นายโอภาส อรุณินท์ เป็นบุตรของนายเอี่ยม (อดีตข้าราชการตุลาการบำนาญ) และนางผ่อง อรุณินท์ เกิดวันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2477 ที่กรุงเทพมหานคร โดยเป็นคนที่ 5 จากพี่น้อง 8 คนดังนี้
1) นายอำพัน อรุณินท์ (ถึงแก่กรรม)
2) เภสัชกรหญิง อำไพ อรุณินท์
3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อัมพร อรุณินท์ (ถึงแก่กรรม)
4) นาวาเอกหญิงอาภา (สมรสกับพลเรือตรี เสถียร รังคสิริ) อรุณินท์
5) นายโอภาส อรุณินท์
6) ดร. อภิรัต อรุณินท์ (ถึงแก่กรรม)
7) นางอรพินท์ (สมรสกับนายสมศักดิ์ แสงทองสุข) อรุณินท์
8) นายวิบูลย์ศักดิ์ อรุณินท์ (ถึงแก่กรรม)
นายโอภาสสมรสกับทันตแพทย์หญิง ยิ่งกมล (วัฒนสินธุ์) อรุณินท์ มีบุตร 2 คน คือ ศ.ดร. อริยา อรุณินท์ และนาย ภาส์กร อรุณินท์ (ถึงแก่กรรม)
ชีวิตในวัยเด็กได้ย้ายตามบิดาที่เป็นผู้พิพากษาไปประจำในต่างจังหวัด ทำให้ต้องย้ายสถานที่ศึกษาไปตามจังหวัดต่างๆ นั้นด้วย ในวัยเด็กเดิมมีภูมิลำเนาที่กรุงเทพฯ เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประสาทศิลป์ จังหวัดชลบุรี (2482-2485) โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง (โรงเรียนประจำจังหวัด) จังหวัดปราจีนบุรี (2486-2488) แล้วกลับมาพำนักที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง โดยศึกษาที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร (2489-2491) ต่อด้วยประโยคเตรียมอุดมศึกษาแผนกอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (2492-2493) และเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบนิติศาสตรบัณฑิต รุ่น 3 (2494-2497) ขณะที่ทำงานเป็นเสมียนศาลอาญา ต่อมาสอบได้เนติบัณฑิต สมัยที่ 7 (2497) จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
ครอบครัว "อรุณินท์"
ครอบครัวของเรา
ID Photos
การรับราชการ
นายโอภาส เริ่มงานครั้งแรกเป็นเสมียนศาลอาญา กระทรวงยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. 2496 ต่อมาโอนรับราชการกรมอัยการ (ปัจจุบันคือ สำนักงานอัยการสูงสุด) ในตำแหน่งดังต่อไปนี้ เริ่มตั้งแต่เป็นอัยการผู้ช่วยกองคดี เมื่อปี พ.ศ. 2502 ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยประจำศาล จังหวัดแม่สอด พ.ศ. 2503 จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2505 จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2511 จากนั้นเข้าประจำกรมอัยการ ในตำแหน่งอัยการประจำกองที่ปรึกษา ในปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งอัยการประจำกรม กองที่ปรึกษา พ.ศ. 2517 เลื่อนเป็นอัยการพิเศษประจำกรม กองที่ปรึกษา พ.ศ. 2520 หัวหน้าพนักงานอัยการ กองที่ปรึกษา พ.ศ. 2524 ผู้ช่วยอัยการพิเศษฝ่ายปรึกษา พ.ศ. 2525 อัยการพิเศษฝ่ายฎีกา พ.ศ. 2527 อัยการพิเศษฝ่ายคดีธนบุรี พ.ศ. 2529 อัยการพิเศษฝ่ายปรึกษา 1 ม.ค. 2530 จากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุดฝ่ายบริหาร ปลาย พ.ศ. 2530 (ระหว่างนั้นได้ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และเลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา) และอัยการสูงสุดเมื่อ 1 ต.ค. 2536 และเกษียณอายุ เมื่อ 30 ก.ย. 2537
หลังเกษียณอายุได้เข้าเป็นกรรมการร่างกฎหมายกฤษฎีกา และเป็นประธานฯ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือ ป.ป.ป. ในสมัยรัฐบาล "บรรหาร" (22 ส.ค. 2538) ตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสภาแต่งตั้ง (พ.ศ. 2539) จนลาออกจากประธาน ป.ป.ป. (23 มี.ค. 2542) เพื่อดำรงตำแหน่งประธานคนแรกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 (1 เม.ย. 2542 - ครบวาระ 24 ต.ค. 2546) มีผลงานหลายผลงาน โดยเฉพาะการร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ และผลงานที่สำคัญของกรรมการในชุดแรกนี้ คือ กรณี พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในคดีเงินกู้ 45 ล้านบาท ผลการตัดสินคือ พล.ต. สนั่น มีความผิด ทำให้หมดสิทธิ์เล่นการเมืองถึง 5 ปี และกรณี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินเป็นเท็จ
จากนั้นว่างเว้นจากภารกิจ จนได้รับการเลือกตั้งจากอัยการตั้งแต่ขั้น 2 ขึ้นไป 1,867 เสียงจากผู้มีสิทธิ 2,784 คน ขึ้นเป็นประธานกรรมการ กอ. (คณะกรรมการอัยการ) วาระเดือน ตุลาคม 2550 - ตุลาคม 2553
ชีวิตราชการของนายโอภาสยาวนานกว่า 50 ปี (รับราชการเมื่ออายุ 19 ปี เกษียณอายุ 70 ปี) ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ทางด้านกฎหมาย ได้แก่ อดีตอัยการสูงสุด อดีตประธานคณะกรรมการอัยการ อดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีชื่อเสียงมากในช่วงที่พิจารณาบัญชีทรัพย์สินของนักการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่ ป.ป.ช. ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 กรณีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
นายโอภาส ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดตระกูลต่างๆ ดังนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) พ.ศ. 2535 และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) พ.ศ. 2532 และเหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.) ในปี พ.ศ. 2522
ปัญหาสุขภาพ
ในปี พ.ศ. 2545 เริ่มรักษา ความดันโลหิตสูง และตรวจร่างกาย พบแพทย์เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (rectum) ตกแต่งแผลเป็นจากการผ่าตัดเมื่อวัยหนุ่มทำให้ตีบแคบการขับถ่ายไม่สะดวก ยาระบายท้องทำให้แผลผ่าตัดที่เย็บไว้แตก จากนั้นมีอาการซีดจากเลือดออกมาก
ช่วง พ.ศ. 2563 สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ไม่ได้ไปตรวจร่างกายเลยจนกระทั่งเกิดการล้ม ในเย็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากที่ภรรยา ทพญ. ยิ่งกมล เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านจากเปลี่ยนข้อสะโพกที่แตกจากการหกล้มได้ 3 วัน ทำให้กะโหลก ซี่โครงร้าว ต้องพักดูอาการที่โรงพยาบาลตั้งแต่คืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นั้นเป็นต้นมา จนพบปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้น 120 ครั้ง/นาที และมีอาการทางหัวใจความดันไม่สม่ำเสมอ ในเช้าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ได้ทำ Cardiac Catheterization เส้นเลือดหัวใจที่ตีบหลายจุด เสร็จตั้งแต่ 9:30 น. ดูอาการที่ CCU มีการสอดท่อช่วยหายใจ และเติมเลือดเพิ่ม อาการทั่วไป ความดันตก
จากเย็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เรื่อยมาจน 9 มิถุนายน 2565 ที่เข้า admit โรงพยาบาลไป 120 วันเต็ม จึงได้กลับบ้าน นับเป็นการค้างแรมนอกบ้านที่ยาวนานที่สุด โดยมีการวินิจฉัยอาการที่เข้ารักษาครั้งนี้เป็นช่วงๆ ดังต่อไปนี้
8 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2565 เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ความจำเสื่อม สมองกระทบกระเทือน เลือดออกในสมอง บาดแผลที่หัวคิ้ว
8 มีนาคม - 16 เมษายน 2565 ปอดอักเสบ โลหิตติดเชื้อ Alzheimer, Bed Ridden
(17 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2565 พักฟื้นที่วอร์ดผู้สูงอายุ)
2 – 12 พฤษภาคม 2565 ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไตเสื่อม เส้นเลือดหัวใจตีบ
(13 – 16 พฤษภาคม 2565 พักฟื้นที่วอร์ดผู้สูงอายุ)
17 – 27 พฤษภาคม 2565 โลหิตติดเชื้อ ปอดอักเสบ ฝีที่ตับ
(28 พฤษภาคม – 9 มิถุนายน 2565 พักฟื้นที่วอร์ดผู้สูงอายุ)
แม้ว่ายังคงต้องพึ่งพาออกซิเจนผ่านทางท่อเจาะคอ (Tracheostomy) ซึ่งเป็นช่องทางดูดเสมหะด้วย รับอาหารทางสาย NG Tube ทางจมูก แต่เมื่อพากลับมาดูแลต่อที่บ้าน โดยการเปลี่ยนบ้านชั้นล่างส่วนหนึ่งให้กลายเป็นโรงพยาบาลย่อมๆ มีอุปกรณ์ครบถ้วน และเข้าโครงการ เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม โดย ศ.ดร.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร แพทย์ที่มาเยี่ยมถึงบ้าน ด้วยแนวทาง Palliative care ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งไม่ปรากฎอาการไข้และการติดเชื้อ แต่ค่าเลือดและความดันยังไม่ปกตินัก การดูแลรักษาอย่างประคับประคองไปโดยไม่มีอาการเจ็บปวดทางร่างกาย จนกระทั่งในคืนวันที่ 10 ก.ค. 2565 พบมีเลือดออกในกระเพาะอาหารโดยได้อาเจียนของเหลวสีน้ำตาลออกมาเอง จากนั้นร่างกายอ่อนเพลียจึงได้นอนพัก จนร่างกายได้หยุดทำงาน จากไปอย่างสงบในเช้าวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 เวลา 6.40 น. เป็นเวลา 1 เดือน 1 วันที่ได้ออกจากโรงพยาบาลมานอนพักอยู่ที่บ้าน และสิริอายุได้ 88 ปี 3 เดือน