.16%) และบริเวณเกาะร้านดอกไม้ (4.18%) เมื่อวิเคราะห์ความสำพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ย Oxidisable Organic Matter กับค่าเฉลี่ย Total Organic Matter พบว่า ค่าเฉลี่ย Oxidisable Organic Matter ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Total Organic Matter ในทุกสถานี มีลักษณะความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชั่น โพลิโนเมียลกำลังสอง y = 0.9995x2 + 1.5977x ที่ค่าความสัมพันธ์ R2 = 0.8756
ข้อเสนอแนะ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการศึกษาตัวแปรขนาดตะกอนดินและปริมาณสารอินทรีย์ครั้งนี้ สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณาร่วมกับตัวแปรสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลเกาะสีชังและอ่าวศรีราชา เพื่อประโยชน์ต่อการทำประมงชายฝั่ง แนวทางการศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลา การเปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาล การกำหนดและเก็บตัวอย่างให้ครอบคลุมพื้นที่ การวิเคราะห์ตัวแปรสารอินทรีย์ในรูปฟอร์มอื่นๆ
การประยุกต์ใช้กระบวนวิจัย
การวิจัยในลักษณะนี้ในการจัดการเรียนรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ก็สามารถพัฒนาได้ ดังนี้
1. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขนาดตะกอนอาจใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในโรงเรียนมัธยมทั่วไป เช่น ตระแกลงที่มีขนาดรูตระแกลงต่างกัน 5-6 ขนาดขึ้นไป
2. ศึกษาค้นคว้าวิธีวิเคราะห์มาตรฐาน Oxidisable Organic Matter ที่ใช้สารเคมีราคาไม่แพง และใช้อินดิเคเตอร์ที่สังเกต end point ได้ง่าย
3. ให้ความรู้นักเรียนด้านการทำวิจัยควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และส่งเสริมให้นักเรียนใช้กระบวนการวิจัยกับการเรียนวิชาอื่นๆ โดยเฉพาะการใช้แนวทาง Problem-based learning
ธีญาภรณ์ แก้วทวี1, พนมไพร วงษ์คลองเขื่อน2, พัชรา จันทรา3 , วรรณภา นิติมงคลชัย4
Teeyaporn Keawtawee1, Phanompri Wongklongkaun 2, Patchara Juntra3, Wannapa Nitimongkhonchai4
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำด้านกายภาพและเคมีของน้ำในลำห้วยคะคางที่ไหลผ่านเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อตรวจวัดและเปรียบเทียบคุณภาพน้ำทางกายภาพและเคมีระหว่างสถานีและเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินที่มิใช่ทะเล ทำการศึกษาโดยแบ่งสถานีเก็บตัวอย่างออกเป็น 7 สถานี ตั้งแต่ต้นห้วยถึงปลายลำห้วยคะคาง ดังนี้ สถานีที่ 1 บริเวณฝายทดน้ำท้ายอ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน สถานีที่ 2 บริเวณ Aerator ในมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม สถานีที่ 3 บริเวณสะพานหลังมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม สถานีที่ 4 บริเวณสะพานในมหาวิทยาลัยมหาสารคามเขตพื้นที่ในเมือง สถานีที่ 5 บริเวณท่าน้ำวัดศุภมิตรสิทธาราม สถานีที่ 6 บริเวณสะพานชุมชนสามัคคี 2 บ้านท่าหว้า และสถานีที่ 7 บริเวณฝายน้ำล้นสำนักงานชลประทานจังหวัดมหาสารคาม ตามลำดับ โดยใช้การเก็บตัวอย่างน้ำแบบ Integrated sample สถานี 3 ตัวอย่างทุกสถานี นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าตัวแปรคุณภาพน้ำหาความแตกต่างระหว่างสถานีโดย Analysis of Variance
ผลการศึกษาพบว่า ค่าอุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ สภาพการนำไฟฟ้า ความเค็ม และปริมาณของแข็งละลายน้ำทั้งหมด ทุกสถานีมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) มีค่าอยู่ระหว่าง 29.42-30.67 องศาเซลเซียส 6.90-8.65, 2.23-7.03 มิลลิกรัมต่อลิตร 513-748 ไมโครซีเมนต์ต่อเซนติเมตร 0.22-0.32 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 301.67-426.67 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ โดยมีค่า ความเป็นกรด-ด่าง ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด และอุณหภูมิ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินที่มิใช่ทะเล คุณภาพแหล่งน้ำประเภทที่ 3 ค่าเฉลี่ยออกซิเจนละลายน้ำมีแนวโน้มลดต่ำลงจากสถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ ค่าออกซิเจนละลายน้ำมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน บริเวณน้ำไหลผ่านเขตเมืองที่มีชุมชนอาศัยอยู่หนาแน่น ซึ่งมีการปล่อยน้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือน โรงฆ่าสัตว์ ลงในห้วยคะคาง ยกเว้น สถานีที่ 2
1ครู คศ 1 โรงเรียนสิชลคุณาธารวิทยา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
2ครู ศศ 2 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย อำเภอสตูล จังหวัดสตูล
3ครู คศ 2 โรงเรียนอนุบาล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
4นิสิตปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเอกสิ่งแวดล้อมศึกษา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
1. ขอบข่ายงาน (Scope of Work)
- งานโครงการมีลักษณะพิเศษ หรือลักษณะเฉพาะ ที่เสนอผลงานและผลลัพธ์แตกต่าง ไปจากงานเดิมที่เคย ปฏิบัติ
- งานประจำ เป็นงานที่ทำซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เพื่อให้เกิดการดำเนินงานหรือการให้บริการต่อเนื่อง
2. กรอบเวลา ( Time Frame)
- งานโครงการ มีระยะเริ่มต้นและสิ้นสุด แน่นอน ถือว่าเสร็จภารกิจ งานชั่วคราว งานเฉพาะกิจ
- งานประจำ ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการดำเนินงาน ไม่มีวันสิ้นสุด
3. มิติด้านการเปลี่ยนแปลง (Changing Dimension)
- งานโครงการเกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว
- งานประจำ ค่อยเป็น ค่อยไป (gradually)
4. แนวโน้ม (Trend) หรือ ทิศทาง (Direction)
- งานโครงการผู้บริหารจะทุ่มเทความพยายามในเนื้องานโดยเฉพาะ ไม่คำนึงถึงสมดุล เป็นเรื่องชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อโครงการเสร็จและถ่ายโอนสู่งานประจำ
- งานประจำจะต้องคำนึงถึงความสมดุลกับเรื่องต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง
เรื่องทิศทาง
- งานโครงการ ผู้จัดการจะตั้งเข็มมุ่งไปตามภาระหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย แยกออกจากงานประจำ
- งานประจำ ต้องระมัดระวังเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ทั่วถึง เท่าเทียม เสมอภาค
5. วัตถุประสงค์ (Objective) หรือผลลัพธ์ (Outcomes)
- งานโครงการ จะมีวัตถุประสงค์ เฉพาะเจาะจง เน้นปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือ ตอบสนองด้านใดด้านหนึ่ง หรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขโดยงานประจำ
6. ทรัพยากร (Resources)
- งานโครงการ มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เช่น ตัวเงิน หรือ งบประมาณ (โครงการคือการลงทุน)และจะต้องคำนึงถึงความคุ้มทุนคุ้มค่า
- งานประจำ มีความสนใจต่อทรัพยากร ระดับความเข้มข้นน้อยกว่าโครงการ แต่สามารถเพิ่มเติมให้เกิดผลลัพธ์ ตามอายุของงาน และประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริการ
7. บริบท (Context) หรือสภาพแวดล้อมของการทำงาน
- งานโครงการ เงื่อนไขการทำงาน สถานที่ปฏิบัติงาน การติดต่อสื่อสาร การเสริมสร้าง ความร่วมมือ กับองค์กรข้างเคียง และค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน
- งานประจำ จะมีบริบทที่ค่อนไปทางด้านที่ตายตัว(Static)
8. ผลลัพธ์ (Results)
- งานโครงการ มีจุดมุ่งหมายที่สร้างผลลัพธ์ มีตัวชี้วัดในด้านของเวลา พื้นที่ ปริมาณ คุณภาพและค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน ความสำเร็จของโครงการจะวัดด้านประสิทธิผล หรือผลสัมฤทธิ์ได้โดยง่าย
- งานประจำ เน้นซ้ำที่การวัดประสิทธิภาพ ในการทำงานเป็นสำคัญ
9. ทีมงาน (Teamwork)
- งานโครงการ ทีมงานจะใช้จุมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ (Goal Oriented) เป็นจุดยึดโยง
- งานประจำ การประสาน การดำเนินงาน จะเน้นไปที่การเล่นบทบาทของผู้ปฏิบัติงาน มากกว่าจุดมุ่งหมาย (Role Oriented)
10. สไตล์การทำงาน (Style)
ทั้งงานโครงการและงานประจำ มีความสำคัญต่อชีวิตองค์กร อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีงานใดสำคัญกว่ากันเพียงแต่หรืองานและจุดมุ่งเน้นมีความแตกต่าง จึงทำให้สไตล์การทำงานแตกต่างกัน คือ
- งานโครงการ มีลักษณะค่อนไปทางบุกเบิก (Pioneering) บุคลากรเป็นผู้ที่กล้าเสี่ยง หรือผจญภัย (The Adventure)
- งานประจำ การทำงานที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก หากคนทำงานมีประสบการณ์ งานจะราบรื่น
สรุปความ
โครงการและงานประจำ เป็นงานที่มีความสำคัญควบคู่กันเสมอ กล่าวคืองานประจำ คือ ชีวิตขององค์การและคนทำงานในองค์การ โครงการ จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิต ได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มสมรรถภาพ ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
เมื่อโครงการยุติลงก็จะถ่ายโอนผลงาน งานโครงการไปสู่การปฏิบัติงานประจำ และเมื่องานประจำมีปัญหา ก็จะปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยอาศัยงานโครงการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ที่มา : มณีรัตน์ สุวรรณวารี. https://www.gotoknow.org/posts/460696
"เหตุผล" กับ "ข้ออ้าง" สองสิ่งที่แตกต่าง
คำว่า "เหตุผล" และ "ข้ออ้าง" มีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะคนฉลาดจะใช้"เหตุผล"ส่วนคนไม่มีเหตุผลจะใช้ "ข้ออ้าง"
แต่เหมือนว่าคนบางคนสมัยนี้ไม่ทราบความแตกต่างระหว่างคำสองคำ ระหว่างการอธิบายด้วย "เหตุผล" และการพยายามให้ตนพ้นผิดด้วย "ข้ออ้าง" แน่นอนล่ะ บางคนก็ชอบเหมารวมว่าเหตุผลและข้ออ้างเป็นสิ่งเดียวกัน หากแต่มันไม่ใช่
เหตุผล ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายได้ว่า "การใช้เหตุและผล" ส่วนข้ออ้างนั้นคือ "สิ่งที่นำมาอ้างเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นหรือการกระทำของตน" ซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน
การใช้เหตุและผลอธิบายไม่ถือว่าเป็นข้ออ้าง แต่มากครั้งนักที่คนพาลบางคนชอบกล่าวว่า "เหตุผล" คือ "ข้ออ้าง" อาจเป็นเพราะทั้งคู่เป็นการอธิบายเหมือนกันก็เป็นได้ หากแต่ข้ออ้างนั้นจะไม่มีมูลหรือข้อเท็จจริง เหมือนเป็นการแถเพื่อหลบหนีความผิด แต่เหตุผลคือการอธิบาย ว่าด้วยเหตุใดจึงทำไปเช่นนั้น แต่ไม่ได้พยายามจะหลบหนีความผิด เพียงแค่ชี้สาเหตุให้เห็นว่าทำไมจึงทำลงไปเช่นนั้น เช่นว่า....
นาย ก. กล่าวว่าตนไม่ผิด เพราะรถคู่กรณีมากวนประสาทก่อน
นาย ข. กล่าวว่าตนไม่ผิด เพราะกฎหมายกล่าวไว้ว่าบริเวณนี้ห้ามขับรถโดยใช้อัตราความเร็วเกินแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่คู่กรณีขับเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
สิ่งที่นายก.กล่าวนั้นถือเป็นข้ออ้าง เพราะเป็นสิ่งที่กล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโห ไม่ใช้เหตุผลไตร่ตรองให้ดี ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นมาสนับสนุนคำพูดของตน หากแต่สิ่งที่นายข.กล่าวคือเหตุผล เพราะยกข้อกฎหมายขึ้นมาพูด ยกข้อเท็จจริงขึ้นมากล่าวเพื่อสนับสนุนคำพูดของตน
หากแต่คนพาลก็ยังคงไม่เลิกรา เหมารวมว่า "เหตุผล" และ "ข้ออ้าง" เป็นสิ่งเดียวกัน
เหตุที่ใช้ว่าคนพาลนั้น เป็นเพราะคนเหล่านี้ไร้ปัญญาจะหาทางโต้กลับเหตุผลที่ถูกเสนอ จึงกล่าวหาว่า "เหตุผล" เหมือนกับ "ข้ออ้าง" ซึ่งแท้จริงแล้วแม้แต่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองสิ่งหาใช่สิ่งเดียวกัน
หรือบางทีคนพาลยังมีวุฒิภาวะที่ต่ำ จึงไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างทั้งสองสิ่ง จึงขี้เกียจจะศึกษาเหตุผลให้ชัดแจ้งถ่องแท้ และสรุปเอาเองว่า"เหตุผล"คือ"ข้ออ้าง" เพราะไม่อยากรับฟัง"เหตุผล"
คนเราต้องรู้จักใช้เหตุผลและฟังเหตุผลของผู้อื่น และนำไปพิจารณาไตร่ตรองว่าคนผู้นั้นผิดหรือไม่ การกล่าวหาว่า"เหตุผล"คือ"ข้ออ้าง" ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการกระทำของคนคร้านหรือคนพาล ที่ชอบเบี่ยงประเด็นเพราะไร้ปัญญาจะตอบโต้เสียมากกว่า หากโลกเรามีแต่คนเช่นนี้ ศาลหรือผู้พิพากษาคงไม่ถูกตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีความ เพราะสิ่งที่ผู้ต้องหากล่าวถือเป็น "ข้ออ้าง"ทั้งหมด
ก็นับว่าโชคดีที่โลกเรายังมีคนที่สามารถแยกแยะความหมายของสองสิ่งนี้ได้
ถูกต้อง "excuses are for losers" หากแต่ "reasons are not excuses" ก็ถูกเช่นเดียวกัน
ที่มา : https://www.facebook.com/PlusGumlungSong/posts/307181626094135/