การวางแผนด้วยวงจรการควบคุมคุณภาพการนำ PDCA มาใช้ครั้งแรกโดย WalterShewhart เพื่อใช้ควบคุมกระบวนการทางสถิติของ บริษัท Bell Laboratory ที่สหรัฐอเมริกาต่อมา W.Edward Deming ได้เผยแพร่ความรู้วงจรเคมิ่ง 2 อย่างกว้างขวางวงจร PDCA ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้ให้ความสำคัญกับพื้นฐานการบริหารงานให้เกิดคุณภาพ2อย่างคือการสื่อสารและความร่วมมือร่วมใจจากทุกคนในหน่วยงานโดยผู้บริหารเป็นผู้กำหนดแผนงานแต่จะสื่อสารผ่านช่องทางหัวหน้างานและพนักงานตามลำดับขั้นเป้าหมายจะถูกกำหนดขึ้นตามความเหมาะสมที่เป็นไปได้วงจรPDCAสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตของแต่ละบุคคลได้ทุกเรื่องเช่นการตั้งเป้าหมายการทำงานในแต่ละวันการตั้งเป้าหมายในวัยเกษียณการตั้งเป้าหมายออมเงินส่วนบุคคลเป็นต้น PDCAคือวงจรการควบคุมคุณภาพหรือวงจรเคมิ่งประกอบด้วย
C=Checkคือการตรวจสอบผลการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนของแผนงานว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนงานในขั้นตอนได้
D = Do คือการปฏิบัติตามขั้นตอนในแผนงานที่เขียนไว้อย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง
P = Plan คือการวางแผนงานจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้กำหนดขึ้น PLAN
A = Action คือการปรับปรุงแก้ไขส่วนที่มีปัญหาหรือถ้าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ยอมรับแนวทางการปฏิบัติตามแผนงานที่ได้ผลสําเร็จเพื่อนำไปใช้ในการทํางานครั้งต่อไป DO CHECK ACT
การนำเอาPDCAไปใช้
วงจรการควบคุมคุณภาพสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จได้ดังนี้
1.การวางแผน (Plan)
คือ การวางแผนชีวิตโดยจะต้องทราบว่าตนเองนั้นอยากทำอะไรต้องการอะไรแล้วจึงตั้งเป้าหมาย
และวิธีการในการดำเนินชีวิตให้ชัดเจนซึ่งเป้าหมายของชีวิตแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไปการวางแผนช่วยให้คาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตและช่วยลดความสูญเสียต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งช่วยให้รับรู้สภาพปัจจุบันพร้อมกับกำหนดสภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคตด้วยการผสานประสบการณ์ความรู้และทักษะโดยการวางแผนมีดังนี้
การวางแผนเพื่ออนาคตเป็นการวางแผนสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การวางแผนเพื่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นการวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อสภาพที่ดีขึ้นซึ่งสามารถควบคุมผลที่เกิดขึ้นได้ด้วยการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปัจจุบัน
ประโยชน์ของการวางแผน
การวางแผนงานจะช่วยทำให้มีการเตรียมความพร้อมเมื่อได้ปฏิบัติงานจริงดังนี้
การศึกษาเป็นการวางแผนศึกษาข้อมูลวิธีการในการประกอบอาชีพธุรกิจเช่นความต้องการของตลาดข้อมูลวัตถุดิบข้อมูลทรัพยากรที่มีอยู่หรือเงินทุน
การเตรียมงานเป็นการวางแผนการเตรียมงานด้านสถานที่การออกแบบผลิตภัณฑ์ความพร้อม
ของบุคลากรอุปกรณ์เครื่องจักรวัตถุดิบ
การดำเนินงานเป็นการวางแนวทางการปฏิบัติงานของแต่ละฝ่ายเช่นฝ่ายการตลาดฝ่ายผลิตฝ่ายการเงินและบัญชีเป็นต้น
การประเมินผลเป็นการวางแผนหรือเตรียมการประเมินผลงานอย่างเป็นระบบเช่นประเมินจาก
ยอดจําหน่ายประเมินจากการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าเป็นต้น
การปฏิบัติตามแผน (Do) คือ การทำตามแผนที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นพยายามหรือไม่และต้องปรับปรุงหรือแก้ไขอย่างไรบ้างจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งนี้การตรวจสอบ
การตรวจสอบ (Check) คือ การประเมินเป้าหมายชีวิตที่วางแผนไว้ว่าสามารถปฏิบัติได้สำเร็จเป็นการประเมินผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ(Do)ประโยชน์ของการตรวจสอบในการตรวจสอบผลการดำเนินงานควรมีหลักดังนี้
1. ตรวจสอบจากเป้าหมายที่กำหนดไว้
2. มีเครื่องมือที่เชื่อถือได้
2. มีเกณฑ์การตรวจสอบที่ชัดเจน
การออม
ความหมายความสำคัญและประโยชน์ของการออม
การออม หมายถึง การเก็บสะสมเงินรายได้ในส่วนต่างๆไว้ใช้จ่ายในอนาคตรวมถึงการสะสมสิ่งที่มีค่าเป็นตัวเงินและมีประโยชน์ต่อครอบครัวเช่นทองคำเพชรเครื่องประดับที่ดินและอื่นๆเป็นต้นซึ่งการเก็บรายได้สุทธิเมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนที่เหลืออยู่เรียกว่าเงินออม
ความสำคัญของการออมการออมเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับตนเองและก่อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนครอบครัวและชุมชน
ประโยชน์ของการออมการยอมให้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและพัฒนาชีวิตของทุกคนไม่ว่าจะเป็นการออมเงินและออมทรัพยากรอื่นรวมทั้งการออมชีวิตซึ่งสรุปได้ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่และเปิดโอกาสให้คนพัฒนาชีวิตให้เจริญขึ้นหรือเป็น
การประกอบอาชีพเพื่อนำไปแลกกับปัจจัยอื่นเช่น ยารักษาโรค ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่มยานพาหนะเป็นต้น
ด้านสังคมเป็นกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันเอื้ออาทรต่อกันเช่นการออมวันละ 1
บาทของหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องมือให้คนที่เป็นสมาชิกคิดเลือกอาทรต่อเพื่อนสมาชิกต่อผู้ด้อยโอกาสถ้าได้ปฏิบัติกันจริงจังจะได้ช่วยสร้างเสริมความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชนได้
ด้านวัฒนธรรมพฤติกรรมถือว่าเป็นวัฒนธรรมสำคัญเพราะการออมมีองค์ประกอบของความเป็นวัฒนธรรมครบถ้วนคือ มีทั้งองค์ความรู้ วิธีปฏิบัติและผลการปฏิบัติที่ชัดเจน
ด้านการศึกษากระบวนการออมเป็นเรื่องของการเรียนรู้การฝึกตนเองผู้ทำการออมต้องรู้หลักคิด
หลักการและหลักปฏิบัติตลอดถึงผลลัพธ์ที่จะได้การที่ทุกคนได้เข้าสู่กระบวนการออมก็ถือได้ว่าเป็นการเข้าสู่กระบวนการทางการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองผู้ที่มีส่วนร่วมในการออมที่จะเรียนรู้และได้รับประโยชน์โดยจะพบว่าตนเองได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ด้านทรัพยากรธรรมชาติแวดล้อมทรัพยากรที่อยู่รอบตัวเช่นดินน้ำป่าสัตว์พืชเป็นต้นชีวิตของทุกคนเพราะมนุษย์ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้จึงจะมีชีวิตอยู่ได้
ด้านการพัฒนาชีวิตการออมเป็นเรื่องการรู้การคิดซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อรู้จักตนเองรู้จักความสัม
พันธ์ระหว่างคนกับผู้คนในครอบครัวในชุมชนเป็นต้น
ปัจจัยสำคัญในการออม
โดยทั่วไปการออมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีรายได้มากกว่าการจ่ายและต้องอาศัยปัจจัยสำคัญในการออมดังนี้
1.ผลตอบแทนที่ได้รับถ้าผลตอบแทนในการออมเพิ่มขึ้นก็จะเป็นสิ่งจูงใจให้บุคคลมีการออมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเช่นรัฐบาลกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงและยังเก็บดอกเบี้ยภาษีเงินฝากอีกจึงทำให้ระดับเงินออมของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มลดลงมาก
2.มูลค่าของอำนาจซื้อของเงินในปัจจุบันผู้ออมจะตัดสินใจออมเงินมากขึ้นหลังจากพิจารณาถึงอำนาจซื้อของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะมีความแตกต่างจากมูลค่าของเงินในอนาคตถ้าการเก็บเงินออมไว้โดยไม่ซื้อสินค้าซึ่งอาจจะสูญเสียความพอใจที่ควรได้รับจากการซื้อสินค้าในปัจจุบันมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการออมและเสียเวลารอคอยที่จะซื้อสินค้าในอนาคตที่อาจจะมีราคาสูงมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ
3.รายได้ส่วนบุคคลสุทธิผู้ที่มีรายได้แน่นอนทุกเดือนในจำนวนที่ไม่สูงมากจำนวนเงินออมที่กัน
ไว้อาจเป็นเพียงจำนวนน้อยตามอัตราส่วนของรายได้ที่มีอยู่นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงรายได้เนื่องจากการเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายงานถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ที่มีผลต่อระดับการออมทำให้มีการออมเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากระดับเติมได้ในระหว่างที่บุคคลมีรายได้มากกว่าปกติหรือขณะที่มีความสามารถหารายได้อยู่จึงควรจะมีการออมไว้เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้
4.ความแน่นอนของจำนวนรายได้ในอนาคตหลังเกษียณอายุถ้าทุกคนทราบว่าเมื่อใดก็ตามที่แต่ละบุคคลไม่มีความสามารถหารายได้ต่อไปก็จะไม่มีปัญหาการเงินเกิดขึ้นเนื่องจากหน่วยงานที่ทำงานอยู่อาจมีนโยบายช่วยเหลือในวัยชราหลังเกษียณอายุหรือภายหลังออกจากงานก่อนกำหนดเช่นการให้บำนาญทําเหน็จเงินชดเชยเป็นต้น
การลงทุน
ความหมายและลักษณะการลงทุน
การลงทุนหมายถึงการใช้ทรัพยากรในลักษณะต่างๆโดยหวังจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมามากกว่าที่ลงทุนไปในอัตราที่พอใจภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม
การลงทุนเป็นการนำเอาทรัพย์สินที่บุคคลมีอยู่ไปดำเนินการในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ซึ่งจะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในช่วงเวลานั้น
การลงทุนแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีตัวตน(TangibleInvestment)
จะเห็นประโยชน์จากการใช้ได้อย่างชัดเจนเช่นการซื้อบ้านซื้อรถยนต์ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ซื้อที่ดินซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ลงทุนเป็นเจ้าของได้โดยตรงได้อย่างเต็มที่
การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Investments)
จะเห็นประโยชน์การใช้ได้ไม่ชัดเจนส่วนการลงทุนในหุ้นพันธบัตรตราสารการเงินอื่น ๆ
ซึ่งผู้ซื้อมีสิทธิเรียกร้องและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการถือกรรมสิทธิ์ในตราสารไว้
การลงทุนทางการเงิน
การลงทุนทางการเงิน (Financial Investments)
หมายถึงการที่ผู้ลงทุนนำเงินที่มีอยู่ในซื้อหลักทรัพย์ต่างๆซึ่งก่อให้เกิดรายได้กับผู้ลงทุนโดยจะทำผ่านตลาดการเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย (Interest) เงินปันผล
(Dividend) กำไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital Can) และสิทธิพิเศษอื่น ๆ
แหล่งข้อมูลการลงทุน
การประเมินการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ลงทุนเพราะมีทางเลือกให้ตัดสินใจหลายวิธีซึ่งสามารถหาข้อมูลการลงทุนได้ดังนี้
1.แหล่งข้อมูลภายในกิจการเช่นงบการเงินรายงานทางการเงินโครงการต่างๆรวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นต้น
2. การให้คำปรึกษาด้านการลงทุนจากหน่วยงานอื่นเช่นปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการสัมมนาเป็นต้น
3. หน่วยงานที่เสนอบริการข่าวสารทางการเงินและข้อมูลการลงทุนเช่นตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นต้น
4. ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนที่เสนอลงในสิ่งตีพิมพ์ต่างๆเช่นหนังสือพิมพ์เป็นต้น
5. เอกสารและข้อมูลที่ได้จากนายหน้าและตัวแทนเป็นต้น
แหล่งที่มาของเงินเพื่อการลงทุน
1.การรู้จักใช้งบประมาณสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนดจะทำให้มีเงินออมเหลืออยู่จริงตามที่คาดไว้ซึ่งสามารถนำไปลงทุนหาประโยชน์ได้
2.การออมโดยวิธีบังคับโดยบริษัทจะหักเงินสะสมหรือเงินสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานไว้เงินที่ถูกหักนี้เป็นของลูกจ้างหรือพนักงานแต่ยังถอนไม่ได้จนกว่าจะทำตามเงื่อนไขที่กำหนดกิจการจะนำเงินสดนี้ไปให้สถาบันการเงินหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ดูแลหาประโยชน์ให้เพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายกำหนดและจะจ่ายคืนแก่เจ้าของผู้มีสิทธิได้รับเมื่อถึงเวลาเงินออมโดยวิธีบังคับจึงเป็นเงินลงทุนของบุคคลเพียงแต่ไม่ได้เป็นผู้ลงทุนเองโดยตรง แต่สถาบันนายจ้างเป็นผู้ลงทุนแทนให้
3.การยกเว้นรายจ่ายไม่จำเป็นรายจ่ายบางรายการควรยกเลิกบ้างก็จะมีเงินเหลือนำมาลงทุนได้เช่นการไปรับประทานอาหารนอกบ้านดูภาพยนตร์เล่นโบว์ลิ่งเป็นต้น
4.การประหยัดรายได้พิเศษรายได้พิเศษจากการทำงานหรือรายได้อื่นๆยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบใช้จ่ายก็ควรจะเก็บออมไว้ก็จะเกิดประโยชน์ได้มาก TO
ผลตอบแทนจากการลงทุน
1. รายได้ตามปกติ (Current Income)
ได้แก่ดอกเบี้ยเงินปันผลในกรณีที่บุคคลซื้อพันธบัตรหรือลงทุนในหุ้นต่างๆซึ่งเมื่อถึงกำหนดเวลาก็จะได้รับดอกเบี้ยหรือเงินปันผลตามที่ระบุไว้
2. กำไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital Gains)
ในกรณีหุ้นสามัญที่บุคคลลงทุนซื้อไว้มีราคาสูงขึ้นเมื่อขายออกไปแล้วจะได้กำไร
3. ค่าเช่า Rent)
ในการลงทุนซื้อทรัพย์สินเช่นที่ดินบ้านคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยอื่นๆเมื่อนำไปให้ผู้อื่นเช่าก็จะมีรายได้ค่าเช่าซึ่งเป็นรายได้ที่กลับคืนมาสู่เจ้าของ
4. ผลตอบแทนอื่นๆ (Others)
เช่นซื้อหุ้นสามัญจะมีสิทธิออกเสียงเลือกคณะกรรมการบริษัทและถ้าถือหุ้นไว้มากจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้บริหารซึ่งสามารถกำหนดนโยบายบริษัทได้หรือสิทธิในการซื้อขายหุ้นใหม่ในราคาพิเศษเป็นต้นผู้ลงทุนควรนึกถึงผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นอัตราที่เปอร์เซ็นต์โดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อไว้ด้วยเพราะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนในการลงทุนดังนั้นผู้ลงทุนควรให้ความสนใจกับอัตราตอบแทนที่แท้จริง(Real rate of return) มากกว่าอัตราผลตอบแทนปกติ (Nominal rate of return)เช่นการลงทุนเสนอให้ผลตอบแทน (Nominal rate of return) 10%ซึ่งคาดคะเนว่าอัตราเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นปีละ 6% ดังนั้นผลตอบแทนแท้จริงที่ได้รับจะเป็น4% เท่านั้น
หลักการลงทุน
ในการลงทุนนั้นเพื่อให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุดก็ควรจะมีหลักในการลงทุนดังนี้
ความปลอดภัยของเงินลงทุน หมายถึง การลงทุนที่มุ่งรักษาไว้ซึ่งเงินลงทุนโดยหวังที่จะได้รับเงิน
ลงทุนแน่นอนซึ่งเป็นนโยบายที่คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เงินต้นสูญไปเช่นการฝากเงินกับธนาคารหรือการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลเป็นต้น
ความเจริญเติบโตของเงินลงทุน ผู้ลงทุนมีความหวังว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะต้องมีค่าเพิ่มขึ้นความ
เติบโตของเงินลงทุนเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในหุ้นของ บริษัท ที่กำลังขยายตัว
ความคล่องตัวในการซื้อขาย หมายถึง การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ซื้อง่ายขายคล่องซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดหลักทรัพย์บางชนิดจำหน่ายง่ายแต่บางชนิดจำหน่ายยากขึ้นอยู่กับราคาขนาดและชื่อเสียงของผู้ออกหลักทรัพย์
การกระจายเงินลงทุน ในการลงทุนไม่ควรทุ่มเงินลงทุนไปในหลักทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งเพราะ
ถ้าธุรกิจนั้นเกิดล้มเหลวเงินที่ลงทุนไปนั้นจะสูญเสียไปทั้งหมดการกระจายการลงทุนจะช่วยลด
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ลงทุนได้มาก
หลักเกี่ยวกับภาษี ในการลงทุนต้องพิจารณาผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องเสียภาษีหรือได้รับการยก
เว้นภาษีถ้าต้องเสียภาษีจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้น้อยลงดังนั้นผู้ลงทุนควรคำนึงถึงผลตอบแทน
ภายหลังจากการหักภาษีแล้วหลักทรัพย์รัฐบาลย่อมได้รับการยกเว้นภาษี
ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ
ความหมายและความสําคัญของธุรกิจธุรกิจ (Business)
หมายถึงกิจกรรมต่างๆที่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการโดยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันและ
มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประโยชน์หรือกำไรจากการกระทำกิจกรรมนั้นความสำคัญของธุรกิจ
มนุษย์ทุกคนมีความต้องการอยู่ 2 ประการคือความต้องการขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิต(Needs) ได้แก่ ปัจจัย 4 คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และความต้องการที่มนุษย์อยากมี(Wants)แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เช่นรถยนต์โทรทัศน์เครื่องปรับอากาศเป็นต้นดังนั้นธุรกิจจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของมนุษย์เพราะเป็นแหล่งผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ธุรกิจจึงมีความสำคัญดังต่อไปนี้
1.สร้างความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการที่จะผลิตสินค้าและบริการใหม่ๆเพื่อจำหน่ายให้กับประชากรทั้งในและต่างประเทศได้นั้นจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัยหรือใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในบริเวณที่ทำการประกอบธุรกิจเช่นการคมนาคมจะมีการสร้างถนนเพื่อความสะดวกในการขนย้ายสินค้าและวัตถุดิบนำเข้าจะเกิดความเจริญด้านสาธารณูปโภคระบบไฟฟ้าประปาและโทรศัพท์
2.ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นจากผลของการเกิดธุรกิจนั้นประชาชนที่อยู่รอบบริเวณบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรมก็จะมีงานทำก่อให้เกิดรายได้มีเงินหมุนเวียนส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อมีการประกอบธุรกิจเกิดขึ้นภายในประเทศมาก ๆ จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้นตามไปด้วย
3.ยกระดับค่าครองชีพของประชาชนให้สูงขึ้นเมื่อมีธุรกิจเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ใดจะทำให้เกิดรายได้หรือเงินตราตกไปสู่ในเขตนั้นเมื่อประชาชนมีรายได้ดีสาธารณูปโภคตลอดจนระบบการสื่อสารติดต่อกันดีจะทำให้ระดับค่าครองชีพของประชาชนและชุมชนนั้นสูงขึ้นตามไปด้วย
4.เพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลเนื่องจากธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องมีการส่งสินค้าออกไปขายทุกภูมิภาคของประเทศหรือส่งออกต่างประเทศการส่งสินค้าออกไปขายจะทำให้ได้เงินตราของต่างประเทศหมุนเวียนเข้ามาสู่ประเทศได้ทำให้มีรายได้จากการส่งสินค้าออกและเงินต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยจึงเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล
5.ช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่างๆให้กับสังคมการที่ประชาชนมีงานทำทำให้รายได้มาเลี้ยงครอบครัวรัฐบาลไม่ต้องเสียงบประมาณบางส่วนที่ใช้ในการช่วยเหลือผู้ว่างงานหรือตกงานสามารถนำเงินช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่างๆให้กับสังคมการที่ประชาชนมีงานทำทำให้มีรายได้มาเลี้ยมาจัดสวัสดิการต่างๆให้กับประชาชนทั้งประเทศเช่นประกันสังคมสาธารณสุขและการศึกษาเป็นต้น
ความสำคัญของธุรกิจที่มีต่อสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับกันที่การเกิดกิจกรรมทางธุรกิจทำให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ในแต่ละสังคมหลาย ๆ ลักษณะดังต่อไปนี้
5.1 ผลิตสินค้าและบริการเพื่อที่จะให้ประชาชนโดยทั่วไปได้ใช้ให้เกิดประโยชน์
5.2 หน่วยงานธุรกิจนั้นช่วยให้ประชาชนมีงานทำและมีรายได้
5.3ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติดีขึ้นคือมีรายได้เข้าประเทศในการจัดจำหน่ายสินค้าออกต่าง
ประเทศ
5.4สินค้าและบริการที่ธุรกิจผลิตขึ้นมานั้นต้องมีมาตรฐานและมีคุณภาพที่ดีไม่เป็นอันตรายต่อประชาชนหรือผู้ใช้
5.5ในการปฏิบัติกิจกรรมทางธุรกิจภายในระบบธุรกิจก่อให้เกิดพันธมิตรนานาประการทั้งภายในและภายนอกท้องถิ่นที่ธุรกิจตั้งอยู่ทำให้มีการเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นพันธมิตรกัน
5.6การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีซึ่งกันและกันจากผลิตภัณฑ์ที่แลกเปลี่ยนกันใช้
วัตถุประสงค์และประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ
การประกอบธุรกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตามสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการคือกำไรและยังมีสิ่งอื่นอีกที่ธุรกิจจะต้องคำนึงถึงเช่นความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคความรับผิดชอบต่อสังคมความรับผิดชอบต่อลูกจ้างพนักงานฯลฯ
วัตถุประสงค์ของการประกอบธุรกิจ (Business Goals) ที่สำคัญมีดังนี้
1.เพื่อความมั่นคงของกิจการเมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินการขึ้นเจ้าของธุรกิจที่มีความประสงค์จะผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด
2.เพื่อความเจริญเติบโตของธุรกิจธุรกิจยังต้องการที่จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆโดยขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นมีสาขาเพิ่มขึ้นมีพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งทางการเงินและฐานะทางสังคม
3.เพื่อผลประโยชน์หรือกำไรสิ่งที่จูงใจให้เจ้าของธุรกิจดำเนินธุรกิจต่อไปคือกำไรถ้าธุรกิจไม่มีกําไรกิจการนั้นก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้การทีธุรกิจจะมีกำไรได้นั้นคือต้องจําหน่ายสินค้าหรือได้รับค่าบริการในราคาสูงกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่ได้เสียไปในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น
4..เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมการดำเนินธุรกิจต้องไม่ดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อประเพณีศีลธรรมอันดีงามของสังคมต้องคำนึงถึงผู้บริโภคคำนึงถึงสภาพแวดล้อมต้องช่วยพัฒนา
ชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมให้ดีขึ้นเช่นไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลองไม่ผลิตสินค้าที่มี
สารพิษตกค้างไม่ตัดไม้ทำลายป่าไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ฯลฯ
ประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ
ประโยชน์ในการประกอบธุรกิจจำแนกได้ดังนี้
1.ธุรกิจผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ในสังคมเนื่องจากความต้องการของคนแตกต่างกันและไม่มีที่สิ้นสุดโดยจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเพื่อสร้างความพึงพอใจและความสะดวกสบายแก่ตนเองดังนั้นจึงมีหน้าที่ในการจัดหาสิ่งต่างๆมาบริการสนองความต้องการดังกล่าว
2.ธุรกิจช่วยกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคเมื่อธุรกิจประเภทผู้ผลิตสินค้าเช่นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าออกมาแล้วการที่สินค้าจะกระจายไปสู่ผู้บริโภคได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยธุรกิจประเภทอื่นช่วยกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคเช่นธุรกิจการขนส่งพ่อค้าคนกลางการประชาสัมพันธ์การบริการด้านการเงินของธนาคารการสื่อสาร ฯลฯ
3.ธุรกิจเป็นแหล่งตลาดแรงงานในการดำเนินธุรกิจมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานเพื่อผลิตสินค้าหรือบริการจึงทำให้คนมีงานทำสามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมดีขึ้นนอกจากนั้นการที่ธุรกิจกระจายไปอยู่ตามส่วนต่างๆของประเทศก็เป็นการกระจายรายได้และตลาดแรงงานไปสู่ท้องถิ่นด้วย
4.ธุรกิจเป็นแหล่งเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาลเมื่อธุรกิจมีผลกำไรผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่เสียภาษีให้
รัฐบาลตามที่กฎหมายกำหนดทำให้รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นและรัฐบาลนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
5.ธุรกิจช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการของธุรกิจในระยะแรกๆก็เพื่อสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นจังหวัดและประเทศแต่เมื่อธุรกิจขยายตัวเติบโตขึ้นสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากจนเกินความต้องการของคนในประเทศจึงต้องส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศทำให้รายได้เข้าสู่ประเทศเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย
ปัจจัยในการประกอบธุรกิจ
การดำเนินธุรกิจต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างรวมกันจึงจะเกิดกิจกรรมในการประกอบธุรกิจจะขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ได้โดยทั่วไปปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจมี 4 ประเภท ได้แก่
1.คน (Man)
ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเพราะธุรกิจต่างๆเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความคิดของคนมีคนเป็นผู้ดำเนินการจึงจะทำให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจหลายรูปแบบซึ่งในวงจรธุรกิจมีคนหลายระดับหลายรูปแบบร่วมกันดำเนินการจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ
2.เงิน(Money)
เงินทุนเป็นปัจจัยในการดำเนินธุรกิจอีกชนิดหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ในการลงทุนเพื่อให้เกิดการประกอบธุรกิจโดยธุรกิจแต่ละประเภทใช้ปริมาณเงินทุนที่แตกต่างกันธุรกิจขนาดใหญ่ย่อมใช้เงินทุนสูงกว่าธุรกิจขนาดเล็กดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องมีการวางแผนในการใช้เงินทุนและการจัดหาเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ประสบปัญหาด้านเงินทุนและก่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดคุ้มกับเงินที่นำมาลงทุน
3.วัสดุหรือวัตถุดิบ(Material)
ในการผลิตสินค้าต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิตค่อนข้างมากผู้บริหารจึงต้องรู้จักการบริหารวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดต้นทุนด้านวัตถุดิบต่ำสุดอันจะส่งผลให้ธุรกิจมีผลกำไรสูงสุดตามมา
4.วิธีปฏิบัติงาน (Method)
เป็นวิธีการในการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจซึ่งต้องมีการวางแผนและควบคุมเพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพเกิดความคล่องตัวสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในแลภายนอกกิจการ
การวางแผนทางการเงิน
การวางแผนทางการเงิน หมายถึง การกำหนดการใช้จ่ายเงินต่างๆให้สอดคล้องกับแผนงานที่จัดทำขึ้นและระบุถึงแหล่งที่มาของเงินและการใช้ไปของเงินในกิจกรรมต่างๆ
การวางแผนทางการเงิน สามารถแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ ได้แก่
1.การวางแผนการเงินส่วนบุคคล(Personal Financial Planning)คือการบริหารจัดการเงินหรือรายได้ที่ได้มาและใช้เงินนั้นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและจะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายทางการเงินได้
2.การวางแผนการเงินสำหรับธุรกิจการวางแผนการเงินเป็นสิ่งจำเป็นมากเช่นซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ห้องรับทุนการผลิตหรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการส่งเสริมการจัดจำหน่ายเพื่อเพิ่มกรายการของแผนกต่างๆเพื่อการขยายงานเป็นต้น
หลักการวางแผนทางการเงิน
หลักในการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้
1.การประเมินสถานการณ์เป็นการเก็บข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตนเองและสิ่งแวดล้อมและประเมินสินทรัพย์ที่มี
2.กำหนดเป้าหมายคือการวางแผนการเงินโดยกำหนดให้อยู่ในรูปของตัวเงินระยะเวลาเท่าไรและเป้าหมายที่เป็นไปได้โดยให้สอดคล้องกับรายรับ-รายจ่ายและหนี้สินที่มีอยู่
3.การจัดทำแผนทางการเงินการวางแผนทางการเงินนั้นควรจัดทำแผนด้วยความละเอียดโดยคำนึงถึงบุคคลและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องและจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรทำก่อน
4.การนำแผนไปปฏิบัติเป็นการทำตามแผนที่กำหนดไว้
5.การวัดผลและการปรับปรุงแก้ไขเป็นสิ่งที่จะทำให้ทราบว่าแผนนั้นสามารถปฏิบัติได้จริงตรงตามเป้าหมายหรือไม่และสามารถนำผลที่ได้ไปพัฒนาและปรับปรุงผลการปฏิบัติในอนาคตได้
หลักในการวางแผนทางการเงิน
การประเมินสถานการณ์->กำหนดเป้าหมาย->การจัดทำแผนทางการเงิน->การนำแผนไปปฏิบัติ->การวัดผลและการปรับปรุงแก้ไข
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนทางการเงิน
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนทางการเงิน ได้แก่
1.รัฐบาล (Government)
เป็นผู้จัดหาสินค้าหรือบริการสาธารณะเช่นกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนตำรวจถนนสาธารณสุขเป็นต้นซึ่งรัฐบาลมีบทบาทในการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆซึ่งนำมาใช้ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ
2.ธุรกิจ(Business)
ธุรกิจเป็นผู้จัดหาสินค้าและบริการซึ่งในการผลิตสินค้าที่ต้องการแรงงานที่ดินและปัจจัยการผลิตอื่น ๆที่เกี่ยวข้องต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นในขณะเดียวกันธุรกิจที่เป็นแหล่งที่ทำให้รายได้หมุนเวียนในระบบการค้าเสรีและเป็นผู้ทำให้เกิดมีการแข่งขันเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกซื้อสินค้าและใช้บริการได้ตามต้องการ
3.ผู้บริโภค (Consumer)
เป็นผู้มีบทบาทในการวางแผนทางการเงินมากคือการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภคจะมีผลกระทบต่อการหมุนเวียนของรายได้ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวเพราะมีการใช้จ่ายเกิดขึ้นในตลาดแต่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติไปตามกฎระเบียบข้อบังคับที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดขึ้นทุกประการ
การจัดการทางการเงิน
การจัดการทางการเงิน ขอบเขตจากการดำเนินงาน
1.การตัดสินใจลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้านการตัดสินใจลงทุนและจะมีความสําคัญมากสําหรับธุรกิจที่มีเงินสดจำนวนมากในแต่ละเดือนหรือไตรมาสแต่เป็นเงินสดแบบหมุนเวียนเร็วการจัดการงานลงทุนระยะสั้นจะมีความสำคัญอย่างมาก
2.การตัดสินใจทางการเงินจะเป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการระดมเงินทุนจากแหล่งต่างๆซึ่งจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเกี่ยวกับชนิดของแหล่งเงินทุนที่มีอยู่และค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนของเงินทุนที่ใช้ในการบริหารเช่นเงินกู้ระยะยาวหรือระยะสั้นหรือผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นต้น
3.การตัดสินใจเกี่ยวกับผลตอบแทนฝ่ายการเงินมีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการกระจายการลงทุนและการบริหารผลกำไรที่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนเหล่านั้นซึ่งกำไรสุทธิแบ่งออกได้
- เงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นและอัตราการจ่ายเงินปันผล
- กำไรสะสม
วัตถุประสงค์ของการจัดการทางการเงินมี ดังนี้
1. เพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
2. เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการต่างๆ
3. เพื่อให้การลงทุนในโครงการต่างๆหรือกิจการต่างๆเป็นไปอย่างเหมาะสมและถูกต้อง
4.เพื่อให้เงินทุนที่มีอยู่ถูกใช้ในธุรกรรมต่างๆอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานการลงทุนทางการเงิน
5.เพื่อให้แผนการลงทุนต่างๆที่ได้วิเคราะห์แล้วได้ดำเนินการตามที่วางแผนไว้และได้รับผลตอบแทนคุ้มกับการวางแผนไว้ล่วงหน้ามีความถูกต้องแม่นยำ
หน้าที่ของการจัดการทางการเงิน
1.การประมาณค่าของความต้องการของการลงทุนจะเป็นการพยากรณ์และการวางแผนทางการเงินเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามผลตอบแทนทางการเงิน
2.ความมุ่งมั่นในการลงทุนเมื่อได้วางแผนการลงทุนต่างๆด้วยสัดส่วนทางการเงินที่ชัดเจนและอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในธุรกรรมทางการเงินในแต่ละประเภท
3.แหล่งที่มาของเงินทุนการเพิ่มเงินกองทุนของธุรกิจมีทางเลือกหลายทาง เช่น
3.1 การขายหุ้นสามัญ บริษัท
3.2 การขายหุ้นกู้ระยะกลางและระยะยาว
3.3 การกู้ยืมธนาคารและสถาบันการเงิน
4.แผนการลงทุนจะต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการลงทุนในธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบต่างๆที่มีความเหมาะสมปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
5.การจัดการด้านกำไรส่วนเกินต่างๆจำเป็นต้องมีการวางแผนจัดการเงินทุนที่เป็นกำไรส่วนเกินทำให้มีเงินสดหมุนเวียนเข้ามาในกิจการจำนวนมาก
6.การควบคุมทางการเงินจะต้องมีเครื่องมือในการวิเคราะห์และพยากรณ์อัตราเงินสดไหลเข้าและอัตราเงินสดไหลออกได้ด้วยความแม่นยำถูกต้องตามช่วงเวลาต่างๆ
รายได้บุคคล
รายได้บุคคลหมายถึงรายได้ทั้งหมดที่ครัวเรือนได้รับจากแหล่งต่างๆในรอบปีซึ่งอาจจะได้มาจากเงินเดือนค่าจ้างแรงงานรายได้จากงานส่วนตัวโบนัสค่านายหน้าดอกเบี้ยเงินปันผลผลที่ได้จากเงินออมและการลงทุนการจำหน่ายสินทรัพย์และรายได้อื่น
ปัจจัยที่กำหนดรายได้ของบุคคล
1.อายุมีความสัมพันธ์ต่อการหารายได้ของบุคคลบุคคลที่สูงวัยและหนุ่มสาวเมื่อเริ่มทํางานก็จะมีรายได้ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน
2.การศึกษาจะเป็นเครื่องกำหนดรายได้ของบุคคลผู้ที่สำเร็จการศึกษาสูงย่อมมีรายได้สูงกว่าผู้มีการศึกษาต่ำหรือไม่ได้รับการศึกษา
3.อาชีพการเลือกอาชีพมีความสัมพันธ์กับการศึกษาของบุคคลอาชีพบางอย่างจะต้องผ่านการศึกษาเฉพาะด้านเช่นแพทย์นักกฎหมายสถาปนิกวิศวกรเป็นต้นแต่บางอาชีพถึงแม้จะไม่เรียนมาโดยตรงก็นำความรู้มาประยุกต์ใช้ทำงานได้
4.คุณสมบัติเฉพาะตัวบุคคลแต่ละคนจะแตกต่างกันโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวเช่นความสามารถ (Abilities) ความชำนาญ (Skills) บุคลิกภาพ (Personality) แรงกระตุ้น (Drive)ทัศนคติ (Aptitudes) ขวัญและกำลังใจ (Motivation) และค่านิยมต่างๆ (Value)ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดระดับรายได้ของบุคคลทั้งสิ้น
5.แหล่งรายได้ต่างๆของบุคคลในการพิจารณารายได้ของบุคคลนอกจากจะคำนึงถึงรายได้ถึงสวัสดิการหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ควรจะได้รับด้วย ได้แก่
1.เงินเดือน
2.รายได้พิเศษ
3..รายได้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
4.รายได้จากงานอดิเรก
5.รายได้สวัวดิการ
กฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ
การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ
การจดทะเบียนพาณิชย์คือบุคคลธรรมดาคนเดียวหรือหลายคน (ห้างหุ้นส่วนสามัญ)หรือนิติบุคคลรวมทั้งนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทยซึ่งประกอบกิจการอันเป็นพาณิชยกิจตามที่กระทรวงพาณิชย์กําหนดกิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์
ผู้ประกอบการดังต่อไปนี้ต้องจดทะเบียนพาณิชย์
1. ผู้ประกอบกิจการโรงสีข้าวและโรงเลื่อยที่ใช้เครื่องจักร
2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าไม่ว่าอย่างใดๆอย่างเดียวหรือหลายอย่างคิดรวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งขายได้เป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปหรือมีสินค้าดังกล่าวไว้เพื่อขายมีค่ารวมทั้งสิ้นเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป
3. นายหน้าหรือตัวแทนค้าต่างซึ่งทำการเกี่ยวกับสินค้าไม่ว่าอย่างใดๆอย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ตามและสินค้านั้นมีค่ารวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใดเป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป
4.ผู้ประกอบกิจการหัตถกรรมหรืออุตสาหกรรมไม่ว่าอย่างใดๆอย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ตามและขายสินค้าที่ผลิตได้คิดราคารวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใดเป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปหรือในวันหนึ่งวันใดมีสินค้าที่ผลิตได้มีราคารวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป
5. ผู้ประกอบกิจการขนส่งทางทะเลการขนส่งโดยเรือกลไฟหรือเรือยนต์ประจำทางการขาย
6.ส่งโดยรถไฟการขนส่งโดยรถรางการขนส่งโดยรถยนต์ประจำทางการขายทอดตลาดการรับซื้อขายที่ดินการให้กู้ยืมเงินการรับแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายเงินตราต่างประเทศการซื้อหรือขายตั๋วเงินการธนาคารการโพยก๊วนการทำโรงรับจำนำและการทำโรงแรม
7.ขายให้เช่าผลิตหรือรับจ้างผลิตแผ่นซีดีแถบบันทึกวีดิทัศน์แผ่นวีดิทัศน์ดีวีดีหรือแผ่นวีดิทัศน์ระบบดิจิทัลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบันเทิง
กิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์
1.การค้าเร่การค้าแผงลอย
2.พาณิชยกิจเพื่อการบำรุงศาสนาหรือเพื่อการกุศล
3. พาณิชยกิจของนิติบุคคลซึ่งได้มีพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น
4. พาณิชยกิจของกระทรวงทบวงกรม
5. พาณิชยกิจของมูลนิธิสมาคมสหกรณ์
6.พาณิชยกิจซึ่งรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
7.พาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนตาม1-5ซึ่งผู้ประกอบการที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
สถานที่จดทะเบียน
1.กรุงเทพมหานครสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานเขตทุกแห่งรับจดทะเบียนพาณิชย์กิจของผู้ประกอบการที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่นั้น
2.เทศบาลองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเมืองพัทยารับจดทะเบียนพาณิชย์ของผู้ประกอบการที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนั้นหรือเมืองพัทยาแล้วแต่กรณี
กําหนดระยะเวลาการจดทะเบียนพาณิชย์
1.จดทะเบียนพาณิชย์ตั้งใหม่ต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันนับ แต่วันเริ่มประกอบพาณิชยกิจ
2. การเปลี่ยนแปลงรายการตาม (1) ต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันนับ แต่วันที่เปลี่ยนแปลง
3.เลิกประกอบพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันนับ แต่วันที่เลิกประกอบพาณิชยกิจ
4.ใบทะเบียนพาณิชย์สูญหายต้องยื่นขอใบแทนภายใน 30 วันนับ แต่วันสูญหาย
กฎหมายภาษีตามประมวลรัษฎากร
ตามประมวลรัษฎากรให้อำนาจกรมสรรพากรจัดเก็บภาษี 5 ประเภท ได้แก่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีเงินได้นิติบุคคลภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ภาษีอากรแต่ละประเภทมีลักษณะและวิธีการจัดเก็บที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไปหรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนดธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือกลุ่มคณะบุคคลต้องเสียภาษีประเภทนี้โดยปกติจัดเก็บเป็นรายปีรายได้ที่เกิดขึ้นในปีใดๆผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเองตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไปสำหรับผู้มีเงินได้บางกรณีกฎหมายยังกำหนดให้ยื่นแบบฯเสียภาษีตอนครึ่งปีสำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อบรรเทาภาระภาษีที่ต้องชำระและเงินได้บางกรณีกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินได้ที่จ่ายบางส่วนเพื่อให้มีการทั้งทยอผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลยชำระภาษีขณะที่มีเงินได้เกิดขึ้นอีกด้วย
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1) บุคคลธรรมดา
2) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
3) ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
4) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคลภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีอากรที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และหมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ได้ จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
1) หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
ก. บริษัทจํากัด
ข. บริษัท มหาชน จำกัด
ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
2) บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
3) กิจการงดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไรโดย
ก. รัฐบาลต่างประเทศ
ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
ค.นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
4)กิจการร่วมค้า(Joint Venture) ได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันในทางค้าหรือหากำไรระหว่างบุคคลตามกฎหมายกำหนด
5)มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
6)นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
4.ภาษีธุรกิจเฉพาะภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีตามประมวลรัษฎากรประเภทหนึ่งซึ่งจัดเก็บจากผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเฉพาะอย่างตามแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะคือแบบ ภ.ธ. 40ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะมีหน้าที่จัดทำรายงานแสดงรายรับก่อนหักรายจ่ายที่ต้องเสียภาษีและรายรับที่ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีโดยจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทุกเดือน
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี
1.การธนาคาร
2.การประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
3.การรับประกันชีวิต
4.การรับจํานำ
5.การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์เช่นการให้กู้กันแลกเปลี่ยน
6.การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม
5.อากรแสตมป์
อากรแสตมป์เป็นภาษีตามประมวลรัษฎากรประเภทหนึ่งจัดเก็บจากการกระทำตราสาร 28
ลักษณะตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์โดยที่ต้องซื้ออากรแสตมป์มาติดได้จากสำนั
กงานสรรพากรท้องที่สาขาโดยตัวอากรจะมีลายน้ำบอกปีที่ผลิตจึงควรซื้อมาติดโดยทันทีที่มีการ
ทำสัญญาต่างๆ
กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและกฎหมายภาษีตามประมวลรัษฎากรแล้วผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษากฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายภาษีป้ายอากรแสตมป์รวมทั้งการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆอีกด้วย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเป็นภาษีที่ต้องจ่ายไปในทันทีตรงที่ที่เรามีรายจ่ายผู้ที่ต้องจ่ายคือผู้ที่ให้เงินซึ่งในทางกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าสามารถยื่นจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ภายในวันที่ 7ของเดือนถัดไปนับตั้งแต่เรามีรายจ่ายก้อนนั้นเข้ามาพร้อมทั้งนำส่งภาษี แต่ถ้าหากว่าวันที่ 7 ของเดือนถัดไปนั้นเป็นวันหยุดราชการสามารถเลื่อนวันที่ต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกไปได้จนถึงวันแรกที่เปิดทำการหลังจากวันที่ 7
การจดทะเบียนสิทธิบัตร
สิทธิบัตรคือหนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์การประดิษฐ์คือผลงานสร้างสรรค์เกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ซึ่งมี 2 ลักษณะ ดังนี้
1.ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ส่วนประกอบกันเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆและส่วนผสมทางเคมี
2.กรรมวิธีได้แก่วิธีการผลิตการเก็บรักษาหรือการใช้ผลิตภัณฑ์การออกแบบผลิตภัณฑ์คือผลงานสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะของผลิตภัณฑ์เช่นรูปร่างลวดลายหรือสีโดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20 ปีนับแต่วันยื่นขอรับสิทธิบัตรและสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์มีอายุ 10 ปีนับ แต่วันยื่นขอผู้ทรงสิทธิบัตรต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไปโดยให้ชำระภายใน 60 วันหลังจากสิ้นปีที่ 4 หากการออกสิทธิบัตรใช้ระยะเวลาเกินกว่า 4 ปีให้ชำระค่าธรรมเนียมรายปีภายใน 60 วันนับ แต่วันที่มีการออกสิทธิบัตรให้
cr. อาจารย์พัฒนเดช คำวัตร์