บ้านสวนลุงจ่า
- จ.ส.อ.ภูวดิษฐ์ นรการ (จ่าภู) อดีตเป็นข้าราชการทหาร ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ สำเร็จการศึกษาปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตัดสินใจลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ เมื่อปีพ.ศ.2555 ทั้ง ๆ ที่หวังก้าวหน้าในอาชีพรับราชการ แต่โอ้! อนิจจา คุณพ่อคุณแม่ต้องมาล้มป่วยทั้ง 2 ท่าน อีกทั้งภรรยาและบุตร 3 คน ก็อยู่กันคนละทิศคนละทาง และยังต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้พิการทางด้านสติปัญญาอีก 2 คน คือ พี่สาวและน้องสาว เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ และครอบครัวอบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้า แม้จะยากจนลำบากเพียงใดก็ต้องสู้และอดทน
เมื่อกลับมาอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ทั้ง 2 ท่านได้เสียชีวิตลง เหลือคนในครอบครัว 7 ชีวิตด้วยกัน มี ลูกสาว 1 คน ลูกชาย 2 คน กำลังอยู่ในวัยเรียนและผู้พิการอีก 2 คน “ชีวิตครอบครัวจะก้าวเดินกันอย่างไร” ในพื้นที่ดินจำนวน 3 ไร่ 1 งาน เราจะทำอย่างไรให้อยู่รอดด้วยภาระที่แสนหนักหน่วง หนี้สินก็มากมาย เงินบำนาญก็น้อย เดือนละ 12,000 บาท ต้องผ่อนรถยนต์ ผ่อนหนี้บ้านที่อยู่อาศัย จำนองไว้กับธนาคาร เงินที่จะใช้ลงทุนทำการเกษตรก็ไม่มี พื้นที่ดินก็แห้งแล้ง อยู่นอกเขตระบบชลประทาน เริ่มเครียดคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะอยู่รอด จึงปรึกษาภรรยาเพื่อหาวิธีการ คือ 1.ตั้งสติ 2.เรียนรู้ 3.วางแผน 4.ลงมือทำ โดยเริ่มต้นจากการไปศึกษาเรียนรู้แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และนำมาปรับประยุกต์วางแผนทดลองทำการเกษตรแบบค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมโครงการเกษตรตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ศูนย์การเรียนรู้บ้านลุงทองเหมาะ ที่อำเภอศรีประจันต์ จึงได้มาวางแผนปรับปรุงดิน ทำระบบน้ำและลงมือปลูกผักและสมุนไพรไว้กินเอง โดยปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูกพร้อมกับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ไม่ทำการเกษตรแบบตาโต ทำการเกษตรแบบผสมผสาน ตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เดินที่ก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไง) ทำให้สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือน โดยการจดบันทึกบัญชีใช้จ่ายในครัวเรือนและจดบันทึกบัญชีต้นทุนอาชีพใช้ในการวางแผน อะไรจำเป็นและไม่จำเป็น ทำให้รู้ต้นทุนและกำไร มีรายได้เพิ่ม ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเริ่มดีขึ้น ลูกสาวเรียนจบปริญญาตรี ทำงานแล้ว ลูกชายคนรองเรียนอยู่โรงเรียน นายร้อยพระจุลจอมเกล้า ลูกชายคนเล็กเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ครอบครัวอบอุ่นมีความสุข