Routine to Research : R2R
Routine to Research : R2R
🎓ผลงานวิจัย
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของโปรแกรมการพยาบาลสนับสนุนและให้ความรู้ผ่าน แอปพลิเคชันไลน์ ต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและการฟื้นตัวหลังการ ผ่าตัดช่องท้อง ในผู้ป่วยศัลยกรรม
Effects of Educative Supportive Nursing Program via Line Application on Abilities to Perform Activities of Daily Living and the Recovery after Abdominal Surgery among Surgical Patients
ปานพิกุล สกุลคู พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ และคณะ
การพยาบาลผู้ป่วยศัลยกรรม
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพยาบาลสนับสนุนและให้ความรู้ ผ่าน แอปพลิเคชันไลน์ต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดช่องท้องในผู้ป่วยศัลยกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยศัลยกรรมหลังการผ่าตัดช่องท้อง จำนวน 40 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการพยาบาลสนับสนุนและให้ความรู้ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่ง พัฒนาโดยผู้วิจัยจากการประยุกต์ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับ การพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมิน ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของบาร์ เธล และแบบประเมินการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดช่องท้อง วิเคราะห์ ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบทีคู่ และทีอิสระ
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการใช้ระบบพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ในการดูแล ที่จําเป็นต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองที่จําเป็น ในการป้องกัน ภาวะความดันโลหิตต่ําขณะฟอกเลือด ในผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
The effects of using education supportive nursing system self - care requisites on knowledge, and behaviour self - care requisites for intradialytic hypotension prevention in hemodialysis patients.
พัชรี กุศล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
การตรวจรักษาพิเศษ (ไตเทียม)
บทคัดย่อ : การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของการใช้ระบบพยาบาลแบบสนับสนุนการให้ความรู้ และการดูแลตนเองที่จําเป็นต่อความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง ที่จําเป็น ในการป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ําขณะฟอกเลือดในผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนลดลงจากก่อนการฟอกเลือด มากกว่า 10 - 20 มิลลิเมตรปรอท ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) กําหนดกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นชั้น (Stratified randomization) จากนั้นใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างๆง่าย (simple randomization) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน กลุ่มควบคุม 17 คน ศึกษาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ เชิงวิเคราะห์ t-test
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อภาวะน้ําเกินในผู้สูงอายุ
ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Effect of self-Management Program on volume overload
in older end stage renal disease receiving hemodialysis
สุพร มอรอยอ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
การตรวจรักษาพิเศษ (ไตเทียม)
บทคัดย่อ : การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อภาวะน้ําเกินในผู้สูงอายุ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นเวลา 4 สัปดาห์ใช้รูปแบบการวิจัย กึ่งทดลอง (Quasi-experiment research) วัดก่อนและหลังการทดลอง (The pretest-post test control group design) กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีอายุ 65 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะ สุดท้ายและรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องใดเทียม ในแผนกไตเทียม โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 40 คน คัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน โดยจัดให้ทั้งสองกลุ่มมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมากที่สุดใน เรื่องเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ เครื่องมือ ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการจัดการตนเอง แผนการให้ความรู้ คู่มือการจัดการตนเอง สื่อนําเสนอภาพนิ่ง และแบบประเมินการจัดการตนเองต่อภาวะน้ําเกินในผู้สูงอายุที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ส่วนเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบที (t-test)
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการจัดการทางการพยาบาลในการใช้ชุดความปลอดภัยเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดของกระบวนการทํางานในห้องผ่าตัด
The Effects of Nursing Management in Using Safety Sets
to Prevent the Working Process Operating Room Errors
นันทวัน คําตา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
ห้องผ่าตัด
บทคัดย่อ : การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) หนึ่งกลุ่มวัดก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของการจัดการทางการพยาบาลในการใช้ชุดความปลอดภัยเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดของกระบวนการทํางานในห้องผ่าตัด ชุดความปลอดภัยประกอบด้วย ชุดความรู้ การประยุกต์ใช้แบบตรวจสอบความปลอดภัยกับกระบวนการพยาบาล และการนิเทศทางคลินิก ประชากรในการศึกษา คือพยาบาลวิชาชีพที่ทํางานห้องผ่าตัด โรงพยาบาลสันทราย จํานวน 16 คน ศึกษาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงวิเคราะห์ Paired sample t – test
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วในไตโดยการส่องกล้อง : กรณีศึกษา
Nursing care for patients undergoing endoscopic kidney stone
surgery : case study
นวพร สินสกลวัฒน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
ห้องผ่าตัด
บทคัดย่อ : โรคนิ่วในไต มีแนวโน้มที่มีผู้ป่วยมากขึ้น เป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นซ้ําได้จากการขาดความรู้ ในการดูแลตนเองที่ถูกต้อง มีวิธีการรักษาหลากหลายทั้งการผ่าตัดแบบเปิด การเจาะรูทางผิวหนัง การสลายนิ่วด้วยเคลื่ยนความถี่สูงและการส่องกล้องผ่านทางท่อไต ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องเข้ามามีบทบาทแทนที่การผ่าตัดแบบเปิดอย่างกว้างขวาง พยาบาลจึงมีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยก่อน ขณะ และหลังผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการใช้โปรแกรมการให้ความรู้และฝึกทักษะการส่งเครื่องมือและการช่วยแพทย์ผ่าตัด ของพยาบาลวิชาชีพแผนกศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
The effects of knowledge and skills training program in scrub nurse and assistant nurse processes of registered nurse Urology department Sansai hospital Chiang Mai province
อรพินท์ ศิริโชติตระการ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
ห้องผ่าตัด
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และทักษtในการส่งเครื่องมือ
และการช่วยแพทย์ผ่าตัดของพยาบาลวิชาชีพ 2) อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในช่วง
ที่ทําการศึกษา ใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่ม วัดก่อน และหลัง ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ประชากร
ศึกษา คือ พยาบาลวิชาชีพที่ทำงานในแผนกศัลยกรรมทางเดินปัสสวะ จำนวน 15 คน เก็บรวบรวมข้อมูลลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงวิเคราะห์ Paired t-test
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการใช้แบบคัดกรองความเสี่ยงในการดูแลมารดาและทารกในครรภ์ที่มารับบริการ ณ ห้องคลอด โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ :
The Results of "Maternal and Fetal Risk Screening Tool" at the Labour Room in Sansai Hospital, Chiang Mai Province.
นางศิริรัตน์ วรรธกจตุรพร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
การพยาบาลผู้คลอด
การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แบบคัดกรอง ความเสี่ยง (Sansai LR triage) ในการดูแลมารดาและทารกในครรภ์ที่มารับบริการ ณ ห้องคลอด โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ต่อผลลัพธ์ทางกระบวนการและผลลัพธ์ทางคลินิก กลุ่มตัวอย่าง คือ 1) สตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการ ณ ห้องคลอด โรงพยาบาล สันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเดือน สิงหาคม 2566 ถึงเดือนมกราคม 2567 จํานวน 900 รายแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการคัดกรองแบบเดิม จํานวน 450 ราย และกลุ่มที่ได้รับการใช้แบบคัดกรอง Sansai LR triage จํานวน 450 ราย และ 2) พยาบาลทุกคนที่ปฏิบัติงานบริการผู้คลอด โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 9 ราย
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันแผลกดทับ หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย
โรงพยาบาลสันทราย
Development of a clinical nursing practice guideline to prevent pressure injury in a male medical department, Sansai hospital
นางพนารัตน์ สมฤทธิ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
การพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม
การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันแผลกดทับ หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสันทราย ใช้กรอบแนวคิดการพัฒนาแนวปฏิบัติทาง คลินิกของสภาการวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพแห่งชาติ ประเทศออสเตรเลีย (NHMRC) แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาแนวปฏิบัติฯ ระยะที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพแนวปฏิบัติฯ และระยะที่ 3 การนําไปใช้และ การประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ จํานวน 10 คน และกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยที่ มีคะแนน Barden scale ≤18 คะแนน จํานวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม จํานวน 35 คน
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการส่งเสริมการบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะต่อคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาลในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
The Effects of Nursing Documentation with Focus Charting Nursing Record for Nursing Documentation Quality in Female medical department, Sansai Hospital, Chiangmai
นางสาวศิริพร จิระศักดิ์ พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ
การพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ประภาพร พันธุ์ศิริ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
วิสัญญี
มดลูกแตกเป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์และส่งผลต่อการเพิ่มอัตราตาย ปริกําเนิดและอัตราตายของมารดาหากไม่ได้รับการรักษาแบบทันท่วงที กรณีศึกษา การพยาบาลมารดาที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไปสําหรับผ่าตัดฉุกเฉินที่มีภาวะมดลูกแตกและช็อกนี้ เป็นการศึกษาผู้ป่วย 1 ราย ที่พยาบาลวิสัญญีปฏิบัติงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพในการรักษาชีวิตของมารดา ที่มีการเสียเลือดอย่างรุนแรงจากภาวะมดลูกแตกจนเกิดภาวะช็อกและต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อแก้ไขภาวะ มดลูกแตกโดยเร่งด่วนภายใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วไป ซึ่งพบได้น้อยและมีความยุ่งยากซับซ้อนในการ พยาบาลทางวิสัญญีการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพยาธิสรีรวิทยา
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุที่ได้รับการระงับความรู้สึกในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม:กรณีศึกษา
Nursing care of Anesthesia for hip replacement surgery elderly patients: Case study
ขวัญลดา พันธุ์เกษม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
วิสัญญี
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในผู้สูงอายุเป็นการผ่าตัดรักษาผู้ป่วย เพื่อบรรเทาอาการปวด รวมทั้ง เพื่อดํารงไว้ซึ่งการเคลื่อนไหวและความมั่นคงของข้อสะโพก ให้สามารถกลับมาใช้งานในชีวิตประจําวันได้ดี ยิ่งขึ้น โดยผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการผ่าตัด จึงจําเป็นต้องได้รับการดูแลที่มีมาตรฐานเพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ในการให้การพยาบาลระหว่างระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายและการระงับความรู้สึกเฉพาะส่วนทางไขสันหลัง
ชื่อผลงาน : การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในสมองของผู้ป่วยบาดเจ็บ ที่ศีรษะปานกลางและโรคร่วม : กรณีศึกษา
ชื่อภาษาอังกฤษ : Nursing care of patient with Moderate
Traumatic Brain Injury and comorbidity : Case Study
ผู้จัดทำ จันทร์จิรา สุดใจ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงาน การพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
การบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะชนิดรุนแรงมีอัตราการเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาลค่อนข้างสูง นอกจากนี้ในรายที่บาดเจ็บไม่รุนแรงถึงชีวิต แต่ก็อาจเป็นผลให้สมองทํางานผิดปกติ เป็นสาเหตุให้เกิดความพิการได้เช่นกันซึ่งประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตทางถนนมากที่สุด คิดเป็น 36.2 ต่อแสนประชากร จากสถิติของกองสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ย้อนหลัง 3ปี 2564 - 2566 มีผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บ ที่ศีรษะสูงถึง 1,201, 2,118 และ 1,059 ราย ตามลําดับหลักการที่สําคัญในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บของศีรษะนั้น นอกจากจะต้องทําการ Primary survey และResuscitation ตามหลักการของการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุแล้ว สิ่งสําคัญคือ จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บทุติยภูมิของเนื้อสมอง (Secondary brain injury) ดังนั้นการให้ออกซิเจน และการรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เลือดสามารถไปเลี้ยงสมองได้เป็นปกติ จึงเป็นหลักการสําคัญในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ผู้ศึกษาจึงเล็งเห็นความสําคัญในการให้การพยาบาลผู้ป่วยในระยะฉุกเฉินที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการใช้ทฤษฎีการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในสมองของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะปานกลางและมีโรคร่วม โดยใช้กรอบแนวคิดทางการพยาบาลของ FANCAS โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน การสังเกต การซักประวัติผู้ป่วย และการตรวจร่างกาย กลุ่มตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา 2 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะที่มีภาวะเลือดออกในสมองและมีโรคร่วมเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสันทราย กรณีศึกษาที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 กรณีศึกษาที่2 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การคัดกรองและการพยาบาลผู้ป่วยเนื้องอกมดลูกที่มีภาวะแทรกซ้อนและ ได้รับการตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้อง กรณีศึกษา 2 ราย
Sceening and nursing care of myoma uteri with complications who had undergone an abdominal hysterectomy : Case study 2 case
มยุเรศ ใจโพธิ์ พยาบาลวิชาชีพชำนวญการ
กลุ่มงานนรีเวชกรรม
โรคเนื้องอกมดลูกเป็นภาวะที่พบบ่อยทางนรีเวชกรรมส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีผลกระทบ ต่อสุขภาพและการดําเนินชีวิต การตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้องถือเป็นหนึ่งในการรักษาที่ได้ผลดีการคัดกรอง การเตรียมความพร้อม การประเมินปัญหา และ การพยาบาลก่อนการผ่าตัดที่มีมาตรฐานจึงจําเป็นเพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยเนื้องอกมดลูก กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ที่เข้ามารับบริการที่ห้องตรวจสูตินรีเวชกรรมโรงพยาบาลสันทราย และได้รับการตัดมดลูก ผ่านทางหน้าท้องโดยเก็บข้อมูลจากการสังเกตุอาการ การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ ศึกษาจากเวชระเบียน โดย ใช้กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ทฤษฎีการปรับตัวของรอย ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านสื่อดิจิทัลต่อความพร้อมในการดูแลและ ความเครียดในบทบาทของผู้ดูผู้ ดูแลผู้ป่วยผู้ ป่วยระยะกลาง
จิรัฐยา จุลมล พยาบาลวิชาชีพชำนวญการ
การพยาบาลผู้ป่วยระยะกลาง
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอักเสบที่มีภาาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน กรณีศึกษา 2 ราย
พรปวีณ์ สังฆบุญ พยาบาลวิชาชีพชำนวญการ
การพยาบาลผู้ป่วยหนัก(ICU)
โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อยติดอันดับหนึ่งในหาอันดับแรกของ โรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งโรคปอดอักเสบมีลักษณะทางคลินิกที่หลากหลาย เมื่อเกิดการเจ็บปวยที่รุนแรงสามารถนําไปสู่การเสียชีวิตหรือพิการได้ จากรายงานข้อมูลของสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 3 ปีย้อนหลัง (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2566) ปี พ.ศ. 2564 – 2566 พบอัตราผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ 172.47, 339.40 และ 361.70 ต่อประชากรแสนคนตามลําดับ และพบอัตรา การตายด้วยโรคปอดอักเสบ 0.10, 0.32 และ 0.34 ต่อประชากรแสนคนตามลําดับ
อ่านเพิ่มเติม
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการส่งเสริมการบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะต่อคุณภาพการบันทึกทางการ พยาบาลในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง
The Effects of Nursing Documentation with Focus Charting Nursing Record for Nursing Documentation Quality in Female medical department, Sansai Hospital,Chiangmai
ศิริพร จิระศักดิ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานอายุรกรรม
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมการบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะต่อ การบันทึกทางการพยาบาลที่มีคุณภาพ ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ และเปรียบเทียบความรู้ก่อน-หลัง การส่งเสริมการบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลสันทราย เป็น การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi–experimental research) ศึกษาแบบกลุ่มเดียว โดยวัดก่อนและหลัง (One group pretest-post test design) กลุ่มตัวอย่างคือ 1) พยาบาลวิชาชีพประจําการ ปฏิบัติหน้าที่ในหอผู้ป่วย อายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ คัดเลือกแบบเจาะจง (Pur posive sampling) จํานวน 11 คน 2) บันทึกทางการพยาบาลของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาหอผู้ป่วยอายุกรรมหญิง โรงพยาบาลสันทราย กําหนดโดยอาศัยอํานาจการทํานาย (Power) ที่ 0.80 ระดับนัยสําคัญทางสถิติ(Significant level) ที่ 0.05 และขนาดของความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ต้องการศึกษา (Effect size) เท่ากับ 0.60 เท่ากับ 22 ฉบับ
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อยที่มีภาวะหายใจลำบาก : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
Nursing Care of Low Birth Weight Premature Infant With Respiratory Distress Syndrome : Case study 2 case
ศรัญญา เศวตเศรนี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานพยาบาลผู้ป่วยหนัก (NICU)
ภาวะหายใจลำบาก (Respiratory Distress Syndrome) เป็นปัญหาที่พบบ่อยในทารกคลอด ก่อนกำหนด ส่งผลทำให้ทารกมีภาวะหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตตามมาได้ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อยที่มีภาวะหายใจ ลำบากและนำความรู้จากการศึกษามาพัฒนาการพยาบาลให้ครอบคลุม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต อาการ ตรวจร่างกาย และสัมภาษณ์ ครอบครัว และการศึกษาจากเวชระเบียนจำนวน 2 ราย โดยใช้ทฤษฎี การพยาบาลของโอเร็ม
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกําหนดที่มีภาวะหายใจลําบาก ร่วมกับภาวะลําไส้เน่าอักเสบ กรณีศึกษา: เปรียบเทียบ ๒ ราย
นางปิ่นทอง หมายดี พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ
กลุ่มงานพยาบาลผู้ป่วยหนัก (NICU)
ทารกคลอดก่อนกําหนดที่มีภาวะหายใจลําบาก ร่วมกับภาวะลําไส้เน่าอักเสบ เป็นภาวะวิกฤตที่คุกคามต่อชีวิตและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของทารก อุบัติการณ์ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2000-2017 พบว่ามีทารกคลอดก่อน กําหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ของทารกแรกเกิดมีชีพ (World Health Organization [WHO], 2021) สําหรับประเทศไทยพบรายงานอัตราการเกิดทารกแรกเกิดที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 2,500 กรัมปี พ.ศ. 2559, 2560, และ 2561 มีจํานวนร้อยละ 11.08, 11.13, และ 11.3 ของทารกเกิดมี ชีพทั้งหมด ตามลําดับ (สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2561) ทารกแรกเกิด
ที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม ประมาณ 2 ใน 3 เป็นทารกคลอดก่อนกําหนด (WHO, 2018) สถิติของ
โรงพยาบาลสันทราย พบว่าแนวโน้มของจํานวนทารกคลอดก่อนกําหนดมีจํานวนเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2564, 2565,
และ 2566 คิดเป็นร้อยละ 10, 11.1, และ 11.8 ตามลําดับ และทารกคลอดก่อนกําหนดที่มีน้ําหนักน้อย มี
อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าทารกแรกเกิดน้ําหนักปกติถึง 52 เท่า
อ่านเพิ่มเติม
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ผลของการดูแลต่อเนื่องและการสนับสนุนการจัดการตนเองที่บ้าน ผ่านการดูแลสุขภาพทางไกลต่อระดับโพแทสเซียมและการติดเชื้อในช่องท้อง ในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องที่บ้าน
Effects of home health care and self-management supporting via telehealth on potassium levels and intra-abdominal infections in home peritoneal dialysis patients
ดาวเรือง อิ่มเอิบ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานพยาบาลผู้ป่วยนอก (CAPD)
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่ม วัดก่อน และหลัง ศึกษาผลของการดูแลต่อเนื่อง และการสนับสนุนการจัดการตนเองที่บ้านผ่านการดูแลสุขภาพทางไกลต่อระดับโพแทสเซียม และการติดเชื้อ ในช่องท้อง ในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องที่บ้าน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่รักษาด้วย วิธีล้างไตทางช่องท้อง และมีระดับโพแทสเซียม < 3.5 mEq./Lและรักษาด้วยวิธีการล้างไตทางช่องท้องมาแล้ว 3 เดือน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จํานวน 28 ราย ศึกษาเป็นเวลา 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงวิเคราะห์ Paired t - test ผลการวิจัย พบว่า ผลต่างค่าเฉลี่ยของระดับโพแทสเซียม หลังการทดลองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติ p-value < 0.001 โดยมีผลต่างค่าเฉลี่ยของระดับโพแทสเซียม 0.65 และอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ ทางช่องท้อง ร้อยละ 10.71 ในช่วงที่ทําการศึกษา และร้อยละ 92.86 มีความพึงพอใจในระดับมาก สรุป การศึกษานี้เน้นย้ําถึงความสําคัญของการดูแลต่อเนื่องที่บ้านและการสนับสนุนการจัดการ ตนเองผ่านการบริการสุขภาพทางไกลสําหรับผู้ป่วยที่ล้างไตทางช่องท้อง เป็นที่ชัดเจนว่าการดูแลประเภทนี้ มีประสิทธิผล และสามารถนําไปสู่ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นได้
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
อัญชลี แก้วสกุล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานพยาบาลตรวจรักษาพิเศษ
บทคัดย่อ
การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการบําบัดทดแทนไต มีเป้าหมายเพื่อ
เพิ่มคุณภาพชีวิต ป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อน ส่งเสริมสมรรถนะร่างกายไว้ให้ได้มากที่สุดและลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยและญาติที่กําลังเผชิญกับความเจ็บป่วยที่คุกคามชีวิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการพยาบาลเพื่อจัดการภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการบําบัดทดแทนไตและเป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวทางในการพยาบาล โดยใช้กระบวนการพยาบาล ร่วมกับการใช้แนวคิดการจัดการตนเองในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีการจัดการตนเองที่เหมาะสมทําการศึกษาในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการบําบัดทดแทนไต 2 ราย เพศชาย อายุ 87 ปีค่าอัตราการกรองของไต 9.18 ml/min/1.73 m2 และเพศชายอายุ 73 ปี มีค่าอัตราการกรองของไต 13.41ml/min/1.73 m2 ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาด้วยการบําบัดทดแทนไต และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ยังไม่เหมาะสม และมีภาวะแทรกซ้อน
ผลการศึกษา พบว่า การใช้กระบวนการพยาบาลร่วมกับการใช้แนวคิดทฤษฎีการจัดการตนเองของเครียร์ มาให้การพยาบาลผู้ป่วยที่ประกอบด้วย การตั้งเป้าหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์และประเมินข้อมูล การตัดสินใจ การลงมือปฏิบัติ การสะท้อนตนเอง ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วยทั้ง2 รายคือ จํานวนครั้งในการมาโรงพยาบาลก่อนนัดหรือมาด้วยอาการแทรกซ้อนลดลง ผู้ป่วยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหยุดดื่มสุราและสูบบุหรี่ การใช้แนวคิดนี้สามารถนํามาพัฒนาเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยได้ต่อไป
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
ดาราณี แซ่เอี่ยม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานพยาบาลผู้ป่วยนอก
บทคัดย่อ
โรคแบคทีเรียกินเนื้อเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงที่พบได้ไม่บ่อยซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางบาดแผลแล้วปล่อยสารพิษทําลายเนื้อเยื่อและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปตามพังผืด หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น อวัยวะล้มเหลว ถูกตัดแขนขา และในกรณีที่รุนแรงอาจเสียชีวิตได้ กรณีศึกษาครั้งนี้ เป็นกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่รักษาบาดแผลด้วยวิทยาการด้านการรักษาบาดแผลเปรียบเทียบ 2 ราย โดยได้มีการบูรณาการทฤษฎีการดูแลตนเองของ Orem และทฤษฎีการหายของแผลโดยทําให้แผลชุ่มชื้น (Moist Wound Healing) ร่วมกับการใช้วัสดุปิดแผลแนวใหม่และการทําแผลด้วยแรงดันสุญญากาศ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการดูแลบาดแผลขั้นสูงมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ร่วมกับการให้ความรู้ให้แก่ผู้ป่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย และการดูแลตนเองเมื่อกลับบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและดําเนินชีวิตได้อย่างปกติ
ผลการศึกษา : ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 เพศชาย อายุ อายุ 64 ปี อาการสําคัญ ตุ่มน้ําพองใสขึ้นเท้าซ้ายบวม แดง 3 วันก่อนมา กรณีศึกษาที่ 2 เพศชาย อายุ 57 ปี อาการสําคัญ มีตุ่มน้ําบริเวณหัวแม่เท้าขวาเท้าขวาบวมแดง ปวด 14 วันก่อนมา ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ได้รับการวินิจฉัยเป็น โรคแบคทีเรียกินเนื้อมีโรคประจําตัว คือ โรคเบาหวาน ระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาล 50 วัน และ 21 วัน ตามลําดับ ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดตกแต่งบาดแผลและให้ยาปฏิชีวนะ กรณีศึกษารายที่ 1 มีภาะช็อกจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด กรณีศึกษารายที่ 2 ได้รับการตัดนิ้วหัวแม่เท้าขวา กิจกรรมการพยาบาลทั้งสองรายมุ่งเน้นการดูแลบาดแผล การให้ความรู้ และการวางแผนการจําหน่าย ผลลัพธ์ภายหลังการดูแล พบว่า ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และฟื้นจากภาวะเจ็บป่วย สามารถจําหน่ายกลับบ้านได้
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
จิรานุช วงศ์อุทัย พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized controlled trial ; RCT)ด้วยวิธีปกปิดการจัดสรร (Allocation concealment method) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2ที่มีระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มากกว่า 7mg% จํานวน 40 คน การจัดสรร (Allocation) กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย (simple randomization) และวิธีการสุ่มแบบเป็นชั้น (Stratified randomization) ตามระดับระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) เข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) ในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ําตาลได้ไม่ดี โดยประเมินพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสมให้กับทั้งสองกลุ่มก่อนการทดลองและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Independent samples t-test ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองค่าเฉลี่ย คะแนนพฤติกรรมสุขภาพตนเองโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p-value < 0.001 โดยมี ผลต่างค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น 6.35 และพบว่าค่าระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C)ลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติp-value 0.033 โดยมีผลต่างค่าระดับน้ําตาลเฉลี่ยระดับ (HbA1C) ลดลง 0.93 โดยสรุปการศึกษาชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองเพิ่มศักยภาพการดูแลสุขภาพ ตนเอง และการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้จึงควรนําโปรแกรมสนับสนุนการจัดการ ตนเองมาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยที่มารับบริการเพื่อยกระดับคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยต่อไป
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
สมพร กวงแหน พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยนอก
บทคัดย่อ
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่สําคัญและเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ชนิดที่ 2 เบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวกับระดับฮอร์โมน และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันอีกโรคหนึ่ง
ที่มีความสัมพันธ์กับวัณโรค ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรคมากกว่าผู้ที่ไม่ป่วยเป็นเบาหวานถึง 3 เท่า เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่มีเบาหวานเสียชีวิตในระหว่างการรักษาวัณโรคค่อนข้างมาก และมีโอกาสกลับเป็นซ้ําสูง การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบกรณีศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอดร่วมกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียนผู้ป่วยนอก การซักประวัติ ผู้ป่วย และญาติการสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ แบบแผนสุขภาพ พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ระยะเวลาศึกษา เดือนพฤษภาคม 2566 – เดือนมกราคม 2567กรณีศึกษาที่ 1 ชายไทยอายุ81 ปีอาการสําคัญ ไอ หายใจเหนื่อย ทานได้น้อย อ่อนเพลียน้ําหนักลด ไม่มีไข้จากผลตรวจ X-ray ปอด lung patchy infiltration, Sputum AFB 3+ มีโรคประจําตัวเป็นเบาหวาน ได้รับการวินิจฉัยเป็น Pulmonary tuberculosis with Diabetes mellitus type 2
กรณีศึกษาที่ 2 หญิงไทยอายุ57 ปีอาการสําคัญ ไอ หายใจเหนื่อย อ่อนเพลียก่อนมาโรงพยาบาล 2 สัปดาห์ จากผลตรวจ X-ray ปอด RUL infiltration, Sputum TB gene expert : MTB detected มีโรคประจําตัว เป็นโรคเบาหวานและโรคความดัน ได้รับการวินิจฉัยเป็น Pulmonary tuberculosis with Diabetes mellitus type 2, Hypertention ผลการศึกษาพบว่ากรณีศึกษา 2 ราย ผู้ป่วยรายที่ 1 มีความซับซ้อนในการให้การพยาบาล ได้รับสูตรยาที่มีความเข้มข้นมากขึ้นตามน้ําหนักตัวผู้ป่วย และระยะการตอบสนองต่อยาที่ยาวนานกว่าผู้ป่วยรายที่ 2 ผู้ศึกษาได้นําแนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ให้การพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาล เน้นการพยาบาลแบบองค์รวมมาเป็นแนวทางในการวางแผนการพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่มีการแพร่กระจายเชื้อ และระดับน้ําตาลในเลือดลดลงสามารถดํารงชีวิตได้ปกติ
ชื่อผลงาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ผู้จัดทำ
กลุ่มงาน
พัชรินทร์ อินต๊ะมูล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองผ่านแอพพลิเคชันต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว จำนวน 48 คน ทำการสุ่มอย่างง่าย ได้กลุ่มทดลอง 24 คน และกลุ่มควบคุม 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองผ่านแอพพลิเคชันสำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเอง และแบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป โดยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองโดยใช้สถิติ Dependent t-testและหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ Independent t-testผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเอง และ
ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) และกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า โปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองผ่านแอพพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวมีพฤติกรรมการจัดการตนเองและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ