การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาไทย มีวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ ขนาดตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย โดยการคำนวณจากสูตรของ Hair et al. 2010 (อ้างถึงใน นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2555) งานวิจัยครั้งนี้มีตัวบ่งชี้ทั้งสิ้น 45 ตัวบ่งชี้ จึงกำหนดอัตราส่วนระหว่างหน่วยตัวอย่างต่อจำนวนพารามิเตอร์ (ตัวแปร) เป็น 10 ต่อ 1 โดยประกอบด้วยบุคลากร ในสถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐาน 450 คนและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา 450 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 900 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม จำนวน 52 ข้อ วิเคราะห์หาค่าความตรงของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) และค่าความเที่ยงของเครื่องมือด้วยวิธีคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้องภายใน ด้วยสูตรแอลฟาของครอนบาค โดยมีค่าความเที่ยงของเครื่องมือของข้อคำถาม เกี่ยวกับการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษา เท่ากับ 0.935 และวิเคราะห์ข้อมูลตัวชี้วัดองค์ประกอบการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาไทย โดยใช้เทคนิควิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติดังนี้ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติของไคเซอร์-ไมเยอร์-ไอลคิน ค่าสถิติของบาร์ทเลทท์ ค่าไอเกน ค่าความแปรปรวนสะสม
ผลการวิจัยพบว่าองค์ประกอบการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาไทย มีจำนวน 9 องค์ประกอบ เรียงตามลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อยได้แก่ 1) ความสุขทางด้านจิตใจ 2) ความสุขทางด้านสังคม 3) ความสุขทางด้านการเงิน 4) ความสุขทางสมอง 5) ความสุขของครอบครัว 6) ความสุขทางด้านร่างกาย 7) ความสุขจากการปฏิบัติต้นอยู่ในระเบียบ 8) ความสุขทางวัฒนธรรม 9) ความสุขจากการผ่อนคลาย สามารถอธิบายองค์ประกอบของการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาไทยได้ร้อยละ 65.166
บุพิกุล พุ่มช้าง และปริญญา มีสุข. (2560). การวิเคราะห์องค์ประกอบการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาไทย. บทความมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 2560 หน้า 647-663.การวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการกรณีศึกษา (Case Study) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรค และเพื่อศึกษาบทบาทและภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารจัดการสภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เครื่องมือการวิจัย คือ แบบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informants) และแบบสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 51 คน ครูกลุ่มงานวิชาการจำนวน 51 ครูกลุ่มงานอนามัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 51 คน สัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับการสนทนากลุ่มครั้งที่ 1 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วยคณะศึกษานิเทศก์จำนวน 10 คน และสัมภาษณ์เชิงลึกการสนทนากลุ่มครั้งที่ 2 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วยคณะผู้บริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 6 คน โดยได้มาด้วยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง นอกจากนี้ทําการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปด้วยวิธีการอุปนัย (Inductive method) การสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ทั้งในแง่มุมของคนภายใน (Emic) โดยการสอบถามจากคณะครูในสถานศึกษา และสอบถามความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา รวมถึง การเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของสถานศึกษาเพื่อสังเกตการดำเนินกิจกรรมที่เป็นปัจจุบันเพื่อสนับสนุนการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1.สภาพและปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนและมาตรการการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่าสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นไปอย่างดีตามมาตรฐานของกรมอนามัย และมีการนำรูปแบบการสอน 5 รูปแบบของกระทรวงศึกษาธิการมาใช้ตามบริบทของสถานศึกษา โดยปัญหาอุปสรรคด้านการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น 3 ด้านได้แก่ 1) ครูผู้สอน โดยด้านครูผู้สอนพบว่า ครูผู้สอนต้องใช้เวลาในการเตรียมการสอนที่มากขึ้น มีความกังวลด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านวินัยของผู้เรียนเป็นต้น 2) ด้านผู้เรียนพบว่า ขาดแคลนด้านสัญญาณอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าถึงการเรียนรู้ ความไม่เข้าใจในเนื้อหาสาระ ความเครียด และการขาดวินัยในการเรียน เป็นต้น และ 3)ด้านผู้ปกครองพบว่า ขาดกำลังทรัพย์ในการจัดหาอุปกรณ์และค่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ผู้เรียน ไม่สามารถให้คำแนะนำผู้เรียนเรื่องการเรียน และไม่มีเวลาดูแลผู้เรียนให้มีวินัยในการเข้าเรียนและส่งงานได้ จึงส่งผลให้ผู้ปกครองกังวลกับการเรียนของผู้เรียน
2.บทบาทและภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนและมาตรการการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่า สถานศึกษาที่มีความพร้อมและผู้บริหารบางส่วนสามารถดำเนินการให้มีการสนับสนุนผู้เรียนในการเรียนออนไลน์ได้ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทการสนับสนุน ได้แก่ การให้ยืมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การมอบทุนสำหรับการจัดซื้อสัญญาณอินเตอร์เน็ต และการลดค่าบำรุงการศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นผู้ที่มีทักษะผู้นำในศตวรรษที่ 21 เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงพร้อมปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ มีทักษะการสื่อสาร มีทักษะการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีมนุษย์สัมพันธ์ เป็นผู้อำนวยความสะดวก และประสานความร่วมมือ เป็นผู้นำทางวิชาการ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตAn Analysis of Relationship between Schools' DNA Profiles and Organizational Happiness According to the Perception of Teachers
บทคัดย่อ This research was carried out with the aim of determining the relationship between schools' DNA profiles and organizational happiness according to teachers' perceptions. The research sample consists of 404 teachers who work at primary or secondary public schools in Rize, Turkey. The research model is a correlational survey model. As a result of the research, the resilient organizations have the highest perception level among the school DNA profiles according to the perceptions of teachers. In addition, it has been found out that a positive relationship exists between healthy organizations and organizational happiness and a negative relationship exists between unhealthy organizations and organizational happiness. Finally, school DNA profiles significantly predict organizational happiness and explain 35% of the variation occurred in organizational happiness.