เดิมจังหวัดนนทบุรี ไม่มีโรงพยาบาลสำหรับช่วยเหลือในการบำบัดและรักษาประชาชนเมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้น จำเป็นต้องนำผู้ป่วยเดินทางไปรับการรักษายังโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดพระนครและธนบุรีซึ่งทำให้ผู้ป่วยบางรายต้องเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง จังหวัดจึงพิจารณาเห็นว่าสมควรจัดให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลในจังหวัดขึ้น ซึ่งขณะนั้นขุนบุรีภิรมย์กิจผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ โดยติดต่อกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขน ขอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการก่อสร้าง และได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมการแพทย์ โดยสั่งการให้จังหวัดจัดหาที่ดินเตรียมไว้ เมื่อได้งบประมาณให้ดำเนินการก่อสร้าง
แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องที่ดินในการก่อสร้าง ซึ่งจากการเจรจากับเจ้าของที่ดินไม่ประสบผลสำเร็จ ขณะเดียวกันขุนบุรีภิรมย์กิจผู้ว่าราชการ
จังหวัดในขณะนั้นก็ได้ออกจากราชการเสียก่อน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2499 นายประกอบ ทรัพย์มณี ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีคนต่อมาได้บริหารงานต่อ โดยดำเนินการจัดหาที่ดินเพื่อทำการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ และเห็นว่าที่ดินของวัดเทพอุรุมพัง (ที่ตั้งโรงพยาบาลปัจจุบัน) มีเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่เศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ห่างจากศาลากลางจังหวัดนนทบุรีประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นวัดร้างและอยู่ใกล้กับที่ดินเดิมที่เคยเจรจาไว้เห็นว่าเหมาะสมจะก่อสร้างโรงพยาบาล จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้น
เมื่อเปิดดำเนินการใน ปี พ.ศ. 2500 ในชื่อโรงพยาบาลนนทบุรีนั้น มีอาคารเพียง 2 หลัง คือ อาคารอำนวยการ เป็นตึกชั้นเดียวให้บริการผู้ป่วยนอก และอาคารไม้ชั้นเดียวใช้เป็นหอผู้ป่วย ในระยะแรกประชาชนไม่นิยมมารับบริการจากโรงพยาบาลนนทบุรีเพราะมีแพทย์และเจ้าหน้าที่น้อย การคมนาคมไม่สะดวก ประชาชนจึงไปรับบริการจากโรงพยาบาลใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลวชิระและโรงพยาบาลศิริราช การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโรงพยาบาลนนทบุรี เป็นไปอย่างเชื่องช้า ปี พ.ศ. 2530 ซึ่งโรงพยาบาลเปิดบริการมา 30 ปี โรงพยาบาลแห่งนี้ยังใช้อาคาร 2 หลัง ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งให้บริการผู้ป่วย และมีหอผู้ป่วย ซึ่งเป็นตึก 2 ชั้น เพิ่มขึ้นอีก 4 หลัง และมีตึกอำนวยการหลังใหม่เป็นอาคาร 2 ชั้น ในปี พ.ศ. 2526
หลังจากปี พ.ศ. 2530 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นมีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว
จังหวัดนนทบุรีซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนผลได้เปลี่ยนเป็นจังหวัดที่มีบ้านจัดสรรเกิดขึ้นมากมาย มีแรงงานอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ พื้นที่ในการทำสวนลดลง การคมนาคมสะดวกขึ้น มีการตัดถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็นถนนที่ไปเชื่อมต่อกับถนนตลิ่งชัน – สุพรรณบุรี ประชาชนสามารถใช้เส้นทางเส้นนี้เพื่อไปจังหวัดทางภาคเหนือและภาคใต้ได้ การขยายตัวของเมืองและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น ทำให้มีผู้ป่วยมารับบริการมากขึ้น
พ.ศ. 2532 โรงพยาบาลนนทบุรีได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ขณะนั้นโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มีจำนวนเพียง 217 เตียง เจ้าหน้าที่ 530 คน ผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 530 คน ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างมาก มีหอผู้ป่วยพิเศษ “เฉลิมพระเกียรติ” 4 ชั้น อาคารปฏิบัติการ 5 ชั้น เพื่อรองรับจำนวนผู้รับบริการที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้พื้นที่ในโรงพยาบาลที่มีเพียง 24 ไร่ 1 งาน 2.6 ตารางวา และเต็มไปด้วยอาคารมีที่ว่างน้อยมาก เมื่อประชาชนมารับบริการมากขึ้น และกระทรวงสาธารณสุขให้งบประมาณในการก่อสร้างเพิ่มเติม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าซึ่งไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก (ด้านหน้าติดถนนนนทบุรี ด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา และด้านข้างถูกขนาบด้วยชุมชนมัสยิดบางกระสอและชุมชนบ้านศาลเจ้า) ต้องรื้อเรือนไม้และตึกอำนวยการหลังแรก ตึกอำนวยการหลังที่ 2 เพื่อสร้างอาคารเวชศาสตร์ฟื้นฟู หอผู้ป่วย 8 ชั้น และอาคารเจษฎาบดินทร์ 9 ชั้น
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาด้วยพื้นที่ที่คับแคบทำให้โรงพยาบาลสามารถรองรับคนไข้ได้เพียง 1,200 คน/วัน แต่ปัจจุบันผู้ป่วยนอก (OPD) ของเรามีคนมาใช้บริการมากถึง 2,400 คน/วัน ห้องตรวจก็ไม่พอ คิวก็ยาว รับยาก็ช้า หากโรงพยาบาลไม่ขยายหรือพัฒนาศักยภาพ สภาพปัญหาก็จะยังคงดำเนินอยู่ เพราะโรงพยาบาลไม่สามารถให้บริการประชาชนและข้าราชการกระทรวงต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรี โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่เข้ามาใช้บริการมากกว่าครึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวคิดมาอย่างต่อเนื่องในการขยายโรงพยาบาลและพัฒนาศักยภาพ นอกจากความพร้อมของอาคารสถานที่แล้ว ยังหมายถึงความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ โดยเฉพาะศูนย์การแพทย์เฉพาะทางที่มีศักยภาพ คือ ยกระดับโรงพยาบาลให้อยู่ในระดับตติยภูมิระดับสูงอย่างเดียวไม่ได้ต้องทำไปทั้งจังหวัด แนวคิดนี้ผู้ว่า
ราชการจังหวัด และ สส.จังหวัดนนทบุรีเข้ามาสนับสนุน จังหวัดนนทบุรีมีการขยายตัวจนกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมาอาศัยจำนวนมาก โดยมีประชากรตามทะเบียนราษฎร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 รวม 1,157,399 คน มีประชากรแฝงประมาณ 6 แสนคน เป็นจังหวัดที่มีการหลั่งไหล่ของประชาชนและแรงงานต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นจำนวนมาก การขยายตัวทางเศรษฐกิจด้านที่พักอาศัย ศูนย์ราชการต่างๆ ก็มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการขยายเส้นทางการคมนาคม รถไฟฟ้าสายสีม่วงและการสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งเชื่อมท่าเรือน้ำลึกทวาย ส่งผลให้จังหวัดนนทบุรีมีความแออัดพอๆ กับกรุงเทพฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อการให้บริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงพยาบาลมีภาระงานด้านการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โรงพยาบาลยังมีแผนการเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ และจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัย การพัฒนาศักยภาพแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ให้สามารถบริการถึงระดับชุมชน ดูแลบริการรักษาพยาบาลแบบใกล้บ้านใกล้ใจ รวมทั้งการพัฒนาศูนย์โรคสำคัญต่างๆ ตามระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เช่น ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์ทารกแรกคลอด ศูนย์โรคไต ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง ศูนย์จักษุวิทยา ศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งศูนย์การแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนจีน ซึ่งตรงกับปณิธานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงส่งเสริมการแพทย์แผนจีน โดยทางโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเฉิงตู ประเทศจีน ในความตกลงร่วมมือพัฒนางานแพทย์แผนจีนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ปัจจุบันโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มีแพทย์สหสาขาที่มีศักยภาพ มีความพร้อมในการขยายการให้บริการในสาขาต่างๆ ตามระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของเขตสุขภาพที่ 4 โดยปัจจุบันถือเป็นโรงพยาบาลหลักในการดูแลสุขภาพประชาชนจังหวัดนนทบุรี จังหวัดในเขตปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ ที่อยู่ในฐานะโรงพยาบาลศูนย์ ขนาด 515 เตียง
ขอบเขตการให้บริการ
ให้บริการรักษาพยาบาลในระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิขั้นต้น ในด้านการป้องกัน ส่งเสริม การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยแพทย์เฉพาะทางแก่ประชาชนในจังหวัดนนทบุรีและปริมณฑล