หัวข้อโครงร่าง
I. พระคัมภีร์ไม่ได้เน้นเรื่องของเพื่อนมิตร
II. เพื่อนมิตรเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในโลก
III. พระเจ้าทรงกำชับเราให้สิ้นสุดมิตรภาพฝ่ายโลก
1. เป็นมิตรกับโลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า
2. อย่าเข้าเทียมแอกที่แตกต่างกันกับคนที่ไม่เชื่อ
IV. สมควรเอาพี่น้องในคริสตจักรมาแทนที่เพื่อน
V. ความหมายของการเป็นเพื่อนในคริสตจักร
1. เพื่อนเป็นสิ่งที่เหนือกว่าฐานะ
2. คริสตจักรให้ความสำคัญกับพี่น้อง
ข้อพระคัมภีร์: ยฮ.5:14; 8:11; รม.6:1-2; อฤธ.19:1-10, 12-13, 17-19; 1ยฮ.1:7-2:2
ยฮ.5:14 ฝ่ายบุตรจงน้อมฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะการกระทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง.
ยฮ.8:11 'จงเคารพบิดามารดาของตน' ซึ่งเป็นพระบัญญัติแรกที่มีคำทรงสัญญาไว้
รม.6:1 'เพื่อท่านทั้งหลายจะมีความราบรื่น และมีชีวิตที่ยืนยาวบนแผ่นดินโลก.'
รม.6:2 ฝ่ายบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้โกรธเคือง แต่จงอบรมเลี้ยงดูด้วยการตีสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
อฤธ.19:1 ฝ่ายบุตรจงน้อมฟังบิดามารดาของตนในทุกสิ่ง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
อฤธ.19:2 นี่เป็นบทบัญญัติแห่งกฎบัญญัติที่พระยะโฮวาได้ทรงบัญชาไว้ว่า จงบอกแก่ชนชาติอิสราเอลให้นำโคตัวเมียสีแดงที่ไม่พิการ, ปราศจากด่างพร้อย, และไม่เคยเข้าเทียมแอกมาก่อน.
อฤธ.19:3 เจ้าจงนำโคตัวเมียนั้นมาให้แก่เอละอาซารผู้เป็นปุโรหิต ให้คนนำโคตัวเมียนั้นออกมานอกค่ายและฆ่าเสียต่อหน้าเขา.
อฤธ.19:4 เอละอาซารผู้เป็นปุโรหิตจะใช้นิ้วมือจุ่มเลือดโคตัวเมียบางส่วน และประพรมเลือดนั้นตรงหน้ากระโจมประชุมเจ็ดครั้ง.
อฤธ.19:5 และต้องเผาโคตัวเมียนั้นต่อหน้าสายตาของเขา คือเผาหนัง, เนื้อ, และเลือด, ทั้งมูลของมันเสียให้หมด.
อฤธ.19:6 ปุโรหิตต้องนำไม้สนสีดาร์, ต้นหุสบ, และด้ายสีแดงเข้มโยนเข้าไปในไฟที่เผาโคตัวเมียนั้น.
อฤธ.19:7 แล้วปุโรหิตจะต้องซักเสื้อผ้าของตนและล้างตัวในน้ำ จากนั้นปุโรหิตจึงจะเข้ามาในค่าย แต่ปุโรหิตนั้นจะไม่สะอาดจนถึงเวลาเย็น.
อฤธ.19:8 คนที่เผาโคตัวเมียนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของตนในน้ำ ล้างตัวในน้ำ และเขาจะไม่สะอาดจนถึงเวลาเย็น.
อฤธ.19:9 ให้ชายที่สะอาดคนหนึ่งเก็บขี้เถ้าของโคตัวเมียนั้นมาวางไว้ในที่สะอาดข้างนอกค่าย และขี้เถ้านั้นให้เก็บไว้ให้ชุมนุมชนอิสราเอลใช้เพื่อทำเป็นน้ำสำหรับชำระความมลทิน นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป.
อฤธ.19:10 คนที่เก็บขี้เถ้าของโคตัวเมียนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะไม่สะอาดจนถึงเวลาเย็น. นี่จะเป็นบทบัญญัติถาวรสืบไปเป็นนิตย์สำหรับชนชาติอิสราเอล และแขกแปลกหน้าที่ค้างแรมอยู่ท่ามกลางพวกเขา.
อฤธ.19:12 ในวันที่สาม เขาจะต้องนำน้ำนั้นมาชำระตัวให้บริสุทธิ์ และในวันที่เจ็ด เขาจะสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์ในวันที่สาม ในวันที่เจ็ด เขาจะไม่สะอาด.
อฤธ.19:13 ผู้ใดแตะต้องคนตาย คือศพคนตาย และไม่ชำระตัวให้บริสุทธิ์ ผู้นั้นก็ได้ทำให้พลับพลาของพระยะโฮวาเป็นมลทิน เขาจะต้องถูกตัดออกเสียจากชนชาติอิสราเอล. เพราะน้ำสำหรับชำระความมลทินไม่ได้ถูกประพรมบนตัวของเขา. เขาจะไม่สะอาด ความไม่สะอาดนั้นยังอยู่บนตัวของเขา.
อฤธ.19:17 สำหรับคนที่ไม่สะอาดนั้น จงนำขี้เถ้าจากการเผาเครื่องบูชาไถ่บาปใส่ในภาชนะ และให้เติมน้ำที่ไหลอยู่เข้าไป.
อฤธ.19:18 ให้คนที่สะอาดนำต้นหุสบจุ่มลงในน้ำนั้น ประพรมที่กระโจม พร้อมทั้งบรรดาเครื่องใช้ทุกอย่าง และบรรดาคนที่อยู่ในกระโจมนั้น หรือประพรมบนคนที่ได้แตะต้องกระดูก หรือคนที่ถูกฆ่า หรือคนตาย หรือหลุมฝังศพ.
อฤธ.19:19 ให้คนที่สะอาดประพรมบนตัวคนที่ไม่สะอาดในวันที่สามและวันที่เจ็ด และในวันที่เจ็ดนั้นเขาจะชำระคนนั้นให้บริสุทธิ์ คนนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตน ล้างตัวในน้ำ และเขาจะสะอาดในเวลาเย็น.
1ยฮ.1:7 แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตอยู่ในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น.
1ยฮ.1:8 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และหลักความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย.
1ยฮ.1:9 ถ้าเราสารภาพความบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและชอบธรรมก็จะทรงอภัยบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้ปราศจากอธรรมทั้งสิ้น.
1ยฮ.1:10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่เคยทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระคำของพระองค์มิได้อยู่ในเราเลย.
1ยฮ.2:1 ลูกๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป. ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีผู้ว่าความแทนซึ่งสถิตอยู่กับพระบิดาคือพระเยซูคริสต์ผู้ชอบธรรมนั้น
1ยฮ.2:2 และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาระงับพระพิโรธเพราะความบาปของเรา และมิใช่แต่บาปของเราเท่านั้น แต่ของมนุษย์โลกทั้งสิ้นด้วย.
I. พระคัมภีร์ไม่ได้เน้นเรื่องของเพื่อนมิตร
ในพระคัมภีร์มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้านั้น จะไม่ค่อยเน้นถึงเรื่องของเพื่อนมิตร. นี่ไม่ได้หมายความว่า “เพื่อนมิตร” หรือ “สหาย” ไม่เคยถูกใช้ในพระคัมภีร์เลย แท้ที่จริงแล้วคําศัพท์เหล่านี้ก็เคยถูกใช้หลายครั้งในพันธสัญญาเดิม ซึ่งเราสามารถค้นพบได้ในเยเนซิศและในสุภาษิตด้วย. สําหรับในพันธสัญญาใหม่ เราก็สามารถค้นพบศัพท์คํานี้หลายครั้งในหนังสือมัดธายกับหนังสือลูกา แต่ว่าเพื่อนมิตรที่ได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้น มักจะชี้ถึงเพื่อนมิตรที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์เป็นหลัก ในพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการคบเพื่อนในท่ามกลางคนที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้มากนัก หากข้าพเจ้าจําไม่ผิด ศัพท์พวกนี้ได้ถูกเอ่ยถึงสองครั้งในหนังสือกิจการ. ครั้งแรกก็คือ “มีบางคนในพวกผู้นําของมณฑลอาเซียซึ่งเป็นสหายกับเปาโลก็ได้ใช้คนไปวิงวอนเปาโลมให้เสี่ยงอันตรายเข้าไปในโรงละคร.” (19:31) และครั้งที่สองได้พูดถึงว่า “ฝ่ายยูเลียวมีความกรุณาเปาโล ยอมให้ท่านไปหาเพื่อนฝูงของท่าน เพื่อจะได้รับการดูแล.” (27:2) หลังจากนั้นได้เอ่ยถึง อีกครั้งหนึ่งใน 3ยฮ.1:4 ได้พูดถึง “เพื่อนมิตรทั้งหลายฝากคําทักทายมาถึงท่าน. ขอฝากคําทักทายมายังเพื่อนทั้งหลายโดยเรียงตามรายชื่อเป็นลําดับไป” เท่าที่ข้าพเจ้าจําได้นั้น นอกจากข้อพระคัมภีร์สามแห่งนี้ ในพันธสัญญาใหม่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนมิตรอีกเลย กรณีนี้ให้เรามองเห็นว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้เน้นถึงเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนมิตร.
เพราะอะไรในพระคัมภีร์ถึงไม่ได้เน้นเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนมิตร? ก็เพราะเหตุพระคัมภีร์จะ ให้ความสําคัญกับการเป็นพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า นี่คือสิ่งที่เป็นมูลฐานและเป็นหลัก เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ แต่กลับไม่ได้เน้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนมิตร.
II. เพื่อนมิตรเป็นความสัมพันธ์ที่สําคัญที่สุดในโลก
เพื่อนมิตรนั้นหมายความว่าอะไร? ผู้อาวุโสกับคนหนุ่มๆ สามารถเป็นเพื่อนกัน, สามีกับภรรยาก็เป็นเพื่อนกันได้, พ่อกับลูกก็สามารถเป็นเพื่อนกัน, ระหว่างพี่น้องชายก็สามารถเป็นเพื่อนกัน, ระหว่างพี่น้องหญิงก็เป็นเพื่อนกันได้เหมือนกัน. การที่เป็นเพื่อนกับคนๆ หนึ่งนั้น หมายความว่าจะต้องมีความรักและสมาคมซึ่งกันและกัน ในท่ามกลางความสัมพันธ์ต่างๆ ของมนุษย์นั้น มีความสัมพันธ์ประเภทหนึ่งที่เกี่ยวกับสายเลือดซึ่งอยู่เฉพาะในวงศ์ญาติของเรา เพื่อนมิตรแตกต่างกับความสัมพันธ์ประเภทนี้อย่างสิ้นเชิง คนสองคนจําต้องรักกันจึงจะสมาคมกัน ฉะนั้นปัญหาของเพื่อนก็คือการนําความสัมพันธ์อื่นๆ ละไว้ข้างหนึ่ง แล้วมาคบกัน เพราะเหตุความรัก. บ่อยครั้งเราก็พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยานั้นมีมิตรภาพ เสริมเข้ามาด้วย. ระหว่างพ่อกับลูกชาย, แม่กับลูกสาว, ครูกับนักเรียนก็สามารถมีมิตรภาพเสริมเข้ามาได้ นอกจากนี้ระหว่างคนที่มีฐานะในสังคมระดับเดียวกัน, อยู่ในวัยเดียวกัน, หรือในยุคสมัยเดียวกันก็อาจมีความสัมพันธ์ของมิตรภาพด้วย.
มิตรภาพเป็นความสัมพันธ์ที่สําคัญที่สุดในโลกสําหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะก่อนที่เขาต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของเขานั้น เขายังไม่มีความสัมพันธ์ของพี่น้องชายหรือหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า. มิตรภาพจึงกลายเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดสําหรับเขา แต่ปัจจุบันนี้ ในท่ามกลางเรานั้น เรื่องที่เกี่ยวกับมิตรภาพนั้นไม่ใช่ข้อสําคัญ เพราะเหตุนี้ มิตรภาพจึงไม่ค่อยได้ถูกเอ่ยถึงในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ที่นับได้มีเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นเอง สิ่งที่เราสนใจนั้นอยู่บนตัวของพี่น้องทุกคน เพราะฉะนั้น การเป็นเพื่อนกันในองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ค่อยมีความสําคัญ. เรื่องของมิตรภาพเป็นสิ่งที่ไม่สําคัญในท่ามกลางบุตรของพระเจ้า.
ก่อนที่เรายังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เรายังไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องทั้งหลาย เราอาจมีแค่ความสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างพ่อกับลูกชาย, แม่กับลูกสาว, ครูกับนักเรียน หรือเจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น มิตรภาพก็เลยกลายเป็นเรื่องที่สําคัญสําหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะแม้กระทั่งความเป็นพ่อกับลูกกันก็ยังคงมีจุดยืนที่แตกต่างกันระหว่างแม่กับลูก, สามีกับภรรยา, เจ้านายกับลูกน้อง. แต่ละคนล้วนมีจุดยืนที่แตกต่างกัน จํานวนคนที่มีความสัมพันธ์ในวงศ์ญาติของเราอาจยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้ามีสักสามคนห้าคน หรือแปดคนสิบคนก็มากพอแล้ว นอกจากคนเหล่านั้นแล้ว การติดต่ออย่างอื่นทั้งหมดล้วนเป็นการติดต่อของเพื่อนมิตรทั้งสิ้น.
ถ้ามีแค่ความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่สามารถทําให้มนุษย์อิ่มใจได้ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน. ความสัมพันธ์ในวงสังคมอื่นๆ ก็ไม่สามารถทําให้มนุษย์อิ่มใจได้เช่นกัน เรายังต้องการมิตรภาพจึงจะรู้สึกอิ่มใจ. การที่คนสองคนสามารถคบเป็นเพื่อนกันได้นั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความรักแต่ไม่ใช่สายเลือด. เท่าที่เรารู้กัน ความสัมพันธ์หลายอย่างของมนุษย์นั้นมาจากการเกิด แต่มีเพียงมิตรภาพเท่านั้นเป็นการเลือกสรรของเรา เพราะฉะนั้น มิตรภาพจึงกลายเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดในเวลาที่เรายังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ละคนอย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อนสักสามคน, ห้าคน, แปดคน, หรือสิบคน. คนที่เข้ากับคนง่ายนั้นอาจมีเพื่อนฝูงมากถึงหลายร้อยคนก็เป็นไปได้ซึ่งเขาก็มีความสุขในการอยู่ร่วมกัน, การสมาคมกัน, และรักกันในระหว่างเพื่อนฝูงนั้น. มิตรภาพเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างแท้จริงในขณะที่เรายังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
ในท่ามกลางคนที่ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากมีคนหนึ่งคนใดที่ไม่มีเพื่อนเลยแม้สักคนเดียว แน่นอนว่าเขาคงไม่ใช่คนดี. เขาอาจจะมีนิสัยที่ไม่ค่อยปกติหรือเป็นโรคจิตจนถึง ขั้นหนึ่ง จึงทําให้เขาไม่มีเพื่อนเลยสักคน. หรือเขาอาจจะเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ในทางจริยธรรม หรือมีนิสัยที่แปลกประหลาดจึงทําให้เขาไม่มีเพื่อน. ตามปกติแล้ว ทุกคนล้วนต้องมีเพื่อน.
III. พระเจ้าทรงกําชับเราให้สิ้นสุดมิตรภาพฝ่ายโลก
อย่างไรก็ตาม ตามการกําหนดของพระเจ้า หลังจากคนๆ หนึ่งได้รับความรอดแล้ว ก็ต้องสิ้นสุดมิตรภาพระหว่างเพื่อนๆ ของเขา.
1. เป็นมิตรกับโลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า
ยาโกโบพูดถึงการเป็นมิตรกับโลก (ยก.4:4) คําว่า “โลก” ในที่นี้หมายความถึง “มนุษย์ โลก” ถ้าเรายังอยากจะเป็นมิตรกับมนุษย์โลก เราก็จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ขอให้พี่น้องจําเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดยังรักคนในโลกนี้ ความรักที่มีต่อพระเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในคนผู้นั้นแล้ว (1ยฮ.2:15). เป็นมิตรกับโลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า.
พี่น้องผู้แรกเชื่อต้องมีการมองเห็นที่ชัดเจนว่า เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเพื่อนของเราทั้งหมด เมื่อเรารับเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ต้องเปลี่ยนเพื่อนทั้งชุดของเรา กรณีนี้ก็เหมือนกับเราที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือของใช้เก่าๆ ที่ไม่เหมาะสมหลังจากที่เราได้รับเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทํานองเดียวกัน เพื่อนทั้งชุดของเราก็ต้องถูกเปลี่ยนไป. ข้าพเจ้ารู้ตัวว่า ข้าพเจ้ากําลังพูดอะไรกับพี่น้องอยู่. ถ้าผู้เชื่อใหม่ไม่ได้เปลี่ยนเพื่อนของเขาเสีย อนาคตทางฝ่ายวิญญาณจะตื้นเขินและจะไม่มีผลดี เมื่อคนๆ หนึ่งได้รับเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จําต้องละทิ้งมิตรภาพเก่าทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ เมื่อความรักของพระเจ้าเข้ามา ความรักของมนุษย์ก็ต้องออกไป. เมื่อชีวิตของพระองค์เข้าสู่ภายในเรา ชาวโลกก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเรา ได้อีกแล้ว.
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่ได้บอกว่าเราต้องเป็นศัตรูกับมนุษย์โลกถึงจะเรียกว่ารักพระเจ้า. ไม่ใช่ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่สนใจพวกเขา เห็นหน้าพวกเขาก็ไม่ทักทาย ไม่ใช่หมายความว่าอย่างนั้น แต่หมายความว่าทุกคนที่เป็นมิตรกับมนุษย์โลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ใช่เราตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่หมายถึงจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอีกแล้ว จะไม่มีการสมาคมในความรักเช่นนั้นอีกแล้ว แม้ว่าเรายังคงรักพวกเขาอยู่ แต่เป้าหมายของเราคือ เราจะต้องนําพาพวกเขาได้รับความรอด. เราอาจจะยังคงรักเพื่อนของเรา แต่เป้าหมายคือต้องการให้เขารับความรอด. เราจะต้องเชิญชวนพวกเขามาฟังกิตติคุณ เหมือนดังที่โกระเนเลียวกระทํานั้น เมื่อเปโตรมาถึงบ้านของโกระเนเลียว โกระเนเลียวได้เชิญชวนคนสองกลุ่มมารอเปโตรอยู่ที่บ้านของเขา กลุ่มหนึ่งเป็นญาติ, อีกกลุ่มหนึ่งเป็นเพื่อนสนิท. “พระเจ้าให้ข้าพเจ้าเชิญเปโตรมา และข้าพเจ้าก็ชวนญาติๆ กับเพื่อนสนิทมาฟังกิตติคุณด้วยกัน.” นี่ก็คือเป้าหมายของเราอย่างแท้จริงซึ่งไม่ใช่เพื่อที่จะรักษามิตรภาพเก่าของเรา คนที่เมื่อก่อนเคยรู้จักกันตอนนี้ ก็ไม่ควรทําเป็นไม่รู้จักกัน. คนที่เมื่อก่อนเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพื่อนเราอยู่ดี. เราไม่ควรตัดขาดความเป็นเพื่อนกันและไม่ควรไม่ติดต่อกับคนที่เรารู้จักมาหลายๆ ปี แต่ว่าข้าพเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือความสัมพันธ์เก่านั้นหายไป ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเราเจอเพื่อนของเรา เราก็ยังคุยกัน มีอะไรก็ยังหารือกับเขาเหมือนเดิม แต่ข้อสําคัญที่เราไม่ควรจะละเลยก็คือเราได้รับชีวิตแล้ว แต่เขายังไม่ได้รับความสัมพันธ์ระหว่างเรา ไม่อาจเหนือกว่าสิ่งนี้ คนสองคนที่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ก็ต้องสนิทสนมกันก่อน และมีความรักต่อกันและกัน หลังจากนั้นถึงจะคบค้าสมาคมกัน หลังจากท่านได้รับความรอดแล้ว ถ้ายังรักษาความสัมพันธ์เก่าเช่นนี้ ท่านก็จะกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า และไม่สามารถมุ่งหน้าต่อไปบนหนทางนี้ได้อย่างแน่นอน.
เราทุกคนรู้ว่า เมื่อคนๆ หนึ่งวิ่งแข่งอยู่ ตัวของเขายิ่งเบายิ่งดี ถ้าเราจัดการกับความบาปของเรามากขึ้น ตัวของเราก็จะยิ่งเบาลง ถ้าเรายิ่งชดใช้ความเสียหายที่เราทํานั้น ตัวเราก็ยิ่งเบาลง. ถ้าเราห่างจากเพื่อนไปยิ่งมาก ตัวเราก็จะยิ่งเบาลงเช่นกัน ถ้าเรามีเพื่อนเพิ่มขึ้น เราก็จะพบว่าตัวของเรานั้นอาจจะถูกทับจนแบน ข้าพเจ้าเคยเห็นพี่น้องหลายคนที่ถูกเพื่อนทับจนแบน. เขาไม่สามารถเดินบนหนทางของพระเจ้าได้อย่างเด็ดขาด ไม่อาจเป็นคริสเตียนที่ดี อย่างไรก็ตาม จริยธรรมของผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อก็ย่อมเป็นไปตามมาตรฐานของคนทั่วไปที่ยังไม่เชื่อ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถฉุดท่านลงมา แต่แน่นอนว่าก็ไม่สามารถดึงท่านขึ้นไปได้เช่นกัน.
2. อย่าเข้าเทียมแอกที่แตกต่างกันกับคนที่ไม่เชื่อ
2กธ.6:14 กล่าวว่า: “ท่านทั้งหลายจงอย่าเข้าเทียมแอกที่แตกต่างกันกับคนที่ไม่เชื่อ” หลายคนมักจะคิดว่าที่นี่ได้ชี้ถึงเรื่องเกี่ยวกับการสมรส ข้าพเจ้ายอมรับว่าการเข้าเทียมแอกเดียวกันนั้น มีส่วนหนึ่งชี้ถึงการสมรส แต่ไม่เพียงเท่านั้น การเข้าเทียมแอกเดียวกันนั้นก็ยังครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ทุกอย่างระหว่างคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
(1) การเข้าเทียมแอกเดียวกันกับชาวโลกไม่ใช่การอวยพร แต่เป็นการทนทุกข์
“ท่านทั้งหลายจงอย่าเข้าเทียมแอกที่แตกต่างกันกับคนที่ไม่เชื่อ ” นี่เป็นถ้อยคําแห่งการสรุป. ถ้าเราอยากจะรู้ว่านี่หมายความว่าอะไร? ก็จําต้องมาดูคําถามข้อต่อไปนี้: “เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับการล่วงกฎบัญญัติ? หรือความสว่างจะมีการสามัคคีธรรมอะไรกับความมืด? พระคริสต์กับเบลอาลจะปรองดองกันอย่างไรได้? หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนร่วมอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ? พระวิหารของพระเจ้าจะมีข้อตกลงอะไรกับรูปเคารพได้? เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เหมือนดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะ สถิตอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย และจะดําเนินท่ามกลางเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นพลไพร่ของเรา.” ท่านมองเห็นได้ว่าในที่นี้มีคําถามติดต่อกันหลายๆ ข้อที่ต่อเนื่องมาจากถ้อยคําที่บอกว่า: “ท่านทั้งหลายจงอย่าเข้าเทียมแอกที่แตกต่างกันกับคนที่ไม่เชื่อ” นี่เป็นการยืนยันในด้านบวกและเป็นหัวข้อหลัก ห้าคําถามที่ตามมาล้วนยึดตามหัวข้อหลักนี้ ซึ่งให้เรามองเห็นว่าคนที่เชื่อกับไม่เชื่อนั้นไม่อาจเป็นคู่เคียงกัน และก็ไม่สามารถเข้าเทียมแอกเดียวกันได้.
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีการมองเห็นที่ชัดเจนว่า แม้วันนี้เราทุกคนล้วนอยู่ในสังคมเดียวกันกับชาวโลก การทําธุรกิจร่วมกัน เป็นเพื่อนกัน หรือกระทั่งแต่งงานกัน เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพวกเขาได้ คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องเกิดปัญหาอย่างแน่นอน. คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีมาตรฐานของเขาเอง คนที่ไม่เชื่อก็มีมาตรฐานอีกอย่างหนึ่ง. คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีหลักธรรมแบบหนึ่ง คนที่ไม่เชื่อก็จะมีอีกแบบหนึ่ง. คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามีมุมมองของเขา คนที่ไม่เชื่อก็มีมุมมองของเขาเอง ผลลัพธ์ของการนําคนสองพวกนี้มาอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ใช่การอวยพรแต่เป็นการทนทุกข์ เพราะว่าทั้งมุมมอง, ทัศนคติ, มาตรฐานในด้านจริยธรรม, หรือมาตรฐานในความผิดถูกต่างๆ ล้วนไม่เหมือนกันทั้งสิ้น. คนหนึ่งจะไปทางตะวันตก คนหนึ่งก็จะลากไปทางตะวันออก ถ้าสองคนเทียมแอกด้วยกันเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่แอกหัก เราก็อาจจะต้องตามเขาไป.
ข้าพเจ้าหวังว่าผู้แรกเชื่อทั้งหลายสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า การที่คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมาเป็นเพื่อนกัน ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะถูกเอาเปรียบอยู่ตลอด อย่าได้คิดว่าเรานั้นสามารถดึงเขาขึ้นมา. ถ้าคุณจะดึงเขา แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ต้องอยู่ในฐานะที่เป็นเพื่อน ข้าพเจ้าก็เคยดึงเพื่อนเก่าของข้าพเจ้า แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เป็นเพื่อนกับเขา. แท้ที่จริงแล้วพี่น้องไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับพวกเขาก็สามารถดึงเขามายังฝั่งเราได้. ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกับเขา แน่นอนว่าจะถูกพวกเขาฉุดลากไป.
พี่น้องสเปอร์เจี้ยน เคยยกตัวอย่างที่ดีมากมาบรรยายถึงเรื่องนี้ มีพี่น้องหญิงอนุชนคนหนึ่งมาปรึกษากับพี่น้องสเปอร์เจี้ยน บอกว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับหนุ่มอนุชนคนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พี่น้องหญิงคนนั้นบอกว่า “ดิฉันจะดึงเขามาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และอีกไม่นานก็จะหมั้นกับเขา.” พี่น้องสเปอร์เจี้ยนจึงให้พี่น้องหญิงคนนั้นปีนขึ้นไปบนโต๊ะสูงๆ ตัวหนึ่ง พี่น้องหญิงก็ทําตามที่เขาบอก ตอนนั้น พี่น้องสเปอร์เจี้ยนก็มีอายุมากแล้ว เขาบอกพี่น้องหญิงคนนั้นว่า “จับมือของข้าพเจ้า และพยายามดึงข้าพเจ้าขึ้นไปบนโต๊ะ” พี่น้องหญิงก็ทําตาม แต่ไม่สามารถดึงขึ้นไปได้ จากนั้น พี่น้องสเปอร์เจี้ยนบอกว่า “ตอนนี้ข้าพเจ้าจะดึงเธอลงมา” เมื่อพี่น้องสเปอร์เจี้ยนดึงเขา เขาก็ถูกดึงลงมาทันที. พี่น้องสเปอร์เจี้ยนจึงบอกเธอว่า “การที่จะดึงคนลงมานั้นเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ดึงคนขึ้นไปนั้นเป็นเรื่องยาก” ปัญหาของพี่น้องหญิงคนนี้ก็ถูกแก้ไขไปได้ ขอให้พี่น้องจําเอาไว้ว่า การที่ถูกดึงขึ้นไปนั้นเป็นเรื่องที่ยาก การที่เราจะดึงคนที่ไม่เชื่อมาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นยากอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกัน พวกเขาดึงเราลงไปได้อย่างง่ายดาย. มีพี่น้องเป็นอันมากไม่ได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนของเรา สุดท้ายก็ถูกเพื่อนดึงไป.
เพราะเหตุนี้ พี่น้องผู้แรกเชื่อทุกคน วันนี้พี่น้องได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็ต้องไปบอกเพื่อนๆ ทุกคนของเราว่าเราได้เชื่อพระเยซูแล้ว. เราต้องเปิดปากและเป็นพยานยอมรับต่อหน้าเพื่อนๆ ว่าเราได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกครั้งที่เราพบกับเพื่อนๆ ของเรา ก็ต้องนําพระเยซูไปด้วย เมื่อก่อนข้าพเจ้ามีเพื่อนในโรงเรียนเยอะมาก หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทุกครั้งที่ไปหาเพื่อน ก็จะเอาพระคัมภีร์ไปด้วย เมื่อนั่งลงก็เล่าเรื่องราวขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ข้าพเจ้ายอมรับว่าตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น มีความประพฤติที่เหลวไหล, เล่นพนันบ้าง, ดูหนังบ้าง. มีคนชวน ไปไหนก็ไป แต่หลังจากเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เมื่อนั่งด้วยกันกับเพื่อนๆ ก็จะเอาพระคัมภีร์ออกมาทันทีและนี่ก็กลายเป็น “สัญลักษณ์” ของข้าพเจ้า ต่อมามีกิจกรรมอะไร พวกเขาก็ไม่มาชวนอีกแล้ว ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ เราก็จะถูกพวกเขาดึงไปอย่างแน่นอน เรายินดีที่จะกลายเป็นคนที่เพื่อนๆ ไม่ต้อนรับเราเหมือนเมื่อก่อน เพื่อที่จะไม่ถูกพวกเขาดึงไป ถ้าเราสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเพื่อนเก่าๆ ของเรานั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ควรมีมิตรภาพที่ใกล้ชิดเป็นอันขาด เราอาจจะอ่อนสุภาพต่อกันและรักษามารยาทต่อกัน และไม่ควรตัดความสัมพันธ์ต่อกัน แต่ก็ไม่รักษามิตรภาพที่ลึกซึ้งไว้ ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ฝ่ายพระเจ้า ก็ต้องนําองค์พระผู้เป็นเจ้ามาสู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ของเรา.
ขอให้พี่น้องจําเอาไว้ว่า ถ้าเราปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และนําองค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังท่ามกลางเพื่อนๆ ของเรา ไม่ช้าก็เร็ว ท่านจะได้เห็นว่าผลลัพธ์ของเขาถ้าไม่หันกลับคืนสู่พระเจ้า ก็คือละจากเราไป. นอกจากนี้แล้ว น้อยคนที่จะมีผลลัพธ์อย่างที่สาม. ถ้าพวกเขาไม่ได้มาเดินบนหนทางเดียวกันกับเรา พวกเขาก็อาจจะทําใจไว้แล้วว่าเมื่อมีเรื่องอะไรก็จะไม่ติดต่อมาอีก นี่เป็นข้อดีสําหรับผู้แรกเชื่อ ซึ่งสามารถช่วยเหลือเขาให้หลีกเลี่ยงปัญหาหลายอย่าง ถ้าท่านยังเทียมแอกอันเดียวกันกับพวกเขา ก็จะถูกพวกเขาดึงไป เพราะคนๆ หนึ่งต้องขัดขืนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงจะสามารถรักษามิตรภาพกับเพื่อนฝ่ายโลกไว้ได้.
(2) คําถามหัวข้อเกี่ยวกับการที่ไม่สามารถเข้าเทียมแอกเดียวกันได้
ข้อที่หนึ่ง “ความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับการล่วงกฎบัญญัติ?” วันนี้เราได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รู้แล้วว่าอะไรคือความชอบธรรม. ท่านต้องจัดการกับสิ่งเก่าๆ ที่ไม่ชอบธรรมในอดีต ต้องจัดการกับสิ่งที่ผิดต่อคนอื่นในอดีต แต่คนที่ยังไม่เชื่อนั้น แม้เขาจะถือว่าเป็นคนที่มีศีลธรรมก็ตาม ก็ยังคงไม่รู้ว่าความชอบธรรมนั้นหมายความว่าอะไร? ความชอบธรรมไม่มีส่วนหุ้นอะไรกับการล่วงกฎบัญญัติเลยทั้งสิ้น เพราะทั้งสองสิ่งนี้ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เราได้มองเห็นแล้วว่า แม้กระทั่งเป็นเรื่องที่เล็กน้อยที่สุด เราก็ไม่ควรจะเอาเปรียบคนอื่น เมื่อก่อนเราอาจจะเห็นคนบางคนที่เอาเปรียบคนอื่นอยู่ตลอดนั้นดี แต่ตอนนี้เริ่มมี ความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมแล้ว ท่านจะมีวิธีอะไรให้ความชอบธรรมมีหุ้นส่วนกับการล่วงกฎบัญญัติได้เล่า? มุมมองต่อเรื่องราวต่างๆ ล้วนไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ความชอบธรรมกับการล่วงกฎบัญญัติไม่สามารถมีหุ้นส่วนกัน.
ข้อที่สอง “ความสว่างจะมีการสามัคคีธรรมอะไรกับความมืด?” ท่านเป็นคนที่ได้รับการฉายส่อง. และท่านสามารถมองเห็นได้แล้ว แต่เขาเป็นคนที่อยู่ในความมืด. มองไม่เห็นอะไรเลย ขอให้ท่านทั้งหลายจําเอาไว้ว่า บุตรของพระเจ้าคนหนึ่งที่เดินอยู่บนหนทางของพระเจ้ายิ่งไกล. ยิ่งลึก ก็จะยิ่งรู้สึกว่า กระทั่งอยู่กับคริสเตียนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและตกอยู่ในความมืดนั้นยังเป็นเรื่องที่ทําให้ลําบากใจ ยิ่งกว่านั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะอยู่กับคนที่ดําเนินชีวิตอยู่ในความมืดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งมองไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด. อย่างน้อยท่านก็เป็นคนที่ได้รับการฉายส่องจากพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น นี่ก็คือข้อขัดแย้งที่เป็นข้อพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งด้วย ความสว่างนั้นไม่อาจมีการสามัคคีธรรมอะไรกับความมืด. ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นกระทําได้หลายสิ่งหลายอย่าง. ปรัชญาชีวิตของพวกเขากับพวกท่านนั้นไม่เหมือนกัน. ตรรกวิทยานั้นก็ไม่เหมือนกัน จุดมุ่งหมายของชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ท่านอยู่ในความสว่าง. พวกเขาอยู่ในความมืด. ท่านจะมีการสามัคคีธรรมและสมาคมอะไรกับพวกเขาได้เล่า?. ท่านต้องมองเห็นว่าเนื้อแท้ของท่านกับพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน.
ข้อที่สาม “พระคริสต์กับเบลอาลจะปรองดองกันอย่างไรได้?” คําว่า “เบลอาล” นั้นชี้ถึง ซาตานและหมายความว่าต่ําช้า ซาตานนั้นต่ําช้าจริงๆ พวกเราเป็นคนอยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเป็นคนที่อยู่ฝ่ายเบลิอาล พวกเราเป็นคนที่ล้ําค่า แต่พวกเขานั้นเป็นคนไร้ค่า เพราะพระองค์ทรงซื้อเรากลับมาด้วยราคาอันสูง คือซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ไม่ได้ซื้อมาด้วยเงินทองที่เสื่อมสลายได้. พวกเรามีสถานะที่เป็นคริสเตียน มีหลักปฏิบัติของวิสุทธิชน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามรถกระทําได้. สมมุติว่า ถ้าเราต่อรองราคาค่ารถกับคนขับสามล้ออยู่ข้างทาง ถ้าอยู่ในอัตราที่สมเหตุสมผลก็ยังพอต่อรองได้ แต่ไม่ควรต่อรองจนเกินควร เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราเองนั้นเป็นคริสเตียน ถ้าเกินเลยไปนิดหน่อย ก็จะรู้สึกว่าไม่ควรต่อรองต่อไปอีกแล้ว ถ้าถกเถียงกับคนอื่นจนเกินเลยไป เราก็จะรู้สึกไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่อยากสูญเสียหลักปฏิบัติของคริสเตียน. ตัวของเรานั้นล้ําค่ากว่าเงินเล็กๆ น้อยๆ นั้นที่เราจะไปต่อรอง. เราไม่สามารถเลื่อนระดับของเราลง จนกระทั่งเหมือนกับพ่อค้าหาบเร่ในตลาด. เราต้องยึดมั่นในฐานะคริสเตียนของเรา เพราะเรามีหลักปฏิบัติของคริสเตียน.
บางคนที่อยู่ฝ่ายเบลิอาล เราเห็นว่าเขาสามารถกระทําได้หลายสิ่งหลายอย่าง เรื่องที่เอาเปรียบคนอื่นบ้าง เรื่องที่ได้กําไรเยอะบ้าง แต่เราไม่สมควรกระทําสิ่งเหล่านี้ เพราะเรามีสง่าราศีของคริสเตียน เรามีฐานะของคริสเตียน. ข้าพเจ้าขอถามว่าทั้งสองฝ่ายนี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร? ท่านเห็นเขามุ่งไปฝั่งนั้น ท่านจะมุ่งมาฝั่งนี้ สองคนไม่สามารถเข้าเทียมแอกเดียวกัน ถ้าเอาสองฝ่ายนี้มาเข้าเทียมแอกด้วยกัน แอกนี้จะถูกทําให้หักสะบั้นอย่างแน่นอน.
ขอให้ท่านทั้งหลายจําเอาไว้ว่า มีคนมากมายเป็นคนที่ต่ําช้าหรือต่ําทราม. แต่ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นคริสเตียน เป็นคนที่มีเกียรติ สองฝั่งนี้ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถเข้าเทียมแอกเดียวกัน เหตุฉะนั้น หลังจากที่เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็ไม่ควรมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนที่ไม่เชื่ออีกต่อไป เพราะว่าพวกเรากับคนที่ไม่เชื่อนั้นไม่เหมาะสมคู่เคียงกัน.
ข้อที่สี่ “คนที่เชื่อจะมีส่วนร่วมอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ?” นี่เป็นถ้อยคําที่ข้อความข้างต้น และก็เป็นการเปรียบเทียบอย่างหนึ่งเหมือนกัน ท่านเป็นคนที่มีความเชื่อ แต่เขาไม่มีความเชื่อ ใน ความเชื่อนี้ ท่านได้รู้จักพระเจ้า แต่เขาไม่เชื่อ ก็เลยไม่รู้จักพระเจ้า ในการดําเนินชีวิตของท่านนั้น ท่านสามารถเชื่อได้ แต่ในการดําเนินชีวิตของเขานั้น เขาไม่สามารถเชื่อได้ ท่านมีที่พึ่งพิง แต่เขาไม่มี. ท่านเฝ้าหวังในพระเจ้า แต่เขาเฝ้าหวังในตัวเอง ท่านบอกว่า ทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แต่เขาบอกว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในมือของเขา กรณีนี้ให้เรามองเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีสภาพการณ์พื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน บ่อยครั้งกับคนที่แค่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนเท่านั้น เรายังไม่รู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา และไม่สามารถคบค้ากัน. เขาอาจบอกว่าเขาเป็นคริสเตียน แต่เขาไม่มีความเชื่อในทันใดนั้น เราก็มองเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงแค่การประพฤติตนเท่านั้นที่ต่างกัน ในด้านความเชื่อนั้นเขาก็ไม่มี. แท้ที่จริงแล้ว ต้นเหตุของการประพฤติที่ต่างกันนั้นก็เป็นเพราะความเชื่อต่างกัน เมื่อมีข้อแตกต่างกันอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ นั่นก็จะกลายเป็นเรื่องยากที่สองฝ่ายนี้จะร่วมสามัคคีธรรมกัน. คนที่เชื่อจะมีส่วนร่วมอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ ในเหตุการณ์หลายอย่าง เราจะรู้สึกว่าการที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนดังที่เราทุกคนต้องหายใจ. แต่สําหรับพวกเขาแล้ว การที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก. เขาจะบอกว่า: “พวกเธอนั้นโง่เขลาและหลงเชื่อ จนตามยุคสมัยไม่ทันแล้ว” เพราะเหตุนี้ เราจึงไม่สามารถมีเพื่อนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพวกเขาจะดึงท่านลงไปอย่างหนักหนาสาหัส.
ข้อที่ห้า “พระวิหารของพระเจ้าจะมีข้อตกลงอะไรกับรูปเคารพได้?” พระวิหารของพระเจ้า คืออะไร? รูปเคารพคืออะไร? ข้าพเจ้าคิดว่าในที่นี้ได้พูดถึงความบริสุทธิ์ของร่างกาย. เพราะต่อไป ได้พูดถึงเราทั้งหลายที่เป็นพระวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในหนังสือ 1 โกรินโธนั้น ผู้เชื่อถือว่าร่างกายของตัวเองเป็นพระวิหารของพระเจ้า. ที่นี่ให้เรามองเห็นว่า มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายของพวกเขาเป็นพระวิหารของพระเจ้า เราไม่ควรทําให้พระวิหารของพระเจ้าแปดเปื้อน เมื่อเราออกไปกับเพื่อนๆ ของเรา บ่อยครั้งสิ่งที่เรากระทํานั้นมีผลกระทบกับร่างกายของเรา ตัวอย่างเช่น บางคนอาจดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขา แตะต้องร่างกายของพวกเขา แต่ว่าร่างกายของท่านทั้งหลายเป็นพระวิหารของพระเจ้า ท่านไม่ควรทําลายพระวิหารของพระเจ้า ไม่ควรทําให้พระวิหารนี้แปดเปื้อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านต้องรักษาร่างกายของท่าน เหมือนดังที่รักษาพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้พักพิงอยู่ในท่านทั้งหลาย ท่านอย่าได้ทําลายพระวิหารนี้ ท่านทั้งหลายเป็นพระวิหารของพระเจ้า พวกเขาเป็นวิหารของรูปเคารพ. มีความเกี่ยวข้องกับรูปเคารพ ไม่ว่ารูปเคารพที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม พวกเขาไม่สนใจต่อความบริสุทธิ์ของร่างกาย แต่เราต้องเรียกร้องถึงความบริสุทธิ์ของร่างกาย. ท่านทั้งหลายมองเห็นข้อแตกต่างหรือยัง? สองฝ่ายนี้จะเข้าเทียมแอกเดียวกันได้อย่างไร.
เหตุฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ควรเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า. ผลลัพธ์เดียวที่เรายังเป็นเพื่อนกันกับพวกเขา ก็คือจะถูกพวกเขาดึงไป. เราอย่าได้คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้มแข็ง สามารถยืนหยัดและมั่นคง เรามีเพื่อนที่ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่กี่คนก็คงไม่เป็นไร. ข้าพเจ้าขอบอกพี่น้องทั้งหลาย ถึงแม้เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแล้ว ก็ยังกลัวที่จะสมาคมกับเพื่อนที่ยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะว่าการที่เราติดต่อกับเพื่อนที่ยังไม่ได้เชื่อนั้น จะทําให้เราเสียหายอย่างแน่นอน เราควรจะติดต่อกับพวกเขาเฉพาะเรื่องที่จะนําพาเขามาประชุมหรือเป็นพยานให้เขาฟัง นอกจากนั้น การติดต่อเพื่อสิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นเรื่องที่อันตราย. เพราะทุกครั้งที่เราไปอยู่กับพวกเขา เราก็ต้องลดมาตรฐานของเราไป เมื่อเราอยู่ด้วยกันกับพวกเขา ก็จะทําให้เรายากที่จะรักษามาตรฐานของคริสเตียน.
(3) การคบคนชั่วย่อมทําให้ความประพฤติที่ดีเสื่อมเสียไป
1กธ.15:33 บอกว่า “อย่าถูกลวงให้หลงเลย การคบคนชั่ว ย่อมทําให้ความประพฤติที่ดี เสื่อมเสียไป.” การคบคนชั่วในที่นี้หมายถึงคบกับเพื่อนที่ไม่ถูกต้อง. คําว่า “คบคนชั่ว” ในที่นี้ ทางที่ดีที่สุดต้องแปลเป็น “การสามัคคีธรรมที่ไม่ถูกต้อง” หรือว่า “การไปมาหาสู่ที่เกินสมควร” ผลลัพธ์ของการคบคนชั่วคืออะไร? ก็คือจะทําให้การประพฤติที่ดีเสื่อมเสียไป. ถ้าดูจากภาษาอังกฤษ คําว่า “เสื่อมเสีย (decay” ในข้อนี้ หมายถึงการเน่าเสียของไม้ที่โดนหนอนกัดกิน. การคบคนชั่วนั้นทําให้การประพฤติที่ดีต้องเน่าเสียไป.
คําว่า “การประพฤติที่ดี” ในที่นี้แปลได้อีกอย่างหนึ่งซึ่งนุ่มนวลกว่าคือ “มารยาทที่ดี”. “การ ประพฤติที่ดี” เป็นคําศัพท์ที่รุนแรงกว่านิดหน่อย. ความหมายตามภาษาเดิมนั้น จะอยู่ตรงกลางระหว่าง “มารยาทที่ดี” กับ “การประพฤติที่ดี” แปลว่าการประพฤติอาจจะรุนแรงเกินไป แต่ถ้าแปลเป็นมารยาทก็จะรู้สึกนุ่มนวลเกินไป เราต้องการหาจุดสมดุลระหว่างสองคํานี้ ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าแปลเป็น “ลักษณะภายนอก” อาจจะดีกว่า. นุ่มนวลกว่าการประพฤติและเข้มงวดกว่ามารยาท. เราสามารถพูดแบบนี้ได้ว่า การไปมาหาสู่ที่ไม่เหมาะสมจะทําให้ลักษณะภายนอกที่ดีของเราเสื่อมเสียไป. ตอนแรกเราอาจจะเป็นคนที่อยู่ในธรรมต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า แต่เมื่อเราออกจากบ้าน และไปเจอกับคนที่ยังไม่เชื่อ เขามาพูดล้อเล่นกับเรา เมื่อฟังแล้วเราก็หัวเราะเล่นกันกับเขา แท้ที่จริงแล้ว คําล้อเล่นบางอย่าง เราไม่ควรที่จะหัวเราะ. แต่บ่อยครั้ง เมื่อเราไปอยู่กับพวกเขา ก็รู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องจํากัดตัวเอง เพราะว่าพวกเขาชอบเราอยู่อย่างผ่อนคลาย. กรณีนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าการไปมาหาสู่ที่ไม่เหมาะสมซึ่งทําให้ลักษณะภายนอกที่ดีของเราเสื่อมเสียไป.
ท่านทั้งหลายสามารถมองเห็นได้ว่า การไปมาหาสู่ที่ไม่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับลักษณะทางภายนอกที่ดี. อันหนึ่งดี อันหนึ่งไม่ดี อันที่ไม่ดีนั้น จะทําให้อันที่ดีนั้นเสื่อมเสียไป เราทั้งหลายจําเป็นต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดีนี้ เพราะภายในของเรานั้น มีชีวิตของพระเจ้า. เราต้องใช้เวลากับความเคยชินที่ดีและเรียนรู้ที่จะจํากัดตัวเองให้อยู่ในพระองค์. เราต้องค่อยๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ในธรรม, ระมัดระวัง, มีระเบียบเคร่งครัด, และไม่ปล่อยตัวหละหลวม.
ขอให้ท่านทั้งหลายจําเอาไว้ว่า เมื่อเราไปติดต่อกับคนที่ยังไม่เชื่อครั้งหนึ่ง มีการไปมาหาสู่ที่ไม่เหมาะสมครั้งหนึ่ง ก็จะทําให้เวลามากมายของเราเสียเปล่าไป นี่เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ หลังจากเราไปมาหาสู่กับคนที่ไม่เชื่อแล้ว เราอาจต้องใช้เวลาสักสามวันหรือห้าวันถึงจะสามารถกลับสู่ฐานะเดิมที่เหมาะสม นี่เป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ เพราะว่าพวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อลักษณะภายนอกที่ดีของเรา, ความเคยชินของเรา, หรือการประพฤติของเรา.
(4) ไม่ดําเนินตาม, ไม่ยืน, ไม่นั่ง
บทเพลงสรรเสริญบทที่หนึ่งบอกเราว่า “บุคคลผู้ใดที่ไม่ดําเนินตามคําแนะนําของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่บนที่นั่งของคนที่หมิ่นประมาท แต่มีความยินดีในกฎบัญญัติของพระยะโฮวา คิดคํานึงถึงกฎบัญญัติของพระยะโฮวาทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้นั้นก็เป็นสุข”
ท่านรู้อยู่ว่า คนที่ไม่เชื่อนั้นมีข้อแนะนํามากมาย. เรื่องที่น่าสงสารที่สุด ก็คือบุตรของพระเจ้าไปถามคนที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าควรจะทําอย่างไรเมื่อเขาเจอเหตุการณ์ต่างๆ มีบุตรของพระเจ้ามากมายเมื่อเจอเรื่องที่ยากลําบากแล้วจะไปถามคนที่ไม่เชื่อว่าจะทําอย่างไรดี ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่า ข้อแนะนําทุกอย่างของพวกเขานั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ท่านไม่ควรไปทํา ข้าพเจ้าก็มีเพื่อนหลายคนที่ยังไม่ได้เชื่อ สําหรับเหตุการณ์บางอย่าง แม้เราไม่ได้ไปถามเขา เขาก็จะมาหาเราเอง บอกเราว่าควรจะทําอย่างไร เมื่อเราฟังแล้วก็จะมีความรู้สึกทันทีเลยว่า ความคิดเห็นทุกอย่างของเขาล้วนสอนเราให้ทําอย่างไรจึงจะได้กําไร ไม่ได้ถามว่าเรื่องนี้ ถูกต้องหรือไม่ ไม่ได้ถามว่าเรื่องนี้เป็นน้ําพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือขอให้ได้กําไร ถ้ามีคนๆ หนึ่งสนใจแต่ความได้กําไรของตัวเอง เราจะทําอะไรได้สําหรับกรณีนี้เล่า? บางครั้งไม่เพียงทําให้ตัวเองได้กําไรเท่านั้น ยังจะทําให้คนอื่นเสียหายด้วย บางคนแสวงหากําไรของตัวเองซึ่งไม่ทําให้คนอื่นเสียหาย แต่บางคนค้ากําไรจนทําให้คนอื่นเสียหาย. เพราะเหตุนี้ ผู้เชื่อทุกคนจะเป็นเพื่อนกันกับคนที่ไม่เชื่อได้อย่างไรเล่า?
ถ้าเราสนิทกับคนที่ยังไม่ได้เชื่อ เมื่อเขาเสนอข้อแนะนําต่างๆ ให้เรา เราก็ยากที่จะปฏิเสธ สุดท้ายทําจนถึงขั้นหนึ่ง ฐานะของเราก็จะถูกเขาดึงไป. ถ้ามีเพื่อนห้าคนมาปรึกษาด้วยกัน เราก็ยากที่จะปฏิเสธความคิดเห็นของพวกเขา ยากที่จะส่ายหน้า จะส่ายก็ส่ายไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนของท่าน และเขามีความคิดเห็นเหมือนกันและได้ลงความเห็นกันแล้ว ซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นวิธีการที่คุ้มค่ามากที่สุด ท่านไปปรึกษากับพวกเขา ก็ต้องดําเนินตามคําแนะนําของพวกเขา แต่ว่านี่เป็นเพียงความคิดของเขาเอง ท่านไม่ควรจะเชื่อฟัง.
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสถานที่หลายๆ แห่งที่พวกท่านไม่ควรจะไป. คนบาปมีหนทางของคนบาป และมีสถานที่ของเขาเอง. คนบาปคงจะไม่ไปเล่นพนันในโบสถ์. พวกเขามีสถานที่สําหรับเขาเอง มีหนทางที่พวกเขาจะเดิน. วันนี้เมื่อท่านไปติดต่อกับพวกเขา แม้ท่านบอกว่าเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกเขา แต่ท่านก็เดินอยู่บนหนทางของพวกเขาแล้ว. นี่เป็นเรื่องที่น่าลําบากใจ เพื่อนที่ยังไม่เชื่อคนหนึ่งจะไปในที่แห่งหนึ่งซึ่งเราไม่ควรไป กระทั่งท่านไม่ได้เข้าไป แต่ท่านก็ได้เดินอยู่บนหนทางของเขาแล้ว แม้ท่านขอลาเขาไป แต่ท่านก็ยังอยู่บนหนทางของเขาแล้ว “ไม่ดําเนินตามคําแนะนําของคนชั่ว หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป” พระเจ้าไม่เพียงเรียกร้องเราไม่ให้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับพวกเขา กระทั่งหนทางของพวกเขาก็ไม่ให้เราเดิน. พระเจ้าต้องการให้เราแยกออกจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรเป็นเพื่อนกันกับพวกเขา. ถ้าท่านเป็นเพื่อนกับพวกเขา ก็ต้องเดินอยู่บนหนทางของพวกเขา ก็ต้องสัมผัสถึงสถานที่ของพวกเขาอย่างแน่นอน.
“ไม่นั่งอยู่บนที่นั่งของคนที่หมิ่นประมาท” คนที่ไม่เชื่อนั้น ส่วนมากก็จะเป็นคนที่ชอบหมิ่นประมาท. ช่างเป็นการยากที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นพี่น้องชายไปกับเพื่อนๆ ของเขาแล้ว เพื่อนจะไม่ชวนคุยเพลิดเพลิน ไม่เอาพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาพูดล้อเล่น. ตัวข้าพเจ้าเองเมื่อเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าในช่วงแรกๆ นั้น ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนที่ไม่เชื่อมากมายทันทีที่พบเขา เขาก็เอาพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาพูดล้อเล่น พวกเขาได้หมิ่นประมาทพระนามนี้ ท่านนั่งอยู่ท่ามกลางเขาก็ถูกเขาหัวเราะเยาะ พระนามของพระองค์ก็ถูกหมิ่นประมาทอีกครั้งหนึ่ง. ตอนแรกพวกเขาอาจจะไม่เอ่ยถึงชื่อขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ได้ เขาไม่เคยคิดจะหมิ่นประมาทพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อท่านมาแล้ว โอกาสของพวกเขาก็มาถึงแล้ว ก็จะเริ่มพูดว่าพระเยซูเป็นอย่างไร ศาสนาคริสต์เป็นอย่างไรบ้าง. พวกเขาสามารถพูดล้อเล่นได้ตลอด ท่านจะต้องไม่นั่งอยู่บนที่นั่งของคนหมิ่นประมาท ถ้าจะไม่ฟังถ้อยคําหมิ่นประมาทของเขา ท่านก็ต้องไม่สมาคมกับคนหมิ่นประมาทคือไม่คบค้ากับเขา.
IV. สมควรเอาพี่น้องในคริสตจักรมาแทนที่เพื่อน
พูดถึงตอนนี้ เราก็เข้าใจกันแล้วว่า เมื่อเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็ต้องจัดการกับปัญหาของเพื่อนๆ ในไม่กี่สัปดาห์แรก. เราต้องเปลี่ยนเพื่อนทั้งหมดของเรา. เราต้องบอกเพื่อนทั้งหมดของเราว่าอะไรได้เกิดขึ้นอยู่บนตัวของเรา เราก็ยังรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพวกเขา แต่ไม่ใช่มิตรภาพที่สนิทกันอีกแล้ว เราต้องการเปลี่ยนเพื่อนทั้งชุดของเราให้หมด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราต้องเรียนรู้เป็นพี่น้องในคริสตจักร และนําเอาพี่น้องในคริสตจักรมาแทนที่เพื่อนๆ ของเรา.
พวกเราไม่ใช่ทําอะไรอย่างสุดขั้ว เราไม่ได้เกลียดชังเพื่อนเก่าของเราสักหน่อย และก็ไม่ใช่ไม่สนใจเขาเลย แต่เราควรจะติดต่อกับพวกเขาในอีกฐานะหนึ่ง. เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นพยานให้พวกเขาฟัง นําเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าไปสู่พวกเขา อยู่กับพวกเขาสัก 5 นาที, 15นาที, ครึ่งชั่วโมง, หรือสักหนึ่งชั่วโมงก็ต้องไปแล้ว อย่าได้นั่งอยู่ด้วยกันกับพวกเขาตลอด อย่าได้คุยสิ่งของฝ่ายโลกกับพวกเขา เราต้องเรียนรู้ยืนหยัดในฐานะของตัวเอง นําพาพวกเขามาถึงเบื้องพระพักตร์เท่าที่เราจะทําได้ พาเขามาร่วมประชุมด้วยกัน เป็นพยานให้พวกเขาฟัง ประกาศกิตติคุณให้พวกเขาฟัง พยายามนําพาเขาเข้าสู่การดําเนินชีวิตคริสตจักรด้วยกัน มาเป็นพี่น้องด้วยกัน และอย่าได้เสริมความสัมพันธ์ของมิตรภาพเข้าไปอีกนอกจากความสัมพันธ์ของพี่น้อง.
มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่านได้เลยว่าคนที่เชื่อพระเจ้านั้น ถ้ามีเพื่อนที่ไม่เชื่อเยอะ แน่นอนว่าเขาจะพ่ายแพ้ไป. ถ้าหากไม่ทําบาป ก็จะอยู่ฝ่ายโลก. ไม่มีสักคนสามารถรักพระองค์, ปรนนิบัติพระองค์, สัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า, ไม่หละหลวม. และยังมีเพื่อนฝ่ายโลกมากมายในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน ถ้าคนๆ หนึ่งมีเพื่อนที่เฮฮากันอยู่หลายๆ คน นั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า เรามีอาการเจ็บป่วยบนตัวแล้ว.
การที่ริมฝีปากของเราไม่สะอาดกับการอาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาดนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ผิด. ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้านั้น ไม่เพียงริมฝีปากของเราไม่สะอาดนั้นผิด แต่การที่อาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากก็ถือว่าผิดด้วย เราก็ต้องสารภาพบาปเหมือนกัน ไม่เพียงตัวเราเองทําบาปนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันการอาศัยอยู่ในท่ามกลางคนบาปก็ถือว่าไม่ถูกต้องเหมือนกัน เราต้องทูลต่อพระเจ้า ขอพระองค์ประทานพระคุณให้แก่เรา ไม่เพียงให้ตัวเราเองนั้นไม่ทําบาป แต่ยังต้องการพระคุณของพระเจ้าเพื่อให้เราไม่เสริมสร้างมิตรภาพที่ใกล้ชิดสนิทกับคนที่ทําบาป. วันนี้ถ้ามีคนบอกว่าเราเป็นขโมย เราจะรู้สึกโมโหถ้าหากมีคนบอกว่าเราคบกับขโมยและเป็นเพื่อนกับเขา ก็คงไม่ได้ยกชูท่านเหมือนกัน.
คําถามแรกของคนๆ หนึ่งที่อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์คือ “ข้าพเจ้าเป็นอย่างไร.” คําถามที่สอง ก็คือ “การคบเพื่อนของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร.” สําหรับคนๆ หนึ่ง นอกจากตัวเขาเองแล้ว สิ่งที่สามารถเป็นตัวแทนของเขาก็คือการคบเพื่อนของเขา ถ้าเราอยากจะรักษาตัวเองให้เข้มแข็ง ก็ไม่ควรหละหลวมในด้านการคบเพื่อนและการมีมิตรภาพของเรา ถ้าเราหละหลวมในด้านการคบเพื่อนของเรา เราก็จะพ่ายแพ้ไป. เราอย่าได้มองข้ามเรื่องนี้ไป ต้องตัดขาดจากเพื่อนเก่าของเราอย่างเข้มงวด. เราต้องเรียนรู้เสาะหาคนที่เราชอบสามัคคีธรรมด้วยกันในคริสตจักร. เราต้องไปมาหาสู่กันในองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วควรจะเอาการมีมิตรภาพทุกอย่างในพระองค์มาแทนที่การไปมาหาสู่กันในอดีตของเราทั้งหมด.
V. ความหมายของการเป็นเพื่อนในคริสตจักร
1. เพื่อนเป็นสิ่งที่เหนือกว่าฐานะ
ท่านทั้งหลายมองเห็นหรือยัง? เพื่อนเป็นสิ่งที่พิเศษมาก. เพื่อนเป็นความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่พูดถึงฐานะ, เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องคํานึงถึงรูปแบบต่างๆ. มีการสามัคคีธรรมอย่างหนึ่งที่เหนือกว่าฐานะ นั่นก็คือเพื่อน. ข้าพเจ้าเคยพูดว่า พ่อบางคนสามารถเป็นเพื่อนกับลูกชาย. แต่ก็มีพ่อบางคน เป็นเพียงพ่อเท่านั้นไปตลอดชีวิต. ข้าพเจ้ารู้ว่า แม่กับลูกสาวบางคนไม่เคยเป็นเพื่อนกัน ราวกับว่าแม่ก็จะเป็นแม่อย่างทางการอยู่นั่นเอง และลูกสาวก็จะเป็นลูกสาวอย่างทางการอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเป็นเพื่อนกันและกัน. และมีคนเป็นอันมากที่ไม่มีความสัมพันธ์ของเพื่อนในครอบครัว สามีก็จะเป็นสามีอย่างทางการ ภรรยาก็จะเป็นภรรยาอย่างทางการ. และมีคนอีกมากมายที่เป็นหัวหน้างานก็จะมีฐานะที่สูงกว่า ถ้าเป็นลูกน้องก็จะมีฐานะด้อยกว่านั่นก็คือมีเพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเท่านั้น สองคนไม่เคยเป็นเพื่อนกัน อาจจะมีบางคนได้เป็นเพื่อนกัน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนน้อย. การเป็นเพื่อนนั้น หมายความว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นทางการนั้นหายไปแล้ว สองฝ่ายนั้นได้ก่อตั้งมิตรภาพที่นอกเหนือฐานะที่เป็นทางการแล้ว.
เราได้มองเห็นแล้วว่าอับราฮามเป็นเพื่อนของพระเจ้า ถ้าหากมนุษย์ยังยึดติดการเป็นมนุษย์อย่างเข้มงวด และพระเจ้าก็ยังยึดติดการเป็นพระเจ้าอย่างเข้มงวด พระเจ้ากับมนุษย์ก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้. อับราฮามลืมไปซึ่งฐานะของเขาเอง พระเจ้าก็นําเอาฐานะของพระองค์ทิ้งไว้ข้างหนึ่ง อับราฮามจึงเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้.
พระเยซูก็สามารถเป็นเพื่อนกับคนบาปได้ ถ้าพระเยซูยังคงอยู่ในฐานะของพระองค์อย่างเข้มงวด พระองค์ก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนของคนบาปได้ พระองค์ก็ต้องออกจากฐานะของพระองค์ จึงจะสามารถเป็นเพื่อนของเราได้ ไม่เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จะเป็นเพียงแค่พระผู้ช่วยเท่านั้น ไม่สามารถเป็นเพื่อนเราได้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านทั้งหลายสามารถมองเห็นว่า อะไรคือเพื่อน. คนบาปอย่างเราไม่เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้า. พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษา เราเป็นผู้ที่ถูกพิพากษา. พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของเรา เราเป็นคนที่ได้รับพระคุณถูกช่วยให้รอด. แต่พระองค์ทรงเอาฐานะทุกอย่างของพระองค์ทิ้งไว้ข้างหนึ่ง และมาเป็นเพื่อนของคนบาป. เพราะฉะนั้น คนอื่นจึงเรียกพระองค์ว่าเป็นเพื่อนของคนบาป พระองค์จึงทรงสามารถนําพาคนบาป ให้เขาทั้งหลายต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยของเขา.
ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลังจากคนๆ หนึ่งได้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์เป็นเวลายาวนาน และได้ก่อตั้ง ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระองค์ เขาจึงจะมองเห็นพี่น้องบางคนเป็นเพื่อนของเขา. ท่านจะมองเห็นอย่างอัตโนมัติว่าเขาได้อยู่นอกเหนือฐานะที่เป็นทางการแล้ว. เราสามารถมองเห็น อย่างชัดเจนในหนังสือ 3 โยฮัน ในที่นั่น โยฮันคล้ายกับไม่ได้เป็นอัครทูตอีกต่อไป แต่ไปทําหน้าที่ของผู้อาวุโส.
ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายใส่ใจว่า โยฮันได้เขียนหนังสือ 3 โยฮันตอนที่ชรามากแล้วคือ หลังจากที่เปาโลถูกพระเจ้ารับไปประมาณ 30 ปีแล้ว ตอนนั้นเปโตรผู้เป็นผู้อาวุโสก็จากไปแล้ว เปาโลก็จากโลกนี้ไปแล้ว อัครทูตทั้ง 12 คนก็เหลือแค่เขาคนเดียว. โยฮันเขียนว่า “ข้าพเจ้าผู้อาวุโสเขียนจดหมาย...” เขาชรามากแล้วจริงๆ. ข้าพเจ้าชอบหนังสือ 3 โยฮันมาก หนังสือ 3 โยฮันต่างกันกับหนังสือจดหมายเล่มอื่นๆ หนังสือ 1 โยฮันพูดถึงคนที่เป็นบิดา, คนหนุ่ม, ลูกๆ ทั้งหลาย, ลูกเล็กๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้า. คล้ายกับว่า โยฮันก็ยังคงพูดอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อถึงข้อสุดท้ายของหนังสือ 3 โยฮัน โยฮันได้บรรลุมาถึงขั้นหนึ่งที่สามารถยืนอยู่บนฐานะที่พิเศษ ขณะนั้น เขาเป็นผู้ที่อาวุโสมากแล้ว ถึงแม้คนที่มีอายุ 70 แล้ว ยังถูกเรียกว่า เป็นลูกของเขา อายุของเขามากแล้ว อาจจะอยู่ที่ 90 กว่าปี ขณะเขาชรามาก มีการรู้จักมากมายต่อเบื้องพระพักตร์ เดินอยู่บนหนทางของพระเจ้าเป็นเวลายาวนาน ตอนที่เขียนจดหมาย เขาไม่ได้เขียนว่าพี่น้องชาย, ไม่ได้เขียนว่าพี่น้องหญิง, ไม่ได้เขียนว่าท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา. แต่เขียนว่า “ขอให้สันติสุขมีแก่ท่าน เพื่อนมิตรทั้งหลายฝากคําทักทายมาถึงท่าน ขอฝากคําทักทายมายังเพื่อนมิตรทั้งหลาย” ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพี่น้องได้สัมผัสถึง “รสชาติ” ใน ที่นี่หรือยัง ขอให้ท่านทั้งหลายจําไว้ว่าเราต้องเรียนรู้และมาสัมผัสรสชาติที่อยู่ในพระคําของ พระเจ้า ต้องเข้าสู่ในวิญญาณนั้น จึงจะสามารถเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ถ้าหากไม่ใช่เช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์
ท่านทั้งหลายมองเห็นได้ว่า ในที่นี่มีคนๆ หนึ่ง แก่ชราจนไม่มีเพื่อนสักคนแล้ว, เปโตรตาย แล้ว เปาโลก็ตายแล้ว แต่เขายังสามารถพูดได้ว่า “ขอให้สันติสุขมีแก่ท่าน. เพื่อนมิตรทั้งหลายฝากคําทักทายมาถึงท่าน. ขอฝากคําทักทายมายังเพื่อนมิตรทั้งหลาย.” ในที่นี่เรามองเห็นบุคคลคนหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ แล้วสามารถพูดได้ว่าอยู่ในช่วงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด. เขาติดตามพระเจ้ามาเป็นเวลานานหลายปี เคยสัมผัสถึงเรื่องราวและสิ่งของมากมาย เป็นผู้เฒ่า, ผู้อาวุโส. แม้แต่คนมีอายุ 60, 70 ปีนั่งอยู่ข้างๆ เขา เขายังสามารถลูบหัวเขา แล้วเรียกเขาว่า “ลูกเอ๋ย” แต่ว่าแทนที่จะพูดเช่นนี้ เขาพูดว่า “เพื่อนมิตรทั้งหลาย” ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายนี้หรือเปล่า? ในที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับฐานะเลย โยฮันไม่ได้พูดอยู่บนฐานะที่เป็นทางการ. ในที่นี้ได้ยกชูคนทั้งหลายขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสามารถเป็นเพื่อนกับคนบาป พระเจ้าสามารถกลายเป็นเพื่อนกับอับราฮาม โยฮันก็สามารถเป็นเพื่อนกันกับลูกเล็กๆ, ลูกๆ ที่เป็นผู้อาวุโสแล้ว และอีกทั้งคนหนุ่มๆ แต่ว่านี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง.
2. คริสตจักรให้ความสําคัญกับพี่น้อง
มีวันหนึ่ง พวกท่านที่เป็นคนหนุ่มๆ อาจจะสามารถบรรลุไปถึงขั้นนั้นได้เหมือนกัน แต่วันนี้ เรายังคงต้องรักษาตัวของเราเองอยู่ในฐานะที่เป็นพี่น้อง เพื่อนเป็นสิ่งที่มีฐานะสูงส่งในคริสตจักร ถ้าหากวันหนึ่ง ท่านมาถึงจุดที่สูงส่งแล้ว ท่านก็สามารถเป็นเพื่อนกันกับเด็กๆ ในวันนั้น ท่านอยู่เหนือพวกเขาแล้ว ก็เลยสามารถยกชูพวกเขาเป็นเพื่อนของท่าน แต่ว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง คริสตจักรจะให้ความสําคัญกับพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อน.
นี่เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ ก็คือคริสตจักรให้ความสําคัญกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ให้ความสําคัญกับเพื่อน เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่เหนือกว่าฐานะ เหนือกว่าความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ ซึ่งอยู่บนอีกฐานะหนึ่ง คือผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ยกชฐานะของคนอื่นๆ ให้เป็นเพื่อนของเขา เขามาถึงวันนั้น เป็นผู้ใหญ่จนถึงขั้นหนึ่งสามารถยกชูคนอื่น บอกเขาว่า “ท่านเป็นเพื่อนของเรา” นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่พี่น้องคนหนึ่งคนใดสามารถทําได้. คนหนุ่มๆ ผู้แรกเชื่อทุกคนล้วนต้องเรียนรู้รักษาความสัมพันธ์ที่เป็นพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้า หวังว่าท่านทั้งหลายจะสามารถตัดขาดกับเพื่อนเก่าๆ และไปมาหาสู่กับเขา แต่มีการสามัคคีธรรมกับพี่น้องในคริสตจักร. ถ้าหากท่านทําเช่นนี้ และมุ่งหน้าเดินหนทางนี้ ท่านก็จะมีความยุ่งยากน้อยลงหลายอย่าง.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 33 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ความรับผิดชอบของพ่อแม่
1. การแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์
2. ความจำเป็นในการร่วมดำเนินกับพระเจ้า
3. ทั้งพ่อและแม่ต้องร่วมจิตร่วมใจเดียวกัน
4. เคารพสิทธิของลูกหลาน
5. อย่ายั่วบุตรให้โกรธเคือง
6. เที่ยงตรงต่อคำพูด
7. การอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ในคำสั่งสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
8. นำพาลูกๆ ให้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า
9. บรรยากาศในครอบครัวก็คือความรัก
10. เรื่องของการลงโทษ
II. ลูกๆ ที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาจากพ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่
ข้อพระคัมภีร์: อฟ.6:1-4; กซ.3:20
อฟ. 6:1 ฝ่ายบุตรจงน้อมฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะการกระทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง.
อฟ. 6:2 'จงเคารพบิดามารดาของตน' ซึ่งเป็นพระบัญญัติแรกที่มีคำทรงสัญญาไว้
อฟ. 6:3 'เพื่อท่านทั้งหลายจะมีความราบรื่น และมีชีวิตที่ยืนยาวบนแผ่นดินโลก.'
อฟ. 6:4 ฝ่ายบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้โกรธเคือง แต่จงอบรมเลี้ยงดูด้วยการตีสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
กซ. 3:20 ฝ่ายบุตรจงน้อมฟังบิดามารดาของตนในทุกสิ่ง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
I. ความรับผิดชอบของพ่อแม่
นอกจากหนังสือสุภาษิตแล้ว พันธสัญญาเดิมก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้คําสอนเกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่แก่เรามากนัก แต่ในพันธสัญญาใหม่นั้น เปาโลได้เขียนบางสิ่งเกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ เอาไว้. หนังสือส่วนใหญ่ในโลกนี้สอนเด็กๆ ว่าจะเป็นลูกอย่างไร แต่หนังสือที่สอนพ่อแม่ว่าจะเป็นพ่อแม่อย่างไรนั้นกลับมีไม่มากนัก. ผู้คนส่วนใหญ่ใส่ใจต่อคําสอนสําหรับลูก. แต่พันธสัญญาใหม่ใส่ใจต่อคําสอนสําหรับพ่อแม่เป็นอย่างมาก. พันธสัญญาใหม่ไม่ได้ใส่ใจต่อคําสอนเกี่ยวกับการเป็นลูกมากนัก แม้พันธสัญญาใหม่สอนบางอย่างเกี่ยวกับลูกๆ ให้แก่เรา แต่จุดเน้นก็ไม่ได้อยู่ที่ลูกๆ ทั้งเอเฟโซบทที่ 6 และโกโลซายบทที่ 3 ก็มีจุดเน้นอยู่ที่พ่อแม่มากกว่าลูกๆ. เราควรเรียนรู้ในการเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้อง เพราะพระเจ้าทรงใส่พระทัยต่อพ่อแม่มากกว่าลูกๆ.
เมื่อเรารวบรวมพระคําในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ สิ่งสําคัญที่พ่อแม่ควรกระทําก็คือการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ของตนด้วยการสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่ ยั่วยุลูกๆ ให้โกรธเคืองหรือทําให้พวกเขาท้อใจ. กรณีนี้ก็หมายความว่าพ่อแม่ต้องฝึกควบคุมตัวเองและต้องไม่หละหลวมต่อเรื่องใดๆ ก็ตาม. นี่ก็คือคําสอนของเปาโลเกี่ยวกับเรื่องนี้.
การเป็นสามีหรือภรรยานั้นเป็นเรื่องยาก ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะตระหนักว่ามีบางสิ่งที่ยากกว่า ก็คือการเป็นพ่อแม่. การเป็นสามีหรือภรรยานั้นเกี่ยวข้องกับคนสองคนเท่านั้น แต่การ เป็นพ่อแม่เกี่ยวข้องกับคนมากกว่าสองคน. การเป็นสามีหรือภรรยานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขส่วนตัว แต่การเป็นพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อความผาสุกของลูกหลานซึ่งเป็น คนในรุ่นถัดไป. ความรับผิดชอบต่ออนาคตของลูกหลานในรุ่นถัดไปจึงอยู่บนบ่าของพ่อแม่ทั้งหลายนั่นเอง.
เราต้องตระหนักว่าความรับผิดชอบนี้เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดยิ่งนัก. พระเจ้าทรงวางร่างกาย, จิต, และวิญญาณของบุคคลคนหนึ่ง กระทั่งชีวิตและอนาคตทั้งหมดของเขาไว้ในมือของเรา ไม่มีมนุษย์คนใดมีอิทธิพลต่ออนาคตของอีกคนหนึ่งมากไปกว่าพ่อแม่อีกแล้ว ไม่มีใครควบคุมอนาคตของบุคคลคนหนึ่งได้มากไปกว่าพ่อแม่อีกแล้ว. เกือบจะกล่าวได้เลยว่าพ่อแม่สามารถส่งผลให้ลูกๆ ของตนไปนรกหรือสวรรค์ก็ได้ เราต้องเรียนรู้ในการเป็นสามีที่ดีและภรรยาที่ดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นเราทุกคนต้องเรียนรู้ในการเป็นพ่อแม่ที่ดีด้วย. ข้าพเจ้าเชื่อว่าความรับผิดชอบในการเป็นพ่อแม่นั้นมีมากกว่าการเป็นสามีหรือภรรยาเสียอีก.
ในที่นี้เราจะมาพิจารณาว่าคริสเตียนจะเป็นพ่อแม่กันอย่างไร ความรู้ในเรื่องนี้จะช่วยเราให้ รอดจากปัญหาต่างๆ ได้มากทีเดียว
1. การแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ลูก
ประการแรก พ่อแม่ทุกคนต้องแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพราะเห็นแก่ลูกๆ ของพวกเขา
(1) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแบ่งแยกพระองค์เองให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เหล่าสาวก
การแบ่งแยกบริสุทธิ์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้านั้นหมายถึงอะไร? องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าพเจ้าแบ่งแยกตัวของข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขา” (ยฮ.17:19). กรณีนี้ไม่ได้ หมายถึงกลับกลายบริสุทธิ์ แต่หมายความว่าคนๆ นั้นได้รับการแบ่งแยกบริสุทธิ์หรือไม่ องค์พระเยซูเจ้าทรงบริสุทธิ์และพระนิสัยของพระองค์ก็บริสุทธิ์. แต่เพราะเห็นแก่เหล่าสาวก พระองค์จึงทรงแบ่งแยกพระองค์เองให้บริสุทธิ์ มีสิ่งต่างๆ มากมายที่พระองค์สามารถกระทําได้ ซึ่งไม่ขัดต่อความบริสุทธิ์ของพระองค์เอง อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ทรงยับยั้งจากการกระทํา สิ่งเหล่านั้น เพราะเหตุความอ่อนแอที่อยู่ในเหล่าสาวก. ในเรื่องราวมากมายนั้น ความอ่อนแอของเหล่าสาวกได้บังคับองค์พระผู้เป็นเจ้าและจํากัดอิสรภาพของพระองค์ไว้ องค์พระผู้เป็น เจ้าสามารถกระทําได้หลายสิ่ง แต่พระองค์กลับไม่กระทําสิ่งเหล่านั้น เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้เหล่าสาวกเข้าใจผิดหรือสะดุดล้ม. ถ้าพิจารณากันในเรื่องที่เกี่ยวกับพระนิสัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระองค์สามารถกระทําในลักษณะใดก็ได้ แต่พระองค์ก็ทรงยับยั้งจากการกระทํานั้นเพราะเห็นแก่เหล่าสาวก.
(2) ไม่ดําเนินชีวิตอย่างหละหลวม
ในทํานองเดียวกัน ผู้ที่มีลูกหลานก็ควรแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ลูกหลาน กรณีนี้ก็หมายความว่า เราควรยับยั้งจากการกระทําหลายอย่างที่เราควรกระทําก็เพราะเห็นแก่ ลูกหลาน. มีหลายสิ่งที่เราสามารถพูดได้ แต่เพราะเห็นแก่ลูกหลานเราจึงไม่พูดสิ่งเหล่านั้น นับจากวันที่เรานําลูกหลานเข้าสู่ครอบครัวของเรา เราก็ควรแบ่งแยกตัวเราให้บริสุทธิ์.
ถ้าท่านไม่จํากัดตัวท่านเอง ท่านก็จะไม่สามารถจํากัดลูกหลานของท่านได้. ความหละหลวมของผู้ที่ไม่มีลูกหลาน ก็จะกลายเป็นปัญหาแก่พวกเขาเองในที่สุด. แต่สําหรับผู้ที่มีลูกหลาน ความหละหลวมจะกลายเป็นการทําลายลูกหลานของพวกเขาเช่นเดียวกันกับที่ได้ทําลายพวกเขาเอง. เมื่อคริสเตียนคนหนึ่งนําบุตรเข้าสู่โลกนี้ เขาก็ต้องแบ่งแยกตัวเขาเองให้บริสุทธิ์ สองตาหรือสี่ตาย่อมจ้องมองดูท่านตลอดเวลา พวกเขาจะติดตามท่านไปตลอดชีวิตของท่าน. กระทั่งหลังจากท่านจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่ลืมสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในตัวท่าน สิ่งต่างๆ ที่ท่านกระทําจะยังคงอยู่ภายในพวกเขา.
(3) กระทําตามมาตรฐาน
วันที่บุตรของท่านเกิดก็คือวันที่ท่านควรมอบถวายตัว ท่านต้องตั้งมาตรฐานสําหรับตัวท่านในด้านศีลธรรม, ในด้านการประพฤติที่บ้าน, และในการพิพากษาทางศีลธรรมทั้งหมดใน เรื่องถูกและผิด. ท่านต้องตั้งมาตรฐานที่สูงไว้สําหรับสิ่งที่ดีเลิศ และท่านยังต้องตั้งมาตรฐานไว้สําหรับตัวเองในเรื่องราวฝ่ายวิญญาณด้วย. ท่านต้องกระทําตามมาตรฐานเหล่านี้อย่าง เคร่งครัด มิฉะนั้นท่านจะมีปัญหากับตัวท่านเอง และท่านก็จะทําให้ลูกๆ ของท่านเสียคน. ลูกๆ มากมายถูกทําลายโดยพ่อแม่ของพวกเขาเอง ไม่ใช่โดยบุคคลภายนอก ถ้าพ่อแม่ขาด จริยธรรม, ศีลธรรม, และมาตรฐานฝ่ายวิญญาณ พวกเขาย่อมจะทําลายลูกๆ ของพวกเขา.
อนุชนย่อมทําการประเมินและตัดสินเรื่องราวต่างๆ ในอนาคตของเขาตามที่เขาเรียนรู้มาในช่วงเยาว์วัยที่เขาอยู่กับพ่อแม่ ลูกอาจจะจําหรือลืมสิ่งที่ท่านพูดไว้ แต่สิ่งที่เขามองเห็นจะยังคงอยู่ในตัวเขาตลอดไปอย่างแน่นอน เขาย่อมประเมินและตัดสินเรื่องราวต่างๆ ตามที่เรียนรู้จากท่าน.
พ่อแม่ทุกคนต้องจําเอาไว้ว่าการกระทําของท่านจะถูกทําซ้ําโดยลูกๆ ของท่าน การกระทําของท่านจะไม่หยุดอยู่ที่ตัวท่าน. ตอนที่ท่านไม่มีลูกนั้น ท่านสามารถกระทําสิ่งใดก็ได้ที่ท่าน ชอบตอนที่ท่านมีความสุข และละทิ้งกับลืมสิ้นทุกสิ่งตอนที่ท่านไม่มีความสุข. แต่เมื่อท่านมีลูกแล้ว ท่านต้องจํากัดตัวท่านเอง. ท่านต้องกระทําตามมาตรฐานแห่งการประพฤติที่สูงสุด ไม่ ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม. ชั่วชีวิตของลูกหลานคริสเตียนนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมพ่อแม่ของพวกเขา.
ข้าพเจ้าจําได้ว่าพี่น้องชายคนหนึ่งได้พูดบางอย่างตอนที่ลูกชายของเขาประสบปัญหา, เขา กล่าวว่า “เขาก็คือแบบจําลองของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนเขานี่แหละ” เมื่อพ่อแม่ มองเห็นบางสิ่งในตัวลูกๆ ของเขา เขาย่อมตระหนักว่าเขากําลังมองดูตัวเองอยู่ เขาต้อง มองเห็นว่าลูกๆ ก็คือภาพสะท้อนของเขานั้นเอง. ลูกๆ กําลังสะท้อนภาพของเขาอยู่ เขา สามารถมองเห็นตัวเองได้โดยผ่านลูกๆ นั่นเอง
นี่คือสาเหตุที่คู่ครองทุกคู่ควรมอบถวายตัวครั้งใหม่แด่พระเจ้าในทันทีที่พวกเขามีลูก พวกเขาควรมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและมอบถวายตัวเองแด่พระองค์อีกครั้ง นับแต่นั้นเป็นต้นมา องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มอบหมายมนุษย์คนหนึ่งพร้อมด้วยวิญญาณ, จิต, ชีวิต, และอนาคตของคนผู้นี้ทั้งหมดไว้ในมือของพวกเขา นับจากวันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ต้องสัตย์ชื่อต่อการมอบหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้า บางคนได้รับมอบหมายให้ทํางานหนึ่งหรือสองปี ตอนที่เขาเซ็นต์สัญญา. แต่การงานนี้ยืดเยื้อไปตลอดชีวิตของพวกเขา ระยะเวลาของการมอบหมายนี้ไม่มีที่สิ้นสุด.
(4) ความรู้สึกของการได้รับมอบหมาย
ท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลายในประเทศจีนนั้น ไม่มีความล้มเหลวใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเป็นพ่อแม่อีกแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ได้รับผลกระทบมาจากลัทธินอกศาสนา. ความล้มเหลวในอาชีพของคนๆ หนึ่งไม่อาจเทียบได้กับความล้มเหลวในการเป็นพ่อแม่. กระทั่งความล้มเหลวในการเป็นสามีหรือภรรยาก็ไม่อาจเทียบได้กับความล้มเหลวในการเป็นพ่อแม่. สามีหรือภรรยาสามารถปกป้องตัวเขาหรือตัวเธอได้ เพราะทั้งคู่อายุเกินยี่สิบกันแล้ว แต่เมื่อลูกคนหนึ่งถูกวางไว้ในมือของท่าน เขาย่อมไม่อาจปกป้องตัวเขาเองได้. องค์พระผู้เป็นเจ้าได้มอบหมายลูกคนหนึ่งให้แก่ท่าน ท่านย่อมไม่อาจไปหาพระองค์และทูลว่า “พระองค์ทรงมอบหมายลูกห้าคนแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ทําหายไปแล้วสามคน” ท่านไม่อาจกล่าวว่า “พระองค์ทรงมอบหมายลูกสิบคนแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ทําหายไปแล้วแปดคน.” คริสตจักรไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปได้หากพ่อแม่ไม่มีความรู้สึกของการได้รับการมอบหมาย. เราไม่ต้องการเห็นลูกๆ ของเราถูกช่วยกลับมาจากฝ่ายโลก. สมมติว่าเรามีลูกและได้สูญเสียพวกเขาให้แก่ฝ่ายโลก แล้วจากนั้นก็พยายามช่วยพวกเขากลับมา. ถ้าเรายอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น กิตติคุณก็จะไม่อาจประกาศไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก. อย่างน้อยลูกๆ เหล่านี้ก็ควรถูกนํามา.
หาองค์พระผู้เป็นเจ้า. ถ้าเราไม่ดูแลลูกๆ ของเรา เราก็ผิดแล้ว. โปรดจําไว้ว่าพ่อแม่มีความรับผิดชอบในการให้หลักประกันว่าลูกๆ ของพวกเขาจะเดินในหนทางที่ถูกต้อง.
โปรดให้ข้าพเจ้ามีเสรีในการกล่าวถ้อยคํานี้ ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรที่ผ่านมานั้น ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่ามกลางคริสเตียนก็คือความล้มเหลวในการเป็นพ่อแม่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครดูแลได้. ลูกๆ นั้นยังเล็กอยู่ พวกเขาอยู่ในมือของท่านและเขาไม่อาจทําอะไรด้วยตัวเองได้. ถ้าท่านหละหลวมกับตัวท่านเอง ท่านก็จะหละหลวมกับพวกเขาด้วย เราต้องตระหนักว่าพ่อแม่นั้นต้องฝึกฝนควบคุมตัวเองและเสียสละอิสรภาพส่วนตัวของพวกเขา พระเจ้าได้มอบหมายร่างกายของมนุษย์คนหนึ่ง พร้อมด้วยจิตและวิญญาณของเขาไว้ในมือของเราแล้ว. ถ้าเราไม่ฝึกฝนควบคุมตัวเองและละทิ้งอิสรภาพของเราไป เราก็ไม่อาจไปพบพระเจ้าในอนาคตได้.
2. ความจําเป็นในการร่วมดําเนินกับพระเจ้า
ประการที่สอง พ่อแม่ต้องไม่เพียงตระหนักถึงความรับผิดชอบของพวกเขา และแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ลูกๆ เท่านั้น พวกเขายังต้องร่วมดําเนินกับพระเจ้าอีกด้วย.
คนๆ หนึ่งย่อมแบ่งแยกตัวเขาให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ลูกๆ ของเขา แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาสามารถหละหลวมและมักง่ายได้ในยามที่เขาอยู่ตามลําพัง. เขาไม่ควรฝึกฝนควบคุมตัวเองเพียงเพราะเห็นแก่ลูกๆ ของเขาเท่านั้น. องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ขาดความ บริสุทธิ์ในตัวพระองค์เองเลย. พระองค์ไม่ได้แบ่งแยกตัวพระองค์เองให้บริสุทธิ์เพียงเพราะเห็นแก่เหล่าสาวกของพระองค์เท่านั้น ถ้าองค์พระเยซูเจ้าแบ่งแยกตัวพระองค์เองให้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเห็นแก่เหล่าสาวกของพระองค์ แต่ไม่ได้บริสุทธิ์ในตัวพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็จะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง. ในทํานองเดียวกัน พ่อแม่ก็ต้องแบ่งแยกตัวเองให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ลูกๆ ของตน แต่พวกเขาเองก็ต้องร่วมดําเนินกับพระเจ้าด้วย.
ไม่ว่าท่านจะแสดงความร้อนรนต่อหน้าลูกๆ ของท่านไปมากเท่าใด พวกเขาก็สามารถมองทะลุผ่านตัวท่านได้อย่างง่ายดาย หากท่านไม่ได้ร้อนรนอย่างแท้จริง. พวกเขานั้นชัดเจนมาก แต่ท่านอาจจะไม่ชัดเจน ท่านอาจจะเป็นคนที่หละหลวม แต่กลับแสดงต่อหน้าพวกเขาอย่างระมัดระวัง ในความเป็นจริงแล้ว ท่านไม่ได้เป็นบุคคลอย่างที่ท่านแสร้งเป็น โปรดจําไว้ว่า ลูกๆ ของท่านสามารถมองทะลุผ่านตัวท่านได้อย่างง่ายดาย. ถ้าท่านเป็นบุคคลที่มักง่ายและท่านพยายามแสดงตัวว่าสุขุมรอบคอบต่อหน้าลูกๆ ของท่าน พวกเขาก็จะตรวจพบความมักง่ายและการเสแสร้งของท่านได้อย่างง่ายดาย. ท่านไม่เพียงต้องแบ่งแยกตัวท่านเองให้บริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเขาเพราะเห็นแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ท่านต้องบริสุทธิ์ในตัวท่านเองอย่างแท้จริง คือ ร่วมดําเนินกับพระเจ้าอย่างที่ฮะโนคได้กระทํา.
ข้าพเจ้าอยากจะดึงความสนใจของท่านมาที่ตัวอย่างของฮะโนค. เยเนซิศ 5:21-22 กล่าว ว่า “ฮะโนคมีชีวิตเป็นอยู่ได้ 65 ปีจึงมีบุตรชายชื่อว่ามะธูเซลา. หลังจากฮะโนคมีบุตรคือมะธูเซลาแล้วก็ได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้า 300 ปี และมีบุตรชายหญิงหลายคน.” ก่อนฮะโนคอายุ 65 ปีนั้น เราไม่รู้สภาพการณ์ของเขาเลย. หลังจากเขามีบุตรชายชื่อว่ามะธูเซลาแล้ว เราจึงรู้ว่าเขาได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้าสามร้อยปี จากนั้นเขาก็ถูกพระเจ้ารับไป. นี่เป็นกรณีพิเศษในพันธสัญญาเดิม. ก่อนที่ฮะโนคจะมีลูกนั้น เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสภาพการณ์ของเขา แต่หลังจากฮะโนคมีบุตรชายชื่อว่ามะธูเซลาแล้ว พระคัมภีร์ก็กล่าวว่าเขาได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้า เมื่อภาระของครอบครัวตกอยู่บนตัวเขา เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเอง เขารู้สึกว่า ความรับผิดชอบของเขานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินและเขาก็ไม่อาจจัดการมันได้โดยตัวของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นในการร่วมดําเนินกับพระเจ้า เขาไม่ได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้าต่อหน้าบุตร ของเขาเท่านั้น แต่เขาได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้ากระทั่งในยามที่เขาอยู่ตามลําพัง เขารู้สึกว่า ถ้าเขาไม่ร่วมดําเนินกับพระเจ้าแล้ว เขาก็จะไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกๆ ของเขาได้อย่างไร. ฮะโนคไม่ เพียงมีบุตรชายชื่อว่ามะธูเซลาเท่านั้น แต่ยังมีลูกคนอื่นๆ อีกมากมาย แต่กระนั้นเขาก็ยังร่วมดําเนินกับพระเจ้าถึง 300 ปีใ ความรับผิดชอบของเขาในฐานะพ่อแม่นั้นไม่ได้กีดขวางเขาจาก การร่วมดําเนินกับพระเจ้าเลย แต่กลับทําให้เขาร่วมดําเนินกับพระเจ้า. ในที่สุดเขาก็ถูกรับขึ้นไป. โปรดจําไว้ว่าบุคคลแรกที่ถูกรับขึ้นไปคือพ่อ. บุคคลแรกที่ถูกรับขึ้นไปก็คือผู้ที่มีลูก มากมาย แต่ก็ยังร่วมดําเนินกับพระเจ้า. หนทางที่คนๆ หนึ่งจะแบกความรับผิดชอบในครอบครัวของเขาได้ก็คือการสะท้อนสภาพการณ์ฝ่ายวิญญาณของเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้านั่นเอง.
เราต้องมองเห็นว่า ถ้าเราจะนําลูกๆ ของเราไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าในลักษณะที่เที่ยงแท้ เราก็ต้องเป็นบุคคลที่ร่วมดําเนินกับพระเจ้า เราไม่อาจส่งลูกๆ ของเราไปสู่สวรรค์ได้โดยการชี้ นิ้วไปที่สวรรค์. เราต้องดําเนินชีวิตอยู่ต่อหน้าพวกเขา. เช่นนี้แล้วเราจึงสามารถขอให้ลูกๆ ของเราติดตามเราได้ แม้พ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนต้องการให้ลูกๆ ของตนดีกว่าที่พวกเขาเป็น โดยหวังว่าลูกๆ ของพวกเขาจะไม่รักฝ่ายโลกและจะมุ่งหน้าไปในด้านบวก แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวที่เลวร้ายลงเพราะพ่อแม่ของพวกเขาถดถอย. ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะไม่ตระหนักถึงเป้าหมายของพวกเขาเลย ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามไปมากแค่ไหน เราต้องจําไว้ว่ามาตรฐานของลูกๆ นั้นไม่อาจสูงเกินกว่ามาตรฐานของพ่อแม่พวกเขาได้ กรณีนี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรตั้งมาตรฐานปลอมๆ เอาไว้ เราควรมีมาตรฐานที่เที่ยงแท้และอยู่ฝ่ายวิญญาณ. ถ้าเรามีสิ่งนี้ ลูกๆ ของเราก็จะเอาอย่างตามมาตรฐานของเรา.
โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวบางสิ่งที่ตื้นและต่ํา. ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมเยียนครอบครัวหนึ่งและเห็นแม่กําลังตีลูกของเธอเพราะลูกโกหก. แต่ทั้งพ่อและแม่ในครอบครัวนี้ ก็โกหกเหมือนกัน ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าพวกเขาโกหกกันหลายครั้งหลายครา แต่เมื่อลูกของพวกเขาโกหกกลับโดนตี. ข้าพเจ้าพูดได้อย่างสัตย์จริงว่า ความผิดพลาดที่แท้จริงของเด็กคนนี้ก็คือเขาขาดเทคนิคในการโกหก เพราะเขาถูกจับได้ว่าโกหกนั่นเอง. ความแตกต่างประการเดียวระหว่างลูกกับพ่อแม่ก็คือการที่ฝ่ายหนึ่งถูกจับได้ว่าโกหก ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งจับไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าคนๆ หนึ่งโกหกหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของทักษะต่างหาก คนๆ หนึ่งโกหกไปแล้ว และเขาก็ถูกจับได้และถูกลงโทษ ถ้าท่านมีสองมาตรฐาน ท่านจะสามารถเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านได้อย่างไร? ท่านจะบอกลูกๆ ของท่านไม่ให้โกหกได้อย่างไร ในเมื่อตัวท่านเองยังเป็นคนพูดโกหกอยู่? ท่านต้องไม่วางมาตรฐานหนึ่งไว้สําหรับชีวิตของท่านและวางอีกมาตรฐานหนึ่งไว้สําหรับชีวิตลูกของท่าน. การทําเช่นนี้ย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน สมมติว่าลูกๆ ของท่าน มองเห็นและไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากคําโกหกและความอสัตย์จากท่าน ท่านยิ่งลงโทษพวกเขา ท่านก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น. พ่อบางคนบอกลูกๆ ของตนว่า “รอจนลูกอายุสิบแปดก่อน และพ่อจะให้ลูกสูบบุหรี่นะ” ลูกๆ ย่อมพูดในใจของเขาว่า “ตอนฉันอายุสิบแปด พ่อของฉันจะยอมให้ฉันโกหก. ฉันยังไม่ถึงสิบแปด ดังนั้นฉันจึงโกหกไม่ได้ แต่เมื่อฉันอายุสิบแปดแล้ว ฉันจะโกหก.” สิ่งนี้ย่อมผลักดันให้ลูกๆ ของท่านไปสู่ฝ่ายโลก. ท่านต้องร่วมดําเนินกับพระเจ้า อย่างที่ฮะโนคได้กระทํา เพื่อจะเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านอย่างที่ฮะโนคได้กระทํา. ถ้าท่านไม่ร่วมดําเนินกับพระเจ้า ท่านก็ไม่อาจคาดหวังที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านด้วยวิธีที่ฮะโนคได้กระทํา.
โปรดจําไว้ว่าลูกๆ ของท่านจะเรียนรู้ในการรักสิ่งที่ท่านรักและเกลียดสิ่งที่ท่านเกลียด พวกเขาจะเรียนรู้ในการให้ความล้ําค่าต่อสิ่งที่ท่านให้ความล้ําค่า และปรับโทษสิ่งที่ท่านปรับโทษ ท่านต้องตั้งมาตรฐานทางศีลธรรมไว้สําหรับตัวท่านเองและลูกๆ ของท่าน มาตรฐานทางศีลธรรมของท่านเป็นอย่างไร มาตรฐานของพวกเขาก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. มาตรฐานในการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะกลายเป็นมาตรฐานในการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา. มาตรฐานในครอบครัวย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสอง.
ข้าพเจ้ารู้จักครอบครัวหนึ่งที่มีพ่อเป็นคริสเตียนแต่เพียงในนาม. เขาไม่เคยไปยังคริสตจักรเลย แต่เขาต้องการให้ลูกๆ ของเขาไปคริสตจักรทุกวันอาทิตย์. ทุกเช้าวันอาทิตย์ เขาจึงให้เงินแก่ลูกๆ คนละนิดคนละหน่อย และบอกให้พวกเขาไปคริสตจักร. เงินนี้มีไว้ให้ ลูกๆ มอบถวาย. ตลอดทั้งวันนั้น เขาก็เล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนสามคนของเขา แต่ลูกๆ ของเขากลับใช้เงินไปซื้อขนมขบเคี้ยว และละเล่นกันจนศิษยาภิบาลใกล้จะเทศน์จบ แล้วพวกเขาก็แอบเข้าไปในตึกเพื่อฟังพระคําสักข้อสองข้อ เมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขาก็ต้องกล่าวรายงานกับพ่อของพวกเขา พวกเขามีขนมขบเคี้ยว. พวกเขาละเล่นด้วยกัน และพวกเขาก็รายงานให้พ่อแม่ด้วย นี่เป็นเรื่องที่สุดขั้วอย่างยิ่ง.
ข้าพเจ้าหวังให้พวกเรามองเห็นว่าพระองค์ได้ทรงมอบหมายลูกๆ ไว้แก่พวกเราแล้ว มาตรฐานในครอบครัวจึงมีได้เพียงหนึ่งเดียว. เราห้ามลูกๆ ไม่ให้กระทําสิ่งใด เราก็ไม่ควรไปกระทําสิ่งนั้น ในครอบครัวๆ หนึ่งจะมีสองมาตรฐานไม่ได้ คือมาตรฐานหนึ่งมีไว้สําหรับลูกๆ ส่วนอีกมาตรฐานหนึ่งมีไว้สําหรับตัวเรา. เราต้องถือรักษามาตรฐานเดียวกันเพราะเห็นแก่ลูกๆ ของเรา. เราต้องแบ่งแยกตัวเราให้บริสุทธิ์ เพื่อรักษามาตรฐานนี้เอาไว้ ในเมื่อมาตรฐานได้ถูกตั้งไว้แล้ว เราก็ต้องรักษาเอาไว้. ข้าพเจ้าหวังว่าเราทุกคนจะดูแลลูกๆ ของเราให้ดี. พวกเขากําลังจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะประพฤติตัวดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราประพฤติตัวดีหรือไม่. พวกเขาไม่เพียงฟังเราเท่านั้น แต่พวกเขายังจ้องมองเราเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง ถ้าเราบังคับพวกเขา พวกเขาก็รู้และถ้าเรากําลังแสดงต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็รู้ เราไม่ควรคิดว่า เราสามารถหลอกลวงลูกๆ ของเราได้ ไม่! ท่านไม่อาจหลอกลวงพวกเขาได้. พวกเขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร และพวกเขาก็มองเห็นรูปภาพที่แท้จริงอย่างชัดเจน. เราเรียกร้องให้ลูกๆ ทําอะไร เราก็ต้องยืนบนฐานะเดียวกันในเรื่องราวนั้นๆ ด้วย.
หลังจากฮะโนคมีลูกชายชื่อมะธูเซลาแล้ว เขาก็ได้ร่วมดําเนินกับพระเจ้าสามร้อยปี. ช่างเป็นรูปภาพที่งดงามอะไรเช่นนี้! เขามีลูกๆ มากมาย แต่เขาก็สามารถร่วมดําเนินกับพระเจ้า สามร้อยปี. เขาจึงเป็นบิดาที่ไร้การเสแสร้งอย่างแท้จริง การดําเนินชีวิตเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง.
3. ทั้งพ่อและแม่ต้องร่วมจิตร่วมใจเดียวกัน
ประการที่สาม พ่อและแม่ต้องมีความคิดอย่างเดียวกัน เพื่อให้ครอบครัวมีพลานามัยที่ดี พวกเขาต้องร่วมจิตร่วมใจเดียวกันในการเสียสละอิสรภาพของตนเองเพราะเห็นแก่พระเจ้าและต้องก่อตั้งมาตรฐานทางศีลธรรมที่เข้มงวด. ไม่ใช่ว่าพ่อมีมุมมองอย่างหนึ่ง ในขณะที่แม่ก็มีมุมมองอีกอย่างหนึ่ง. ข้าพเจ้ากําลังพูดในกรณีที่พ่อและแม่เป็นคริสเตียนทั้งคู่ ถ้าคนหนึ่งคนใดไม่ใช่คริสเตียนนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง.
หลายครั้งที่เดียวที่พ่อและแม่มักมีจุดยืนที่ไม่เหมือนกัน. ผลลัพธ์พ่อแม่ก็จะสร้างช่องโหว่ ทําให้ลูกๆ ของพวกเขาไปทําบาปได้อย่างอิสระ. ถ้าพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้ร่วมจิตร่วมใจกัน ก็ไม่เป็นการง่ายที่จะมีมาตรฐานที่แน่นอน ถ้าพ่อพูดว่าใช่ในเรื่องๆ หนึ่ง แต่แม่พูดว่าไม่หรือพูดในทางตรงข้าม ลูกๆ ก็จะไปหาคนที่พวกเขาชอบและคนที่พวกเขาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากที่สุด. ถ้าถามพ่อแล้วสะดวกกว่า พวกเขาก็จะไปหาพ่อ แต่ถ้าได้คําตอบจากแม่สะดวกกว่า พวกเขาก็จะไปหาแม่. สิ่งนี้ย่อมสร้างความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงขึ้นในทันที.
ข้าพเจ้ารู้จักคู่สามีภรรยาคริสเตียนสูงอายุที่มีมุมมองแตกต่างกัน คนหนึ่งจะมีความเห็นอย่างหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็จะมีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง. ความสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยาของพวกเขานั้นย่ําแย่. ผลลัพธ์จึงทําให้พวกเขากลายเป็นพ่อแม่ที่แย่ไปด้วย. ลูกๆ ของพวกเขาจะถามแม่ในเรื่องที่แม่เห็นด้วย และพวกเขาก็จะถามพ่อในเรื่องที่พ่อเห็นด้วย. ลูกๆ จึงมีข้อเรียกร้องของพวกเขาในลักษณะนี้ ถ้าแม่มาถึงบ้านและถามพวกเขาว่าทําไมถึงทําเรื่องนี้ พวกเขาก็จะตอบว่า “เราได้ถามคุณพ่อแล้ว” ถ้าพ่อมาถึงบ้านและถามพวกเขาว่าทําไมถึงทําเรื่องนี้ พวกเขาก็จะตอบว่า “เราได้ถามคุณแม่แล้ว.” ผลลัพธ์จึงทําให้ลูกๆ ของพวกเขามีอิสรภาพอย่างสมบูรณ์โดยการบงการหนทางของพวกเขาโดยผ่านความไม่ลงรอยกันของพ่อแม่พวกเขา ยี่สิบปีก่อนข้าพเจ้ากล่าวกับพ่อคนนี้ว่า “ถ้าสภาพการณ์อย่างนี้ยังดําเนินต่อไป ลูกๆ ของท่านจะหันไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน.” เขาก็กล่าวว่า “เรื่องอย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้น” วันนี้ ลูกๆ ของพวกเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว และบางคนก็ไปต่างประเทศเพื่อศึกษาต่อ แต่ไม่มีใครเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย และปล่อยตัวเหลวไหล.
ถ้าคนหนึ่งคนใดในพ่อแม่ไม่ใช่ผู้เชื่อ เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไป แต่ถ้าทั้งคู่เป็นผู้เชื่อแล้ว พระหัตถ์อันหนักหน่วงของพระเจ้าก็จะอยู่บนตัวพวกเขา. ถ้าคนหนึ่งไม่ใช่ผู้เชื่อ ไม่ว่าสามีเชื่อหรือภรรยาเชื่อก็ย่อมสามารถอธิษฐานขอพระเมตตาเป็นพิเศษ. แต่ถ้าทั้งคู่เป็นผู้เชื่อและต่างก็ดึงลูกๆ ของพวกเขาไปคนละทิศคนละทาง พวกเขาย่อมไม่อาจคาดหวังอะไรได้ จะมีก็แต่ปัญหาไปตลอดทาง.
เมื่อใดที่ลูกๆ มีปัญหา พ่อแม่ก็ต้องฝึกฝนตัวเองให้มีความคิดอย่างเดียวกัน พวกเขาต้องมีความคิดอย่างเดียวกันต่อหน้าลูกๆ ของตน. ไม่ว่าเด็กๆ จะขอร้องอะไร คําตอบแรกของสามีก็ควรจะเป็น “ลูกๆ ไปถามคุณแม่ดูหรือยัง? แม่ว่ายังไง? ถ้าแม่ว่าได้ ลูกๆ ก็ทําได้” ถ้าท่านเป็นภรรยาและลูกๆ ของท่านมาขอร้องบางอย่าง ท่านก็ควรตอบว่า “ลูกๆ ไปถามคุณพ่อดูหรือยัง? คุณพ่อว่ายังไง แม่ก็ว่าอย่างนั้น.” ตัวบุคคลนั้นจะถูกต้องหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง. ท่านต้องรักษาจุดยืนเดียวกันเอาไว้ ถ้ามีการโต้แย้งกันในเรื่องใด ท่านทั้งคู่ก็ต้องเข้าไป ในห้องของท่านเพื่อถกกันในเรื่องนั้น อย่าได้เปิดช่องโหว่ให้พวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นคนหละหลวมถ้ามีช่องโหว่ขึ้นมา. ลูกๆ มักชอบมองหาช่องโหว่ ถ้าสามีมองเห็นความผิดในตัวภรรยาหรือสิ่งที่ตรงข้ามกัน อย่างเช่นคําถามว่า ทําไมถึงพูดอย่างนั้นกับเด็กๆ ก็ต้องถามกันหลังจากปิดประตูแล้ว. การชี้แจงข้อขัดแย้งใดๆ ย่อมเป็นเรื่องสําคัญ แต่ท่านต้องไม่ปล่อยให้ลูกๆ ของท่านหาช่องโหว่ในตัวท่านได้. ถ้าพ่อแม่มีความคิดอย่างเดียวกัน การนําพาลูกๆ ไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก.
4. เคารพสิทธิของลูกหลาน
ประการที่สี่ พระคัมภีร์มีหลักการพื้นฐานอยู่ว่าลูกหลานนั้นเป็นสิ่งที่พระยะโฮวาทรงประทานให้ (บพส.127:3). ตามพระคัมภีร์นั้น ลูกหลานเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่ มนุษย์. วันหนึ่งท่านต้องส่งมอบบัญชีแห่งการมอบหมายนี้ให้แก่พระเจ้า. ไม่มีใครสามารถกล่าวว่าลูกๆ ของเขาเป็นของเขาและเป็นของเขาเพียงผู้เดียว. ความคิดของคนๆ หนึ่งที่ว่า ลูกๆ เป็นของเขาเอง คนๆ นั้นจึงสามารถทําอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการกับลูกๆ และคิดว่าเขาควบคุมลูกๆ ไว้ได้โดยสิ้นเชิงนั้นเป็นทัศนะของศาสนาต่างชาติ แต่ไม่ใช่ทัศนะของคริสเตียน ศาสนาคริสต์ไม่เคยสอนว่าลูกๆ เป็นของเรา แต่ให้ยอมรับว่าลูกๆ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้และพ่อแม่ก็ไม่อาจใช้การควบคุมแบบเผด็จการต่อลูกๆ ของตนตลอดช่วงวัยเด็กของพวกเขาได้.
(1) พ่อแม่ไม่มีอํานาจที่ไร้จํากัด
คนบางคนยึดทัศนะที่ว่าพ่อแม่ถูกต้องเสมอ. พวกเขายึดทัศนะนี้เอาไว้กระทั่งหลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นคริสเตียนแล้ว โปรดจําไว้ว่าพ่อแม่มากมายไม่ได้ถูกต้องเสมอไป. หลายครั้งพ่อแม่ก็ผิดพลาดกันได้. เราจึงไม่ควรรับเอาทัศนะของศาสนาต่างชาตินี้เอาไว้ และเราก็ไม่ควรทึกทักเอาว่า เรามีอํานาจที่ได้จํากัดเหนือลูกๆ ของเรา.
โปรดจําไว้ว่าพ่อแม่ไม่ได้มีอํานาจเหนือลูกๆ ของตนอย่างไร้จํากัด ลูกๆ ก็มีวิญญาณของพวกเขาเองและมีจิตของเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินกว่าพ่อแม่จะควบคุมไว้ได้. ในเมื่อลูกๆ มีวิญญาณและจิตของพวกเขาเอง พวกเขาจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง. พวกเขาสามารถขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ได้. พวกเขาต้องรับผิดชอบตัวเองต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. เราไม่อาจปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนอย่างสิ่งของหรือทรัพย์สมบัติได้. เราไม่ควรทึกทักเอาว่าเราสามารถใช้อํานาจที่ไร้จํากัดเหนือพวกเขา. พระเจ้าไม่ได้ประทานอํานาจไร้จํากัดเช่นนี้แก่เรา พระเจ้าทรงประทานอํานาจที่ไร้จํากัดเหนือความตายแก่เราแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้ประทานอํานาจที่ได้จํากัดเหนือมนุษยชาติซึ่งมีวิญญาณและจิตของพวกเขาเองแก่เรา ไม่มีใครสามารถมีอํานาจไว้จํากัดเหนือบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งมีวิญญาณและจิตได้ ความคิดเกี่ยวกับอํานาจไร้จํากัดเป็นทัศนะของศาสนาต่างชาติ. สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเย่อหยิ่งและไม่ควรมีอยู่ท่ามกลาง พวกเราเลย.
(2) ลูกๆ ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของพ่อแม่
เราย่อมมีเหตุผลกับเพื่อนๆ ของเราและกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวของเรา เรามีมารยาทและมีเหตุผลกับเพื่อนร่วมงานของเรา กระทั่งมีมารยาทและเคารพต่อผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างมาก เราพยายามทําตัวให้เข้ากันได้กับบุคคลทุกประเภท. แต่เรากลับปฏิบัติต่อลูกๆ ของเราราวกับพวกเขาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเรา โดยลืมไปว่าพวกเขาก็มีวิญญาณและจิตเช่นกัน อีกทั้งลืมไปว่าพวกเขาก็คือของประทานที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นท่านจึงอาจระบายอารมณ์ของท่านกับพวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่ท่านพอใจ. บางคนคิดว่าพวกเขาต้องมีมารยาทต่อทุกคนในโลก ยกเว้นกับลูกๆ ของตนเอง. ดูเหมือนพวกเขาจะถือว่าลูกๆ ของพวกเขาเป็นเหมือนที่ระบายอารมณ์ ข้าพเจ้ารู้จักพ่อแม่ที่เป็นอย่างนี้ตอนอยู่บ้าน. ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าผู้ชายต้องมีมารยาทและสุภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีโทสะด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ครบถ้วนถ้าพวกเขายังไม่ได้บันดาลโทสะ. อย่างไรก็ตามพวกเขาตระหนักว่า พวกเขาจะมีปัญหาได้ถ้าไปอารมณ์เสียใส่ผู้อื่น ถ้าเขาไปอารมณ์เสียใส่ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาจะไล่พวกเขาออก และถ้าเขาไปอารมณ์เสียใส่เพื่อนๆ เพื่อนๆ ของพวกเขาก็จะดูถูกพวกเขา พวกเขาคิดว่ามีสถานที่ที่เดียวที่พวกเขาสามารถอารมณ์เสียได้โดยไม่มีบทลงโทษ ที่นั่นก็คือลูกๆ ของพวกเขานั่นเอง. พ่อแม่หลายคนมีอารมณ์ร้ายต่อลูกๆ ของตน. ราวกับลูกๆ ของพวกเขาเป็นแปลงเพาะชําอารมณ์ของพวกเขาเลยที่เดียว.
โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวถ้อยคําที่รุนแรงเช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นพ่อแม่หลายคน ตะโกนด่าลูกๆ ของตนตอนอาหารค่ําและจากนั้นก็หันมาหาข้าพเจ้าและกล่าวว่า “คุณนรับอาหารนี้เพิ่มหน่อยไหม. มันอร่อยนะ” เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็กินไม่ลงแล้ว สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ในด้านหนึ่ง พวกเขาดุด่าลูกๆ ของตนเอง และในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็กล่าวว่า “คุณนี้ เชิญทานดูสิ” ปัญหาที่พ่อแม่บางคนมีก็คือพวกเขาถือว่า ลูกๆ ของพวกเขาเป็นที่ที่พวกเขาระบายอารมณ์ได้โดยชอบธรรม. พระเจ้าทรงประทานลูกๆ ให้แก่เราเพื่อให้เรามีสถานที่ที่จะระบายอารมณ์ได้หรือ? ขอพระเจ้าทรงเมตตาแก่พวกเราด้วย.
โปรดจําไว้ว่าพระเจ้าไม่ได้ปฏิเสธสิทธิทั้งหมดของเด็กๆ พระองค์ไม่ได้ล้มล้างความสําคัญของตัวเอง, อิสรภาพส่วนบุคคล, หรือบุคคลิกที่เป็นเอกเทศของเด็กๆ ออกไปทั้งหมด. พระองค์ไม่ได้วางพวกเขาไว้ในมือของเราเพื่อให้เราไปตีและดุด่าพวกเขา ไม่มีเรื่องเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ความคิดของคริสเตียนและไม่ใช่ทัศนะของคริสเตียนด้วย. โปรดจําไว้ว่า มาตรฐานของถูกและผิดเดียวกันนี้ย่อมปรับใช้กับเราและลูกๆ ของเราอย่างเท่าเทียมกัน มาตรฐานสําหรับเราและลูกๆ ของเราควรมีหนึ่งเดียวเท่านั้น เราไม่อาจมีมาตรฐานหนึ่งไว้สําหรับตัวเอง และมีอีกมาตรฐานหนึ่งไว้สําหรับพวกเขา. ข้าพเจ้าขอกล่าวถ้อยคํานี้แก่ผู้เชื่อ ใหม่. ท่านต้องอ่อนโยนและสุภาพกับลูกๆ ของท่าน. อย่าได้หยาบคายต่อพวกเขาเป็นอันขาด. อย่าดุด่าหรือติเตียนพวกเขาโดยพลการและยิ่งห้ามตีพวกเขาตามอําเภอใจ.
โปรดจําไว้ว่าการประพฤติเช่นนี้ย่อมนําไปสู่การปล่อยตัวเหลวไหล. ทุกคนที่ต้องการรู้จักพระเจ้าต้องเรียนรู้ในการควบคุมตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาควรควบคุมตัวเองในเวลาที่จะจัดการกับลูกๆ ของเขา. การควบคุมตัวเองอย่างนี้ย่อมมาจากความเคารพที่ถูกต้องต่อจิตของลูก ไม่ว่าลูกจะตัวเล็กหรืออ่อนแอแค่ไหน โปรดจําไว้ว่าเขาก็มีบุคลิกภาพของตัวเอง พระเจ้าได้ทรงประทานบุคลิกภาพและจิตให้แก่เขาแล้ว. ท่านต้องไม่ทําให้ลักษณะพิเศษของเขาเสียหาย, ทําลายบุคลิกภาพของเขา, หรือดูถูกจิตของเขา. ท่านต้องไม่ปฏิบัติต่อเขาโดยพลการ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะเคารพต่อเขาเหมือนบุคคลคนหนึ่งเลยที่เดียว.
ในขณะเดียวกัน ลูกๆ ของเราก็ได้ถูกมอบหมายไว้แก่ครอบครัวของเราแล้ว. มาตรฐานแห่งศีลธรรมของพวกเขานั้นต้องเป็นมาตรฐานแห่งศีลธรรมของพวกเรา สิ่งใดที่ปรับใช้กับพวกเขาก็ต้องปรับใช้กับพวกเราด้วย. พ่อแม่ไม่มีสิทธิไประบายอารมณ์กับลูกๆ ของตนเอง คริสเตียนไม่ควรอารมณ์เสียใส่ใคร แม้กระทั่งกับลูกๆ ของเขาเอง สําหรับเราแล้ว การอารมณ์เสียใส่ใครต่อใครนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม เราควรมีเหตุมีผล และเราก็ควรให้เหตุผลกับลูกๆ ของเราด้วย สิ่งที่ถูกย่อมถูกเสมอและสิ่งที่ผิดก็ย่อมผิดเสมอ. อย่าได้ข่มขู่พวกเขาเพียงเพราะพวกเขาตัวเล็กและอ่อนแอ. คนที่กดขี่ผู้อ่อนแอและตัวเล็กย่อมเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก.
(3) อย่ากลายเป็นกางเขนแก่ลูกๆ ของท่าน
ครั้งหนึ่งนักเรียนสองคนกําลังคุยกันในโรงเรียน. เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอว่า “ฉันรู้จักพ่อของฉัน. เขายอมตายเพื่อฉันได้” ฟังสิ่งที่เธอพูดสิ! นี่คือความเห็นของเด็กคนหนึ่งเกี่ยวกับพ่อของเธอ. พ่อของเธอเป็นคริสเตียน. เธอมีพ่อประเภทนี้ เด็กผู้หญิงอีกคนก็มาจากครอบครัวคริสเตียนเช่นกัน พ่อของเธอนั้นทารุณและอารมณ์เสียใส่ลูกสาวของเขาอย่างง่ายดาย. ครั้งหนึ่งเธอได้ยินการเทศนาที่โรงเรียน. เมื่อเธอกลับถึงบ้าน พ่อของเธอก็ถามถึงสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มา. เธอตอบว่า “ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานพ่อให้กับหนู เพื่อมาเป็นกางเขนของหนูนี่เอง.” พ่อทั้งสองคนล้วนเป็นคริสเตียน แต่พวกเขาช่างแตกต่างอะไรกันเช่นนี้!
ข้าพเจ้าจะกล่าวกับพ่อแม่ทั้งหลายว่า “จงช้าในการเรียกร้องให้ลูกๆ ของท่านน้อมฟัง. แต่ข้อเรียกร้องประการแรกก็คือให้ตัวท่านเองเป็นพ่อแม่ที่ดีต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านไม่ใช่พ่อแม่ที่ดีแล้ว ท่านก็ไม่อาจเป็นคริสเตียนที่ดีได้เลย. พระเจ้าไม่ได้ประทานลูกๆ แก่เรา โดยมีจุดประสงค์ให้เรากลายเป็นกางเขนของพวกเขา. พระเจ้าทรงประทานลูกๆ ให้เรา เพื่อเราจะได้เรียนรู้ในการเคารพต่ออิสรภาพ, บุคลิกภาพ, และจิตของพวกเขาต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า.
5. อย่ายั่วบุตรให้โกรธเคือง
ประการที่ห้า เปาโลแสดงให้เราเห็นถึงสิ่งสําคัญที่พ่อแม่ไม่ควรกระทํา คือพวกเขาไม่ควรยั่วบุตรของตนให้โกรธเคือง (อฟ.6:4).
(1) ไม่ใช้อํานาจมากเกินไป
การยั่วบุตรให้โกรธเคืองนั้นหมายถึงอะไร? สิ่งนี้ก็หมายถึงการใช้อํานาจมากเกินไป. คนๆ หนึ่งสามารถเอาชนะลูกๆ ของตนได้ด้วยกําลังทางกายภาพ. สิ่งนี้เป็นไปได้เสมอ เพราะพ่อแม่ ย่อมแข็งแรงกว่าลูกๆ ของตนอยู่แล้ว. หรือใครอาจพยายามสยบลูกๆ ของตนด้วยอํานาจทางการเงินก็ได้. เขาอาจจะกล่าวว่า “ถ้าลูกไม่นอบน้อมต่อพ่อ พ่อก็จะไม่ให้เงินลูกอีกแล้ว. ถ้าลูกไม่ฟังพ่อ พ่อก็จะขนอาหารและเสื้อผ้าของลูกไปทิ้งให้หมดเลย” ในเมื่อลูกๆ พึ่งพิงพ่อเพื่อการดําเนินชีวิตของพวกเขา พ่อจึงเอาชนะพวกเขาด้วยเงินโดยการขู่ว่าจะไม่จุนเจืออีกแล้ว พ่อแม่บางคนเป็นเจ้านายควบคุมลูกๆ ของตนด้วยฤทธิ์เดชทางกายภาพ ส่วนพ่อแม่อื่นๆ ก็เป็นเจ้านายควบคุมลูกๆ ด้วยความตั้งใจที่แข็งเหมือนเหล็กของตน. สิ่งนี้อาจยั่วให้ลูกๆ ของพวกเขาโกรธเคืองได้ เมื่อพวกเขาถูกยั่วยุ พวกเขาก็จะคอยหาโอกาสสําหรับอิสรภาพของตนเอง. วันหนึ่งพวกเขาจะหักพันธนาการของตนและเสาะหาอิสรภาพที่สมบูรณ์.
ข้าพเจ้ารู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งที่มีพ่อเล่นการพนัน, สูบบุหรี่, และประพฤติตัวหยาบคายที่บ้าน. เขายักยอกเงินหลวงและไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดศีลธรรมอื่นๆ อีกมากมาย. แต่เขาก็ยังคงไปที่คริสตจักร และเขาก็ต้องให้ลูกๆ ทุกคนไปที่คริสตจักร. เขาจะติเตียนและลงโทษ ลูกๆ อย่างรุนแรง ถ้าพวกเขาไม่ไป. เขาได้ทําลายแรงดึงดูดครอบครัวของลูกๆ และยังยืนกรานให้ลูกๆ ไปที่คริสตจักรตลอดเวลา ภายหลังลูกชายคนหนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้าปฏิญาณ ไว้ว่า วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าโตขึ้น ข้าพเจ้าจะไม่ไปคริสตจักรอีกเลย. ทันทีที่ข้าพเจ้าหากินได้ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าจะไปจากคริสตจักร” แม้เขาเคยสาบานไว้อย่างนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับความรอด. ขอบคุณพระเจ้า! ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็อาจจะกลายเป็นผู้ที่แสดงตนว่าต่อต้านคริสเตียนอีกคนหนึ่ง. นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก. พ่อไม่ได้พยายามทําให้ลูกๆ มีแรงดึงดูด แต่กลับเรียกร้องให้ลูกๆ ไปที่คริสตจักร. การทําเช่นนี้ย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน สิ่งนี้ย่อมยั่วลูกๆ ให้โกรธเคือง. พ่อแม่ไม่ควรใช้อํานาจเหนือลูกๆ ของตนมากเกินไปหรือยั่วพวกเขาให้โกรธเคือง. พ่อแม่จงอย่าได้ทําให้ลูกๆ ของตนแข็งกระด้างและเป็นกบฏต่อพวกเขาเลย.
ข้าพเจ้าจําผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้รับความรอดได้ เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้พบเขา เขาถูกบังคับให้อ่านพระคัมภีร์ขณะที่เขากําลังเติบโตขึ้นในบ้าน และเขาก็ถูกบังคับให้อ่านพระคัมภีร์ในขณะที่เขาไปเรียนที่โรงเรียนของคริสตจักร. ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าพ่อแม่ไม่ควรกําชับให้ลูกๆ ของตนอ่านพระคัมภีร์. ข้าพเจ้ากําลังกล่าวว่า ท่านต้องดึงดูดพวกเขาและเป็นตัวอย่างแก่พวกเขาด้วยตัวท่านเอง. ท่านไม่ได้ให้พวกเขาเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงล้ําค่า แต่กลับใช้วิธีบีบบังคับพวกเขา นั่นย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน. มีแม่คนหนึ่งที่เป็นคริสเตียน แต่เพียงในนาม. เธอมีอารมณ์ร้าย. เธอยืนกรานให้ลูกชายของเธออ่านพระคัมภีร์และไปเรียนที่โรงเรียนของคริสตจักร. วันหนึ่งเขาถามว่าเมื่อไหร่เขาจึงจะสามารถหยุดอ่านพระคัมภีร์ ได้. แม่ของเขาตอบว่า “เมื่อลูกจบชั้นมัธยม ลูกถึงจะหยุดอ่านพระคัมภีร์ได้” ในวันที่เขาได้รับประกาศนียบัตรในระดับมัธยมปลายนั้น เขาได้นําพระคัมภีร์สามเล่มออกมาและเผาที่สนามหลังบ้าน. ท่านต้องดึงดูดลูกๆ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ. มิฉะนั้นตอนที่ความโกรธของพวกเขาถูกยั่วยุ พวกเขาอาจจะทําอะไรก็ได้. ท่านต้องการให้พวกเขาเป็นคนดี แต่พวกเขาจะกบฏต่อท่านเมื่อพวกเขามีอิสระแล้ว. นี่ก็คือความหมายของการยั่วบุตรให้โกรธเคืองนั่นเอง อย่ายั่วบุตรของท่านให้โกรธเคืองเลย. ท่านต้องเรียนรู้ในการเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้อง. มีความรัก, มีความอ่อนโยน, และเป็นพยานที่ถูกต้องต่อหน้าพวกเขา. ท่านต้องเป็นแรงจูงใจให้กับพวกเขาด้วย อย่าได้ใช้อํานาจของท่านมากเกินไป. อํานาจนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมตัวเองเท่านั้น ถ้าท่านใช้อํานาจมากเกินไป ท่านก็จะไปทําลายความสัมพันธ์ของท่านกับลูกๆ ของท่าน.
(2) แสดงความชื่นชมอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ท่านก็ควรแสดงความชื่นชมอย่างเหมาะสมต่อลูกๆ ของท่านเมื่อพวกเขาทําดี พ่อแม่บางคนรู้แต่ว่าจะลงโทษและดุด่าลูกอย่างไร นอกนั้นพวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลย สิ่งนี้ย่อมยั่วบุตรของพวกเขาให้โกรธเคืองได้อย่างง่ายดาย โปรดจําไว้ว่าเด็กๆ มากมายล้วนมีความปรารถนาที่จะเป็นคนดี ถ้าท่านไม่มีอะไรให้เขานอกจากการลงโทษและการติเตียน พวกเขาก็จะท้อแท้ ตามถ้อยคําที่เปาโลได้กล่าวไว้ในโกโลซาย 3:21. พวกเขาจะกล่าวว่า การทําดีนั้นใช้การอะไรไม่ได้ เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่รู้จักความดี ท่านต้องหนุนใจลูกๆ ของท่านเมื่อพวกเขาทําดี. ท่านอาจจะพูดกับพวกเขาว่า “วันนี้ลูกทําได้ดีทีเดียว. พ่อจะให้รางวัลลูกนะ พ่อต้องการจะให้สิ่งที่พิเศษแก่ลูก” เด็กๆ จําต้องได้รับการตีสอนก็จริง แต่พวกเขาก็ต้องได้รับรางวัลด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นพวกเขาก็จะท้อแท้.
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง ซึ่งมีแม่ที่รู้แต่ว่าจะตบตีและดุด่าลูกๆ ของเธออย่างไร. เด็กคนนี้มีอุปนิสัยที่ดีตอนที่เธอยังเป็นอนุชนอยู่ ในเมื่อเธอรู้สึกว่าแม่ของเธอไม่ยอมรับในตัวเธอ เธอจึงตัดสินใจว่าเธอจะทํางานหนักเป็นพิเศษทั้งวัน เพื่อพยายามให้แม่พอใจ เมื่อถึงตอนเย็น แม่ของเธอก็มาเปลี่ยนชุดให้เธอ. พาเธอไปที่เตียง. และกําลังจะเดินจากไป. ขณะที่แม่กําลังจะเดินจากไป ลูกสาวก็เรียกเธอเอาไว้ แม่ก็ถามว่าเธอต้องการอะไร. เธอก็ไม่ได้พูดอะไร. เมื่อแม่กําลังจะเดินจากไปอีกครั้ง ลูกสาวก็ร้องเรียกอีกครั้ง เมื่อแม่ถามเธออีกครั้ง ลูกสาวก็พูดว่า “แม่จ๋า แม่ไม่มีอะไรจะพูดเลยหรอ?” นี่เป็นเรื่องๆ หนึ่งที่มิสเตอร์เบอร์วินได้เล่าไว้ หลังจากแม่ไปแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ร้องไห้อยู่สองชั่วโมง. แม่ของเธอไร้ความรู้สึกเหลือเกิน เธอรู้แต่ว่าจะตบตีและดุด่าลูกสาวของเธออย่างไรเท่านั้นเอง แต่เธอกลับไร้ความรู้สึกต่อสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด.
โปรดจําไว้ว่าพันธสัญญาใหม่มีคําสอนสําหรับพ่อแม่มากกว่าคําสอนสําหรับลูกๆ ทั้งโลก กล่าวถึงความผิดพลาดที่เด็กๆ ได้กระทํา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ากลับกล่าวถึงความผิดพลาดที่พ่อแม่ได้กระทํา ในเมื่อโลกนี้กล่าวถึงความผิดพลาดของเด็กๆ ไว้มากมายแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกล่าวถึงสิ่งเหล่านั้นให้มากเกินไปนัก. พระคัมภีร์บอกพ่อแม่อย่างเราว่า เราอาจจะไปยั่วบุตรของตนให้โกรธเคืองและยังอาจทําให้พวกเขาท้อแท้. นี่คือสาเหตุที่พระคัมภีร์กล่าวถึงการเป็นพ่อแม่ไว้มากมาย อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ยากกว่าอาชีพอื่นใดในโลก. คนที่เป็นพ่อแม่ต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของพวกเขาและเอาใจใส่ต่อการเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้องให้ดี. โปรดอย่าได้ ไร้ความรู้สึกต่อลูกๆ ของท่านเลย.
6. เที่ยงตรงต่อคําพูด
ประการที่หก คําพูดของพ่อแม่นั้นสําคัญต่อลูกๆ มาก. ท่านไม่เพียงต้องเป็นแบบอย่างแก่ลูกๆ ของท่านเท่านั้น แต่ยังต้องตระหนักว่าคําพูดของท่านก็สําคัญต่อพวกเขามากเช่นกัน.
(1) ไม่ให้คําสัญญาที่ว่างเปล่า
โปรดจําไว้ว่า พ่อแม่ไม่ควรกล่าวสิ่งใดที่พวกเขาไม่อาจกระทําให้สําเร็จได้กับลูกๆ ของตน ท่านต้องไม่ให้คําสัญญาที่ว่างเปล่ากับลูกๆ ของท่าน. อย่าได้ให้คําสัญญาบางอย่างแก่พวกเขา ถ้าท่านไม่มีความสามารถที่จะทําให้คําสัญญาของท่านสําเร็จเป็นจริงได้. อย่าให้คําสัญญากับพวกเขา ถ้าท่านไม่อาจกระทําให้มันสําเร็จเป็นจริงได้ ถ้าลูกๆ ของท่านต้องการให้ท่านซื้อของ บางอย่าง ท่านก็ต้องพิจารณาดูความสามารถทางการเงินของท่าน ถ้าท่านสามารถทําได้ ก็ทําไป. ถ้าไม่ได้ ท่านก็ต้องกล่าวว่า “พ่อจะทําให้ดีที่สุด พ่อจะทําสิ่งที่พ่อสามารถทําได้ แต่พ่อก็ ไม่อาจทําสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถของพ่อได้” คําพูดของท่านทุกคําต้องเชื่อถือได้. ท่านไม่ควรคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย. ท่านต้องไม่ยอมให้ลูกๆ ของท่านสงสัยในคําพูดของท่าน พวกเขาไม่เพียงต้องไม่สงสัยในคําพูดของท่านเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องมีความมั่นใจว่าคําพูดของท่านเที่ยงตรงอีกด้วย ถ้าลูกๆ พบว่าคําพูดของพ่อแม่เชื่อถือไม่ได้ เมื่อเขาโตแล้วก็จะมากระทําการอย่างมักง่าย. พวกเขาจะคิดว่าในเมื่อคนๆ หนึ่งสามารถมักง่ายต่อคําพูดของตนเองได้ เขาก็สามารถมักง่ายต่อเรื่องใดๆ ก็ได้. คําพูดบางอย่างใช้ได้ในทางการเมืองเท่านั้น แต่คําพูดเหล่านั้นก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริง. พ่อแม่ไม่ควรใช้คําพูดอย่างนี้ เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว พ่อแม่มากมายช่างใจดีกับลูกๆ ของตนเหลือเกิน. พวกเขาจึงให้คําสัญญาต่อเรื่องอะไรก็ตามที่ลูกๆ ขอร้อง แต่กลับมีคําสัญญาเก้าในสิบครั้งที่พวกเขาไม่อาจทําให้สําเร็จเป็นจริงได้ คําสัญญาที่ดีๆ เช่นนี้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ได้เพียงอย่างเดียวในตัวลูกๆ นั่นก็คือความผิดหวัง ท่านต้องให้คําสัญญาในสิ่งที่ท่านสามารถทําได้เท่านั้น ถ้าท่านไม่อาจทําบางอย่างได้ ก็อย่าให้คําสัญญา. ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าท่านสามารถทําได้หรือไม่ ก็จงบอกเขา. คําพูดของท่านต้องเที่ยงตรง
(2) คําสั่งต้องทําให้สําเร็จลุล่วง
บางครั้งท่านไม่ได้ให้คําสัญญา แต่ให้คําสั่งไปอย่างหนึ่ง ถ้าท่านเปิดปากขอให้ลูกๆ ของท่านทําบางอย่าง ท่านก็ต้องแน่ใจว่าเรื่องนั้นจะสําเร็จ ท่านต้องทําให้พวกเขาเชื่อว่า คําพูดของท่านจะต้องเป็นไปตามนั้น. หลายครั้งที่ท่านให้คําสั่งที่ถูกต้องไปแล้ว แต่ท่านกลับลืมมันไป นี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง. ท่านไม่ควรบอกกับลูกๆ ของท่านว่า ถ้าพวกเขาไม่ทําตามคําสั่งของท่านให้สําเร็จครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องกระทําในครั้งต่อไป. ถ้าท่านทําอย่างนี้ก็จะทําให้ลูกๆ ลําบากใจ. ท่านควรแสดงให้ลูกๆ ของท่านเห็นว่าในเมื่อท่านได้พูดบางอย่างไปแล้ว พวกเขาก็ต้องกระทําให้สําเร็จ ไม่ว่าท่านจะจําได้หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านสามารถพูดได้ครั้งหนึ่ง ท่านก็สามารถพูดอีกเป็นร้อยครั้ง. ถ้าคําพูดของท่านนับได้หนึ่งอย่าง คําพูดของท่านก็ควรนับได้อีกเป็นร้อยอย่าง. ท่านไม่ควรเปลี่ยนคําพูดของท่าน. จงแสดงให้พวกเขาเห็นตั้งแต่พวกเขายังเด็กว่า คําพูดนั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าคําพูดเหล่านั้นจะเป็นคําสัญญาหรือคําสั่งก็ตาม. ตัวอย่างเช่น ถ้าท่านบอกให้ลูกของท่านกวาดห้องของเขาทุกๆ เช้า ท่านก็ต้องพิจารณาดูก่อนว่าสิ่งนี้อยู่ในความสามารถที่เขาจะกระทําได้หรือไม่ ถ้าเขาไม่ทําในวันนี้ ท่านก็ต้องทําให้แน่ใจว่าเขาจะต้องทําในวันต่อมา ถ้าเขาไม่ทําในวันถัดไป ท่านก็ต้องทําให้แน่ใจว่าเขาจะทําในวันที่สาม. ท่านต้องยืนยันคําสั่งของท่านในปีนี้ และท่านก็ต้องยืนยันมันในปีต่อมา ท่านต้องแสดงให้ลูกๆ เห็นว่าคําพูดของท่านไม่ได้กล่าวอย่างมักง่ายและเห็นว่าในเมื่อได้กล่าวออกมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ต้องถูกกระทําให้สําเร็จลุล่วง. ถ้าพวกเขาเห็นว่าคําพูดของท่านไม่นับเป็นอะไร คําพูดของท่านก็จะไร้ประสิทธิผล ดังนั้นคําพูดที่ออกมาจากปากของท่านทุกคําต้องเป็นจริงและมีหลักการ.
(3) แก้ไขคําพูดที่เกินจริง
บางครั้งท่านก็พูดเกินจริงไป. ท่านต้องหาโอกาสบอกลูกๆ ของท่านว่าท่านพูดเกินจริงไปในบางครั้ง คําพูดของท่านต้องเที่ยงตรง. บางครั้งท่านมองเห็นวัวแค่สองตัว แต่ท่านกลับกล่าวว่ามีสามตัว หรือท่านมองเห็นนกห้าตัว แต่ก็กล่าวว่ามีแปดตัว. ท่านต้องแก้ไขตัวท่านเองในทันที ในการพูดกับลูกนั้น ท่านต้องเรียนรู้ในการแก้ไขตัวท่านเองอยู่เสมอ. ท่านควรเรียนรู้ที่จะพูดว่า “สิ่งที่พ่อพูดไปนั้นไม่เที่ยงตรง มีวัวสองตัว ไม่ใช่สามตัว” ท่านต้องแสดง ให้พวกเขาเห็นว่าคําพูดทั้งหลายนั้นต้องศักดิ์สิทธิ์. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวควรมีไว้สําหรับก่อสร้างบุคคลิกของคริสเตียนขึ้นมา. ท่านต้องให้คําพูดของท่านเที่ยงตรง เมื่อลูกๆ ของท่านพูด พวกเขาก็ควรให้คําพูดของตนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อท่านพูดบางอย่างผิดไป ท่านก็ต้องชี้ให้เห็นเพื่อยอมรับความผิดพลาดของท่าน ในลักษณะนี้ ท่านก็จะฝึกลูกๆ ของท่านให้คําพูดของพวกเขานั้นศักดิ์สิทธิ์. พ่อแม่หลายคนพูดว่าห้าเมื่อเขาหมายถึงสาม หรือพูดสาม เมื่อพวกเขาหมายถึงสอง. พวกเขาพูดอย่างหละหลวมและไม่ได้ก่อตั้งแบบอย่างที่ดีไว้ในบ้านเลย. ผลลัพธ์จึงทําให้ลูกๆ ของพวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าคําพูดนั้นศักดิ์สิทธิ์.
ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะขาดคําสั่งสอนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรมีประสบการณ์ต่อคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าและนําพาลูกๆ ของเราไปสู่คําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างน้อยเราก็ควรแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคําพูดนั้นศักดิ์สิทธิ์. ทุกคําสัญญาต้องสําเร็จและทุกคําสั่งก็ควรกระทําให้สําเร็จลุล่วง. ทุกคําพูดต้องเที่ยงตรง ถ้าเราทําเช่นนี้ ลูกๆ ของเราก็จะได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้อง.
7. การอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ในคําสั่งสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ประการที่เจ็ด ท่านต้องอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านในคําสั่งสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ.6:4). คําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้ากําลังบอกบุคคลคนหนึ่งว่า เขาควรประพฤติตนอย่างไร. ท่านต้องถือว่าลูกๆ ของท่านเป็นคริสเตียนไม่ใช่คนต่างชาติ. คําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมบอกคนๆ หนึ่งว่าเขาควรจะประพฤติตนในฐานะคริสเตียนอย่างไร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมุ่งหมายว่าลูกๆ ของเราทุกคนจะกลายเป็นคริสเตียน พระองค์ไม่ได้มุ่งหมายให้พวกเขาคนใดกลายเป็นคนต่างชาติหรือบุคคลที่ยังไม่ได้รับความรอด. ท่านควรวางแผนบนตัวพวกเขาทุกคน ไม่เพียงให้พวกเขากลายเป็นคริสเตียนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคริสเตียนที่ดีด้วย. ท่านควรบอกพวกเขาว่าคริสเตียนที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร โดยการสอนพวกเขาให้รู้ถึงคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในที่นี้เราจึงต้องพูดถึงหลายประเด็นพอสังเขป.
(1) ช่วยลูกๆ ให้มีความมุ่งมั่นที่ถูกต้อง
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับเด็กคนหนึ่งคือความมุ่งมั่นของเขา. เด็กทุกคนล้วนมีความมุ่งมั่นในขณะที่เขายังเล็กอยู่ ถ้ารัฐบาลอนุญาตให้เด็กๆ ทุกคนพิมพ์นามบัตรของตัวเองได้ ข้าพเจ้าก็คิดว่าเด็กมากมายคงจะพิมพ์คําว่า “ประธานาธิบดี” “ประธาน” หรือ “พระราชินี” ลงไป. พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกๆ ของตนมีความมุ่งมั่นที่ถูกต้อง. ถ้าท่านรักโลก ลูกๆ ของท่านก็น่าจะต้องการเป็นประธานาธิบดี, มหาเศรษฐี, หรือนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่. วิธีดําเนินชีวิตของท่านย่อมส่งผลกระทบต่อลูกของท่าน. พ่อแม่จึงต้องเรียนรู้ที่จะชี้นําความมุ่งมั่นของลูกๆ ไปในทิศทางที่ถูกต้อง. พวกเขาควรมุ่งมั่นที่จะเป็นคนรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า. พวกเขาไม่ควร มุ่งมั่นที่จะไปรักโลก. ท่านจึงควรปลูกฝังความมุ่งมั่นเช่นนี้ไว้ภายในพวกเขาในขณะที่พวกเขายังเล็กอยู่ จงแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ และการพลีชีพเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งที่ล้ําค่า ท่านต้องเป็นตัวอย่างแก่พวกเขา และท่านก็ต้องบอกพวกเขาถึงความมุ่งมั่นของท่าน ถ้าท่านมีโอกาสก็จงบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะเป็น. จงบอกพวกเขาถึงสิ่งที่คริสเตียนอย่างท่านต้องการจะเป็น เช่นนี้ ท่านก็จะขึ้นําความมุ่งมั่นของพวกเขาไปในทิศทางที่ถูกต้อง. เป้าหมายของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและพวกเขาก็จะรู้จักสิ่งที่สูงศักดิ์และสิ่งที่ล้ําค่า.
(2) ไม่หนุนใจในความเย่อหยิ่ง
เด็กๆ ยังมีปัญหาอีกประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่เพียงมีความมุ่งมั่นและมีปณิธานเท่านั้น แต่ยังมีความเย่อหยิ่งในตัวเองอีกด้วย พวกเขาอาจจะโอ้อวดเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาด, ทักษะ, หรือวาทศิลป์ของตนเองใ เด็กคนหนึ่งอาจจะหาเรื่องโอ้อวดได้มากมาย. เขาอาจจะคิดว่าเขาเป็นบุคคลพิเศษก็ได้ใ พ่อแม่ไม่ควรทําให้พวกเขาท้อใจ แต่ก็ไม่ควรปลูกฝังให้พวกเขาเย่อหยิ่งเช่นกัน พ่อแม่หลายคนปลูกฝังให้ลูกๆ ของตนเย่อหยิ่งและหนุนใจให้พวกเขาไปแสวงหาสง่าราศีที่ว่างเปล่าโดยการสรรเสริญพวกเขาต่อหน้าคนอื่น เราควรบอกพวกเขาว่า “ในโลกนี้ยังมีเด็กๆ อีกมากมายที่เป็นเหมือนลูก” อย่าพยายามหนุนใจให้เขาเย่อหยิ่ง. เราควรฉายส่องแก่ลูกๆ ตามคําสั่งสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาควร สามารถที่จะคิด, พูด, และเรียนรู้ทักษะทั้งหมดนี้ แต่ท่านก็ต้องบอกพวกเขาว่า ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นเหมือนพวกเขา. อย่าไปทําลายความภาคภูมิใจในตัวเองของพวกเขา แต่ก็อย่าปล่อยให้พวกเขาเย่อหยิ่ง. ท่านไม่ต้องไปทําลายความภาคภูมิใจในตัวเองของพวกเขา แต่ท่านก็ต้องชี้ให้พวกเขามองเห็นถึงความเย่อหยิ่งของตนเอง. อนุชนมากมายออกจากบ้านไป เพียงเพื่อจะค้นพบว่า พวกเขาต้องใช้เวลาสิบหรือยี่สิบปีในโลก เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าจะกระทําสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องได้อย่างไร ตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว อนุชนมากมายมีอารมณ์ร้ายที่บ้าน พวกเขาเย่อหยิ่ง ไม่นอบน้อมในการเรียนรู้ทํางาน. พวกเราไม่ต้องการให้ลูกๆ ของเราท้อแท้ แต่เราก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเย่อหยิ่งหรือคิดไปว่าพวกเขาเป็นบุคคลสําคัญ.
(3) สอนให้ลูกๆ ยอมรับความพ่ายแพ้และเรียนรู้ถ่อมใจ
คริสเตียนคนหนึ่งจําเป็นต้องรู้ว่าจะชื่นชมผู้อื่นได้อย่างไร การมีชัยชนะเป็นเรื่องง่าย แต่การยอมรับความพ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องยาก เราอาจหาผู้ชนะเลิศที่ถ่อมตัวได้ แต่หาผู้แพ้ที่ไม่กล่าวโทษได้ยากนัก แต่นี่ไม่ใช่ท่าทีของคริสเตียน. คนที่มีดีในบางเรื่องนั้นควรเรียนรู้ในการถ่อมตัวและไม่โอ้อวด. ในเวลาเดียวกัน เมื่อบุคคลคนหนึ่งพ่ายแพ้ เขาก็ควรเรียนรู้ในการยอมรับความพ่ายแพ้ของตน. เด็กๆ มีการแข่งขันกันสูงมาก. การที่พวกเขามีการแข่งขันก็เป็นเรื่องปกติ พวกเขาต้องการชนะในกีฬาเบสบอล, การแข่งขันกรีฑา, และในการเรียนที่โรงเรียนของพวกเขา. ท่านต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่า การที่พวกเขาศึกษาเล่าเรียนได้ดีที่โรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พวกเขาก็ต้องเรียนรู้ในการถ่อมตัวด้วย จงหนุนใจให้พวกเขาถ่อมตัว บอกพวกเขาว่ายังมีนักเรียนอื่นๆ อีกมากมายที่อาจจะเรียนดีกว่าพวกเขาด้วยซ้ําไป เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ ท่านก็ต้องสอนพวกเขาให้ยอมรับความพ่ายแพ้ของพวกเขาด้วยดี ปัญหาของเด็กมักจะเกี่ยวกับท่าที่เหล่านี้ หลังเกมการแข่งขัน ผู้ชนะย่อมเย่อหยิ่ง ในขณะที่ผู้แพ้มักจะหาว่าผู้ตัดสินไม่ยุติธรรม หรือตัดสินผิดเพราะแสงแดดจ้าส่องตาผู้ตัดสิน ท่านควรช่วยพวกเขาพัฒนาลักษณะพิเศษในการถ่อมตัว. พวกเขาควรอยู่ภายใต้การเตือนสติอย่างคริสเตียนและควรพัฒนาบุคคลิกแห่งคริสเตียน. พวกเขาสามารถชัยชนะได้ และเมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาก็ยังสามารถชื่นชมผู้อื่นได้เช่นกัน การยอมรับความพ่ายแพ้ก็คือคุณธรรมอย่างหนึ่ง คนจีนขาดคุณธรรมข้อนี้อย่างยิ่ง คนจีนส่วนใหญ่มักกล่าวโทษผู้อื่นตอนที่พวกเขาพ่ายแพ้ แทนที่จะยอมรับด้วยดี. ท่านต้องอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านในคําสั่งสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
เด็กๆ หลายคนกล่าวว่า ครูของพวกเขามักจะโปรดปรานคนที่ทําข้อสอบได้ดี เมื่อพวกเขาทําได้ไม่ดี พวกเขาก็กล่าวว่าครูไม่ชอบพวกเขา ในที่นี้เรามองเห็นความจําเป็นที่จะต้องมีความถ่อมใจ. คริสเตียนต้องมีคุณธรรมในการยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าผู้อื่นทําได้ดี เราก็ต้องกล่าวทันทีว่าพวกเขาทําได้ดี. เรายังต้องยอมรับความพ่ายแพ้และยอมรับว่าผู้อื่นฉลาดกว่า, ทํางานหนักกว่า, หรือดีกว่าเราด้วย. การยอมรับความพ่ายแพ้ก็คือคุณธรรมประการหนึ่งของคริสเตียน เมื่อเราชนะ เราก็ไม่ควรไปดูถูกผู้อื่น เพราะท่าทีนี้ไม่คู่ควรกับคริสเตียน เมื่อผู้อื่นทําได้ดีกว่าเรา เราก็ต้องชื่นชมพวกเขา. ผู้อื่นอาจจะกระโดดได้สูงกว่าเราหรือแข็งแรงกว่าเรา. เราก็ควรฝึกฝนลูกๆ ของเราให้ยอมรับความสําเร็จของผู้อื่น ในขณะที่พวกเขายังดําเนินชีวิตร่วมกับเราที่บ้าน. การฝึกฝนนี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจตัวเอง เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นในฐานะคริสเตียน. เราควรรู้จักตัวเองและชื่นชมผู้อื่นที่ดีกว่าเรา ถ้าลูกๆ ของเราเป็นอย่างนี้ การให้พวกเขามีประสบการณ์ต่อเรื่องราวฝ่ายวิญญาณก็จะเป็นเรื่องง่าย.
(4) สอนลูกๆ ให้รู้จักเลือกสรร
ข้าพเจ้าหวังว่า เราจะใส่ใจต่อเรื่องนี้ ในหลายๆ ด้านนั้น เราต้องสอนลูกๆ ของเราตามคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่พวกเขายังเล็กอยู่ เราก็ควรให้พวกเขามีโอกาสทําการเลือกสรรด้วยตัวเอง เราไม่ควรทําการเลือกสรรแทนพวกเขา กระทั่งพวกเขาอายุสิบแปดหรือ ยี่สิบปี ถ้าเราทําอย่างนั้น การจะให้พวกเขาทําการตัดสินใจในยามที่พวกเขาเติบโตขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เราต้องให้พวกเขามีโอกาสทําการตัดสินใจอยู่เสมอ. จงให้พวกเขามีโอกาส เลือกสรรสิ่งที่พวกเขาชอบและสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ. เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็น ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกสรรนั้นถูกต้องหรือไม่. จงให้พวกเขามีโอกาสเลือกสรรและจากนั้นค่อยนําพาพวกเขาให้เลือกสรรสิ่งที่ถูกต้อง. จงให้พวกเขาได้มองเห็นเพื่อตัวของพวกเขาเอง. บางคนชอบสวมเสื้อผ้าสั้นๆ บางคนชอบสีหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ ชอบอีกสีหนึ่งมากกว่า จึงให้พวกเขาทําการตัดสินใจด้วยตัวเอง.
บางคนไม่ยอมให้ลูกๆ ของพวกเขามีโอกาสทําการเลือกสรร. ผลลัพธ์เมื่อเขาอายุย่างยี่สิบกว่าและได้แต่งงานกับใครบางคนแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นศีรษะได้อย่างไร. ท่านสามารถบอกพวกเขาว่าสามีคือศีรษะของภรรยา แต่พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าจะเป็นศีรษะได้อย่างไร. ท่านต้องไม่ยอมให้พวกเขารอจนพวกเขาแต่งงาน แล้วพบว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะเป็นศีรษะได้อย่างไร ถ้าเป็นไปได้ จงให้ลูกๆ ของท่านมีโอกาสทําการตัดสินใจอย่างเต็มที่ เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาก็จะรู้ว่าต้องทําอะไร. พวกเขาจะรู้ว่าสิ่งใดผิดและสิ่งใดถูก. จงให้ลูกมีโอกาสทําการเลือกสรรตั้งแต่ตอนที่เขายังเล็กอยู่ ข้าพเจ้าจะกล่าวถ้อยคําคําหนึ่งแก่ทุกคนที่มีลูกว่า “จงให้ พวกเขามีโอกาสเลือกสรร.” มิฉะนั้นลูกหลานชาวจีนมากมายจะถูกทําลายเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น การทําลายนี้มักจะปรากฏออกมาตอนที่เด็กมีอายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบปี พวกเขากระทําในลักษณะที่ขาดความรับผิดชอบในช่วงอายุนี้ เพราะพวกเขาไม่เคยถูกเรียกให้มาทําการเลือกสรรใดๆ เลย. เราต้องสอนลูกๆ ของเราตามคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องสอนลูกๆ ของเราให้ทําการเลือกสรร มากกว่าที่จะทําการเลือกสรรแทนพวกเขาไปเสียทั้งหมด เราต้องสอนให้ลูกๆ ของเรารู้ว่าพวกเขาได้ทําการเลือกสรรสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่.
(5) สอนลูกๆ ให้จัดแจงสิ่งต่างๆ
เราต้องสอนลูกๆ ของเราให้จัดแจงสิ่งต่างๆ เช่นกัน เราต้องให้พวกเขามีโอกาสดูแลทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง, จัดแจงกับรองเท้า, ถุงเท้า, และกิจธุระอื่นๆ ของตัวเอง, จงให้คําชี้แนะแก่พวกเขาเล็กน้อยและจากนั้นก็ให้พวกเขาพยายามจัดแจงสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง. จงให้พวกเขารู้ว่าควรจะจัดแจงกับสิ่งต่างๆ อย่างไรตั้งแต่พวกเขายังเล็กอยู่ เด็กๆ บางคนมีการเริ่มต้นที่ไม่ดี เพราะพ่อของพวกเขารักพวกเขาอย่างตาบอดและไม่รู้ว่าจะฝึกฝนลูกๆ อย่างไร ในฐานะคริสเตียนนั้น เราต้องฝึกฝนลูกๆ ของเราให้จัดแจงกับสิ่งของของพวกเขาอย่างเหมาะสม.
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระคุณแก่เรา เราก็จะมีการเพิ่มพูนที่มาจากท่ามกลางลูกๆ ของเราเองครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งก็มาจาก “ทะเล” (โลก). ถ้าการเพิ่มพูนทั้งหมดมาจากทะเลและไม่มีการเพิ่มพูนที่มาจากท่ามกลางลูกๆ ของเราเองเลย เราก็จะไม่มีคริสตจักรที่เข้มแข็ง. ยุคของเปาโลสามารถได้รับความรอดจากโลกนี้โดยตรง แต่ยุคต่อจากเปาโลนั้น คนอย่างติโมเธียวได้เข้ามาโดยผ่านครอบครัวของพวกเขา เราไม่อาจคาดหวังให้การเพิ่มพูนของเรามาจากโลกนี้อยู่เสมอ. เราต้องคาดหวังให้ยุคที่สองมีคนอย่างติโมเธียวที่มาจากครอบครัวของเราเอง. กิตติคุณของพระเจ้าได้ช่วยมนุษย์ให้รอดจากโลกนี้ แต่เราก็ต้องนําคนอย่างติโมเธียวเข้ามาด้วยเช่นกัน ก่อนที่คริสตจักรจะอุดมสมบูรณ์นั้น ก็ต้องมียายอย่างโลอีและมีแม่อย่างยูนิเกที่คอยเลี้ยงดู เสริมสร้าง. และอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ของตนอยู่ในคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ถ้าไม่มีผู้คนเช่นนี้ คริสตจักรก็จะไม่มีทางอุดมสมบูรณ์ได้ เราต้องให้ลูกๆ ของเรามีโอกาสจัดแจงสิ่งต่างๆ ตั้งแต่พวกเขายังเล็กอยู่. เราต้องให้พวกเขามี โอกาสเรียนรู้ในการจัดแจงสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง. จงจัดให้มีการประชุมของครอบครัวบ่อยๆ และอนุญาตให้ลูกๆ ทําการตัดสินใจ ถ้าเราต้องจัดเรียงสิ่งของเครื่องใช้ใหม่ ก็จงให้พวกเขามีส่วนด้วย. ถ้าเราต้องจัดเรียงสิ่งของในตู้ใหม่ ก็จงให้พวกเขามีส่วนด้วย จงสอนพวกเขาให้จัดแจงกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าเราจะมีลูกสาวหรือลูกชาย เราก็ต้องสอนพวกเขาให้จัดแจงกับสิ่งต่างๆ จากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นสามีที่ดีหรือภรรยาที่ดีในอนาคต.
สถานการณ์ของเราในวันนี้เป็นอย่างไร? เด็กผู้หญิงทั้งหลายควรได้รับการดูแลจากแม่ของตนเอง. แต่แม่มากมายกลับไม่ดูแลพวกเขา ภาระนี้จึงตกไปอยู่กับคริสตจักร. เด็กผู้ชาย ทั้งหลายควรได้รับการดูแลจากพ่อของตนเอง. แต่พ่อมากมายกลับไม่ดูแลพวกเขา ภาระนี้จึงถูกส่งไปให้แก่คริสตจักรเช่นกัน. ผลลัพธ์ที่ตามมาคือเมื่อผู้คนได้รับความรอดและถูกนําเข้าสู่คริสตจักร ภารกิจของคริสตจักรจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สิ่งนี้ก็เนื่องมาจากผู้ที่เป็นพ่อแม่ไม่ได้ดําเนินชีวิตในฐานะพ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนอย่างเหมาะสม. หลังจากคริสตจักรประกาศกิตติคุณและช่วยผู้คนให้รอดแล้ว คริสตจักรก็ยังต้องจัดการกับปัญหาครอบครัวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ แต่ถ้าพ่อแม่มีความรับผิดชอบต่อการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ของตนอย่างถูกต้อง และถ้าลูกๆ ถูกนําเข้ามายังคริสตจักร คริสตจักรก็จะลดภาระลงได้ครึ่งหนึ่ง ในเซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้ามักมีความรู้สึกว่าเหล่าคนงานไม่ควรไปจัดแจงกับกิจธุระมากมายที่พวกเขาจัดแจงอยู่ เพราะกิจธุระเหล่านั้นควรให้พ่อแม่ทั้งหลายเป็นคนจัดแจง. พ่อแม่ไม่ได้สอนลูกๆ ของตนให้ดี แล้วเด็กๆ เหล่านี้ก็ชัดเซเข้าไปในโลก. ผลลัพธ์จึงทําให้เราต้องช่วยพวกเขา กลับมาจากโลกนี้และรับภาระในการสอนพวกเขาด้วยตัวเราเอง. สิ่งนี้สร้างภาระให้กับคริสตจักรเป็นอย่างมาก.
8. นําพาลูกๆ ให้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า
ประการที่แปด เราต้องนําพาพวกเขาให้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า. แท่นบูชาของครอบครัวๆ หนึ่งเป็นสิ่งจําเป็นอย่างแท้จริง. ในพันธสัญญาเดิมนั้น พลับพลาถูกนําไปเชื่อมกับแท่นบูชา ในอีกด้านหนึ่ง ครอบครัวก็ถูกนําไปเชื่อมกับการปรนนิบัติและการมอบถวายแด่พระเจ้า ไม่มีครอบครัวใดสามารถมุ่งหน้าต่อไปได้โดยปราศจากการอธิษฐานและการอ่านพระคํา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวที่มีลูกแล้ว สิ่งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ขาดเสียไม่ได้
(1) การประชุมที่อยู่ในระดับของลูกๆ
บางครอบครัวพ่ายแพ้ในเรื่องของการอธิษฐานและการอ่านพระคัมภีร์ เพราะการประชุมในครอบครัวของพวกเขานั้นยาวนานและสูงส่งจนเกินไป. เด็กๆ ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่า ท่านขอให้พวกเขานั่งอยู่ที่นั่นทําไม. ข้าพเจ้าไม่ชอบเลยที่หลายๆ ครอบครัวเชื้อเชิญพวกเราไปที่บ้านของพวกเขาเพื่อกล่าวถึงหลักธรรมที่ลึกซึ้ง และจากนั้นก็บังคับให้ลูกๆ นั่งอยู่กับพวกเขา. การประชุมบ้านบางแห่งดําเนินไปหนึ่งหรือสองชั่วโมงเกี่ยวกับหลักธรรมที่ลึกซึ้ง นี่คือการทนทุกข์ที่ยิ่งใหญ่สําหรับเด็กๆ เลยทีเดียว แต่พ่อแม่มากมายก็ไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย. เด็กๆ นั่งอยู่ที่นั่น แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ. ตัวอย่างเช่นถ้าหัวข้อคือหนังสือวิวรณ์ พวกเขาจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างไร? การประชุมบ้านต้องเหมาะสมกับเด็กๆ การประชุมของครอบครัวเหล่านี้ไม่ได้ออกแบบไว้สําหรับท่าน เพราะการประชุมของท่านอยู่ที่ห้องประชุม. อย่านํามาตรฐานของท่านไปเรียกร้องกับครอบครัวของท่าน. สิ่งที่ท่านกระทําในครอบครัวต้องเหมาะสมกับรสชาติของลูกๆ และต้องอยู่ในระดับของพวกเขาเอง.
(2) การประชุมที่อยู่ในระดับของลูกๆ
ปัญหาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการประชุมบ้านก็คือ มีความรักเพียงเล็กน้อยในการประชุมบ้านนั้น. สิ่งที่โน้มน้าวให้ลูกๆ มาสู่การประชุมเหล่านี้ไม่ใช่การดึงดูดของพ่อหรือการดึงดูดของแม่ แต่เป็นแส้ต่างหากที่ทําให้พวกเขาอยู่ที่นั้น พวกเขาไม่ต้องการเข้าร่วมเลย. แต่พวกเขาก็มา เพราะมีการข่มขู่ด้วยแส้นั่นเอง ถ้าท่านเอาแส้ออกไป พวกเขาก็จะไม่มา. การทําเช่นนี้ย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน. ท่านต้องคิดไว้หลายๆ วิธีที่จะดึงดูดพวกเขาและหนุนใจพวกเขา อย่าไปลงโทษพวกเขา อย่าได้ตีลูกๆ ของท่านเพราะการไม่สนใจต่อการนมัสการในครอบครัวของท่าน. ถ้าท่านที่พวกเขาไปครั้งหนึ่ง ท่านก็อาจจะก่อปัญหาไว้ภายในพวกเขาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาเลยที่เดียว. พ่อแม่จึงต้องดึงดูดลูกๆ ของตนให้มายังการนมัสการในครอบครัว อย่าบังคับพวกเขาให้มา. สิ่งนี้ได้แต่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีเลย.
(3) ประชุมครั้งหนึ่งในตอนเช้าและอีกครั้งหนึ่งในตอนเย็น
เราขอเสนอแนะให้มีการประชุมบ้านสองครั้งต่อวัน ครั้งหนึ่งในตอนเช้าและครั้งหนึ่งในตอนเย็น. พ่อควรนําพาในช่วงเช้าและแม่ก็ควรนําพาในช่วงเย็น จงตื่นให้เช้าขึ้นสักเล็กน้อย พ่อแม่อย่าได้อยู่บนเตียงหลังจากที่ลูกๆ ทานอาหารเช้าและไปโรงเรียนแล้ว ถ้าท่านมีลูกๆ อยู่ที่บ้าน ท่านก็ต้องตื่นแต่เช้า จงใช้เวลาอยู่ร่วมกับลูกๆ ก่อนไปโรงเรียนสักเล็กน้อย การประชุมของท่านจะต้องสั้น, มีชีวิตชีวา, และอย่าได้ยึดยาว. บางทีแค่สิบนาทีก็พอแล้ว อย่างนานที่สุดก็สิบห้านาที อย่าได้เกินกว่าสิบห้านาทีเด็ดขาดและก็อย่าให้สั้นกว่าห้านาที ให้พวกเขาทุกคนอ่านพระคัมภีร์สักข้อหนึ่ง. พ่อควรนําพาโดยการหยิบยกบางวลีขึ้นมาและพูดเกี่ยวกับวลีเหล่านั้น ถ้าลูกๆ สามารถจดจําบางสิ่งได้ ก็ขอให้พวกเขาจดจําเอาไว้. อย่าได้อ้างอิงข้อพระคัมภีร์ทั้งข้อ. ขอให้พวกเขาจําความหมายของประโยคนั้นเอาไว้ ในตอนท้ายของการประชุมนั้น พ่อหรือแม่ก็ควรถวายคําอธิษฐานเพื่อการอวยพระพรของพระเจ้า อย่าได้ถวายคําอธิษฐานที่สูงส่งหรือลึกซึ้ง. จงอธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกๆ สามารถเข้าใจได้ อย่าให้ยาวจนเกินไป ทําให้ง่ายๆ จากนั้นก็ส่งพวกเขาไปโรงเรียน.
ทุกครั้งที่ท่านนั่งลงเพื่อรับประทานอาหาร ท่านก็ควรขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าสําหรับอาหารมื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า, อาหารเที่ยง, หรืออาหารเย็น. ท่านก็ควรจริงใจต่อการขอบพระคุณของท่าน. จงช่วยให้ลูกๆ ของท่านขอบพระคุณ. การประชุมในตอนเย็นนั้นควรยาวกว่านิดหน่อยและแม่ก็ควรนําพาการประชุมนั้น. การอ่านพระคัมภีร์ตอนกลางคืนนั้นไม่จําเป็น แต่ครอบครัวต้องมาอธิษฐานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ต้องรวบรวมลูกๆ มารวมกันและพูดคุยกับพวกเขา ขณะที่พ่อนั่งอยู่ข้างๆ แม่ แม่ก็ควรหนุนใจให้ลูกๆ พูดออกมา. ถามพวกเขาว่าพวกเขามีปัญหาอะไรหรือไม่ในวันนั้น. ถามพวกเขาว่าได้ไปต่อยตีกับใครมาหรือเปล่าและมีสิ่งใดรบกวนใจพวกเขาหรือไม่. ถ้าแม่ไม่อาจทําให้ลูกๆ ของเธอพูดออกมาได้ ย่อมต้องมีบางสิ่งผิดพลาด. การยอมให้มีสิ่งขวางกั้นเกิดขึ้นระหว่างตัวเธอกับลูกๆ นั้นเป็นความพ่ายแพ้ของแม่เลยทีเดียว ถ้าลูกๆ กลัวที่จะพูดกับแม่ ก็แสดงว่าแม่ต้องมีความผิด. พวกเขาควรมีอิสระที่จะพูดออกมา. แม่ต้องเรียนรู้ที่จะนําเอาสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในใจของลูกๆ ออกมาให้ได้ ถ้าพวกเขาไม่ต้องการพูดออกมาในวันนั้น ก็ขอให้พวกเขาพูดในวันต่อมา. จงนําพาลูกๆ ให้พวกเขาอธิษฐานสักเล็กน้อยและสอนพวกเขาให้กล่าวถ้อยคําออกมา การประชุมนี้ต้องมีชีวิตชีวา. จงให้พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา แต่อย่าไปบังคับพวกเขา อย่าได้มีการเสแสร้งแต่อย่างใด. ทุกสิ่งต้องกระทําในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ. บางครั้งก็ให้พวกเขาเป็นผู้เริ่มต้นเอง ถ้าพวกเขามีบางสิ่งจะสารภาพ ก็ให้พวกเขาสารภาพ. ถ้าพวกเขาไม่มีอะไรจะสารภาพ ก็อย่าได้ไปบังคับพวกเขา อย่าได้มีการเสแสร้งแต่อย่างใด. การเสแสร้งที่พบได้ในลูกๆ มากมายนั้นเป็นผลลัพธ์มาจากแรงกดดันของพ่อแม่ที่เข้มงวด. ลูกๆ ไม่ได้พูดเรื่องโกหก แต่ท่านอาจบังคับให้พวกเขาพูดโกหกก็ได้ พ่อแม่ควรนําพาพวกเขาให้อธิษฐานอย่างง่ายๆ ที่ละคนๆ จงทําให้แน่ใจว่าทุกคนอธิษฐานแล้ว สุดท้ายแล้วก็สรุปลงด้วยการอธิษฐานของตัวท่านเอง. แต่อย่าได้ยาวนัก. ในเมื่อการอธิษฐานของท่านยืดยาว ลูกๆ ก็ย่อมเบื่อหน่าย. จงป้อนเลี้ยงพวกเขาตามขนาดของพวกเขา ถ้ามากเกินไปก็จะไม่ถูกต้อง. จงอธิษฐานกับพวกเขาไม่กี่ประโยคและจากนั้นก็ให้พวกเขาไปนอนเสีย.
(4) ใส่ใจต่อการกลับใจของพวกเขา
จงให้พวกเขารู้ถึงความหมายของความบาป. ท่านต้องใส่ใจต่อเรื่องราวเกี่ยวกับการกลับใจของพวกเขาและจากนั้นก็นําพวกเขามาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากผ่านไปหลายๆ ครั้ง ท่านก็ควรขอให้พวกเขาต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความจริงใจ. จากนั้นก็นําพวกเขามายังคริสตจักรและให้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร. โดยวิธีนี้ ท่านก็จะนําพาลูกๆ ของท่านเรียนรู้ในการรู้จักพระเจ้า
9. บรรยากาศในครอบครัวก็คือความรัก
ประการที่เก้า บรรยากาศในครอบครัวควรจะเป็นความรัก บางคนไม่ปกติทางจิตหรือเอกเทศก็เพราะพวกเขาไม่มีความรักที่บ้านเลย.
หนทางที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้นั้นขึ้นอยู่กับบรรยากาศในครอบครัวของเขา ถ้าเด็กคนหนึ่งไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยความรักในขณะที่เขาเติบโตขึ้นมา เขาก็จะดื้อดึง, เอกเทศ, และเป็นกบฏ, ผู้คนมากมายไม่อาจเข้ากับผู้อื่นได้ตอนที่พวกเขาโตขึ้นก็เพราะตอน เด็กๆ พวกเขาไม่มีประสบการณ์ต่อความรักในครอบครัว พวกเขาเห็นแต่การทะเลาะเบาะแว้ง, การถกเถียง, และการตบตีกันในครอบครัวเท่านั้น. เด็กๆ ที่มาจากครอบครัวเช่นนี้ย่อมเติบโตขึ้นมาอย่างผิดปกติ. คนเหล่านั้นที่มาจากครอบครัวที่ผิดปกติเช่นนี้ย่อมเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนที่เอกเทศอย่างแน่นอน. พวกเขาจะดูถูกผู้อื่น เนื่องจากพวกเขารู้สึกมีปมด้อยในใจของพวกเขา พวกเขาจึงพยายามยกชูภาพลักษณ์ของตัวเอง โดยถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ทุกคนที่มีปมด้อยล้วนมีแนวโน้มที่จะยกชูตัวเอง. นี่ก็คือสื่อกลางที่พวกเขาใช้ชดเชยปมด้อยของตนนั่นเอง.
มีคนที่มีสติปัญญามากมายในสังคม เช่น โจรผู้ร้ายและกบฏล้วนเป็นเพราะตอนเป็นเด็ก ไม่ได้สัมผัสความรักในครอบครัว. นิสัยจึงแปรเปลี่ยน เมื่อโตแล้วก็จะสร้างปัญหา. เมื่อพวกเขามาถึงคริสตจักร พวกเขาก็นําปัญหามาพร้อมกับพวกเขาด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการงานครึ่งหนึ่งของคริสตจักรนั้นสามารถกระทําสําเร็จได้โดยพ่อแม่ที่ดี แต่การงานนี้กลับตกอยู่บนบ่าของพวกเราในวันนี้ เพราะมีพ่อแม่ดีๆ น้อยเหลือเกิน. ผู้เชื่อใหม่ควรมองเห็นว่า พวกเขาควรปฏิบัติต่อลูกๆ ของพวกเขาอย่างถูกต้อง. ครอบครัวๆ หนึ่งต้องถูกเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งความรักและความอ่อนโยน. ความรักนั้นต้องมีความเที่ยงแท้. เด็กๆ ที่เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวเช่นนี้ย่อมจะกลายเป็นบุคคลที่ปกติ.
พ่อแม่ต้องเรียนรู้ในการเป็นเพื่อนกับลูกๆ ของตน. อย่ายอมให้ลูกๆ ห่างไกลจากท่านเป็นอันขาด. อย่าทําให้ตัวท่านไม่อาจเข้าถึงได้. โปรดจําไว้ว่ามิตรภาพถูกสร้างขึ้นบนการสื่อสาร ซึ่งไม่ได้มีมาแต่กําเนิด. ท่านต้องเรียนรู้ในการเข้าถึงลูกๆ ของท่าน จงมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะบอกท่านในยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาและขอคําปรึกษาจากท่านในยามที่พวกเขาอ่อนแอ. พวกเขาไม่ควรไปหาคนอื่นในยามที่พวกเขาอ่อนแอ. พวกเขาควรบอกท่านได้ถึงความสําเร็จของพวกเขาตลอดจนความพ่ายแพ้ของพวกเขา. ท่านควรเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา, สามารถเข้าถึงได้, และเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มที่. ตอนที่พวกเขาอ่อนแอ พวกเขาก็ควรจะสามารถมาหาเราเพื่อขอความช่วยเหลือได้ เราไม่ควรเป็นผู้พิพากษาบนบัลลังก์ แต่ควรช่วยเหลือพวกเขา. เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการร่วมกับพวกเขาได้. พวกเขาควรจะสามารถขอคําปรึกษาจากเราได้เหมือนที่ขอจากเพื่อนๆ ในครอบครัวๆ หนึ่งพ่อแม่ต้องได้รับความวางใจจากลูกๆ ของตนให้มากๆ กระทั่งพ่อแม่ได้กลายเป็นเพื่อนๆ ของพวกเขาแล้ว. ถ้าพ่อแม่จะทําเช่นนี้ก็ได้ทําสิ่งที่ถูกต้องแล้ว.
ท่านต้องเรียนรู้บทเรียนนี้ตั้งแต่ช่วงที่ลูกๆ ยังเล็กอยู่ ลูกๆ ของท่านจะรักท่านและอยู่ใกล้ท่านแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า ท่านได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรในช่วงยี่สิบปีแรกในชีวิตของพวกเขา. ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ท่านในช่วงยี่สิบปีแรกในชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่อยู่ใกล้ท่านตอนพวกเขาอายุสามสิบหรือสี่สิบปี. พวกเขาจะชัดเซห่างจากท่านไปเรื่อยๆ ลูกๆ มากมายไม่ชอบอยู่ใกล้พ่อแม่ของพวกเขา พ่อแม่ไม่ใช่เพื่อนของพวกเขาและก็ไม่มีความสัมพันธ์อันหวานชื่นระหว่างพวกเขาเลย พวกเขาไปหาพ่อแม่เมื่อพวกเขามีปัญหาในลักษณะที่ดูคล้ายกับอาชญากรกําลังอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษา. ท่านต้องทําการงานจนถึงขั้นที่ว่า ในยามที่พวกเขามีปัญหา ลูกๆ ของท่านจะมาหาและขอคําแนะนําจากท่านก่อน. พวกเขาต้องรู้สึกได้รับการปลอบโยนที่น่าไว้วางใจในตัวท่าน ถ้าท่านสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ ท่านก็จะพบปัญหาเพียงเล็กน้อยในครอบครัวของท่าน. อันที่จริงแล้ว ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข.
10. เรื่องของการลงโทษ
ประการที่สิบนั้นเป็นเรื่องของการลงโทษ เมื่อเด็กคนหนึ่งทําบางอย่างผิดพลาดไป เขาหรือเธอก็ต้องถูกลงโทษ. การไม่ลงโทษนั้นเป็นสิ่งที่ผิด.
(1) กลัวที่จะตีลูกๆ
สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการลงโทษใครสักคนหนึ่ง. คนที่เป็นพ่อแม่นั้นย่อมต้องกลัวการตีลูกๆ ของตน. พวกเขาต้องถือว่าการที่ลูกๆ นั้นเป็นเรื่องร้ายแรงพอๆ กับการตีพ่อแม่ตัวเองเลยทีเดียว. ลูกๆ ไม่ควรตีพ่อแม่ของตนเอง. คนๆ หนึ่งอาจได้รับการอภัยจากการที่พ่อแม่ของตนเอง แต่ไม่ง่ายนักที่จะได้รับอภัยจากการตีลูกๆ ของตนเอง ท่านต้องเรียนรู้ที่จะกลัวการตีลูกๆ ของตนเอง และต้องถือว่าการตีลูกๆ ของตนเองนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงพอๆ กับการที่พ่อแม่ตัวเองเลยทีเดียว.
(2) การที่เป็นสิ่งที่จําเป็น
ทว่าการตีพวกเขาในบางครั้งก็เป็นสิ่งที่จําเป็น สุภาษิต 13:24 กล่าวว่า “บุคคลผู้ไม่ยอมใช้ไม้เรียวก็เป็นผู้ที่ชังบุตรของตน แต่บุคคลผู้รักบุตรย่อมเฆี่ยนตีสั่งสอน.” นี่ก็คือสติปัญญาของซะโลโม. พ่อแม่ควรทําโทษลูกๆ ของตนด้วยไม้เรียว. การตีจึงเป็นสิ่งที่จําเป็น.
(3) การตีอย่างถูกต้อง
แต่ถ้าท่านตี ท่านก็ต้องตีอย่างถูกต้อง. ขอท่านอย่าบันดาลโทสะและอย่าตีตอนที่โกรธ. ไม่ควรมีใครตีลูกๆ ของตนตอนที่โกรธ. ท่านย่อมทําสิ่งที่ผิดในยามที่ท่านโกรธ. พี่น้องทั้งหลาย เมื่อลูกๆ ของท่านทําผิดบางอย่าง และท่านก็ที่พวกเขาตอนที่ท่านโกรธอยู่ ท่านก็ควรตระหนักว่าท่านเองก็ควรถูกตีด้วยเช่นกัน. ท่านต้องสงบลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าก่อน ตราบใดที่ท่านโกรธ ท่านก็ไม่อาจทําโทษใครได้.
(4) ชี้ให้ลูกๆ เห็นถึงความผิดของพวกเขา
ปัญหาบางอย่างต้องแก้ไขโดยการตี แต่ท่านต้องแสดงให้ลูกเห็นว่า ท่านกําลังจะตีเขาเพื่ออะไร ถ้าท่านต้องการตีเขา ท่านก็ต้องแสดงให้เขาเห็นความผิดของเขาด้วย. ท่านต้องแสดงให้เขาเห็นความผิดของเขาในแต่ละครั้งที่ท่านตีเขา. ท่านต้องบอกเขาว่า ความผิดของเขาคืออะไร. การพยายามไปหยุดความผิดของเขาโดยการตีเขานั้นไม่เพียงพอ. ท่านต้องอธิบายแก่เขาด้วยว่า ท่านกําลังจะตีเขาเพราะเขาผิดในเรื่องราวบางอย่าง.
(5) การตีเป็นเรื่องใหญ่
ทุกครั้งที่ท่านตีลูก ท่านก็อย่าได้ทําในลักษณะธรรมดาทั่วไป. ท่านต้องแสดงให้เขาเห็นว่า การตีนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งครอบครัวต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ใหญ่และเด็กทุกๆ คนต้องมาร่วมกัน. พ่อหรือแม่ต้องทําให้การที่เป็นเหมือนศัลยแพทย์ที่ดําเนินการผ่าตัดเลยทีเดียว แพทย์ไม่อาจใช้มีดผ่าตัดขณะที่ยังโกรธอยู่ได้ เพราะเขาผ่าตัดเพื่อจะนําเอาปัญหาออกไป. ในทํานองเดียวกัน พ่อแม่ก็ต้องไม่ลงโทษลูกตอนที่ยังโกรธอยู่ แต่จําต้องสงบลงก่อน. พ่อแม่อย่าได้ตีลูกๆ ของตนด้วยความมักง่าย ในด้านหนึ่ง พวกเขาต้องชี้ให้เห็นถึงความผิด ส่วนอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ต้องไม่โกรธเลย.
ท่านควรจะทําอย่างไรดี? ข้าพเจ้ามีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่ง ในเวลาที่ท่านมีไม้เรียวอยู่ในมือของท่าน ลูกย่อมต้องกระทําความผิดร้ายแรงบางอย่าง. ในขณะที่ท่านถือไม้เรียวไว้ในมือ ของท่าน ท่านก็ควรขอให้พี่ชายไปตักน้ําอุ่นมาหนึ่งถังและให้พี่สาวไปนําผ้าขนหนูมา. จากนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่า สิ่งที่เขาได้กระทํานั้นผิด. ท่านต้องบอกเขาว่า ใครก็ตามที่ได้กระทําสิ่งที่ร้ายแรงอย่างนี้ย่อมต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง เขาไม่ควรหลีกหนีจากความผิดของเขา. การหลีกหนีจากการลงโทษก็ผิดเช่นกัน. บุคคลคนหนึ่งต้องกล้าที่จะรับการลงโทษ ถ้าเขากล้ากระทําบาป. จงบอกเขาว่าเขาได้กระทําบางสิ่งที่ผิดและท่านไม่มีทางเลือก แต่ต้องลงโทษเขา. การที่นั้นมีเพื่อให้เขาตระหนักถึงความผิดของเขา ท่านอาจจะตีเขาสองครั้งหรือ ท่านอาจจะตีเขาสามครั้งก็ได้ บางที่มือของลูกอาจจะช้ําและมีเลือดออกจากการถูกตี จากนั้นท่านก็ควรขอให้พี่ชายช่วยนํามือที่สํานั้นไปแช่ในน้ําอุ่นเพื่อปรับระบบไหลเวียนโลหิต จากนั้นท่านก็ควรเช็ดมือลูกด้วยผ้าขนหนู. ท่านต้องกระทําเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ จงแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ในครอบครัวนี้มีแต่เพียงความรักเท่านั้น ไม่มีความเกลียดชังอยู่เลย ข้าพเจ้าเชื่อว่า นี่ก็คือการลงโทษในลักษณะที่ถูกต้อง.
วันนี้การลงโทษในครอบครัวอันเป็นผลมาจากความโกรธและความเกลียดชังซึ่งไม่ใช่มาจากความรักนั้น ช่างมีมากมายเหลือเกิน. ท่านกล่าวว่าท่านรักลูกๆ ของท่าน แต่ใครจะเชื่อท่านเล่า? ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเลย. ท่านต้องให้พวกเขารู้ว่า พวกเขาผิดตรงไหน. จงให้พวกเขารู้ว่า พ่อของพวกเขาไม่ได้ตีพวกเขาด้วยความเกลียดชัง. เมื่อท่านตี ก็จงกระทําอย่างเหมาะสม หลังจากที่ท่านตีพวกเขาแล้ว ท่านก็ควรพาพวกเขาเข้านอน. ถ้าการล่วงละเมิดนั้นร้ายแรงเหลือเกิน แม่หรือพ่อก็อาจจะร่วมมีส่วนในการโบยตีของลูกสักสองครั้ง ท่านต้องบอกลูกว่า “เรื่องนี้ร้ายแรงมาก พ่อต้องตีลูกห้าครั้ง. แต่ถ้าพ่อโบยลูกห้าครั้ง พ่อก็กลัวว่าลูกจะรับไม่ไหว ดังนั้นแม่ของลูกก็จะร่วมมีส่วนในการโบยสองครั้ง ส่วนพ่อก็จะร่วมมีส่วนในการโบยหนึ่งครั้ง. ตัวลูกเองทําการโบยที่เหลืออีกสองครั้ง” ท่านต้องแสดงให้เขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงและหนักหนายิ่งนัก. เขาก็จะจดจําที่จะไม่กระทําบาปอย่างมักง่ายไปตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว.
นี่ก็คือคําสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่สั่งสอนตามอารมณ์ของท่าน. นี่ก็คือการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่การเตือนสติตามอารมณ์ของท่าน. ข้าพเจ้าไม่ขอยืนหยัดร่วมกับโทสะของพ่อแม่ท่านใด. โทสะของพ่อแม่ย่อมจะทําลายอนาคตลูกๆ ของพวกเขา พ่อแม่จึงต้องเรียนรู้ที่จะมีการลงโทษที่แท้จริงสําหรับลูกๆ ของตน. แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักด้วยเช่นกัน นี่ก็คือวิธีที่ถูกต้องในครอบครัวคริสเตียน.
II.ลูกๆ ที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาจากพ่อแม่ที่ยงใหญ่
สุดท้ายแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่าผู้คนมากมายที่พระเจ้าทรงใช้ในโลกนี้ล้วนมาจากพ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่ เริ่มต้นบนตัวของติโมเรียวนั้น เราได้พบกับผู้คนจํานวนมากที่พระเจ้าทรงใช้ ซึ่ง ล้วนมาจากพ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่ จอห์น เวสเลย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกคนหนึ่งก็คือจอห์น นิวตัน ในหนังสือบทเพลงของเรานั้นมีเพลงมากมายที่นิวตันได้เขียนเอาไว้. จอห์น จี เพนตันก็เป็นอีกคนหนึ่ง เขาเป็นมิชชันนารีคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด เขาไปเป็นผู้ประกาศในต่างประเทศ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีพ่อคนไหนเหมือนกับพ่อของเขาเลย. ตอนที่เพนต้นอายุมากแล้ว เขายังคงระลึกได้ว่า “ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการทําบาป ข้าพเจ้าก็ระลึกถึงพ่อของข้าพเจ้าที่คอยอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าอยู่เสมอ” ครอบครัวของเขานั้นยากจนมาก. มีห้องนอนห้องเดียว, ห้องครัวหนึ่งห้อง, และห้องเล็กๆ อีกห้องหนึ่ง. เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าตัวสั่นทุกครั้งที่พ่อของข้าพเจ้าอธิษฐานและทอดถอนใจอยู่ในห้องเล็กๆ นั้น เขากําลังทําการวิงวอนเพื่อจิตของพวกเรา แม้ตอนนี้ข้าพเจ้าอายุมากแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงจดจําการทอดถอนใจของเขาได้. ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงประทานพ่อเช่นนี้ให้แก่ข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าไม่อาจกระทําบาป เพราะเมื่อข้าพเจ้ากระทําบาป ข้าพเจ้าก็ได้ละเมิดต่อพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของข้าพเจ้าและบิดาฝ่ายแผ่นดินโลกของข้าพเจ้า.” การจะหาพ่อคนหนึ่งอย่างพ่อของเพนตันนั้นยากนัก และการจะหาลูกที่ยิ่งใหญ่อย่างเพนตันก็ยากนัก.
ข้าพเจ้าไม่อาจบอกท่านได้ว่าจะมีผู้เชื่อที่เข้มแข็งมากมายลุกขึ้นมาต่อไปมากเพียงใด ถ้าพ่อแม่ทุกคนในรุ่นนี้เป็นพ่อแม่ที่ดี. ข้าพเจ้าต้องกล่าวอยู่เสมอว่า: อนาคตของคริสตจักรนั้น ขึ้นอยู่กับพ่อแม่. เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระคุณแก่คริสตจักร พระองค์ก็ต้องการได้คนลุกโชติช่วงขึ้น จึงจําเป็นต้องมีติโมเรียวลุกขึ้นมาให้มากกว่านี้ เราอาจช่วยผู้คนให้รอดจากโลกนี้ได้ก็จริง แต่การทําให้ผู้คนลุกขึ้นมาจากท่ามกลางครอบครัวคริสเตียนก็มีความจําเป็นยิ่งกว่า.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 33 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ใช้เวลาที่จะเรียนรู้ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยาอย่างไร
II. ปิดตาไว้ ไม่มองดูปัญหาของฝ่ายตรงข้าม
III. เรียนรู้โอนอ่อนผ่อนปรน
IV. เรียนรู้ชื่นชมยินดีของฝ่ายตรงข้าม
V. ต้องมีมารยาท
1. วาจา
2. เสื้อผ้า
3. อากัปกริยา
4. น้ำเสียง
VI. ให้ความรักจำเริญขึ้น
VII. อย่าเห็นแก่ตัว
VIII. ต้องยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิสรภาพ, รักษาความลับและมีทรัพย์สินส่วนตัว
IX. หนทางในการแก้ปัญหาของครอบครัว
1. วิธีแก้ปัญหาต้องยุติธรรม
2. จัดการประชุมสำหรับสามีและภรรยา
X. ต้องมีการสารภาพความผิดและมีการใหอภัย
XI. ความเห็นชอบของทั้งสองฝ่ายในการขอความช่วยเหลือของคริสตจักร
XII. มีชีวิตดำรงอยู่ร่วมกันต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า
ชีวิตคริสตจักรที่ดีควรถูกรักษาไว้โดยชีวิตครอบครัวที่ดี
ข้อพระคัมภีร์: กซ. 3:18-19; 1ปต. 3:1-7; อฟ. 5:22-23
กซ. 3:17 และไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นด้วยวาจาหรือการประพฤติก็ดีจง[กระทำ]ทุกสิ่งในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาโดยพระองค์.
กซ. 3:18 ฝ่ายภรรยาจงนอบน้อมต่อสามีของตน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
1ปต. 3:1 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงนอบน้อมสามีของตน เพื่อว่าแม้[สามี]ที่ไม่เชื่อฟังพระคำ แต่โดยการประพฤติของภรรยาก็จะได้ตัวเขาโดยไม่ต้องใช้พระคำนั้น
1ปต. 3:2 นี่เป็นเพราะเขาได้เห็นการประพฤติที่บริสุทธิ์หมดจดที่อยู่ในความยำเกรงของท่านด้วยตาของตนเอง.
1ปต. 3:3 การประดับกายของท่านทั้งหลายนั้น อย่าได้เน้นที่การถักผมเกล้ามวย และการประดับด้วยทองคำ หรือการนุ่งห่มเสื้อผ้าทางภายนอก
1ปต. 3:4 แต่จงเน้นที่มนุษย์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจที่[ประดับ]ด้วยสิ่งซึ่งไม่เสื่อมสลายไปคือวิญญาณที่อ่อนสุภาพและสงบเสงี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า.
1ปต. 3:5 ด้วยว่าพวกผู้หญิงที่แบ่งแยกบริสุทธิ์ในสมัยโบราณที่ได้เฝ้าหวังในพระเจ้าก็ได้แต่งกายโดยนอบน้อมฟังสามีของตนเองอย่างนี้แหละ
1ปต. 3:6 เช่นนางซาราได้น้อมฟังอับราฮามและเรียกท่านว่านาย ถ้าท่านทั้งหลายได้ประพฤติดีและไม่กลัวการข่มขวัญใดๆ ท่านก็เป็นบุตรหลานของนาง.
1ปต. 3:7 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นสามีก็เช่นกัน จงอยู่กินกับ[ภรรยา]ตามความรู้เพราะเธอเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่าท่าน, เป็นเพศหญิง จงให้เกียรติแก่ภรรยาตามที่เธอควรจะได้นั้น เพราะเธอเป็นคู่ร่วมรับพระคุณแห่งชีวิตเป็นมรดกด้วยกัน[กับท่าน]เพื่อคำอธิษฐานของท่านจะไม่ถูกขัดขวาง.
อฟ. 5:22 ฝ่ายภรรยาจงนอบน้อมต่อสามีของตนเหมือนนอบน้อมต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
อฟ. 5:23 เพราะว่าสามีนั้นเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนดังที่พระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร โดยที่พระองค์เองทรงเป็นพระผู้ช่วยของพระกาย.
เราได้พูดครอบคลุมถึงหัวข้อการเลือกคู่ครองไปแล้ว. พระคําในบทนั้นมีไว้สําหรับพี่น้องอนุชนทั้งหลาย. อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เพียงท่ามกลางอนุชน แต่ยังเพื่อผู้เชื่อใหม่ในอนาคต และบางคนที่แต่งงานแล้ว. พระคัมภีร์มีคําสอนอย่างชัดเจนสําหรับคนที่แต่งงานแล้ว. พระคําบางส่วนเป็นคําสอนสําหรับสามี และบางส่วนก็เป็นคําสอนสําหรับภรรยา. คนคนหนึ่งก่อนจะแต่งงาน เขาต้องทําให้ดีที่สุดเพื่อจะเลือกคนที่มีปัญหาน้อยที่สุดเพื่อจะแต่งงานกับเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากแต่งงานแล้ว เขาหรือเธอจําต้องเรียนรู้ที่จะประพฤติในหนทางที่จะหลีกเลี่ยงต่อปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในครอบครัวหรือคริสตจักร.
I. ใช้เวลาที่จะเรียนรู้ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยาอย่างไร
ประการแรก สิ่งสําคัญที่ต้องมองเห็นสําหรับคนที่แต่งงานแล้วคือ การเป็นสามีหรือภรรยาเป็นเรื่องที่มีความหนักหนาสาหัส. ทุกคนต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างมากจึงจะสามารถทําหน้าที่การงานหนึ่งได้. ตัวอย่างเช่น หมอคนหนึ่งต้องใช้เวลาฝึกฝน 5, 6 หรือ 7 ปีจึงจะสามารถเป็นหมอ. ครูคนหนึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในมหาวิทยาลัยการสอนจึงจะสามารถออกมาสอน, วิศวกรคนหนึ่งก็ต้องใช้ 4 ปีในมหาวิทยาลัยเช่นกันจึงสามารถปฏิบัติการในอาชีพของเขา. แม้แต่พยาบาลก็ต้องเรียน 3 ปีเพื่อเตรียมตัวสําหรับอาชีพของเธอ. แต่น่าแปลกใจที่ไม่มี ใครได้ใช้เวลาสักหนึ่งวันเพื่อมาเรียนรู้การเป็นสามีหรือภรรยากันอย่างไร จึงไม่แปลกเลยที่มีสามีหรือภรรยาที่ไม่ดี. พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นสามีหรือภรรยาที่เหมาะสมกันอย่างไร. ข้าพเจ้าจะไม่ไว้วางใจและกลัวเป็นอย่างมาก ถ้าจะขอให้คนที่ไม่ได้เรียนหมอมารักษาอาการป่วยของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าจะไม่ไว้วางใจและกลัวเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ถ้าจะใช้พยาบาลที่ไม่เคยเรียนพยาบาลมาก่อน. วันนี้ถ้าข้าพเจ้าจะจ้างครูมาสอนนักเรียน ข้าพเจ้าจะไม่ไว้วางใจ และกลัวที่จะจ้างครูที่ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน ถ้าข้าพเจ้าจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องจ้างวิศวกรโยธา ข้าพเจ้าจะไม่ไว้วางใจและกลัวถ้าเขาไม่ได้เป็นวิศวกรโยธาที่ได้รับการฝึกฝนมา. ในทํานองเดียวกัน ข้าพเจ้าจึงมีความกังวลมากมายเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่เป็นสามีหรือภรรยา แต่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน.
เพราะว่าพ่อแม่ไม่เคยสอนเราว่าควรจะเป็นสามีหรือเป็นภรรยากันอย่างไร เมื่อเราโตขึ้น เราหางานได้ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ หาคู่ครองได้ แต่งงานได้แล้ว กรุณาจําไว้ว่าปัญหายากลําบากมากมายระหว่างสามีและภรรยาก็จะเกิดขึ้น เพราะเหตุไม่ได้ผ่านการตระเตรียมใดๆ เลย. คล้ายกับว่าคนทั้งสองถูกลากเข้าสู่การแต่งงานอย่างกะทันหัน พวกเขาถูกเชิญชวนไปเป็นสามี ถูกเชิญชวนไปเป็นภรรยา ไม่มีการตระเตรียมตัวเลย ครอบครัวนี้จึงไม่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องมองเห็นว่า ตลอดชีวิตของเรา ไม่ว่าทําเรื่องอะไร จําต้องมีการเรียนรู้ ไม่ใช่ทําเลยในทันที พวกเราจําต้องมีการตระเตรียม มีการเรียนรู้ จึงสามารถไปทํา.
ในขณะเดียวกัน เราต้องมองเห็นว่า ในโลกนี้ ไม่มีอาชีพใดยากไปกว่าการเป็นสามี ไม่มีอาชีพใดยากไปกว่าการเป็นภรรยา. อาชีพทุกอย่างล้วนมีเวลาเข้างานและเลิกงาน มีเพียงแต่อาชีพนี้เท่านั้นที่ไม่หยุดเลยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง. อาชีพทุกอย่างล้วนมีการปลดเกษียณ มีเพียงแต่อาชีพนี้เท่านั้นไม่มีการปลดเกษียณ. นี่คืออาชีพที่สําคัญและเป็นอาชีพที่มีความหนักหนาสาหัสยิ่งนัก.
ตอนนี้เราไม่ต้องยกเรื่องที่ผ่านมา คนที่ไม่สามารถเป็นสามีอย่างท่าน ก็เป็นสามีแล้ว. คนที่ ไม่สามารถเป็นภรรยาอย่างท่าน ก็เป็นภรรยาแล้ว. คุณมาถึงขั้นตอนนี้แล้ว เพราะเหตุความหละหลวมในอดีตของคุณ ดังนั้นจึงจัดการครอบครัวได้ไม่ดี. จนถึงวันนี้ คุณต้องมองเห็นว่า ครอบครัวเป็นเรื่องที่สําคัญ ดังนั้น คุณควรจะหันกลับไปเรียนรู้อีกครั้ง คนที่เป็นสามีต้องหันกลับไปเรียนว่าจะเป็นสามีอย่างไร. คนที่เป็นภรรยาก็เช่นเดียวกัน ต้องหันกลับไปเรียนว่า จะเป็นภรรยาอย่างไร.
ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่า คนคนหนึ่งจะเอาท่าที่ในการจัดการกับอาชีพเพื่อมาจัดการกับครอบครัว ก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นก็คือหลายคนให้ความสนใจต่อการงานมากกว่าให้ความสนใจต่อครอบครัวของเขา. สิ่งนี้จึงทําให้ครอบครัวของเขาต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน. คุณต้องทุ่มเทสติสัมปชัญญะทั้งหมดต่อเรื่องนี้ ต้องทําจริงจังกว่าเรื่องอาชีพการงาน ถ้าหากคุณทําอย่างลวกๆ ไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ ครอบครัวจะไม่ล้มเหลวได้ อย่างไร? ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ครอบครัวของคุณประสบความสําเร็จจําต้องใช้เวลามาทํา ที่ยังไม่สําเร็จ ก็ต้องทําให้สําเร็จ นี่คือเรื่องที่หนักหนาสาหัส อย่างไรก็ตาม ต้องทําให้สําเร็จ ทุกคนที่ไม่ใส่ใจ ไม่ปรารถนาที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตสมรส ชีวิตสมรสของเขาก็ย่อมไม่สามารถประสบความสําเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่แต่งงานแล้ว พวกคุณควรจะเรียนรู้ใช้เวลามารับผิดชอบจัดการต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ยากลําบากกว่าอาชีพอื่นๆ พวกท่านควรจะเรียนรู้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า หวังว่าพวกคุณจะเริ่มเรียนรู้กันตั้งแต่วันนี้.
II. ปิดตาไว้ ไม่มองดูปัญหาของฝ่ายตรงข้าม
ประการที่สอง หลังจากคนหนึ่งแต่งงานแล้ว เรื่องแรกที่ต้องเรียนรู้ก็คือปิดตาไม่ต้องไปดู ขอให้พวกคุณจําไว้ คนสองคนอยู่ด้วยกันเป็นสามีภรรยา ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่มีวันหยุด ไม่แยกจากกันตลอด เพราะเหตุนี้ คุณจึงมีเวลามากพอที่จะหาจุดอ่อนและปัญหาของฝ่ายตรงข้าม. เหตุฉะนั้น พวกคุณจําต้องเรียนรู้อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า หลังจากแต่งงานแล้ว ตาต้องปิดไว้ จุดประสงค์ของการแต่งงาน ไม่ใช่มองหาปัญหาของฝ่ายตรงข้าม เธอคือภรรยาของคุณ ไม่ใช่นักเรียนของคุณ เขาคือสามีของคุณ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณ. ดังนั้น ไม่จําต้องให้ท่านไปค้นหาปัญหาของเขาเพื่อจะช่วยเขา. อย่าไปหาจุดอ่อนของเขาเพื่อจะมาแก้ไขเขาอย่างเด็ดขาด. ถ้าหากพวกคุณสนใจต่อเรื่องนี้ ครอบครัวจะถูกก่อสร้างขึ้นบนฐานรากที่มั่นคง.
เหมือนดังที่ข้าพเจ้าพูดไปแล้ว ก่อนที่พวกคุณจะแต่งงาน ตาต้องเปิดให้กว้าง ต้องมองให้ชัดเจน ปัญหาต่างๆต้องใคร่ครวญให้ดีๆ แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะชัดเจนก็ดีหรือไม่ชัดเจนก็ดี จากวันนี้ไปก็ไม่ต้องขอความชัดเจนอีกแล้ว ถ้าหากคุณจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ คุณก็มีโอกาสมากที่จะหาออกมาได้. พระเจ้าจัดวางพวกคุณสองคนไว้ด้วยกัน แต่หลังจากนี้ไปมีเวลาห้าสิบปี ในระหว่างห้าสิบปีนี้ที่อยู่ด้วยกัน พวกคุณมีโอกาสมากที่จะหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามออกมา ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ว่าพี่น้องทุกคนที่แต่งงานแล้ว. ต้องมองเห็นว่า หลังจากแต่งงานแล้ว เรื่องแรกก็คือต้องปิดตาไว้ ไม่ต้องมองดูจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามว่ามีอะไรบ้าง. ขนาดคุณไม่ไปดู คุณก็รู้มากมายแล้ว ถ้าคุณจงใจไปดูเขา ปัญหานั้นก็จะทวีมากยิ่งขึ้น.
พระเจ้าจัดแจงคนสองคนเป็นสามีภรรยากัน พระเจ้าจัดแจงคนสองคนให้มีการนอบน้อมและมีความรัก. พระเจ้าไม่ได้จัดแจงผู้คนที่เป็นสามีภรรยากันให้ไปค้นหาปัญหาของฝ่ายตรงข้ามเพื่อจะปรับปรุงเขาให้ถูกต้อง. พระเจ้าไม่ได้แต่งตั้งคุณเป็นอาจารย์หรือครูสอน สามีทุกคนล้วนไม่ใช่อาจารย์สอนของภรรยาและภรรยาทุกคนก็ล้วนไม่ใช่ครูของสามี ไม่มีใครสักคนที่ต้องไปแก้ไขสามีของเธอและไม่มีใครสักคนที่ต้องไปแก้ไขภรรยาของเขา คนที่คุณขอแต่งนั้นเป็นคนประเภทไหนคุณก็ควรเฝ้าหวังที่จะอยู่กับเธอด้วยกันต่อไป. ไม่ต้องมองดูจุดอ่อนหรือปัญหาของฝ่ายตรงข้าม เพื่อจะช่วยเหลือเขา. ความคิดที่จะช่วยแบบนี้ จริงๆ แล้ว ไม่ถูกต้อง คนที่แต่งงานแล้ว ต้องเรียนรู้ปิดตาไว้ ต้องเรียนรู้รักฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องเรียนรู้ช่วยเหลือและแก้ไขฝ่ายตรงข้าม.
III. เรียนรู้โอนอ่อนผ่อนปรน
นี่เป็นบทเรียนแรกหลังจากแต่งงาน ไม่ว่าสามีภรรยาทั้งสองคนจะเหมือนกันมากหรือ นิสัยจะเข้ากันได้ดีก็ตาม แต่ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งสองก็จะพบว่ามีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนกัน พวกคุณยังมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน ความรักชอบที่ไม่เหมือนกัน ความเกลียดชังที่ไม่เหมือนกัน ข้อคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันและความโน้มเอียงที่ไม่เหมือนกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกคุณจะพบว่า ข้อแตกต่างของพวกคุณทั้งสองช่างมีมากมายเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากพวกคุณแต่งงานแล้ว ก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ว่าจะสามารถโอนอ่อนผ่อนปรนกันอย่างไร.
อะไรเรียกว่าโอนอ่อนผ่อนปรน? ความหมายของโอนอ่อนผ่อนปรนก็คือ ข้าพเจ้าเดินถึงครึ่งทางเพื่อไปรับเขา. สิ่งที่พวกเราต้องใส่ใจคือทั้งสองฝ่าย. ทางที่ดีที่สุดนั้นต้องทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่สามารถทั้งสองฝ่าย อย่างน้อยฝ่ายคุณต้องขยับไปครึ่งทางเพื่อรับเขา แม้มีอุปสรรคมากมายก็ต้องคิดหาหนทางหลุดพ้นจากจุดยืนของตัวคุณเอง เพื่อไปถึงฝ่ายนั้น ถ้าสามารถผ่านไปได้ทั้งหมด สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด คุณต้องเดินถึงครึ่งทางไปรับเขา. พูดอีกนัยหนึ่งว่าทั้งสองคนหลังจากกลายเป็นสามีภรรยาแล้ว ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ในเรื่องราวมากมาย อย่างน้อยมีครึ่งหนึ่งต้องถูกแก้ไข. ถ้าสามารถแก้ไขได้ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าหาไม่แล้วแก้ไขได้ ครึ่งหนึ่งก็ยังดี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปรับเขา. ข้าพเจ้าจะไม่ยืนกรานความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ฝึกเปลี่ยนแปลงข้อคิดเห็นของข้าพเจ้า. แม้ว่าเดิมที่ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นนี้ แต่ว่าข้าพเจ้าเรียนรู้โอนอ่อนผ่อนต่อฝ่ายตรงข้าม.
ข้าพเจ้าสามารถพูดต่อพวกคุณว่า ถ้าหากอนุชนคู่หนึ่งหลังจากแต่งงานแล้ว ฝึกฝนเรียนรู้โอนอ่อนผ่อนปรนในห้าปีแรก หลังจากห้าปีแล้ว ครอบครัวนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นครอบครัวหนึ่งที่มีความสุขและสันติสุข. ถ้าหากทั้งสองคนล้วนไม่รู้จักว่าอะไรเรียกว่าเป็นการโอนอ่อนผ่อนปรนในห้าปีแรก ถึงแม้คุณมาถึงครึ่งทาง ข้าพเจ้าก็มาถึงครึ่งทาง ข้าพเจ้าเดินออกมาครึ่งทาง คุณก็เดินออกมาครึ่งทาง สามีคิดจะโอนอ่อนผ่อนต่อภรรยาของตัวเอง ภรรยาคิดจะโอนอ่อนผ่อนปรนต่อสามีของตัวเอง ถ้าหากไม่ใช่เป็นเช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็ไม่ง่ายที่จะรักใคร่ปรองดองกัน ดังนั้น ชีวิตสมรสไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ถ้าต้องการมีชีวิตสมรสที่ดี จําต้องใช้เวลาในการเรียนรู้.
ความหมายของการโอนอ่อนผ่อนปรนก็คือ ข้าพเจ้าต้องมีความเข้าใจปัญหาของฝ่ายตรงข้ามเสมอ. บางคนกลัวเสียงเป็นพิเศษ บางคนกลัวความเงียบเหงาเป็นพิเศษ บางคนไม่สามารถดําเนินชีวิตในท่ามกลางเสียงดังรบกวน บางคนไม่สามารถดําเนินชีวิตถ้าไม่มีความครื้นเครง ดังนั้นพวกคุณก็ต้องเรียนรู้โอนอ่อนผ่อนปรน.
คนหนึ่งชอบความสงบเงียบ อีกคนหนึ่งพูดจาก็เสียงเบาลง. คุณจะเห็นเขาเดินครึ่งทางแล้ว อีกฝ่ายก็เดินครึ่งทาง ในที่นี่มีการโอนอ่อนผ่อนปรน. ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งชอบทําความสะอาดมาก คนหนึ่งขี้เกียจมาก ถ้าต้องการให้คนขี้เกียจคนนั้นตามคนสะอาดทั้งหมด วันหนึ่งคนขี้เกียจนั้นก็จะเอาเสื้อผ้าและหมอนไปทิ้งทั้งหมด และจะร้องเพลงเสียงดังว่า “ภรรยาของข้าพเจ้ากลับบ้านแม่แล้ว” ถ้าหากจะให้ภรรยาที่สะอาดนั้นตามคนที่ขี้เกียจทั้งหมด ไม่ว่าทําอะไรออกมาก็สกปรกทั้งนั้น เธอก็เฝ้าหวังที่จะรีบกลับบ้านแม่ให้เร็วที่สุด.
ดังนั้นเราเป็นคริสเตียน ควรเรียนรู้การสละตัวเอง การสละตัวเองสามารถทําให้ท่านโอนอ่อนผ่อนปรนได้ คนที่เป็นสามีต้องเรียนรู้ที่จะโอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง ผู้เป็นภรรยาก็ต้องเรียนรู้โอนอ่อนผ่อนปรนเช่นกัน เช่นนี้แล้ว ครอบครัวนี้อย่างน้อยก็สามารถผ่านวันเวลาอย่างมีสันติ แต่ว่าก็ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถผ่านวันเวลาอย่างมีความชื่นชมยินดี. ถ้ามีการสละตัวเองในครอบครัว ก็จะมีการโอนอ่อนผ่อนปรนในครอบครัวนั้นอย่างแน่นอน ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีการสละตัวเอง ครอบครัวนั้นก็จะไม่มีการโอนอ่อนผ่อนปรนอย่างแน่นอน เรื่องราวของการโอนอ่อนผ่อนปรนนี้ ไม่ใช่มีแค่หลายเรื่องหรือหลายสิบเรื่องในครอบครัว แต่อาจเป็นไปได้ว่ามีหลายร้อยหรือหลายพันเรื่อง. ไม่อาจหวังว่ามีน้อยเรื่อง. นี่ก็คือการปกครองของครอบครัว เนื่องจากว่าในครอบครัวมีความต้องการในการโอนอ่อนผ่อนปรนหลายเรื่อง นี่ก็คือมีการปกครองของครอบครัว เพื่อทําให้พวกคุณเรียนรู้ต้อนรับการปกครอง. พวกคุณต้องนําเอาความเห็นของตัวเองทิ้งไว้ข้างหนึ่ง เรียนรู้ต้อนรับสิ่งที่ผู้อื่นได้มองเห็น และเรียนรู้ที่จะ โอนอ่อนผ่อนปรน.
IV. เรียนรู้ชื่นชมข้อดีของฝ่ายตรงข้าม
ประการที่สี่ หลังจากพวกเราแต่งงานแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ชื่นชมข้อดีของฝ่ายตรงข้ามในครอบครัว ด้านหนึ่งเราจะต้องเรียนรู้ปิดตาต่อข้อบกพร่องของแต่ละคนและเรียนรู้ที่จะโอนอ่อนผ่อนปรน. และในอีกด้านหนึ่ง เราจะต้องเรียนรู้ชื่นชมข้อดีของฝ่ายตรงข้าม สิ่งนี้มีความหมายว่า เมื่อฝ่ายตรงข้ามทําบางเรื่องได้ดี จะต้องมีความรู้สึก. ถ้าสามีไม่รู้จักชื่นชมภรรยาของตัวเอง หรือถ้าภรรยาไม่รู้จักชื่นชมสามีของตัวเอง เขาหรือเธอก็จะทําให้เกิดรูรั่วใหญ่ในครอบครัว. นี่ไม่ได้หมายความว่า ผู้เป็นสามีต้องไปพูดประจบภรรยาของตัวเอง หรือผู้ที่เป็นภรรยาต้องคิดหาวิธีเพื่อจะเอาใจสามีของตัวเอง แต่คือว่าทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะมองเห็นข้อดีของฝ่ายตรงข้าม มองเห็นสิ่งที่ดีของฝ่ายตรงข้าม มองเห็นสิ่งที่งดงามของฝ่ายตรงข้ามต่างหาก.
ข้าพเจ้ารู้จักกับพี่น้องผู้รับผิดชอบที่ประชุมอยู่ในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง พี่น้องทั้งหลายล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า เขาเป็นพี่น้องชายที่ดีมากคนหนึ่ง แต่อย่าไปสอบถามภรรยาของเขาอย่างเด็ดขาด เพราะว่าภรรยาของเขามักจะพูดว่าเขาเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องที่สุด. ข้าพเจ้าจําได้ว่า พี่น้องหญิงสูงอายุคนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์สามีของตัวเองบ่อยๆว่า เขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ. ดังนั้น ในที่ประชุมในท้องถิ่นนั้น พี่น้องทั้งหลายล้วนเป็นผู้ที่นอบน้อม ยกเว้นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่นอบน้อม ซึ่งก็คือภรรยาของเขา. คุณมองเห็นไหม ครอบครัวเช่นนี้ไม่สามารถดําเนินต่อไปได้ดี.
แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ในทางกลับกัน คนมากมายล้วนรู้สึกว่าพี่น้องหญิงคนนี้เป็นคนที่ดีมาก มีเพียงสามีของเธอรู้สึกว่าเธอไม่ดี. ข้าพเจ้าจําได้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งข้าพเจ้าอยู่ที่เปียผิง ขณะที่พูดคุยกันอยู่ มีหลายคนล้วนยกย่องพี่น้องหญิงคนหนึ่งว่าดีมาก. ขณะพูดคุยไปถึงครึ่งหนึ่ง สามีของเธอก็เดินเข้ามา แต่หัวข้อที่พูดนั้นก็ไม่ได้หยุดลง และยังคงพูดกันต่อไปว่า พี่น้องหญิงคนนี้ดีแค่ไหน แต่ว่าสามีของเธออยู่ที่นั่นไม่ได้พูดอะไรเลย. คล้ายกับพูดในใจว่า พวกคุณล้วนไม่รู้ว่า ข้าพเจ้าแต่งงานผิดคนแล้ว ความคิดของการแต่งงานผิดคนเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทําลายครอบครัวเสียแล้ว.
ดังนั้น การชื่นชมของผู้เป็นสามีต้องไม่ด้อยกว่าของคนอื่น การชื่นชมของสามีไม่จําเป็นต้องสูงกว่าคนอื่นเสมอไป แต่ต้องไม่น้อยกว่าคนอื่น ถ้าหากการชื่นชมของคุณอยู่ในระดับที่ต่ํากว่าคนอื่น คุณก็เป็นคู่สมรสที่ไม่ถูกต้อง. ถ้าคุณรู้สึกว่าสามีของคุณผิด ทําไมคุณถึงแต่งกับเขาตั้งแต่แรกล่ะ? สิ่งนี้ได้พิสูจน์ว่าคุณเองคือผู้ผิดพลาด. ดังนั้น ถ้าต้องการมีครอบครัวที่ดี สามีจําต้องรู้จักชื่นชมภรรยา ภรรยาต้องรู้จักชื่นชมสามี เป็นไปไม่ได้ว่าคนอื่น พูดว่าดี แต่คุณพูดว่าไม่ดี. คุณต้องสนใจข้อดีของเขาและมีความรู้สึกต่อข้อดีของเขาด้วย เมื่อมีโอกาส คุณต้องยอมรับข้อดีของเขาอย่างเปิดเผย. เมื่อมีโอกาสคุณต้องกล่าวความรู้สึกของตนเอง. คุณไม่ใช่กําลังพูดโกหก แต่คุณกําลังพูดความจริง. ในขณะที่คุณกําลังชื่นชมสามีของคุณหรือภรรยาของคุณ กรุณาจําไว้ว่า ความกลมเกลียวของครอบครัวก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อน ความห่วงใยก็จะยิ่งเชื่อถือได้กว่าแต่ก่อน ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะนํามาซึ่งปัญหามากมายในครอบครัว ความเข้าใจผิดหรือปัญหามากมายในครอบครัว ก็เป็นผลลัพธ์มาจากการมองข้ามเรื่องเหล่านี้.
ในประเทศอังกฤษ มีพี่น้องหญิงแต่งงานกับพี่น้องชายคนหนึ่ง. ตลอดชีวิตของพี่น้องชายคนนี้ ไม่เคยพูดถึงความดีที่เธอทําไว้. พี่น้องหญิงคนนี้มีความวิตกกังวลตลอดว่า ข้าพเจ้าเป็นภรรยาที่ล้มเหลว และเป็นคริสเตียนที่พ่ายแพ้แล้ว เธอวิตกกังวลจนป่วยเป็นวัณโรค หลังจากนั้นก็ตายไป. เมื่อตอนที่ใกล้จะสิ้นลมหายใจ สามีของเธอก็พูดกับเธอว่า “ถ้าหากเธอตายแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทําอย่างไร เพราะว่าเธอได้ทําเรื่องราวดีๆ มากมายไว้. ถ้าเธอจากไป ครอบครัวของเราจะทําอย่างไร?” ภรรยาก็ถามเขาว่า “ทําไมเธอไม่พูดเร็วกว่านี้?” ภรรยาพูดต่อไปว่า “ฉันรู้สึกตัวเองไม่ดีและได้ปรับโทษตัวเองตลอด. เธอไม่เคยพูดว่าฉันดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันทุกข์ใจ วิตกกังวล คิดว่าตัวเองผิดอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้ฉันจึงล้มป่วย และกําลังจะตาย.” นี่เป็นเรื่องจริง. สามีของเธอบอกความจริงกับเธอ เมื่อตอนที่เธอกําลังจะตาย โปรดจําไว้ว่า ครอบครัวต้องพูดถ้อยคําดีๆ เสมอ ควรจะพูดถ้อยคําที่ดีหลายๆ ประโยค พวกเราต้องฝึกพูดถ้อยคําที่ดีไว้หลายๆ ประโยค ฝึกชื่นชมภรรยาและสามีของเราในครอบครัว.
ข้าพเจ้าก็รู้อีกว่า มีพี่น้องชายบางคนทํางานไม่ค่อยได้ดี ก็เนื่องจากว่าภรรยาของเขาไม่ได้ชื่นชมเขา. ภรรยาของเขามักจะคิดว่าเขาไม่ได้เรื่องและพูดเสมอว่า “คุณไม่ได้เรื่องเลยในท่ามกลางพี่น้องชายมากมาย.” ผลลัพธ์ทําให้พี่น้องชายคนนี้ไม่ว่าทําอะไรก็ตามล้วนแต่ กล่าวโทษตัวเอง. “ผมทํางานอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ภรรยาของผมพูดว่าผมมันไม่ได้เรื่อง” สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ เพราะฉะนั้น ชีวิตครอบครัวจะสามารถครบสมบูรณ์หรือไม่ ไม่เพียงต้องปิดตาต่อจุดอ่อนและปัญหาของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ต้องเรียนรู้ค้นหาข้อดีของฝ่ายตรงข้ามและชื่นชมฝ่ายตรงข้าม. บางครั้งต้องบอกกับฝ่ายตรงข้าม บางครั้งต้องยอมรับอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ. การทําเช่นนี้สามารถขจัดไปซึ่งปัญหาต่างๆ ของครอบครัวได้.
V. ต้องมีมารยาท
ประการที่ห้า จําต้องมีมารยาทในครอบครัว การไม่มีมารยาทเป็นเรื่องที่น่าเกลียดชัง มนุษย์เรานอกเหนือจากต่อตัวเองแล้ว ไม่ว่าต่อใครสมควรต้องมีมารยาท. ไม่ว่าคุณจะสนิทกับเพื่อนมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าขาดไปซึ่งมารยาท ท่านก็จะต้องสูญเสียเขาไป. ไม่ว่าคนอื่นจะสนิทกับคุณสักแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคุณสูญเสียมารยาทไป คุณก็จะสูญเสียเขาไปด้วย. ใน 1 โกรินโธบทที่ 13 เปาโลบอกกับเราว่า ความรักไม่ทําในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ความรักไม่ทําในสิ่งที่ไม่มีมารยาท คุณควรจําไว้ ปัญหาในครอบครัวส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะเรื่องราวเล็กๆ บางอย่าง. บ่อยครั้งคนคนหนึ่งไร้มารยาทที่สุดก็คือเวลาที่อยู่ในบ้าน. หลายคนคิดว่า ภรรยาเป็นคนที่ข้าพเจ้ารู้จักดีที่สุด หรือสามีเป็นผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักดีที่สุด เพราะเหตุนี้ก็ได้ทิ้งมารยาทไป. โปรดจําไว้ว่า ความสัมพันธ์ของชีวิตมนุษย์ จะมีความหมายและมีความงดงามนั้น มีความเกี่ยวข้องกับมารยาทเป็นอย่างมาก ถ้าเอามารยาททิ้งไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนิสัยของมนุษย์ในด้านที่น่าเกลียดก็จะปรากฏออกมา ดังนั้น ไม่ว่าคนเราจะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม ก็ยังคงต้องรักษามารยาทระหว่างกันไว้. มีพี่น้องชายคนหนึ่งอธิบายไว้ได้ดีว่า มารยาทเปรียบเสมือนน้ํามันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ เมื่อมีน้ํามันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ ทุกอย่างก็จะทํางานอย่างราบรื่น นี่คือเรื่องจริง เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกันแต่ขาดซึ่งมารยาท ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้น เมื่อขาดมารยาทไป ความรู้สึกที่ไม่ดีก็จะก่อกําเนิดออกมา
1. วาจา
เหตุฉะนั้น ต้องฝึกเรียนรู้พูด “ขอบคุณ” บ่อยๆ ในครอบครัว. ต้องพูดคําพูด “ขอโทษ” บ่อยๆ. คําพูดที่เรียกว่ามารยาทที่เราสมควรใส่ใจ อย่างเช่น “ขอบคุณ” “ได้ไหม” “ขอเชิญ” ฯลฯ ถ้าหากคําพูดเหล่านี้ลดน้อยลง แม้แต่การคบเพื่อนก็ยังไม่ประสบผลสําเร็จ แล้วในครอบครัวก็จะยิ่งเป็นเช่นนั้น คําว่า “ความรักไม่ทําในสิ่งที่ไม่เหมาะสม” เป็นคําที่คริสเตียนต้องจดจําไว้โดยเฉพาะ. ต้องฝึกเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ขอโทษ” พูดคําว่า “ขอบคุณ” ถามคําว่า “ได้ไหม” ในครอบครัวต้องเรียนรู้ที่จะพูดถ้อยคําที่มีมารยาท.
2. เสื้อผ้า
ในครอบครัว ไม่เพียงต้องมีวาจาที่ถูกต้องและมีมารยาทเท่านั้น แม้กระทั่งการสวมใส่ก็ต้องถูกต้อง ต้องเรียบร้อยอีกด้วย อยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูงของคุณ คุณชอบสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอยู่ ในครอบครัวของคุณ คุณก็ต้องสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย และต้องไม่ผิดกาลเทศะเช่นเดียวกัน ความรักไม่ทําในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ต้องไม่มักง่ายเพราะเหตุความคุ้นเคยมากเกินไป เพราะว่าเมื่อคุณคุ้นเคยและมักง่ายมากเกินไป ก็ง่ายที่จะสูญเสียไปซึ่งมารยาท. คุณต้องเข้าใจว่า อะไรที่คุ้นเคยกันมากเกินไปนั้น ล้วนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และก็ก่อให้เกิดการดูถูก แท้ที่จริงแล้ว สามีภรรยาก็เป็นคู่ที่คุ้นเคยกันมากอยู่แล้ว แต่เพราะเหตุมารยาทที่ลดน้อยลงจึงทําให้คุ้นเคยยิ่งขึ้น ดังนั้นการสวมใส่เสื้อผ้าของคุณจะต้องเรียบร้อย อย่าเอาเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมที่สุดนั้นมาสวมใส่ในขณะอยู่บ้านอย่างเด็ดขาด.
3. อากัปกริยา
ยังมีในด้านอากัปกริยา ก็ต้องมีมารยาท. เมื่อมอบสิ่งของให้ผู้อื่น ทุกครั้งต้องใส่ถาดหรือจานและทางที่ดีที่สุดต้องใช้สองมือหยิบยื่นให้. ถ้าหากใช้เพียงแค่มือเดียว ท่าทีก็ต้องถูกต้อง เมื่อส่งมีดให้กับผู้อื่น ไม่ใช่หันปลายแหลมของมีดยื่นใส่ผู้อื่น เมื่อหยิบกรรไกรให้ผู้อื่น ไม่ใช่หันด้านแหลมให้ผู้อื่น เมื่อหยิบสิ่งของให้แก่ผู้อื่น ต้องยื่นส่งให้เขา ไม่ใช่โยนใส่เขา. ท่าทีเช่นนี้ต้องใส่ใจเป็นพิเศษในครอบครัว ความแตกต่างระหว่างการโยนสิ่งของกับการยื่นส่งสิ่งของ สามารถประหยัดเวลาอย่างมากก็แค่ 3 วินาทีเท่านั้น แต่ผลลัพธ์นั้นแตกต่างกันเหลือเกิน ต้องฝึกเรียนรู้มีมารยาท.
ข้าพเจ้ารู้จักกับผู้คนในครอบครัวอื่นๆ มาไม่มากและก็ไม่น้อย. คนที่มีมารยาท ปัญหาในครอบครัวก็จะมีน้อย. ข้าพเจ้าได้เห็นในครอบครัวที่สามีภรรยามีมารยาทนั้น อย่างน้อยความสงบจะมีมากกว่า เสียงดังของจานมีน้อยกว่า เสียงดังของตะเกียบก็มีน้อยกว่า ส่วนครอบครัวที่ไม่มีมารยาท สิ่งของมากมายจะถูกโยนไปที่นี่บ้าง ที่นั้นบ้าง ภายในครอบครัวก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง คุณมองเห็นไหม ในครอบครัวหนึ่ง ถ้าสามีภรรยามีมารยาท อย่างน้อยก็เป็นครอบครัวที่มีสันติสุข.
ข้าพเจ้าเชื่อว่าวันนี้มีภรรยาหลายคนที่เอาความประพฤติของเธอในครอบครัวไปใช้ต่อเพื่อนของเธอ ทําให้ไม่มีเพื่อนคนไหนต้องการไปบ้านของเธอ. ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าวันนี้สามีหลายคนที่เอาความประพฤติของเขาในบ้านไปใช้กับเพื่อนร่วมงานของเขา ก็จะทําให้ไม่มีเพื่อนร่วมงานสักคนต้องการร่วมงานกับเขา. ดังนั้นต้องขอบอกกับพี่น้องชายทั้งหลายว่า ภรรยาของคุณอดทนมามากพอแล้ว สิ่งที่เพื่อนร่วมงานของคุณรับไม่ได้นั้น เธอก็ล้วนอดกลั้นไว้แล้ว และก็ต้องขอบอกต่อพี่น้องหญิงที่เป็นภรรยาทั้งหลายว่า สามีของคุณก็อดทนมามากพอแล้ว ถ้าคุณเอาความประพฤติที่มีต่อสามีของคุณมาใช้กับเพื่อนที่ดีของคุณ เขาก็จะหนีหายจากคุณไปนานแล้ว. การไม่มีมารยาทเป็นการแสดงออกที่หยาบคาย. ไม่มีคริสเตียนคนไหนสามารถหยาบคายได้. คนที่มีการเรียนรู้จะไม่เป็นคนที่เสียมารยาท.
4. น้ำเสียง
ในเรื่องของมารยาท ยังมีข้อเรียกร้องอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องน้ําเสียง. ต้องจําไว้ว่า คําพูดทุกประโยค แม้คําพูดจะเหมือนกัน แต่วิธีการพูดไม่เหมือนกัน น้ําเสียงก็ไม่เหมือนกัน เมื่อผู้บังคับบัญชาพูดต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ก็มีน้ําเสียงอย่างหนึ่ง เมื่อเพื่อนพูดต่อเพื่อน ก็มีน้ําเสียงอีกอย่างหนึ่ง เมื่อคนรักกัน คําพูดก็มีน้ําเสียงของความรัก. เมื่อคนเกลียดกัน คําพูดก็มีน้ําเสียงของความเกลียด. เมื่ออยู่นอกบ้าน เราได้ใช้เสียงที่ดีที่สุดจนหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อ กลับถึงบ้าน สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่น้ําเสียงที่ไม่ดี. นี่แหละก็คือปัญหาของหลายคน. ตอนที่อยู่ในบริษัทมีความเกรงใจต่อเพื่อนร่วมงานมาก ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลก็ยังมีความอดทนต่อคนป่วย ตอนที่อยู่ในโรงเรียนก็ระวังคําพูดที่มีต่อนักเรียน แต่ว่าเมื่อกลับถึงบ้าน น้ําเสียงที่ไม่เหมาะก็ล้วนออกมาอย่างมักง่าย. คุณจงจําไว้ ถ้าคุณเอาน้ําเสียงในบ้านไปใช้ที่ห้องทํางานในบริษัท ภายในสองวันคุณก็ต้องถูกไล่ออกมา หลายคนได้เอาน้ําเสียงที่ไร้มารยาทที่สุดมาใช้ในบ้าน น้ําเสียงที่หยาบคายที่สุดก็เอามาใช้ในบ้าน ครอบครัวนี้ก็จะไม่มีทางถูกรักษาให้คงอยู่ต่อไป.
เราต้องมองเห็นว่า เมื่อน้ําเสียงไม่ถูกต้อง ครอบครัวนั้นก็ไม่มีความสุข. น้ําเสียงที่มักง่าย น้ําเสียงที่หนัก น้ําเสียงที่แข็ง น้ําเสียงที่เย่อหยิ่ง น้ําเสียงที่สงสารตัวเองเหมือนกับน้ําเสียงของผู้พลีชีพและน้ําเสียงที่รักตัวเอง. น้ําเสียงเหล่านี้ล้วนไม่สามารถใช้ในครอบครัว. ถ้าวันนี้ น้ําเสียงที่คุณใช้อยู่ในบ้าน เอาไปใช้ที่ไหนก็ตามธุรกิจและอาชีพของคุณล้วนต้องล้มเหลว คุณเอาน้ําเสียงแบบนี้ไปใช้ในครอบครัว ก็ไม่แปลกเลยที่ครอบครัวจะต้องเกิดเรื่อง ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้มีมารยาท. ความรักไม่ทําให้เสียมารยาท ในเรื่องของน้ําเสียงก็ต้องไม่ทําให้เสียมารยาท. อย่าพูดจามักง่าย. ถ้าหากมีน้ําเสียงที่มักง่ายในครอบครัว คุณก็จะมองเห็นอย่างง่ายดายเลยว่า ครอบครัวนี้ก็จะเป็นครอบครัวที่ไม่ดี
VI. ให้ความรักจำเริญขึ้น
ประการที่หก เพื่อจะให้ครอบครัวดําเนินไปได้ดี จําต้องให้ความรักจําเริญขึ้น อย่าปล่อยให้ความรักตายเสีย. มีอนุชนตั้งคําถามไว้บ่อยๆ ว่า “เป็นไปได้ไหมที่ความรักจะตาย?” วันนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า “ใช่ ความรักตายได้ และตายได้ง่ายด้วย. ความรักเป็นสิ่งที่มีชีวิต ต้องการการป้อนเลี้ยง และต้องการอาหาร. ความรักจะตายถ้าปราศจากอาหาร. ถ้าคุณให้มันอด มันก็จะตาย. แต่ถ้าคุณป้อนเลี้ยงมัน มันก็จะจําเริญขึ้น.
ความรักเป็นฐานรากของชีวิตสมรสและก็เป็นฐานรากของชีวิตครอบครัวอีกด้วย. ความรักนําคนสองคนเข้าสู่การแต่งงาน และความรักก็รักษาพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันในครอบครัว ความรักจําเริญง่ายมากถ้าคุณป้อนเลี้ยงมันอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณให้มันอดอยาก มันก็จะตายอย่างง่ายๆ. หลายคนก่อนแต่งงานพวกเขามีความรักต่อกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไปแต่งงานกัน แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว พวกเขาก็เริ่มปล่อยให้ความรักนี้อดอยาก จนความรักของพวกเขาค่อยๆ ตายไป.
การแต่งงานที่ปราศจากความรักเป็นเรื่องที่เจ็บปวด. ครอบครัวหนึ่งที่ปราศจากความรักก็ ป็นสิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่า ถ้าครอบครัวหนึ่งปราศจากความรัก มันอาจจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ในตอนนี้ มันอาจจะไม่รู้สึกเลยก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะมาถึงวัยกลางคน แต่เมื่อพวกเขามาถึงวัยชรา คุณจะพบว่ามีบางสิ่งผิดปรกติไปจากครอบครัวนี้ มันเย็นชามาก! ความแตกต่างของครอบครัวหนึ่งที่มีความรักกับไม่มีความรัก ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะมาถึงวัยกลางคน คุณต้องเรียนรู้ที่จะป้อนเลี้ยงครอบครัวของคุณด้วยความรัก. คุณต้องพยายาม ให้ดีที่สุดที่จะป้อนเลี้ยงและบํารุงเลี้ยง. ถ้าคุณทําเช่นนี้ ครอบครัวของคุณก็จะเต็มไปด้วยความรัก.
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากคือ ทุกคนที่แต่งงานแล้วควรจะหาออกมา ว่าสิ่งไหนที่อีกคนหนึ่งกลัวมากที่สุด อย่าปล่อยตัวเหลวไหลในชีวิตของตัวเองอย่างเด็ดขาด ทุกๆ คนล้วนมีบางสิ่งที่เขาเกลียดและกลัวมากที่สุด ความเกลียดและความกลัวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจุดอ่อนในด้านศีลธรรม. สามีและภรรยาจะต้องเรียนรู้ที่จะโอนอ่อนผ่อนปรนและเรียนรู้ที่จะปรับตัวซึ่งกันและกัน. คนคนหนึ่งอาจจะกลัวและรังเกียจมากที่สุดในด้านจุดอ่อนของศีลธรรม. ในกรณีนี้อีกฝ่ายหนึ่งควรเรียนรู้ที่จะโอนอ่อนผ่อนปรนอย่างสิ้นเชิง.
ข้าพเจ้าขอยกหนึ่งหรือสองตัวอย่าง ไม่กี่ปีก่อน ข้าพเจ้าอ่านเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสามีคนหนึ่งที่อยู่ในอเมริกาได้ฟ้องภรรยาของเขาว่าได้กระทําทารุณต่อเขา เรื่องนี้อาจจะฟังดูตลก แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน สามีไม่สามารถทนฟังต่อเสียงดังที่ซ้ําซาก เขาก็กลัวแค่สิ่งนี้ ก่อนหน้านี้ เขาและภรรยาทั้งสองอยู่ในความรักที่ลึกซึ้ง แต่หลังจากแต่งงานไม่ถึงสองปีก็ได้มาถึงจุดวิกฤต ภรรยาของเขาชอบทอด้ายขนสัตว์ซึ่งมีเสียงอย่างหนึ่งที่เขาทนไม่ได้ เขาฟังมาเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีแล้ว เมื่อมาถึงปีที่เจ็ด เขาจึงเดินทางไปศาลเพื่อฟ้องร้องเธอว่า เธอได้ทรมานเขาในด้านจิตใจ ผู้พิพากษาได้ตัดสินว่า การทอด้ายขนสัตว์นั้นไม่มีความผิดจึงไม่อนุญาตให้หย่าได้ สามีจึงพูดว่า “ก่อนผมแต่งงาน ผมมองเห็นเธอเหมือนแกะ ผมรักเธอ. หลังจากแต่งงานหนึ่งปี ผมเห็นว่าเธอหลงใหลในการทอด้ายขนสัตว์. ทุกครั้งที่เธอทํางานถักชิ้นหนึ่งสําเร็จแล้ว เธอก็จะซื้อมันเสียใหม่ทั้งหมดแล้วทําการทอด้ายขนสัตว์ใหม่อีกครั้ง เธอชอบการทอด้ายขนสัตว์อย่างแท้จริง. วันนี้ผมทนไม่ได้ที่เห็นด้ายขนสัตว์ และก็ทนไม่ได้แม้แต่การมองเห็นแกะ ขณะที่ผมเห็นแกะก็อยากที่จะฆ่ามันเสีย. ถ้าท่านไม่อนุญาตให้ผมหย่า อย่ามาโทษผมนะ ถ้าผมจะฆ่าแกะของผู้อื่น”. พวกคุณมองเห็นปัญหาเหล่านี้ไหม? มันเป็นปัญหาที่แท้จริง ภรรยาของเขารู้สึกว่าการทอด้ายขนสัตว์นี้ไม่ได้ผิดอะไร แต่สามีของเธอเกลียดการถักอย่างมาก สิ่งนี้ได้กระตุ้นเขาให้ฆ่าแกะทุกตัวที่เขาได้เห็น.
จงจําไว้ว่า ทุกคนล้วนมีสิ่งที่เขาไม่ชอบและสิ่งที่เขากลัว. สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับศีลธรรม. คนหนึ่งอาจจะเกลียดเสียงดังซ้ําซาก นี่คือลักษณะพิเศษของเขา. ทุกคนมีลักษณะพิเศษของตัวเอง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาของศีลธรรม. สําหรับทุกครอบครัวที่อยากประสบความสําเร็จ สามีและภรรยาจะต้องไม่ทําในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่ารังเกียจอย่างเด็ดขาด แม้เขาอาจจะไม่รู้สึกต่อสิ่งนั้นอย่างเดียวกันก็ตาม. ถ้าคุณทําในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่สามารถทนได้ และในเวลาเดียวกันคุณก็ยังไม่มีความรู้สึกต่อมัน คุณก็จะทําให้ครอบครัวของคุณจบลงด้วยปัญหามากมาย.
ข้าพเจ้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ได้มีโอกาสหลายครั้งติดต่อกับหลายๆ ครอบครัว. ในระหว่างการเดินทางของข้าพเจ้า ก็ได้พูดคุยกับหลายครอบครัวด้วยเหมือนกัน เรื่องราวปัญหาในครอบครัวที่ทะเลาะกันเป็นประจํานั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก. สําหรับคนภายนอกและเพื่อนๆ แล้ว เรื่องราวเหล่านี้สําหรับพวกเขาอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเรื่องราวที่เรียกว่าเล็กน้อย เหล่านี้เกิดขึ้นทุกๆ วันและเป็นประจําเช่นนี้ มันก็จะบั่นทอนความอดทนของคนคนหนึ่งจนหมด. ปัญหาหนักมากมายจะปรากฏขึ้นในครอบครัวทันที.
เราต้องมองเห็นต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนของคนสองคนที่มาดําเนินชีวิตอยู่ด้วยกัน. มันไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย. อย่าคิดเป็นอันขาดว่าเราจะมองข้ามสิ่งนี้ไปได้ สิ่งที่คุณคิดว่าไม่สําคัญอาจจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งทนไม่ได้ คุณจะถูกข่มเหงทางด้านจิตใจจากอีกฝ่ายหนึ่งถ้าคุณทําในสิ่งที่เขาไม่สามารถทนได้.
VII. อย่าเห็นแก่ตัว
ประการที่เจ็ด เงื่อนไขอีกประการหนึ่งที่สําคัญมากสําหรับครอบครัว คืออย่าเห็นแก่ตัว ถ้าคุณแต่งงานแล้ว คุณจะต้องดําเนินชีวิตที่เหมือนคนแต่งงานแล้ว คุณไม่ควรจะดําเนินชีวิตเหมือนอย่างคนโสดคนหนึ่ง. 1 โกรินโธ บทที่ 7 กล่าวว่า คนที่สมรสแล้วจะทําอย่างไรให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ (ข้อ 33-34). ความเห็นแก่ตัวเป็นสาเหตุที่สําคัญและเป็นไปได้มากที่สุดในการก่อให้เกิดปัญหามากมายในครอบครัว.
ข้าพเจ้าจําได้ว่านักเทศน์คนหนึ่งในอเมริกาซึ่งเป็นผู้ดําเนินการจัดงานแต่งงานมามากกว่า 750 คู่ ในตลอดชีวิตของเขา. ในงานแต่งงานทุกงานเขาจะกําชับคู่สมรสใหม่ให้ใส่ใจเรื่องๆ หนึ่งก็คืออย่าเห็นแก่ตัว. หลังจากพวกเขาแต่งงานแล้ว พวกเขาต้องรักซึ่งกันและกันและอย่าเห็นแก่ตัว เมื่อนักเทศน์คนนี้ได้แก่ชรา เขาได้เขียนจดหมายถึงคู่สมรสทั้งหมดเพื่อสอบถามว่าในปัจจุบันนี้พวกเขามีสภาพการณ์อย่างไรบ้าง. พวกเขาทั้งหมดตอบกลับมาว่า พวกเขายังสามารถดําเนินชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขเนื่องจากพวกเขาได้ยึดคํากําชับของเขา ด้วยการไม่เห็นแก่ตัว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดามากในประเทศอเมริกา. วันนี้มีคู่สมรส ชาวอเมริกันไม่ต่ํากว่า 25 เปอร์เซ็นต์จบลงด้วยการหย่า. แต่ว่าคู่สมรส 700 กว่าคู่เหล่านี้ได้ดําเนินชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข.
เราจะต้องมองเห็นว่าการเห็นแก่ตัวเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่. เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้สึกต่อความรู้สึกของผู้อื่น เราจะต้องเรียนรู้ถึงความเจ็บปวดของเขา ความสุขของเขา สิ่งที่เขากลัวปัญหาของเขา และความรักชอบของเขา. คนคนหนึ่งไม่สามารถเป็นสามีหรือภรรยาที่ดีได้ ถ้าเขาเป็นคนที่มีแค่ทัศนะของตัวเอง. การยึดทัศนะของตัวเองล้วนเป็นคนที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้ว คนที่รักตัวเองล้วนเป็นคนที่ยึดทัศนะของตัวเอง.
เงื่อนไขพื้นฐานสําหรับคู่สมรสนั้นก็คือการเสียสละตัวเอง. การเสียสละหมายถึงการเรียนรู้ทําให้ฝ่ายตรงข้ามชอบใจ. ถ้าคุณต้องการทําให้ฝ่ายตรงข้ามชอบใจ คุณจะต้องเป็นคนยึดทัศนะของคนอื่น ไม่ยึดทัศนะของตัวเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการชอบหรือไม่ชอบของคุณ แต่มันเกี่ยวกับการชอบหรือไม่ชอบของอีกฝ่ายหนึ่ง. เรียนรู้ที่จะค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ. เรียนรู้ที่จะเข้าใจเขาและมุมมองของเขา. เรียนรู้ที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับเขามาทําความเข้าใจเขาและตัวคุณเองด้วย. เรียนรู้ที่จะเสียสละความรู้สึกของตัวคุณเอง ความคิดเห็นของคุณและมุมมองของคุณเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้. พยายามทําความเข้าใจและทําความรู้จักกับอีกฝ่ายหนึ่ง เสาะหาการเสียสละตัวเองและเสาะหาความรัก. ถ้าคุณทําในสิ่งนี้ คุณก็จะมีปัญหาในครอบครัวน้อยลง.
ผู้ชายหลายคนที่แต่งงานแล้วคิดว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาล. พวกเขาคิดว่าทั้งจักรวาลหมุนรอบตัวพวกเขา. เมื่อพวกเขาแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง พวกเขาต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัวเพื่อผลประโยชน์ในการดําเนินชีวิตของตัวเอง. คนเหล่านั้นที่คิดแบบนี้จะนําปัญหาต่างๆ มาสู่ครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน. ภรรยาคนหนึ่งอาจคิดเหมือนกันว่า เธอคือศูนย์กลางของจักรวาลและทุกคนที่ดํารงอยู่ก็เพื่อจุดประสงค์ของเธอ. เธออาจจะคิดว่าทุกคนอยู่เพื่อความสุขของเธอ และต่อมาเธอได้เจอสามีคนหนึ่ง จริงๆ แล้วเธอหาทาสได้คนหนึ่งสําหรับเธอแล้ว ทุกคนทั้งหมดเป็นเส้นรอบวงและเธอเป็นจุดศูนย์กลาง. เธอแต่งงานกับสามีคนหนึ่งเพียงเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายของเธอเท่านั้น. ชีวิตคู่สมรสเช่นนี้ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน.
VIII. ต้องยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิสรภาพ, รักษาความลับและมีทรัพย์สินส่วนตัว
ประการที่แปด ในครอบครัวหนึ่ง คุณจะต้องยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิสรภาพและรักษาความลับที่มากพอ. คุณยังต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งเก็บรักษาทรัพย์สินส่วนตัวด้วย.
ในหลายๆ ครอบครัวภรรยาหลายคนไม่มีสิทธิใดๆ ในอีกหลายๆ ครอบครัวสามีหลายคนก็ไม่มีสิทธิใดๆ. ครอบครัวแบบนี้จะมีปัญหาอย่างแน่นอน. ไม่ว่าคุณจะเป็นสามีหรือเป็นภรรยาก็ดี แต่ขอให้จดจําสิ่งหนึ่งไว้ว่า คุณสามารถรักทุกๆ คนในโลกได้เว้นแต่คนชนิดเดียวที่คุณไม่สามารถรักได้นั้นก็คือพัศดีในเมืองฟิลิปปอย. ไม่มีใครสามารถรักพัศดี ผู้คุมนักโทษ หรือใครบางคนที่คุมขังเขา. ไม่มีใครสามารถรักคนเหล่านั้นที่เอาอิสรภาพของเขาไปเสีย. สามีหลายคนดูเหมือนเป็นผู้คุมนักโทษของภรรยา. พวกเขาคาดหวังว่าภรรยาของเขาจะรักเขาเหมืนออย่างการคาดหวังให้นักโทษรักผู้คุม. นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้. ภรรยาหลายคนเป็นผู้คุมนักโทษของสามี. พวกเธอเฝ้าหวังให้สามีรักพวกเธอ แต่นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผู้คุมนักโทษเป็นผู้ที่ทําให้คนกลัว เป็นผู้ที่ไม่ใช้ความรัก. คุณจะไม่มีวันเอาอิสรภาพของคนอื่นไปเสียทั้งหมด แม้ชีวิตสมรสได้ทําให้ผู้ชายหรือผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียอิสรภาพไป แต่ก็ไม่ใช่ต้องเสียสละอิสรภาพทั้งหมด. สามีจะไม่มอบอิสรภาพทั้งหมดแก่ภรรยาและภรรยาก็ไม่มอบอิสรภาพทั้งหมดแก่สามีเช่นกัน ถ้าคุณคาดหวังว่าภรรยาของคุณจะมอบอิสรภาพทั้งหมดให้แก่คุณ นั่นก็เหมือนกับว่าคุณต้องการให้เธอกลัวหรือเกลียดคุณ.
แม้ว่าพระเจ้าจะให้พวกเรามีอิสรภาพ แต่ก็ไม่มีใครชอบการสูญเสียอิสรภาพทั้งหมด นี่ก็คือมนุษย์ธรรมชาติ. ข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือไม่มีรั้วมาล้อมรอบนรก. ข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่คือ ต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วไม่ได้ถูกล้อมรอบด้วยกระบี่เพลิงของคะรูบีม. ถ้าหากพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์มีอิสรภาพแม้แต่น้อย พระองค์ก็คงจะใช้กระบี่เพลิงมาล้อมรอบต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วตั้งแต่แรกแล้ว และอาดามกับเอวาก็คงไม่ได้กินผลไม้นั้น แต่พระเจ้าไม่ได้ละเมิดอิสรภาพของมนุษย์. เพราะเหตุผลนี้ สามีทุกคนควรจะให้โอกาสในการเลือกสรรแก่สามีด้วย. ถ้าคุณยึดอิสรภาพทั้งหมดไปและทําการตัดสินใจแทนทั้งหมด มันก็เป็นเรื่องอัตโนมัติที่อีกฝ่ายหนึ่งจะกลัวคุณ. ถ้าคุณไม่ระมัดระวัง อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะไปไกลกว่านั้น เขาหรือเธออาจจะเกลียดคุณ. ในไม่ช้า อิสรภาพก็จะหายไป ความเกลียดก็จะเข้ามา อย่างน้อยที่สุด ความกลัวก็จะเข้ามา.
ดังนั้นสามีต้องเรียนรู้ที่จะให้ภรรยามีอิสรภาพบ้าง และภรรยาก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้สามีมี อิสรภาพบ้าง. ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งมีเวลาของเขาเอง มีเงินของเขาเอง และมีทรัพย์สินของเขาเอง. อย่าคิดว่าคุณสามารถดึงเวลาของภรรยามาเพื่อให้ตัวเองใช้เพียงเพราะว่าคุณเป็นสามีของเธอ. ทั้งสามีและภรรยาต้องเรียนรู้รักษาฐานะของตัวเอง เมื่อคุณดึงเอาเวลาของภรรยามา คุณก็กําลังเอาอิสรภาพของเธอไปเสีย. แม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็สามารถกลายเป็นปัญหาที่ร้ายแรงในภายหลัง.
สามีและภรรยาทุกคนควรจะมีความลับของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย มือขวาไม่จําเป็นต้องให้มือซ้ายรู้ว่าทําอะไรอยู่ ถ้าเธอเป็นมือซ้าย สําหรับคุณที่เป็นมือขวาก็ไม่จําเป็นจะต้องรู้ว่าเธอกําลังทําอะไรอยู่ เรียนรู้ที่จะเคารพต่อการดํารงอยู่ของสิทธิส่วนบุคคล อย่าทําเรื่องของคนสองคนให้กลายเป็นเรื่องของคนเดียว ถ้าคุณรักษาหลักเกณฑ์นี้ไว้ คุณก็จะหลีกเลี่ยงไปซึ่งปัญหามากมายในครอบครัว.
IX. หนทางในการแก้ไขปัญหาของครอบครัว
ประการที่เก้า เราควรจะทําอย่างไรเมื่อเกิดมีความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา? เราจะแก้ไขความขัดแย้งในครอบครัวได้อย่างไร? มันหลีกเลี่ยงไม่ได้สําหรับการที่สามีและภรรยาต้องเผชิญกับปัญหาและต้องเผชิญกับความไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาทั้งสองเป็นผู้ใหญ่และเป็นลูกของพระเจ้า พวกเขาจําต้องเรียนรู้ว่าปัญหาของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นคืออะไรและข้อแตกต่างของพวกเขานั้นอยู่ที่ไหน ก่อนที่พวกเขาจะแก้ไขทุกๆ ความขัดแย้งได้ พวกเขาจะต้องรู้ว่าปัญหานั้นอยู่ที่ไหน.
1. วิธีแก้ปัญหาต้องยุติธรรม
ถ้าไม่ยุติธรรมมันจะดํารงได้ไม่นาน อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะอดทนจนถึงที่สุด คริสเตียนหนึ่งในสิบคนอาจจะอดทนจนถึงที่สุด แต่อีกเก้าคนนั้นจะไม่สามารถอดทนจนถึงที่สุดได้. ถ้าการแก้ปัญหาไม่ยุติธรรม ไม่ช้าก็เร็วปัญหานั้นก็จะลุกลามอีก. เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าได้ช่วยแก้ไขปัญหาของบางครอบครัว หลายคนแปลกใจว่าทําไมเรื่องเล็กๆ สามารถทําให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ คุณจะต้องเข้าใจว่า เมื่อเรื่องเล็กๆ ถูกทําให้ลุกลามขึ้น พวกมันไม่ได้ลุกลามขึ้นเพราะเหตุตัวของเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ แต่เป็นเพราะเหตุประวัติศาสตร์. มันเป็นการสะสมของเรื่องราวมากมายอย่างต่อเนื่องจนลุกลามขึ้น การลุกลามอาจจะจุดขึ้นมาโดยเรื่องเล็กๆ แต่สาเหตุที่ซ่อนเร้นนั้นอาจจะเป็นการสะสมของความบาดหมางต่างๆ เป็นเวลาหลายปี. อย่าคิดว่าทุกเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย. ปัญหามากมายที่ปรากฏออกมาในวันนี้ ก็เนื่องจากเดิมทีเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดการด้วยวิธีที่ยุติธรรมและทําให้ความอดทนนั้นก็หมดไป.
2. จัดการประชุมสําหรับสามีและภรรยา
ทางที่ดีเราควรอยู่ข้างๆ ห่างไกลจากความขัดแย้งของครอบครัว. ปล่อยให้ทั้งคู่จัดการประชุมกันเอง เมื่อไหร่พวกเขาไม่ลงลอยกัน จงปล่อยให้พวกเขาหาข้อยุติความขัดแย้งกันเอง. อย่าให้ข่าวของครอบครัวแพร่กระจายออกไปโดยที่คนในครอบครัวยังไม่รู้เรื่องอะไร. บางครั้งข่าวที่เกี่ยวข้องกับสามีแพร่กระจายไปถึงยี่สิบไมล์ แต่สามีกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย บางครั้งข่าวของภรรยาก็ถูกแพร่กระจายออกไปในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน. จงปล่อยให้ภรรยาเล่าเรื่องส่วนตัวแก่สามีของเธอเอง และจงปล่อยให้สามีเล่าเรื่องส่วนตัวแก่ภรรยาของเขาเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายก็จะเข้าใจกันดี ประสบการณ์ของเราชี้ให้เราเห็นว่า สามีแทบจะไม่เคยรู้ว่า ภรรยาของตัวเองกําลังคิดอะไรอยู่และภรรยาเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน. คนอื่นทุกคนรู้ว่า พวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าพวกเขาต่างคนต่างคิดอะไรอยู่. เหตุฉะนั้นควรจะช่วยให้ทั้งสองมีโอกาสที่จะพูดซึ่งกันและกัน และฝ่ายหนึ่งควรจะให้อีกฝ่ายหนึ่งพูดจนจบก่อน แล้วค่อยพูดต่อ. อย่ายอมให้ฝ่ายที่ช่างพูดนั้นพูดเองเสียฝ่ายเดียว. สามีจะต้องฟังภรรยาและภรรยาก็จะต้องฟังสามี.
หลายครั้งปัญหาต่างๆ จะได้รับการแก้ไขในทันทีก็ต่อเมื่อสามีได้ยินภรรยาพูดเพียงคําเดียว หรือภรรยาได้ยินสามีของเธอพูดเพียงครั้งเดียว. ภรรยาหลายคนจะพูดอยู่คนเดียวเท่านั้น จะไม่ฟังสามีของเธอ. ถ้าเธอฟังสามีบ้าง ปัญหาทั้งหลายก็จะหมดไป.
ทั้งสามีและภรรยาควรจะนั่งลงนําเอาข้อโต้เถียงที่ยึดทัศนะของคนอื่นมากกว่าทัศนะของตัวเองมาประชุมกัน ทันทีที่พวกเขายึดทัศนะของตัวเอง การปรึกษานั้นก็จะพังทลายลง ขณะที่พวกเขากําลังพูดคุยกันอยู่ พวกเขาควรพยายามที่จะหาคําตัดสินและความรู้สึกที่ถูกต้อง. พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ที่ถูกต้อง แต่พวกเขาควรจะพยายามหาออกมาว่า อะไรคือความถูกต้อง. พวกเขาควรจะพยายามที่จะทําความเข้าใจว่าแต่ละฝ่ายกําลังพูดอะไรอยู่ ทั้งสองคนจะต้องทําเช่นนี้โดยยึดทัศนะของคนอื่น ไม่ใช่ทัศนะของตัวเอง ทั้งสองคนควรจะพูด และหลังจากพูดไปแล้ว พวกเขาควรจะอธิษฐานด้วยกัน จงเสาะหาข้อยุติโดยผ่านการอธิษฐานเสมอ. ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่พวกเขาอย่างชัดเจนว่า ปัญหานั้นอยู่ที่ไหน. ถ้าพวกเขายอมทําตามคําแนะนํานี้ ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไขไม่มากก็น้อยก็ต่อเมื่อพวกเขาได้มาอธิษฐานด้วยกันเป็นครั้งที่สอง. ปัญหาต่างๆ มากมายเกิดขึ้นก็เนื่องมาจากพวกเขาไม่ได้นั่งลงเพื่อจะฟังซึ่งกันและกันและฟังทัศนะของคนอื่น ทันทีที่พวกเขานั่งลงและฟังทัศนะของผู้อื่น ปัญหาครึ่งหนึ่งก็ถูกแก้ไขไปแล้ว ขณะที่พวกเขานั่งลง และฟังกันมากขึ้น พวกเขาก็จะค้นพบว่าปัญหานั้นอยู่ที่ไหน.
ในระหว่างปีแรกๆ ของชีวิตแต่งงาน ครอบครัวหนึ่งควรจะมีการประชุมลักษณะนี้สองหรือ สามครั้ง. เช่นนี้ทุกฝ่ายก็จะเรียนรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนและจะจัดการกับมันได้อย่างไร. หลายๆ ครอบครัวต้องเรียนรู้บทเรียนนี้ สิ่งนี้จะสามารถแก้ปัญหาภายในครอบครัวทั้งหลายได้ อย่างแน่นอน.
X. ต้องมีการสารภาพความผิดและมีการให้อภัย
ประการที่สิบ ระหว่างคนสองคนในครอบครัว จําต้องมีการสารภาพความผิดและมีการให้อภัย. ความผิดพลาดมากมายต้องมีการสารภาพ ไม่ใช่เพิกเฉย. อย่าไม่สนใจต่อความผิดของตัวเอง. คุณจะต้องสารภาพความผิดของตัวเองเสมอ. สําหรับความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง คุณจะต้องให้อภัย.
เมื่อคริสเตียนคนหนึ่งทําในสิ่งที่ผิด หลักการพื้นฐานคือไม่ใช่ปกปิดมันไว้ การสํานึกผิดแค่นั้นยังไม่เพียงพอ. เมื่อคริสเตียนคนหนึ่งทําในสิ่งที่ผิด หลักการพื้นฐานก็คือสารภาพ คริสเตียนคนหนึ่งทําผิดแล้วก็ปกปิดไว้หรือครั้งต่อไปจะไม่ทําผิดอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่คริสเตียน. มีคริสเตียนคนหนึ่งทําในสิ่งที่ผิด เขาจะต้องสารภาพและพูดว่า “ข้าพเจ้าทําผิดในสิ่งนี้” ความผิดทุกอย่างต้องผ่านการสารภาพ. เมื่อไหร่ก็ตาม เกิดความผิดพลาดระหว่างสามีและภรรยา ณ ที่นั่นก็จําต้องมีการสารภาพความผิดและต้องยอมรับว่า “ข้าพเจ้าได้ทําผิดแล้ว”.
คุณสารภาพเมื่อคุณได้ทําผิด. เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทําผิด คุณจะทําอย่างไร? คุณจะต้องปฏิบัติ สิ่งนี้ในวิธีการเดียวกันกับความสัมพันธ์ของคริสเตียนทั้งหลาย. เมื่อมีการทําผิด เรียนรู้ที่จะให้อภัย. อย่าไปขุดหาในเรื่องนั้นและอย่าไปคํานวณนับ. ความรักไม่คิดคํานวณความชั่ว ความหมายนี้ก็คือจะไม่จดจําความผิดของผู้อื่น เรียนรู้ที่จะอภัยความผิดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. ทันทีที่คุณให้อภัย คุณควรจะลืมมันเสีย คุณจะต้องทิ้งสิ่งที่คุณได้อภัยไปแล้วนั้นไว้ข้างหนึ่ง. อย่าเหมือนอย่างเปโตร ผู้ซึ่งพยายามคํานวณนับความผิดที่ผู้อื่นทําผิดต่อเขา (มธ.18:21-22). ตราบใดที่คุณกําลังคํานวณนับอยู่ คุณก็กําลังไม่ให้อภัย. การอภัยที่แท้จริง จะไม่คํานวณนับจํานวนครั้งที่ให้อภัย. ทันทีที่คุณให้อภัย เรื่องนั้นก็ผ่านพ้นไป. เพื่อจะให้ครอบครัวหนึ่งมุ่งหน้าด้วยดี ที่นั่นจะต้องมีการให้อภัย.
XI. ความเห็นชอบของทั้งสองฝ่ายในการขอความช่วยเหลือของคริสตจักร
ประการที่สิบเอ็ด เมื่อครอบครัวหนึ่งมีปัญหา ก่อนอื่นจําต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยการเรียกประชุมครอบครัว. ในบางกรณีควรจะมีการให้อภัย แต่ในอีกกรณีควรจะสารภาพ. มันจะเป็นเรื่องที่ยากสําหรับฝ่ายที่สามที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาระหว่างคนสองคนจะถูกแก้ไขได้ง่ายที่สุดในระหว่างพวกเขาเอง. เมื่อมีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวพัน สถานการณ์ก็จะยิ่งซับซ้อน. เราควรพยายามที่จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด เท่าที่จะทําได้. อย่ามุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน. การบอกเล่าปัญหาแก่ฝ่ายที่สามก็เหมือนกับการเพิ่มดินโคลนให้แก่ขาที่บาดเจ็บอยู่, ขาที่บาดเจ็บและปราศจากดินโคลนนั้นจะง่ายต่อการรักษา แต่เมื่อดินโคลนถูกเพิ่มเข้าไป มันก็ยากที่จะจัดการกับบาดแผลนั้น. ความขัดแย้งระหว่างสองคนนั้น จะถูกแก้ไขได้ง่ายเมื่อฝ่ายที่สามไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว. ทันทีที่ฝ่ายที่สามได้รับรู้ปัญหานั้นก็จะยุ่งยาก. ดังนั้น คู่ชีวิตคู่หนึ่งควรเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ของพวกเขาเองและควรที่จะพยายามไม่บอกให้ฝ่ายที่สามได้รับรู้.
อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนคนหนึ่งต้องการที่จะบอกปัญหาเรื่องหนึ่งแก่คริสตจักร. โปรดจําไว้ว่าคนคนหนึ่งไม่ควรนําปัญหานั้นไปยังคริสตจักรด้วยตัวคนเดียว ก่อนที่พวกเขาจะนําปัญหาไปยังคริสตจักร สามีจะต้องสอบถามความเห็นชอบของภรรยาและในทางกลับกันภรรยาก็ต้องทําเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อพวกเขาทั้งสองหมดหนทางในการจัดการกับปัญหาแล้ว และตอนนี้ต้องการให้คริสตจักรเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาไม่ควรมาเพื่อทะเลาะกัน แต่เพื่อขอความช่วยเหลือจากคริสตจักร. ทั้งสองคนต้องมาด้วยกัน และทั้งสองจะต้องพูดด้วยกัน ถ้าหากทั้งสองเต็มใจที่จะมาหาคริสตจักรและพูดว่า “พวกเราเป็นคริสเตียน. มีเรื่องบางอย่างระหว่างเรา พวกเราอยากให้คริสตจักรชี้ออกมาว่าความผิดอยู่ที่ไหน” คนหนึ่งต้องบอกกับคริสตจักรว่าเขารู้สึกอย่างไร และอีกคนหนึ่งก็ต้องบอกกับคริสตจักรว่าเธอรู้สึกอย่างไร เช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองทําสิ่งนี้แล้ว มันก็ง่ายสําหรับคริสตจักรที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา นี่ไม่ใช่โอกาสสําหรับการแก้แค้นกัน นี่ไม่ใช่เวลาสําหรับให้แต่ละคนมาเปิดโปงความผิดของอีกฝ่ายหนึ่งและก็ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน. จุดประสงค์ของการบอกกับคริสตจักรคือให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการเปิดเผยอย่างแท้จริงว่าปัญหาอยู่ที่ไหน.
XII. มีชีวิตดํารงอยู่ด้วยกันต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า
ประการที่สิบสอง เพื่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในครอบครัวและเพื่อจะมีชีวิตครอบครัวที่ดีจึงมีความต้องการอิทธิพลทางด้านบวก โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกๆ ควรจะตั้งเวลาหนึ่ง สําหรับการอธิษฐานด้วยกัน และอีกเวลาหนึ่งสําหรับรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าและสําหรับการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องราวฝ่ายวิญญาณ ทั้งสามีและภรรยาควรเปิดต่อการพิพากษาแห่งแสงสว่างของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าสามีหรือภรรยาไม่ควรพยายามที่จะรักษา “หน้า” ของเธอหรือเขาไว้. ทั้งสองควรจะเต็มใจมาอยู่ภายใต้การพิพากษาแห่งแสงสว่างของพระเจ้า ที่นี่ควรจะมีการพูดคุยฝ่ายวิญญาณในครอบครัว. สมาชิกในครอบครัวควรที่จะใช้เวลามากในการอธิษฐานและในการสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณด้วยกัน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีลูกๆ พวกเขาจําต้องหาโอกาสมาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น เพื่อครอบครัวจะ ได้มุ่งหน้าไปอย่างปกติ สามีและภรรยาทั้งสองควรจะมีชีวิตเป็นอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า. ทันทีที่พวกเขาไม่ได้มีชีวิตเป็นอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ครอบครัวของพวกเขาก็จะมีปัญหามากมาย.
ชีวิตคริสตจักรที่ดีถูกรักษาไว้โดยชีวิตครอบครัวที่ดี
ข้าพเจ้าได้เอ่ยไปแล้ว 12 เรื่องด้วยกัน ข้าพเจ้าหวังว่าคุณจะเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้ร่วมกันในครอบครัว. อย่าสะเพร่าและโง่เขลาในเรื่องเหล่านี้ ถ้าคุณไม่เรียนรู้บทเรียนของคุณเหล่านี้ ให้ดี. ในไม่ช้าปัญหาของครอบครัวก็จะกลายเป็นปัญหาของคริสตจักร. ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่ สามารถร่วมอยู่และร่วมใจกับภรรยาของเขาที่บ้าน เขาก็ไม่มีวันที่จะร่วมใจกับพี่น้องทั้งหลายในคริสตจักรได้ นี่คือเรื่องที่แน่นอน. เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทะเลาะกับภรรยาของเขาที่บ้านและเมื่อมายังคริสตจักร ยังสามารถเปิดปากร้องฮาลีลูยาได้. คนคนหนึ่งสามารถเป็นพี่น้องชายที่ดีในคริสตจักรก็ต่อเมื่อเขาได้เป็นสามีที่ดีในบ้านเขา. ชีวิตคริสตจักรที่ดี ถูกรักษาโดยครอบครัวที่ดี. สามีต้องเป็นสามีที่ดีและภรรยาก็ต้องเป็นภรรยาที่ดีด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตคริสตจักรก็จะไม่มีปัญหา.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 32 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ความสำคัญของการเลือกคู่ครอง
II. เงื่อนไขของการเลือกคู่ครอง
1. การดึงดูดตามธรรมชาติ
2. สุขภาพร่างกาย
3. ปัญหาของกรรมพันธ์ุ
4. สภาพการณ์ในครอบครัว
5. อายุ
6. นิสัยต้องเข้ากันได้ ความรักชอบต้องใกล้เคียงกัน
7. ปัญหาของจุดด้อย
8. อุปนิสัย
9. สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
10. ความจำเป็นที่ต้องมอบถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
III. จำต้องใส่ใจต่อการเลือกคู่ครอง
ข้อพระคัมภีร์: ยนซ. 2:18
ยนซ. 2:18 พระยะโฮวาพระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวก็ไม่ดี เราจะสร้างผู้ช่วยเหลือคนหนึ่ง ให้เป็นคู่ครองของเขา.”
I. ความสําคัญของการเลือกคู่ครอง
ขณะที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างมนุษย์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า อาดามเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของมนุษย์หนึ่งคน เอวาก็เป็นอีกครึ่งหนึ่งของมนุษย์หนึ่งคน เมื่อทั้งสองรวมกันจึงกลายเป็นมนุษย์ที่ครบถ้วนหนึ่งคน ดังนั้น มนุษย์ที่อยู่บนโลกนี้ นอกเสียจากพระเจ้าทรงให้ของประทานแก่เขาให้ดํารงความเป็นโสด คนอื่นๆ ล้วนต้องสมรสทั้งสิ้น. อาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์แทบทุกคนจะเชื่อว่า การที่บุตรของพระเจ้าเลือกคู่นั้น ก็คือการเสาะหาอีกครึ่งหนึ่งของตนให้พบ. พระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างท่านเป็นครึ่งหนึ่งและยังทรงเนรมิตอีกครึ่งหนึ่งเพื่อท่าน ท่านจะต้องหาอีกครึ่งหนึ่งนั้นให้พบ เพื่อท่านจะได้เป็น “หนึ่ง” ที่ครบถ้วน ดังนั้น ความหมายของการเลือกคู่ก็คือ การทําให้เป็น “หนึ่ง” ที่ครบถ้วน. “ครึ่งหน่วย” ทั้งสองนั้น ตราบใดที่ยังเป็น “ครึ่งหน่วย” อยู่ก็ใช้การไม่ได้. ท่านจําเป็นต้องหาอีกครึ่งหนึ่งให้พบจึงจะถูก ถ้า “ครึ่งหน่วย” ทั้งสองมาอยู่ด้วยกันแล้วยังคงเป็น “ครึ่งหน่วย” ทั้งสองการสมรสก็ย่อมจะมีปัญหา. เราเชื่อว่าผู้ที่พระเจ้าได้ทรงผูกพันไว้แล้ว จะทําให้แยกจากกันไม่ได้เลย (มธ.19:6) ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเสาะหาคนที่พระเจ้าทรงผูกพันไว้กับเรา.
การสมรสของอนุชนชายหญิงจะดีหรือไม่นั้นย่อมมีความสัมพันธ์กับคริสตจักรอย่างใหญ่หลวง ฉะนั้น พี่น้องอาวุโสชายหญิงไม่ควรเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เราต้องมองเห็นความสําคัญของเรื่องนี้และช่วยเหลืออนุชนชายหญิงเพื่อทําให้ถูกต้อง ถ้าอนุชนชายหญิงเดินทางผิดในเรื่องของการสมรสและเกิดปัญหาขึ้นมาในภายหลัง ปัญหาครอบครัวของเขาในอนาคตก็จะกลายเป็นปัญหาของคริสตจักร. นี่ก็จะเป็นภาระที่หนักเกินไปของคริสตจักร.
เราหวังว่าอนุชนชายหญิงต้องเปิดใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องของการสมรสโดยไม่มีอคติและมีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างใจเย็น กล่าวคือ ต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเป็นทัศนะภายนอก ไม่ใช่จัดการตามทัศนะของตัวเอง เพราะเมื่อเราจัดการตามทัศนะของตัวเอง ก็ง่ายที่จะใจร้อนและคิดอย่างผลีผลาม จนมองไม่เห็นหรือมองไม่ชัดในหลายเรื่อง เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนใจเย็นไม่มีอคติใดๆ และนําทุกเรื่องราวไปคิดใคร่ครวญต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าให้ดี อย่าถูกเร่งเร้าด้วยอารมณ์ของท่านและอย่ารีบร้อนกระโจนตัวเข้าไป โปรดจําไว้ว่า สําหรับการสมรสนั้น คริสเตียนกระโดดเข้าไปได้ แต่จะกระโดดออกมาไม่ได้. ชาวโลกสามารถกระโดดเข้าไปและกระโดดออกมาได้ง่าย. แต่ท่านกระโดดออกไม่ได้ ดังนั้น ก่อนที่จะกระโดดเข้าไป ท่านจําเป็นที่จะต้องคิดใคร่ครวญให้รอบคอบ.
ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงเงื่อนไขพื้นฐานในการสมรสบางประเด็น ข้าพเจ้าต้องการให้อนุชนชายหญิงไปคิดใคร่ครวญต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างใจเย็นและจัดการที่ละประเด็นๆ โดยไม่ให้มันผ่านไปอย่างมักง่าย.
II. เงื่อนไขของการเลือกคู่ครอง
1. การดึงดูดตามธรรมชาติ
การที่ยาโคบรับนางราเฮลมาเป็นภรรยา ย่อมง่ายกว่าที่เขารับนางเลอามาเป็นภรรยา. เราต้องไม่มองข้ามการดึงดูดตามธรรมชาติอย่างเด็ดขาด เราต้องไม่กล่าวว่า ขอให้คนนั้นเป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว การที่ท่านเป็นพี่น้องซึ่งกันและกันในองค์พระผู้ป็นเจ้านั้นไม่มีเรื่องของการดึงดูด. แต่ถ้าจะให้คนสองคนสมรสกัน เราก็จําเป็นต้องคํานึงถึงองค์ประกอบแห่งการก่อรูปของการสมรส. โปรดจําไว้ว่า องค์ประกอบแห่งการก่อรูปของการสมรสนี้ จําต้องมีองค์ประกอบของการดึงดูด.
ดร.เบแวน ( Dr.Bevan ) จากคณะ ACMA ประเทศอเมริกาได้มีคําพูดที่ดีมากว่า “การดึงดูดซึ่งกันและกันก็คือการแสดงออกแห่งความรักที่สูงสุด” เขาเป็นผู้ที่องค์พระผู้ป็นเจ้าทรงใช้งานได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เขายังกล่าวว่า “การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ท่านเป็นพี่น้องกันนั้นไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับการดึงดูด. แต่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ท่านสมรสกับคนๆ หนึ่ง ก็ย่อมเป็นเรื่องของการดึงดูดอย่างแน่นอน”
แม้กระทั่งตัวของเปาโลเองก็ไม่ได้ลืมเรื่องนี้ใน 1 โกรินโธบทที่ 7. เปาโลกล่าวว่า ถ้าท่านคิดว่าเป็นเรื่องที่ทําได้และท่านก็ชอบที่จะทําอย่างนี้ ท่านก็สามารถทําได้ นี่แสดงให้เห็นว่าในเรื่องของการสมรส ท่านเองก็ต้องมีความพึงพอใจ. ท่านจําเป็นต้องมองเห็นด้วยตัวเองว่า เรื่องนี้ต้องทําอย่างนี้จึงจะดีและถูกต้อง. ฉะนั้น ความสําเร็จของการสมรสจําเป็นต้องอาศัยการดึงดูดตามธรรมชาติ. หากว่ากันจริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่จําเป็นต้องสอน เพราะอนุชนชายหญิงต่างก็รู้อยู่แล้ว เขารู้ว่าในส่วนประกอบของการสมรสนั้นมีการดึงดูดตามธรรมชาติอยู่ เรื่องที่เราเอ่ยถึงนี้ต้องให้เขาเห็นว่า พี่น้องผู้อาวุโสในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะเห็นพ้องต้องกันและรู้สึกว่าการทําเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะว่าการสมรสที่ขาดการดึงดูดย่อมมีผลลัพธ์ที่ไม่ดี และการสมรสเช่นนี้เป็นการฝืนใจเกินไป.
ท่านจําต้องมองเห็นว่า ถ้าให้ข้าพเจ้าเลือกคู่สมรส ข้าพเจ้าต้องเลือกคนที่ข้าพเจ้าชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา ข้าพเจ้าต้องสามารถรับสุขที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา. ไม่ใช่ต้องอดทนในการอยู่ด้วยกันกับเขา แต่ต้องชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา. ท่านอาจจะต้องใช้ความอดทนเมื่ออยู่กับหลายคน เพราะท่านไม่ชอบอยู่ด้วยกันกับเขา. ท่านต้องรู้สึกว่า การอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ให้ข้าพเจ้ารู้สึกยินดี รู้สึกล้ําค่าที่เราทั้งสองชอบที่จะอยู่ด้วยกัน หากท่านไม่สามารถชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายหนึ่งหรือรับสุขที่ได้อยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายหนึ่งก็อย่าสมรสกันเลย เพราะขาดไปซึ่งเงื่อนไขแห่งการสมรสแล้ว ความยินดีหรือการรับสุขที่มาจากการอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายหนึ่งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่ชั่วคราว แต่ต้องเป็นเรื่องที่มั่นคงถาวร. ท่านต้องยืนยันได้ว่า ข้าพเจ้าชอบที่จะอยู่ด้วยกันเช่นนี้แม้ผ่านไป 30 ปี 50 ปี ซึ่งไม่ใช่ผ่านไป 3 วัน 5 วันก็ไม่ชอบแล้ว เรื่องของการดึงดูดนี้ก็คือเงื่อนไขพื้นฐานของการสมรส.
2. สุขภาพร่างกาย
ประเด็นที่สองจําเป็นต้องคํานึงถึงสุขภาพร่างกาย ความรักที่ยิ่งใหญ่สามารถชนะความอ่อนแอของร่างกายได้ นี่คือเรื่องจริง เรายอมรับว่าบางคนสมรสเพื่อจะดูแลสุขภาพของอีกฝ่ายหนึ่งที่อ่อนแอ. ในประเทศอังกฤษ มีพี่น้องชายคนหนึ่งสมรสกับพี่น้องหญิงที่ตาบอดเพื่อจะดูแลเธอ เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่หลายรายในประวัติของคริสตจักร. เนื่องจากคนนั้นมีความรักที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเหนือความอ่อนแอทางร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่เราก็คํานึงถึงอีกด้านหนึ่งคือตามสภาพทั่วไปมันเป็นไปไม่ได้ว่าทุกคนล้วนมีความรักที่ยิ่งใหญ่ โดยทั่วไปแล้วความอ่อนแอทางร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นการทําลายความสําเร็จของการสมรส. ฝ่ายหนึ่งมีปัญหาเรื่องของสุขภาพมาก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเสียสละตนให้มาก สุดท้ายแล้วการสมรสนี้ก็จะล้มเหลวโดยอัตโนมัติ.
ในชีวิตสมรส คนที่ร่างกายอ่อนแอและต้องได้รับการปรนนิบัติของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะมีความเป็นไปได้สองอย่างคือ 1) เห็นแก่ตัว 2) มีความรู้สึกบกพร่อง. คนที่เห็นแก่ตัวนั้นรับอย่างเดียว ไม่รู้จักให้ รับเข้าอย่างเดียว แจกออกไม่เป็น. หากฝ่ายที่อ่อนแอเป็นคนเห็นแก่ตัว เช่นนี้มักจะนึกว่าตนสมควรจะได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้ ผ่านไปสักระยะหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็จะสังเกตเห็นความเห็นแก่ตัวของเขา และจะดูถูกเขา. กล่าวคืออีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกทันที่ว่าสามีหรือภรรยาของข้าพเจ้าทําไมเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างนี้ คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่รู้จักคิดถึงผู้อื่นบ้างเขาก็จะเริ่มดูถูกสามีหรือภรรยาของเขาเอง.
อีกกรณีหนึ่ง ตัวของท่านไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวแต่เป็นคนที่เต็มไปด้วยความรู้สึก นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน เมื่อท่านเป็นคนที่รู้สึกไวต่อการที่สามีหรือภรรยาของท่านที่ต้องคอยปรนนิบัติท่าน ท่านก็จะมีความรู้สึกว่าการที่เขาต้องเสียสละเพื่อฉันตลอดมาเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย. การที่สามีหรือภรรยาของท่านดูแลปรนนิบัติท่านโดยตลอดเพื่อท่านจะได้รับการดูแลอย่างดีนั้น กลับทําให้ท่านอยู่อย่างไม่เป็นสุข. ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วโรคภัยไข้เจ็บจะส่งผลกระทบต่อความสําเร็จของการสมรส.
ตอนนี้เราจะไม่พูดถึงฝ่ายที่ได้รับการดูแลแล้ว เราจะเปลี่ยนมาพูดถึงฝ่ายที่ให้การดูแลกันบ้าง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ 2 อย่างเช่นกันคือ เขาอาจจะเป็นคนที่ยอมเสียสละหรือเขารู้สึกว่าการเสียสละของเขามีขีดจํากัด. หลายครั้งที่ความอดทนของมนุษย์ง่ายที่จะถูกใช้จนหมดความอดทนของมนุษย์นั้นไม่ใช่ไม่มีขีดจํากัด. แต่เมื่อหมดความอดทนแล้วในครอบครัวก็จะเกิดปัญหาขึ้น บางครั้งไม่ใช่ปัญหาของการที่ความอดทนใช้หมดแล้ว แต่เป็นการไม่ยอมเสียสละตนเอง. บางครั้งหากพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนเห็นแก่ตัว ท่านจึงดูถูกเขา แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งมีความรู้สึกถึงสิ่งนี้แล้ว ท่านก็ทําให้เขายิ่งรู้สึกบกพร่องมากขึ้น คล้ายกับว่าท่านให้คนอื่นยืมเงิน ถ้าคนยืมเป็นคนเห็นแก่ตัวเขาก็จะมาขอยืมอยู่เรื่อย แต่สําหรับคนที่มีความรู้สึก การที่ท่านให้เขายืมเงินย่อมจะทําให้เขารู้สึกลําบากใจ ดังนั้นข้าพเจ้าอยากชี้ให้ท่านเห็นชัดว่า แม้ว่าความอ่อนแอทางร่างกายไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ในภายหน้าอาจทําให้เกิดปัญหาใหญ่กับครอบครัวได้ ความอ่อนแอทางร่างกายก็ไม่แน่ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาตอนสมรส แต่อาจก่อให้เกิดปัญหาหลังสมรสแล้ว.
ข้าพเจ้ารู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งที่ป่วยหนัก ภรรยาของเขาต้องออกไปทํางานหาเลี้ยงชีพครอบครัว. ตอนกลางวันภรรยาของเขาก็จะออกไปทํางาน ตอนกลางคืนเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ยังต้องดูแลครอบครัวอีก. ในสภาพการณ์เช่นนี้ ท่านได้แต่หวังว่าเธอจะสามารถทําได้สักระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่อย่าหวังว่าเธอจะสามารถทําได้นาน. พี่น้องหญิงคนนี้อาจจะทําได้ 12 เดือน แต่เธอไม่สามารถทําอย่างนี้ได้ตลอดไป. โดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับภาระที่หนักจนเกินไปได้.
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อว่า การสมรสที่ประสบความสําเร็จนั้น สุขภาพของชายหญิงทั้งสองฝ่าย ควรจะดีพอๆ กัน อย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องป่วยหนัก. มิฉะนั้นขณะที่ถูกทดสอบเป็นพิเศษก็จะแบกรับไม่ไหว เพราะเหตุนี้ในเรื่องของการสมรสต้องใส่ใจสุขภาพร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย.
3. ปัญหาของกรรมพันธุ์
ในเรื่องการสมรสเราต้องมีสายตาที่ยาวไกล คือต้องใส่ใจเรื่องของกรรมพันธุ์ว่าเป็นอย่างไร เราไม่เพียงมองเพียงสุขภาพของเขาเท่านั้น แต่ยังต้องมองสุขภาพของบรรพบุรุษของเขาด้วย.
เรื่องเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ไม่เพียงเป็นข้อเท็จจริงทางด้านการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์ด้วย. กฎบัญญัติของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หวงแหน. ผู้ที่เกลียดชังพระเจ้า พระเจ้าจะลงโทษคนผู้นั้นถึง 34 ชั่วอายุ. แต่ผู้ที่รักพระองค์และเชื่อฟังคําของพระองค์นั้น พระเจ้าย่อมแสดงความรักใคร่เอ็นดูต่อเขาเป็นถึง 1,000 ชั่วอายุ คนเป็นอันมากในขณะที่ยังเป็นหนุ่มสาวก็มีการประพฤติที่ปล่อยตัวเหลวไหล มีการประพฤติที่ไม่ชอบธรรม สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะบิดาหรือปู่ของเขาได้ประพฤติตัวเหมือนคนหว่านเมล็ดพืชตามพายุกล้า. พระคัมภีร์กล่าวว่าผู้ที่หว่านเมล็ดพืชตามพายุกล้านั้นก็คือผู้ที่ประพฤติตัวเหลวไหล วันหนึ่งคนเช่นนี้อาจได้รับการอภัย, ได้รับความรอด, และได้รับชีวิตใหม่ได้ แต่โปรดจําไว้ว่าหลายคนมีคุณสมบัติที่จะได้รับความรอด แต่ไม่มีคุณสมบัติที่จะสมรส. องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ให้อภัยแก่ความบาปของเขา. องค์พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถให้อภัยแก่ความประพฤติของเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้ายังสามารถให้เขาได้รับความรอดได้ แต่หากเขาสมรสแล้วและมีลูก ลูกๆ ก็จะได้รับความรอดยาก เขาสามารถนํากรรมพันธุ์อันชั่วของเขาสืบทอดต่อไป เขาไม่สามารถนําการบังเกิดใหม่ของเขาสืบทอดให้แก่ลูกหลาน แต่เขาจะนําเมล็ดพันธุ์อันชั่วของเขาสืบทอดต่อไป เขาไม่สามารถนําชีวิตของพระเจ้าสืบทอดให้ลูกเพื่อที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ได้.
หลายครั้งเมื่อคนเช่นนี้สืบเชื้อสายต่อไป คนรุ่นหลังของเขาก็จะทําบาปอย่างร้ายแรง ปฏิบัติตัวอย่างไม่มีระเบียบวินัย ทําให้พ่อแม่เป็นทุกข์มาก. ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงในขณะที่ท่านเพิ่งสมรสใหม่ แต่หมายถึงช่วงครึ่งหลังของชีวิต ท่านต้องเป็นทุกข์เพราะลูกหลาน. บางคนบอกว่า พี่น้องคนนั้นอยู่ฝ่ายวิญญาณขนาดนี้ทําไมมีลูกอย่างนี้ได้ บางครั้งท่านอาจรู้สึกว่า ทําไมพี่น้องหญิงมีลูกสาวทําตัวเหลวไหลแบบนี้ ท่านต้องรู้ว่านี่คือกฎของกรรมพันธุ์. ชั่วอายุที่ 2 และ 3 ย่อมได้รับกรรมพันธุ์อันชั่วจากบรรพบุรุษ. ผู้ที่หว่านเมล็ดตามพายุกล้าก็จะได้รับผลกรรมในพายุกล้าด้วย. เมล็ดพันธุ์ที่ท่านหว่านลงไป คนรุ่นหลังก็จะได้รับผลกรรม. การหว่านเมล็ดอย่างนี้ ในด้านหนึ่งก็จะทําให้คนบาปยากที่จะกลับใจในคริสตจักรมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งก็จะทําให้ในครอบครัวมีลูกชายที่สวนทางกับท่านอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ลําบากใจจริงๆ.
บางคนมีปัญหายุ่งยากในเรื่องของกรรมพันธุ์ แต่เขาก็สมรสแล้ว คุณจะทําอย่างไรดี? เขาก็ต้องเรียนรู้ทูลขอพระเมตตาจากพระเจ้าเพื่อหลุดพ้นจากพระหัตถ์แห่งการปกครองของพระเจ้า เพราะนี่ก็คือพระหัตถ์แห่งการปกครองของพระเจ้าชนิดหนึ่งซึ่งเป็นการจัดแจงของพระเจ้า เราหวังว่าพระหัตถ์แห่งการปกครองของพระเจ้าจะผ่านพ้นไปเพื่อจะหลุดพ้นจากผลลัพธ์เช่นนี้.
เพราะฉะนั้นอนุชนชายหญิงทั้งหลายต้องใส่ใจว่า กรรมพันธุ์ของครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะเรื่องนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับชีวิตในอนาคตของท่าน
4. สภาพการณ์ในครอบครัว
ประเด็นที่สี่ เราจําเป็นต้องใส่ใจว่าแท้จริงแล้วครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างไร ชาวต่างชาติมีสุภาษิตว่า “ข้าพเจ้าสมรสกับภรรยา แต่ไม่ได้สมรสกับคนทั้งครอบครัวของเขา” แต่โปรดจําไว้ว่าไม่มีเรื่องนี้อย่างแน่นอน เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งสมรสออกไป ทั้งครอบครัวของเขาก็จะติดตามเขามาด้วย เมื่อคนๆ หนึ่งสมรส ครอบครัวของสามีหรือครอบครัวของภรรยาก็จะมาด้วย เพราะคนนี้ย่อมจะเหมือนกับคนในครอบครัว ท่านลองดูว่าในครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งมีมาตรฐานของศีลธรรมหรือไม่, มีอุดมคติที่สูงส่งหรือไม่, มีทัศนะของเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง, มีมาตรฐานที่เข้มงวดหรือไม่, คนในครอบครัวนี้ผู้ชายมีท่าทีต่อผู้หญิงอย่างไร, และผู้หญิงมีท่าทีต่อผู้ชายอย่างไร. ขอเพียงท่านนําสิ่งเหล่านี้มาคิดใคร่ครวญสักหน่อย ท่านก็พอจะรู้ว่าครอบครัวในอนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร.
ผู้ชายหรือผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังนิสัยในครอบครัวมา 10 กว่าปีหรือ 20 กว่าปี แล้ว แม้เขาอาจไม่พอใจในบรรยากาศครอบครัวของเขา แต่หลังจากที่ท่านสมรสกับเขาแล้ว ธาตุแท้ในครอบครัวของเขา วิธีการจัดการในครอบครัวของเขาก็จะปรากฏในครอบครัวของท่านโดยไม่รู้ตัว ไม่ช้าก็เร็วธาตุแท้เหล่านี้ก็จะปรากฏออกมา. ข้าพเจ้าไม่กล้าบอกว่าใน 10 ครอบครัวนั้นล้วนเป็นเช่นนี้ แต่กล้าบอกว่าใน 10 ครอบครัวนั้นอย่างน้อยต้องมี 7-8 ครอบครัวเป็นเช่นนี้ แม้ว่าไม่ได้ปรากฎอย่างสมบูรณ์ในระยะสั้นๆ แต่ว่าครอบครัวเก่าของเขา ซึ่งก็คือครอบครัวของบิดาของเขาเป็นอย่างไร สภาพการณ์เหล่านั้นก็จะทยอยมาปรากฏในครอบครัวของท่านอย่างนั้น.
หากในครอบครัวเท่านั้น ผู้ที่เป็นบิดาเรียกร้องสั่งสอนลูกหลานอย่างเข้มงวด ท่านก็จะรู้ว่า ลูกสาวหรือลูกชายคนนี้ที่มาจากครอบครัวนั้นย่อมเป็นคนที่ไม่มีความปรานี. เด็กที่มาจากครอบครัวที่เข้มงวดนั้นย่อมเป็นคนที่ไร้ความปรานี แต่ถ้าเขาเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่อยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง บิดามารดาเต็มไปด้วยความรัก ท่านก็จะมองเห็นอย่างอัตโนมัติว่า เด็กๆ ในครอบครัวนี้ย่อมเป็นคนที่อ่อนโยนและง่ายที่จะอยู่ด้วยกันกับผู้อื่น แต่ถ้าบิดาของครอบครัวนี้เป็นคนเคร่งขรึม จริงจัง แล้วลูกๆ ที่มาจากครอบครัวนี้ก็ย่อมเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไว้ข้างในไม่พูดออกมา. ถ้าท่านตั้งใจเลือกสามีที่ใจเย็น ท่านก็จะเลือกคนแบบนี้ได้ แต่ถ้าท่านจะเลือกสามีที่ใจร้อน ท่านก็จะเลือกคนนี้ไม่ได้ ถ้าท่านเลือกลูกสาวที่มาจากครอบครัวนี้ เขาก็จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไว้ข้างใน ไม่รู้สึกถึงคนอื่น ครอบครัวไหนที่มีสภาพการณ์เช่นนี้ ลูกๆ ของพวกเขา 10 คน ก็จะมี 7-8 คนเป็นอย่างนี้ สภาพการณ์ของครอบครัวมักจะปรากฏออกมาบนตัวของคนในรุ่นที่สอง.
เพราะฉะนั้นมีคําสุภาษิตบอกว่า “ดูนางให้ดูแม่” คํานี้ไม่กล้าบอกว่าถูกต้อง 100% แต่ก็ ถูกต้องในระดับหนึ่ง. ท่านต้องสังเกตว่ามารดาของเขาปฏิบัติต่อบิดาของเขาอย่างไร ท่านก็จะรู้ว่าในอนาคตผู้หญิงคนนี้จะปฏิบัติต่อท่านอย่างไร เพราะเธอดูแม่ของเธอมา 20 กว่าปีแล้ว เธอก็ย่อมเรียนรู้จากแม่ของเธอ. ทุกวันเธอก็เห็นแม่ปฏิบัติต่อพ่ออย่างไร เธอจะไม่ปฏิบัติต่อท่านอย่างนั้นได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ข้าพเจ้าไม่บอกว่าทั้ง 10 คนก็ล้วนเป็นแบบนี้ แต่ข้าพเจ้าบอกว่าใน 10 คนนั้นต้องมี 7-8 คนเป็นแบบนี้.
ยกตัวอย่างเช่น บางคนเป็นคนที่นิสัยแข็งกร้าว แต่ขณะที่ท่านสามัคคีธรรมกับเขา เขาสามารถทําตัวอ่อนโยนมาก. แต่อย่างไรก็ตาม เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีนิสัยแข็งกร้าว ดังนั้นนิสัยที่แข็งกร้าวของเขาก็จะปรากฏขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว. ถ้าในครอบครัวหนึ่งมีการเหนี่ยวรั้งตัว ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน บุคคลที่ออกมาจากครอบครัวเช่นนี้ ท่านก็จะสังเกตเห็นได้ง่ายว่า เขาเป็นคนมีมารยาท ไม่พูดจาเหลวไหล ไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร เพราะเด็กที่เกิดออกมาจากครอบครัวเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ว่าการวิวาทกันย่อมเป็นเรื่องใหญ่ การวิวาทกันเป็นเรื่องที่ผิด. ท่านจะให้เขาทะเลาะหรือชกต่อยกับใครนั้น ราวกับว่าจะให้เขาไปยืนข้ามภูเขาใหญ่. หากมีพี่น้องชายหรือหญิงคนหนึ่ง ในครอบครัวของเขาทะเลาะกันทุกวัน ด่ากันทุกวัน ท่านต้องจําไว้ว่าวันนี้เขาไปมาหาสู่ท่านอย่างเกรงใจ มีมารยาท แต่สิ่งนี้ย่อมฟังไม่ได้ เพราะนั่นคือการเสแสร้งเพียงชั่วคราว. จนถึงวันหนึ่งเมื่อเขาปล่อยตัวหน่อย สิ่งที่เขาได้เรียนมาจากบ้านนั้นก็จะถูกเอาออกมาใช้ เพราะเขาจะรู้สึกว่าการด่าคนเป็นเรื่องง่ายมาก การทะเลาะกันก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก นี่ก็จะทําให้ท่านจนปัญญาจริงๆ
ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจในการสมรส ท่านจะต้องเข้าไปดูสภาพการณ์ในครอบครัวของเขาว่าเป็นอย่างไร ท่านชอบหรือไม่ชอบ. หากท่านชอบในอนาคตมีความเป็นไปได้ 70-80% ว่าในครอบครัวท่านก็จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าท่านรู้สึกว่าสภาพการณ์นั้นไม่ถูกเลย ท่านก็ไม่ต้องหวังว่าเขาจะไม่เป็นเช่นนั้น.
โปรดจําไว้ว่าการศึกษากับทัศนะของคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะมีทัศนะอย่างหนึ่ง แต่ความเคยชินที่ปลูกฝังขึ้นมาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าในครอบครัวของเขามีการทะเลาะวิวาทกัน มีเรื่องที่ไม่ดี ไม่ช้าก็เร็วเขาเองก็จะทะเลาะวิวาทกัน เพราะความเคยชินที่ปลูกฝังมานั้น เปลี่ยนแปลงได้ยาก ท่านต้องเห็นว่าการสมรสกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งก็เท่ากับรับเอาทั้งครอบครัวของเขามาด้วย การสมรสกับพี่น้องชายคนหนึ่งก็เท่ากับนําตัวเองไปมอบให้กับทั้งครอบครัวของเขาเช่นกัน ดังนั้นท่านต้องมีการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดสําหรับครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่ง.
5. อายุ
เกี่ยวกับเรื่องของอายุ ถ้าคิดใคร่ครวญดูอย่างผิวเผินแล้ว ผู้หญิงจะสุกงอมเร็วกว่าผู้ชาย และจะแก่ชราเร็วกว่าผู้ชายด้วย. เพราะฉะนั้นถ้าหากจะสมรสเมื่อคิดใคร่ครวญตามสภาพร่างกายแล้วผู้ชายควรจะมีอายุมากกว่าผู้หญิง 5-6 ปีจึงจะเหมาะสม หรือมากกว่า 7-8 ปีก็ยังใช้ได้ เพราะเมื่อพูดถึงการสุกงอมแล้วผู้หญิงจะสุกงอมเร็วกว่าผู้ชายประมาณ 5 ปี แต่เมื่อพูดถึงการแก่ชราแล้วผู้หญิงจะแก่ชราเร็วกว่าผู้ชายประมาณ 10 ปี นี่คือข้อเท็จจริงตามอายุของร่างกาย.
อีกด้านหนึ่งถ้าคิดใคร่ครวญตามความคิดของมนุษย์แล้วก็ยังมีอายุทางความคิดด้วย เป็นไปได้ว่าคนๆ หนึ่งร่างกายโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ความคิดยังเหมือนเด็ก และก็เป็นไปได้ว่าคนคนหนึ่งร่ายกายเป็นคนแก่แล้ว แต่ความคิดก็ยังเป็นหนุ่มสาวอยู่ และยังเป็นไปได้ว่าคนคนหนึ่งอายุ 30 ปีแล้ว แต่ความคิดของเขาก็ยังอยู่ที่ 20 ปี เพราะฉะนั้นในท่ามกลางคริสเตียนนั้น ถ้าความคิดของพี่น้องชายสุกงอมก่อน แต่ความคิดของพี่น้องหญิงยังเยาว์วัย พี่น้องชายอายุน้อยกว่า พี่น้องหญิงอายุมากกว่าก็ไม่เป็นไร.
ปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านให้ความสําคัญกับอายุทางร่างกายหรืออายุทางความคิดมากกว่ากัน ถ้าว่าตามอายุทางร่างกายแล้ว พี่น้องชายอายุมากกว่าพี่น้องหญิงย่อมจะดีกว่า แต่ถ้าว่าตามอายุทางความคิดแล้ว บางที่อายุของพี่น้องหญิงมากกว่าอายุของพี่น้องชายก็เป็นเรื่องดีด้วย เรื่องนี้เราไม่อาจมีวิธีที่จะตัดสินแทนพี่น้องชายหญิงได้ เขาต้องไปคิดใคร่ครวญกันเอง. บางคนสนใจเรื่องทางร่างกายมากกว่า แต่บางคนสนใจเรื่องทางความคิดมากกว่า ดังนั้นในเรื่องของอายุนั้นก็ไม่มีข้อกําหนดที่แน่นอน.
6. นิสัยต้องเข้ากันได้ ความรักชอบต้องใกล้เคียงกัน
ใน 5 เรื่องแรกที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางร่างกาย ตอนนี้จะมาพูดถึงใน ด้านจิตใจและนิสัย
คนๆ หนึ่งจะมีการสมรสที่ถูกต้องนั้นไม่เพียงต้องมีแรงดึงดูดตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยัง ต้องมีการเข้ากันได้ในด้านของนิสัยด้วย, การเข้ากันได้ในด้านของนิสัยนั้นสอดคล้องกันกับใน ด้านของความรักชอบก็ได้ หากในคู่สมรสนั้น ในด้านของนิสัยไม่เข้ากันเลย หรือในด้านของ ความรักชอบนั้นไม่สอดคล้องกันเลย ไม่ช้าก็เร็วครอบครัวนี้จะไม่มีสันติสุขและทนทุกข์ทั้งสอง ฝ่าย สําหรับพี่น้องชายที่เป็นผู้แรกเชื่อนั้นจําเป็นต้องมองเห็นว่าการดึงดูดตามธรรมชาตินั้น เป็นเรื่องชั่วคราวแต่การเข้ากันได้ในด้านของนิสัยนั้นจะเป็นเรื่องที่ยืนนาน
ในท่ามกลางชาวโลกที่ไม่เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ความรักที่บรรยายไว้ในนิยายรักของเขา นั้น ถ้ามี 10 เรื่อง ทั้ง 10 เรื่องนั้นล้วนบ่งบอกถึงแรงดึงดูดตามธรรมชาติ, นี่ไม่ใช่ความรักที่ พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ในความรักนั้นครอบคลุมถึงแรงดึงดูดตามธรรมชาติ แต่แรงดึงดูดตาม ธรรมชาติยังไม่ใช่ความรักเสียที่เดียว. ในความรักนั้น นิสัยยังต้องเข้ากันได้ด้วย, ความรักมี เงื่อนไขพื้นฐานหรือปัจจัยสําคัญสองประการ ประการแรกคือ แรงดึงดูดตามธรรมชาติเป็น เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งก็คือการเข้ากันได้ในด้านของนิสัย นั่นคือนิสัยที่ เหมือนกันและความรักชอบที่เหมือนกัน
ถ้าคิดใคร่ครวญทางภายนอกแล้ว บางคนอาจมีแรงดึงดูดตามธรรมชาติต่อท่าน แต่ว่าท่าน ไม่ชอบเขาแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่เขากระทํานั้นตรงข้ามกับท่านโดยสิ้นเชิง และสิ่งที่ท่านชอบก็ไม่แน่ว่าเขาจะชอบ สิ่งที่เขาชอบก็ไม่แน่ว่าท่านจะชอบ. สิ่งนี้ก็คือการเข้ากันไม่ได้ในด้านของนิสัย.
(1) ความรักที่ร้อนรนกับความเย็นชา
ยกตัวอย่างเช่น ในครอบครัวหนึ่งสามีหรือภรรยาอาจเป็นผู้ที่รักคนอื่นมาก. เขารู้สึกว่าคนนั้นน่ารัก เมื่อเขาปฏิบัติต่อผู้คนก็แสดงถึงความโอบอ้อมอารี, ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดกําลัง, และเต็มด้วยความรู้สึกที่ร้อนรนในการต้อนรับคนอื่น. แต่อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นสามีหรือภรรยา อาจจะเย็นชาต่อผู้อื่นมาก. ไม่ใช่ว่าเขาไม่รัก แต่เขาขาดความรู้สึกที่ร้อนรน. ท่านจะมองเห็นทันที่ว่า ทั้งสองฝ่ายนี้มีปัญหาในด้านของนิสัยแล้ว หากท่านรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่มีความรักต่อคนอื่นมาก ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรู้สึกที่ร้อนรน ถ้าหากท่านสมรสกับสามีคนหนึ่ง เขาก็ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความรักและเต็มด้วยความรู้สึกที่ร้อนรน. เมื่อทั้งสองคนนี้ปฏิบัติดูแลต้อนรับคนอื่นก็จะรู้สึกน่าสนใจมาก ท่านจะรู้สึกว่าการปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องง่ายดายมาก คล้ายกับว่าท่านจะมุ่งไปทิศตะวันตก แล้วท่านพบว่าระดับน้ําขึ้นและได้ไหลไปทางทิศตะวันตกด้วย ท่านก็จะเดินตามน้ําไปได้อย่างสะดวกง่ายดาย. แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่เฉื่อยชาต่อผู้อื่น ไร้ความรู้สึก ในที่สุดเขาดึงท่านไปฝั่งหนึ่ง ท่านก็จะดึงเขามาอีกฝั่งหนึ่ง ทั้งท่านและเขาก็จะรู้สึกว่าต้องใช้ความอดทนต่อกัน การที่ท่านทําแบบนี้ เขาจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่จําเป็นซึ่งทําให้เขาต้องใช้ความอดทน แต่การที่เขาทําตัวเช่นนี้ ท่านก็รู้สึกว่าเขาคับแคบมากไป ทําให้ท่านต้องอดทนต่อเขา นี่ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีแล้ว.
(2) ความรักที่ร้อนรนกับความเย็นชา
บางคนไม่เพียงมีความรักเท่านั้น แต่ยังมีความปรานีด้วย ซึ่งก็หมายความว่าเขาไม่อยากทําให้ผู้อื่นต้องบาดเจ็บและไม่อยากทําผิดต่อใคร เขามักจะคิดแทนผู้อื่นและรู้สึกแทนผู้อื่น หากเขาเลือกสามีหรือภรรยาที่มีความปรานี คิดแทนผู้อื่น รู้สึกแทนผู้อื่น ชอบรักษาหน้าตาของผู้อื่น ไม่ชอบเปิดโปงผู้อื่น ไม่ชอบให้ผู้อื่นอับอายขายหน้า ท่านก็จะรู้สึกว่าสองคนจะอยู่ด้วยกัน อย่างมีรสชาติ เดิมทีเมื่อท่านจะมุ่งไปทางนี้ก็คล้ายกับมีกระแสน้ําพัดพาท่านไปด้วย การดําเนินชีวิตอย่างนี้ก็จะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งต่างกับท่านโดยสิ้นเชิง เขาจะเดินไปอีกทางหนึ่ง เขาเป็นคนที่จัดการกับมนุษย์และเรื่องราวอย่างเข้มงวด ท่านก็จะรู้สึกว่าชีวิตสมรสนี้มีปัญหาแล้ว เช่นบางครั้งบางคนไม่เพียงปรานีต่อมนุษย์แต่ยังปรานีต่อสุนัข แมว แต่ถ้าเขามีภรรยาที่ตีสุนัข ตีแมวตั้งแต่เช้าจรดค่ํา การใช้ชีวิตร่วมกันก็จะลําบาก บางคนไม่เพียงมีความปรานีต่อคน แต่ก็ยังมีความปรานีต่อสิ่งอื่นด้วย แต่บางคนไม่เพียงไม่รักสุนัข ไม่รักแมว แม้แต่มนุษย์ก็ไม่รัก. ท่านจะเห็นว่าสองคนที่นิสัยต่างกัน ใช้ชีวิตร่วมกันก็จะมีปัญหาใหญ่น่าดู ฝ่ายนี้จะดึงฝ่ายนั้น ฝ่ายนั้นก็จะดึงฝ่ายนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
(3) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับความตระหนี่ถี่เหนียว
ยกอีกตัวอย่างเช่น บางคนปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อะไรก็ยอมให้ เมื่อพี่น้องมาที่บ้าน ที่บ้านมีอะไรก็วางบนโต๊ะหมด. แต่ถ้าเขาสมรสกับสามีหรือภรรยาคนหนึ่ง เมื่อมีคนมากินข้าวเขาจะรู้สึกเจ็บใจ ราวกับว่าเลี้ยงข้าว 1 มื้อ ทุกอย่างก็หมดสิ้นไป ท่านก็จะรู้สึกช่างยากลําบากจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรมแต่เป็นเรื่องของนิสัย นิสัยบางคนแม้คนอื่นมากินของของเขานิดหน่อยก็จะรู้สึกลําบากใจ. หรือถ้าวันนี้มีแขกมา เขาก็ตั้งใจที่จะนําสิ่งที่ไม่ดีออกมาต้อนรับ และไม่ยินดีที่จะนําสิ่งดีๆ ออกมาต้อนรับ. นี่ก็ชี้ถึงเรื่องของนิสัยอย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม. นี่ก็คือการที่ฝ่ายหนึ่งพยายามดึงอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นการที่ท่านจะสมรสกับภรรยาหรือสามีคนหนึ่ง ถ้าท่านเป็นคนที่ชอบนําทุกสิ่งมอบให้คนอื่น เขาก็ต้องเป็นคนที่ชอบนําทุกสิ่งมอบให้คนอื่นเช่นกัน ดังนั้นทั้งสองคนก็จะใช้ชีวิตอย่างล่องเรือตามน้ําไป ท่านจะรู้สึกชื่นชมยินดี แต่ถ้านิสัยนี้ไม่เหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างดึงซึ่งกันและกัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข นั่นก็เป็นเรื่องที่ลําบากมาก.
(4) ความตรงไปตรงมากับความระมัดระวัง
บางคนไม่เพียงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาแต่ยังชอบคนอื่นที่มีนิสัยตรงไปตรงมาด้วย. บางคนมีนิสัยระมัดระวังไม่เพียงให้ตัวเองระมัดระวังแต่ยังชอบให้คนอื่นระมัดระวังด้วย. ท่านก็จะเห็นว่าเมื่อสองคนนี้อยู่ด้วยกันก็จะมีปัญหา ท่านโปรดจําเอาไว้ว่าความตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ความระมัดระวังก็ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ปัญหาในด้านศีลธรรม แต่เป็นปัญหาในด้านของนิสัย มีคนหนึ่งเขาทําทุกสิ่งด้วยความระมัดระวัง เขาจะไม่พูดมากแต่เขาจะเก็บทุกสิ่งไว้ในใจแต่อีกคนหนึ่ง เขาทําทุกอย่างตรงไปตรงมา ทุกอย่างล้วนพูดออกมาหมด. ดังนั้นถ้าคนที่ระมัดระวังไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่ตรงไปตรงมา และคนที่ตรงไปตรงมาก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์ คนที่ระมัดระวังสองคนนี้ก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาของศีลธรรม แต่นี่เป็นปัญหาในด้านของนิสัยอย่างแท้จริง. บุคคลผู้หนึ่งเขาต้องการความตรงไปตรงมา แต่อีกคนหนึ่งเขาต้องการความระมัดระวัง. คนที่ตรงไปตรงมาก็จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่อืดอาดยืดยาด คนที่ระมัดระวังก็จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่รวดเร็วเกินไป ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องทนทุกข์. ถ้าหากคนที่ตรงไปตรงมาพบกับคนที่ตรงไปตรงมา ทั้งสองคนนี้ก็จะอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น และถ้าคนที่ระมัดระวังพบกับคนที่ระมัดระวัง ทั้งสองคนนี้ก็จะรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่น.
(5) คิดลึกซึ้งกับคิดตื้นเขิน
บางคนเป็นคนที่คิดลึกซึ้ง แต่ละเรื่องต้องมีการคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและถี่ถ้วนแล้วจึงจะตัดสินใจ แต่ก็มีบางคนที่คิดอย่างตื้นเขิน ทําแล้วค่อยว่ากันหรือทําแล้วเสร็จแล้วค่อยคิด นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาด้านศีลธรรม แต่เป็นปัญหาในด้านของนิสัย. คนที่คิดลึกซึ้งก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่คิดตื้นเขิน ทางที่ดีที่สุดก็ควรไปหาภรรยาที่คิดลึกซึ้งเหมือนกับท่าน. แต่สําหรับคนที่คิดอย่างตื้นเขินก็ควรจะหาภรรยาที่คิดอย่างตื้นเขินเช่นกัน ก็จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ถ้าท่านเป็นคนที่คิดลึกซึ้งแต่ท่านพบภรรยาคนหนึ่งที่คิดอย่างตื้นเขิน ท่านก็จะรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างดึงไปอีกข้างหนึ่ง มันก็จะเป็นเรื่องยากลําบากมาก.
(6) คําพูดที่เที่ยงตรงกับคําพูดที่มักง่าย
บางคนพูดจาเที่ยงตรงมาก เที่ยงตรงจนน่ากลัว ทุกคําพูดต้องพูดให้แม่นยําทีเดียว แต่อีกคนหนึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจพูดไม่เที่ยงตรง แต่เวลาพูดนั้นจะพูดมักง่าย. นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม แต่เป็นเรื่องของนิสัย. เมื่อทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกัน คนหนึ่งอาจจะวิพากษ์วิจารณ์อีกคนหนึ่งว่าโกหก อีกคนหนึ่งก็จะมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าถ้าคุณเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดเลยยังดีกว่า. แท้จริงในโลกนี้การที่จะให้พวกเขาพูดออกมาเที่ยงตรงนั้น แต่ละวันก็อาจจะพูดออกมาไม่เกิน 20 ประโยค. เพราะฉะนั้นท่านก็จะเห็นว่าการไม่ลงรอยกันในเรื่องของนิสัยนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก.
(7) การมีชีวิตชีวากับการสงบเงียบ
ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง บางคนมีนิสัยที่มีชีวิตชีวามาก ขณะที่บางคนมีนิสัยที่สงบเงียบมาก ทั้งสองนิสัยนี้ มีชีวิตชีวาก็ถูก สงบเงียบก็ถูก. ในที่นี้ไม่มีปัญหาในด้านศีลธรรม. แต่ถ้าท่านให้พี่น้องหญิงที่มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษคนหนึ่งไปสมรสกับพี่น้องชายที่สงบเงียบมากคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง การสมรสก็ย่อมจะมีปัญหาเกิดขึ้น โปรดจําไว้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะนําเอาปัญหาในด้านของนิสัยยกระดับขึ้นเป็นปัญหาในด้านของศีลธรรม. เขาจะนําลักษณะพิเศษของอีกคนหนึ่งไปขยายใหญ่ขึ้น สามีที่สงบเงียบจะรู้สึกว่าภรรยาของตน กระโดดโลดเต้นทั้งวัน และภรรยาที่มีชีวิตชีวาก็จะรู้สึกว่าทําไมเราสมรสกับสามีที่เย็นยะเยือกเหมือนก้อนน้ําแข็ง ในครอบครัวนี้ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ ข้าพเจ้ารู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งที่เป็นสามี เขาชอบนั่งอยู่ในบ้านทั้งวัน แต่เขาสมรสกับภรรยาคนหนึ่งที่ชอบออกนอกบ้านทุกวัน ชอบไปนั่งบ้านนี้ ไปเยี่ยมบ้านนั้น สามีก็รู้สึกลําบากใจมาก ถ้าให้เขาวิ่งตามภรรยาเขาก็ทนไม่ไหว แต่ถ้าไม่ให้เขาวิ่งตามภรรยา ในแต่ละวันเขาก็ต้องเฝ้าบ้านคนเดียว เมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน ภรรยาก็ไม่เคยอยู่ที่บ้านเลย ผ่านไป 1 ครั้ง 2 ครั้ง เมื่อเรื่องนี้เกิดบ่อยขึ้นก็จะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาด้านศีลธรรม นี่ก็คือเมื่อแรกเริ่มที่จะสมรสนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงปัญหาในด้านของนิสัย.
(8) ความสะอาดกับความรกรุงรัง
มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งเขาพิถีพิถันเกี่ยวกับความสะอาดของบ้านมาก. ทุกอย่างในบ้านต้องเช็ดให้สะอาด. เมื่อสามีของเธอเดินผ่านไป เธอก็จะถือผ้าขี้ริ้วเดินเช็ดตามหลังเขา. สามีของเธอมักจะสกปรก. วันหนึ่งข้าพเจ้าไปบ้านของพี่น้องหญิงคนนี้และได้เห็นสามีของเธอเอาหมอนทิ้งไว้บนพื้นและเอาเก้าอี้พลิกคว่ําลง และนําทุกสิ่งทิ้งบนพื้นหมด. ข้าพเจ้าถามว่าทําไม เขาบอกว่า “วันนี้ผมชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เพราะภรรยาของผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน” สามีถูกบีบคั้นด้วยความสะอาดของภรรยา ดังนั้นเมื่อมีช่องว่างจึงทําบ้านรกรุงรังไปหมด. นี่ไม่ใช่ปัญหาของศีลธรรม. การที่คนๆ หนึ่งมีความสะอาดหน่อยก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อีกคนหนึ่งมักง่ายบ้างก็ยังเป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วย.
(9) การเข้ากันได้ด้านของนิสัย
การเข้ากันได้ในด้านของนิสัยนั้นเป็นเงื่อนไขที่สําคัญที่สุดในการผดุงไว้ซึ่งชีวิตสมรส เพราะฉะนั้นผู้แรกเชื่อจําต้องเห็นว่าความรักมีเงื่อนไขพื้นฐานสองประการ. ประการแรก คือ แรงดึงดูดตามธรรมชาติ ประการที่สอง คือการเข้ากันได้ทางด้านของนิสัย. เวลาท่านเลือกคู่สมรส ประการแรก ท่านจําเป็นต้องเลือกคู่สมรสที่สามารถดึงดูดท่านได้ ถ้าหากท่านไม่มีการ ดึงดูดก็ไม่ได้. ประการที่สอง ท่านจําเป็นต้องเลือกคนที่มีนิสัยเข้ากันได้. เวลาผู้อาวุโสนําพา อนุชนต้องให้เขารู้ว่านิสัยของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไร. อย่าให้เขานึกถึงแต่ด้านของการดึงดูดตามธรรมชาติโดยลืมด้านของการเข้ากันได้ทางนิสัยเป็นอันขาด.
ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าเคยพบสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะกันอย่างหนัก ข้าพเจ้าก็ถามพี่น้องชายว่าทําไมคุณจึงสมรสกับเธอ? เขาตอบว่า “เพราะเมื่อผมเจอเธอครั้งแรก ก็เห็นดวงตาสีดำวาวของเธอ” นี่ก็คือการดึงดูดตามธรรมชาติ เขาชอบดวงตาสีดําวาวของเธอ. แต่เมื่อสมรสไปได้สักระยะหนึ่ง เขาก็ลืมลูกตาดําหรือขาวไปหมดแล้ว สิ่งที่จําได้ก็คือพี่น้องหญิงรักความสะอาด แต่พี่น้องชายไม่รักความสะอาด, เขาชอบทําตัวสบาย ข้าพเจ้าชอบเข้มงวด, เขาชอบเร็ว ข้าพเจ้าชอบช้า. โปรดจําไว้ว่าปัญหาของนิสัยเป็นปัญหาระยะยาว แต่ปัญหาการดึงดูดตามธรรมชาตินั้นเป็นปัญหาเพียงชั่วคราว.
ดังนั้นเมื่ออนุชนชายหญิงจะเลือกคู่สมรสนั้นไม่เพียงต้องใส่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีแรงดึงดูดตามธรรมชาติต่อท่านหรือไม่. การมีแรงดึงดูดตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็จริง แต่ยังไม่เพียงพอ. อนุชนชายหญิงยังต้องใส่ใจต่อการเข้ากันได้ในด้านของนิสัยด้วย นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อนิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่นานแรงดึงดูดตามธรรมชาติทั้งหมดก็จะหายไป แม้ว่าแรงดึงดูดตามธรรมชาติสามารถชักจูงท่านให้สมรสได้ แต่มันไม่สามารถผดุงชีวิตสมรสของท่านได้ นี่คือ ข้อเท็จจริงที่เราต้องรู้.
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า คนๆ หนึ่งสามารถมีสวรรค์สองแห่งและนรกสองแห่งด้วย คนๆ หนึ่ง สามารถขึ้นสวรรค์แห่งหนึ่งและลงนรกแห่งหนึ่ง เขาอาจจะขึ้นสวรรค์สองแห่งและลงนรกสองแห่งด้วย โปรดจําไว้ว่าครอบครัวหนึ่งมีความสุขก็เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในโลกซึ่งก็เหมือนกับสวรรค์. แต่เมื่อครอบครัวหนึ่งมีความทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ทุกข์ที่สุดในโลกซึ่งก็เหมือนกับนรก. เมื่อครอบครัวมีความสุข คนในครอบครัวก็เหมือนขึ้นสวรรค์ เมื่อครอบครัวทนทุกข์ คนในครอบครัวก็เหมือนลงนรก. สําหรับพวกเราที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า บางคนอาจจะมีสวรรค์หนึ่งแห่งและนรกหนึ่งแห่ง. แต่สําหรับคนที่ไม่เชื่อนั้นก็อาจจะมีนรกสองแห่ง ซึ่งหมายความว่า ขณะที่เขาใช้ชีวิตบนโลกก็เหมือนกับอยู่ในนรกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเขาตายแล้ว ลงนรกก็จะอยู่ในนรกอีกแห่งหนึ่ง คริสเตียนหลายคนในวันนี้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในนรก เขาเฝ้าหวังว่าในอนาคตสามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะการใช้ชีวิตครอบครัวในทุกวันนี้ เขาไม่มีความกลมเกลียวกับคู่ครองของเขาในด้านของนิสัย.
ข้าพเจ้านึกถึงพี่น้องชายคนหนึ่ง ภรรยาของเขาไม่ว่าอยู่ที่ไหนกับใครก็ทะเลาะและตบตีกับเขาที่นั่น. ถ้าพูดในด้านฝ่ายวิญญาณแล้ว พี่น้องหญิงคนนี้อธิษฐานเก่งมากและอยู่ฝ่ายวิญญาณมาก แต่เมื่ออารมณ์เสียก็ไม่มีใครสามารถพูดกับเธอได้. เธอมักจะไปตบตีกับเพื่อนบ้าน ใครก็ทําอะไรเธอไม่ได้ สามีของเธอก็ได้แต่คอยไปขอโทษบ้านนี้ บ้านนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน เรื่องแรกก็คือต้องไปตรวจสอบว่าวันนี้ภรรยาไปทะเลาะกับใครมา และเขาก็จะไปขอโทษคนในบ้านนั้น พี่น้องหญิงคนนี้ก่อเรื่องทุกวัน พูดตามจริงแล้ว ถ้าตอนแรกนั้นพี่น้องชายคนนี้สมรสกับพี่น้องหญิงที่สงบเงียบหรือพี่น้องหญิงคนนี้สมรสกับพี่น้องชายที่อารมณ์ร้อนหน่อย ก็จะเหมาะสมกัน. แต่ตอนนี้พี่น้องหญิงที่อารมณ์ร้อนสมรสกับพี่น้องชายที่สงบเงียบ จึงก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา.
(10) อย่าเฝ้าหวังว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่ง
มีหลายคนมีความคิดพื้นฐานอันผิดพลาด. สําหรับเรื่องของนิสัยแล้วเขาคิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่โปรดจําไว้ว่าไม่มีเรื่องนี้โดยเด็ดขาด แม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปลี่ยนแปลงคนๆ หนึ่ง ยังต้องใช้เวลานานมาก แล้วท่านเป็นใครเล่า. โปรดจําไว้ว่า ชีวิตสมรสจะไม่มีฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่งได้ พี่น้องชายหญิงเป็นอันมาก แม้เขารู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีนิสัยที่ขัดกับเขา แต่ก็ยังหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ แต่เวลาผ่านไป 2-3 ปี ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้. ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่าในโลกนี้ถ้ายังมีความหวังแบบนี้อยู่ คนที่มีความหวังก็ย่อมต้องผิดหวัง ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสามีหรือภรรยาที่สามารถเปลี่ยนแปลงคู่ครองของเขาได้ ข้าพเจ้าเคยบอกว่า การสมรสก็เหมือนไปซื้อสินค้าสําเร็จรูป แต่เราไม่สามารถซื้อสินค้าที่สั่งทําได้ คือ คู่ครองเป็นคนอย่างนี้ก็ย่อมเป็นคนอย่างนี้ตลอดไป ท่านจะสั่งให้ทําตามที่ท่านต้องการไม่ได้ ท่านต้องมองดูที่พี่น้องชายคนนี้ก่อนว่านิสัยแบบนี้ของเขาใช้ได้หรือไม่ หรือพี่น้องหญิงคนนี้มีนิสัย แบบนี้ใช้ได้หรือไม่ ท่านได้แต่มาดูนิสัยของเขาในปัจจุบัน แต่ท่านอย่าไปเฝ้าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของเขาในภายหลัง. ถ้าท่านมีความคาดหวังแบบนี้ย่อมจะไม่สําเร็จเป็นแน่ หวังว่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะใส่ใจต่อเรื่องนี้ เช่นนี้ก็จะหลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้.
ช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ข้าพเจ้าทํางานที่เซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาเกือบ 1 ใน 4 มาจัดการปัญหาครอบครัว. ข้าพเจ้าขอพูดกับพี่น้องทั้งหลายอย่างหนักแน่นว่า ท่านไม่ควรนําพี่น้องชายหญิงที่นิสัยขัดกันมาอยู่ด้วยกัน เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันจุดจบย่อมจะไม่ดี. ครอบครัวเช่นนี้ก็ย่อมจะมีลูกที่ไม่ดีด้วย เพราะพ่อแม่ก็จะเชือดเฉือนกัน ลูกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าข้างพ่อหรือแม่ ในที่สุดสิ่งที่ชัดเจนมากก็คือลูกหลานก็ยากที่จะได้รับความรอด.
7. ปัญหาของจุดด้อย
เมื่อสักครู่นี้เราได้พูดถึงนิสัยซึ่งไม่ใช่ปัญหาของศีลธรรม. แต่ตอนนี้เราจะมาดูว่ามนุษย์ไม่เพียงมีปัญหาในด้านของนิสัยเท่านั้น แต่ยังมีจุดด้อยด้วย.
(1) จุดด้อยนี้มีปัญหาในด้านของศีลธรรม
อะไรคือจุดด้อย? บางคนนั้นเกียจคร้าน บางคนนั้นขยัน. เรารู้ว่าความขยันนั้นคือจุดเด่น แต่ความเกียจคร้านนั้นคือจุดด้อย. บางคนพูดจาเที่ยงตรง ความเที่ยงตรงนั้นคือจุดเด่น. แต่บางคนชอบพูดมักง่ายหรือชอบโกหกหรือชอบปรุงแต่งคําพูดตัวเอง. สิ่งนี้ท่านก็ต้องมองว่าเป็นจุดด้อยในด้านของนิสัย. บางคนริมฝีปากของเขาปิดแน่นมาก เขาไม่ชอบพูดมาก นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่บางคนชอบพูดมาก ชอบวิพากษ์วิจารณ์และสั่งสอนคนอื่น นี่คือจุดด้อย. เขาชอบนําเอาเรื่องของบ้านนี้ไปพูดกับบ้านนั้น และชอบนําเรื่องของบ้านนั้นมาพูดกับบ้านนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของนิสัย เพราะว่านิสัยที่ข้าพเจ้าหมายถึงนั้นไม่มีปัญหาในด้านของศีลธรรม. ทุกสิ่งที่มีปัญหาของศีลธรรมมาเกี่ยวข้องนั้นก็คือจุดด้อย ซึ่งต้องให้เราจัดการต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น บางคนทํางานรวดเร็วหรือช้าก็ยังเป็นเรื่องของนิสัย. แต่ถ้าบางคนทํางานรวดเร็วจนกลายเป็นร้อนใจ นี่ก็คือจุดด้อย. หรือบางคนทํางานช้าจนเสียความเชื่อถือจากผู้อื่นไป นี่ก็คือจุดด้อย. นิสัยที่รีบร้อนคือจุดด้อย และนิสัยที่เฉื่อยชาจนสูญเสียความเชื่อถือก็เป็นจุดด้อยด้วยเช่นกัน.
(2) ต้องคันพบจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่ง
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีจุดด้อยควรจะทําอย่างไร เรื่องนี้ยากที่จะให้ผู้อื่นมาช่วยตัดสินให้ อนุชนชายหญิงเมื่อถึงเวลาที่จะสมรสจําเป็นต้องหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งให้พบ. การหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น มันต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนการหมั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นหลังการหมั้น การที่ไปหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งหลังสมรสนั้นเป็นเรื่องที่ผิดแล้ว เป็นเรื่องที่โง่เขลา อีกทั้งเป็นเรื่องที่สายเกินไปอีกด้วย. หลังสมรสแล้วผู้ที่เป็นสามียิ่งทําตัวโง่ ยิ่งทําตัวหูหนวกก็ยิ่งดี ผู้ที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน ยิ่งทําตัวโง่และหูหนวกก็ยิ่งดี เพราะถ้าเราไปหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่ง หลังสมรสก็สายเกินไปแล้ว ท่านทั้งหลายใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน ทั้งๆ ที่ตาของท่านไม่ได้มองดูอยู่ที่นั่น แต่ท่านก็มองเห็นมากมาย แต่ถ้าท่านไปมองดูอย่างละเอียดก็จะเป็นข้อบกพร่องมากมาย. ชีวิตสมรสไม่ได้ให้ท่านหาโอกาสไปจับผิดคนอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อสมรสไปแล้วก็ไม่ต้องใช้ตามองแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะหมั้นคือในช่วงที่ยังเลือกคู่อยู่ อย่ามองไม่เห็นจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งเพราะแรงดึงดูดตามธรรมชาติอย่างเด็ดขาด อย่ามองไม่เห็นจุดด้อยเพราะความรักที่เร่าร้อนเป็นอันขาด.
(3) จุดด้อยบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่แบกรับไม่ได้
เรามาดูปัญหาของจุดด้อยซึ่งมีการจัดการสองอย่าง. จุดด้อยบางอย่างเราทนไม่ได้ มีจุดด้อยมากมายที่ติดเป็นนิสัยแล้วซึ่งเราจะผ่อนหนักผ่อนเบาไม่ได้ ท่านก็ต้องเห็นว่าชีวิตสมรสจะไม่ประสบความสําเร็จ จุดด้อยบางอย่างท่านสามารถแบกรับได้ เมื่อผ่านการคิดใคร่ครวญแล้ว ท่านคิดว่าจุดด้อยนี้รับได้ แต่ก่อนที่ท่านจะหมั่นนั้น ท่านต้องหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งให้พบ. บางคนจะหาจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งหลังจากสมรสแล้ว แต่การไปหาจุดด้อยในเวลาเช่นนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทําให้สภาพการณ์ของครอบครัวยิ่งแย่ลง เพราะท่านไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก. การแก้ไขเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านต้องไตร่ตรอง และใส่ใจก่อนที่ท่านจะสมรสว่าจุดด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองทนรับได้หรือไม่.
(4) อย่ามีจุดด้อยที่เหมือนกัน
ข้าพเจ้าขอเตือนคําหนึ่งว่า อย่าพูดเป็นอันขาดว่า คนที่มีจุดด้อยเหมือนกันนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้ หลายคนคิดว่าคนที่มีจุดด้อยไม่เหมือนกันอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนที่มีจุดด้อยเหมือนกันนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ในครอบครัวบางครอบครัว สามีภรรยามีจุดด้อยที่เหมือนกันคือ ทะเลาะเก่ง, ด่าเก่ง, และตบตีเก่ง. ถ้าท่านมีอารมณ์ลักษณะแบบนี้ ข้าพเจ้าก็มีอารมณ์ลักษณะแบบเดียวกัน สองคนล้วนเหมือนกัน มันไม่ดีหรือ? หารู้ไม่ว่าคนสองคนที่มีจุดด้อยเหมือนกันย่อมทําให้ยากลําบากยิ่งขึ้น เพราะถ้านิสัยไม่เหมือนกันก็ไม่มีปัญหาในด้านของมโนธรรม. แต่ถ้ามีจุดด้อยเหมือนกันก็จะมีปัญหาในด้านของมโนธรรม. เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นคนที่ได้รับความรอดแล้ว เมื่อเขารู้สึกถึงจุดด้อยของตัวเอง เขาก็รู้สึกเสียใจ อีกทั้งยังเพิ่มด้วยความเสียใจของอีกฝ่ายหนึ่งมาด้วย หน้าที่ก็กลายเป็น 2 เท่า ปัญหาก็กลายเป็น 2 เท่า ดังนั้น นิสัยต้องเข้ากันได้ แต่จุดด้อยนั้นอย่าได้เหมือนกัน.
ข้าพเจ้าจําได้ว่ามีสามีคนหนึ่งชอบทิ้งของอย่างมักง่ายและไม่เก็บกวาดห้อง และภรรยาของเขาก็ชอบทิ้งของอย่างมักง่ายและไม่เก็บกวาดห้องเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็ทิ้งอย่างมักง่าย ถ้าว่าตามหลักแล้วก็น่าจะปรองดองกัน แต่ว่าสองคนนี้กลับทะเลาะกันเช้าจรดเย็น สามีบอกว่า “เธอไม่เก็บห้องจนห้องดูไม่ได้เลย” ภรรยาก็บอกว่า “แล้วทําไมคุณไม่ช่วยเก็บกวาด คุณก็รู้ว่า ฉันงานยุ่งมาก.” โปรดจําไว้ว่าแค่ฝ่ายเดียวมีปัญหาก็แบกรับไม่ไหวแล้ว ตอนนี้มีปัญหาทั้งสองฝ่ายยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาในครอบครัวก็เยอะมาก. อย่าได้คิดว่าจุดด้อยที่เหมือนกันของทั้งสองฝ่ายนั้นจะไม่ใช่ปัญหา. เมื่อจุดด้อยเหมือนกันจะเป็นปัญหาและก็จะทําให้ปัญหากลายเป็นสองเท่า เดิมที่คนๆ เดียวก็ยังอดทนกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นสองคนแล้วยิ่งทนรับไม่ได้ แค่ปัญหาของตัวเองก็แทบจะแบกรับไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ยังต้องเพิ่มปัญหาของอีกฝ่ายหนึ่ง ยิ่งทําให้แบกรับไม่ไหว.
อนุชนชายหญิงจะต้องมองเห็นเรื่องนี้ คือจุดด้อยที่เหมือนกันบางชนิดสามารถอะลุ่มอล่วยให้ได้ แต่จุดด้อยที่เหมือนกันเป็นการซ้ําเติมกันนั้น เป็นเรื่องยากซึ่งสุดที่จะทนได้ เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วจุดด้อยของทั้งสองฝ่ายควรไม่เหมือนกัน แต่บางครั้งก็เหมือนกันได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน แต่ตัวท่านเองต้องใส่ใจเป็นพิเศษ.
8. อุปนิสัย
ชีวิตสมรสที่ประสบความสําเร็จได้จําเป็นต้องให้คู่สามีภรรยามีความนับถือต่ออุปนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่ง การที่ภรรยาดูถูกสามีหรือสามีดูถูกภรรยานั้นเป็นเรื่องที่ต้องห้ามเด็ดขาด เพียงแค่ฝ่ายหนึ่งดูถูกอีกฝ่ายหนึ่ง ครอบครัวนี้ก็จบสิ้นแล้ว อุปนิสัยของทั้งสองฝ่ายต้องเป็นที่นับถือกัน. สามีต้องเคารพนับถือคุณลักษณะของภรรยา ภรรยาก็ต้องเคารพนับถืออุปนิสัยของสามี เพราะฉะนั้นไม่เพียงมีปัญหาในด้านของนิสัยจุดด้อยเท่านั้น แต่ก็ยังมีปัญหาในด้านของอุปนิสัยด้วย.
ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งภรรยาไม่ได้พูดความจริงโดยบังเอิญก็ยังพอให้อภัยได้ แต่ถ้าภรรยาโกหกเป็นประจําก็กลายเป็นเรื่องของอุปนิสัยแล้ว หรือตัวอย่างเช่น สามีบางคนเป็นคนเห็นแก่ตัว ทําอะไรก็คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงคนอื่น แต่อย่าได้ทําจนถึงขั้นหนึ่งที่ภรรยาไม่นับถืออุปนิสัยของท่าน อย่างน้อยในครอบครัวหนึ่งภรรยาต้องนับถืออุปนิสัยของสามี สิ่งนี้ไม่เหมือนกับความแตกต่างในด้านของนิสัย เพราะว่าในด้านของนิสัยจะมีการฉุดลากกัน นั่นก็เป็นปัญหาที่หนักพอสมควรแล้ว แต่ถ้ายังไม่นับถืออุปนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่ง รากฐานของครอบครัวนี้ก็ล่มสลายแล้ว ท่านจะมองเห็นว่าสภาพการณ์มันจะเลวร้ายลงจนถึงขั้นที่เยียวยาไม่ได้.
สามีบางคนมีอุปนิสัยที่ต่ําช้ามากและภรรยาบางคนเป็นคนที่นิสัยชอบเอาเปรียบคนอื่น เรื่องที่ไม่ได้เปรียบจะไม่ทํา. สิ่งนี้ก็คือปัญหาของอุปนิสัยอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงจุดด้อยเท่านั้น ในที่นี้มีการดูถูก การเหยียดหยาม. เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้ามา ความสัมพันธ์พื้นฐานในชีวิตสมรสก็ถูกทําลายแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องใส่ใจว่าอุปนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งที่เราทนรับได้หรือไม่.
นิสัยของบางคนโหดร้ายมาก ไม่ว่าเขาปฏิบัติต่อใครก็ล้วนแต่ดุร้าย โดยไม่คํานึงถึงปัญหา หรือความรู้สึกของผู้อื่นแม้แต่น้อย. เขาเพียงแต่แสดงออกซึ่งความรู้สึกของตัวเอง และไม่สนใจว่าคนอื่นจะบาดเจ็บหรือไม่. สิ่งนี้ไม่ใช่ความแตกต่างในด้านของนิสัย แต่สิ่งนี้คืออุปนิสัยที่มีปัญหาซึ่งทําให้คนอื่นไม่สามารถเคารพนับถือเขาได้.
บางคนนั้นไม่สามารถปกครองตัวเองได้ คือไม่สามารถบังคับตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ประพฤติตัวอย่างหละหลวมกระทั่งอารมณ์ก็เช่นกัน เมื่อเจอปัญหาก็อารมณ์เสียง่าย. ทําไมต้องอารมณ์เสีย? คนที่อารมณ์เสียล้วนเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและทําทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสบาย ใจ. ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องของนิสัยหรือจุดด้อย แต่เป็นเรื่องของอุปนิสัย. ท่านจะมองเห็นทันทีว่าการดูถูกคนอื่นก็จะเกิดขึ้นทันที.
เพราะฉะนั้นเมื่อสองคนจะสมรสกันก็ต้องค้นหาอุปนิสัยของอีกฝ่ายหนึ่งให้พบว่ามีจุดใดที่ทําให้ท่านเกิดความนับถือหรือไม่ โดยเฉพาะการสมรสในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้า ซึ่งสมควรที่จะมีอุปนิสัยที่น่าเคารพนับถือ ถ้าคนๆ หนึ่งขาดอุปนิสัยที่น่าเคารพนับถือนั้น คนๆ นี้ก็ไม่มีคุณสมบัติในการสมรส. ท่านจําเป็นต้องมีคุณสมบัติที่น่าเคารพนับถืออย่างน้อย 1-2 ประการต่อพระพักตร์พระเจ้า เช่นนี้แล้วคู่สมรสจึงจะสามารถนับถือท่านได้.
9. สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับนิสัยในด้านของพฤติกรรมที่จําต้องใส่ใจ เมื่อข้าพเจ้าจะสมรสกับภรรยาหรือสามีคนนี้ คนๆ นี้สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไหม? เพราะว่าชีวิตสมรสก็คือการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น. คนๆ นี้สามารถอยู่ด้วยกันกับคนอื่นได้หรือไม่? บางคนมีนิสัยชอบโดดเดี่ยว ชอบอยู่ลําพัง ซึ่งไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ถ้าพี่น้องชายอยู่ในครอบครัวนั้นไม่ลงรอยกับพ่อแม่ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ชีวิตสมรสระหว่างท่านกับเขาก็ย่อมจะไม่มีความสุข. ถ้าพี่น้องหญิงคนหนึ่งไม่ถูกกับคนนี้ คนนั้น ทั้งยังโต้เถียงกับคนอื่นโดยตลอด หากท่านให้เธอเป็นคู่ครองของท่านในอนาคต ท่านก็จะรู้ว่าชีวิตสมรสจะไม่มีความสุข.
ทุกคนที่จะสมรสต้องมีเงื่อนไขพื้นฐานอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจําเป็นต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ เพราะชีวิตสมรสก็คือการอยู่ร่วมกับคนอื่น หากว่าคนๆ หนึ่งไม่สามารถเข้ากับใครสักคนเลย ก็ย่อมพูดได้ว่าเขาจะเข้ากันกับท่านไม่ได้ด้วย. การดําเนินชีวิตของเขาไม่เข้ากับใครเลย แล้วจะเข้ากับท่านคนเดียวได้อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะไม่มีใครสักคนในโลกที่อยู่ในสายตาของเขาเลย อาจจะมีเพียงท่านคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเขา แต่เกรงว่าหลังจากสมรสแล้ว ท่านก็จะไม่อยู่ในสายตาของเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ยากลําบาก เพราะฉะนั้นเวลาเลือกคู่ ท่านต้องมองว่าเขามีเงื่อนไขพื้นฐานในการประพฤติตนหรือไม่ กล่าวคือ เขาสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่.
ยกตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงบางคนถึงวัยสมรสแล้ว เธอออกมาพูดกับผู้คนว่าคุณแม่ คุณพ่อ พี่ชาย น้องชาย พี่สาวและน้องสาวของฉันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือทั้งครอบครัวนั้นล้วนแต่ทําไม่ดีต่อฉัน ท่านก็จะรู้ว่าในอนาคตนั้นพี่น้องหญิงคนนี้ย่อมจะบอกว่าท่านก็ไม่ดีด้วย เพราะคนนี้ขาดความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น.
โปรดจําไว้ว่าถ้าคนๆ หนึ่งอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย เมื่อท่านสมรสกับเขา ก็จะมีโอกาสมากกว่าที่จะประสบความสําเร็จ แต่ถ้าคนๆ หนึ่งอยู่กับใครก็ไม่ได้ เมื่อท่านสมรสกับเขาก็จะมีโอกาสน้อยที่จะประสบความสําเร็จ. ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่า ห้ามไม่ให้ใครไปอยู่ด้วยกันกับคนแบบนี้ แต่ข้าพเจ้ากลัวว่าสองคนจะเข้ากันไม่ได้ เพราะว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้เป็นเงื่อนไขในการสมรสที่สําคัญมาก.
10. ความจําเป็นที่ต้องมอบถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
เราเคยให้ความสนใจกับเรื่องของสุขภาพร่างกาย, เรื่องของอุปนิสัย, และเรื่องของจิตแล้ว. ตอนนี้เราจะมาใส่ใจต่อเรื่องของวิญญาณ. นั่นก็คือคนๆ นั้นจําเป็นต้องเป็นคนที่ถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า.
เราไม่เพียงไม่ควรสมรสกับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน แต่ยังต้องมีการมองเห็นที่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งว่าความสําเร็จที่สูงสุดของชีวิตสมรสนั้นไม่เพียงต้องมีการดึงดูดฝ่ายร่างกายและการเหมือนกันทางนิสัยที่สามารถเข้ากันได้เท่านั้น แต่ยังต้องมีจุดประสงค์ที่เหมือนกันในด้านฝ่ายวิญญาณด้วย. นั่นหมายความว่า ท่านจะต้องปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็จําเป็นต้องปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน ท่านนําตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าก็นําตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ท่านมีชีวิตเป็นอยู่เพื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นอยู่เพื่อพระองค์ ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก ข้าพเจ้าก็กระทําทุกสิ่งเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ทําทุกสิ่งเพื่อพระองค์. นี่ก็หมายความว่าต้องมีการมอบถวายตัวซึ่งมีความสําคัญยิ่งกว่าการที่ต้องมีอุปนิสัยที่น่าเคารพนับถือเสียอีก เพราะถ้าเรามีประเด็นนี้ ชีวิตสมรสนี้ก็จะมีฐานรากที่มั่นคง ท่านจะมองเห็นว่าชีวิตสมรสนี้ทั้งสองคนมีจุดยืนที่เหมือนกันต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า.
ในครอบครัวนี้ไม่ใช่ว่าสองคนกําลังเถียงกันว่าใครอยู่ในฐานะของความเป็นนาย ใครเป็นฝ่ายที่ต้องนอบน้อม. แต่ในครอบครัวนี้ต้องบอกว่าพระคริสต์ทรงเป็นองค์เจ้านายในครอบครัวนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีเรื่องของ “หน้าตา” เกิดขึ้น หลายครั้งที่ภรรยาเถียงกับสามี ไม่ใช่เถียงเพื่อความถูกผิด แต่เถียงเพื่อรักษา “หน้าตา” ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าบางเรื่องถูก หรือไม่ถูก แต่เพื่อช่วยกู้ “หน้าตา” ของตัวเอง เมื่อทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ถวายตัวแล้ว ปัญหาของหน้าตาก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะว่าท่านสามารถยอมเสียหน้าต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนข้าพเจ้าก็ยอมเสียหน้าต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทําผิดท่านก็จะยอมรับ เมื่อข้าพเจ้าทําผิดข้าพเจ้าก็สามารถยอมรับได้ เพราะเราทั้งสองล้วนเป็นคนที่ปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า. ถ้าทั้งสองคนต่างก็ปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า ปัญหาทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไขทั้งสิ้น.
ในครอบครัวหนึ่งหากสามีและภรรยาล้วนนําตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และร่วมจิตร่วมใจปรนนิบัติพระองค์ ก็จะมีโอกาสสูงมากที่จะประสบความสําเร็จในการสมรส. แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างกันในด้านของธรรมชาติ หรือด้านการดึงดูดก็อาจถดถอยไปบ้าง แต่ก็ไม่สามารถกลายเป็นอุปสรรคได้ ครอบครัวนี้จะสามารถดําเนินต่อไปได้ด้วยดี.
เงื่อนไขเกี่ยวกับการเลือกคู่ทั้ง 10 ประการนั้น สามารถแบ่งออกเป็นส่วนของร่างกายหรือ ส่วนทางภายนอก, ส่วนของจิตใจและนิสัย, และส่วนของวิญญาณ. ส่วนต่างๆ เหล่านี้ล้วนต้องใส่ใจทั้งสิ้น เราต้องใส่ใจนิสัยของคนๆ หนึ่ง. เราต้องใส่ใจด้านฝ่ายวิญญาณของเขา และเรายังต้องใส่ใจธรรมชาติของเขาด้วย. ทั้งสามด้านนี้ต้องถูกวางอยู่ในตําแหน่งที่เหมาะสม เราจําเป็นต้องมองเห็นสิ่งเหล่านี้และมีการคิดใคร่ครวญทีละเรื่องๆ.
III. จําต้องใส่ใจต่อการเลือกคู่ครอง
ขณะที่ท่านจะสมรสหรือจะหมั้นหมาย ท่านต้องนําชื่อของคนนั้นเขียนออกมา และจะต้องเรียบเรียงสภาพการณ์ต่างๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งออกมาทีละรายการว่าคนนี้มีการดึงดูดอย่างไร? สุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร? กรรมพันธุ์เป็นอย่างไร? ครอบครัวเป็นอย่างไร? เราต้องจดออกมาอย่างละเอียด นี่เป็นเรื่องที่จริงจัง และอย่าทําไปอย่างมักง่าย. ท่านต้องนําเอาทุกๆ ด้านของพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนนี้เขียนออกมาทีละข้อๆ นิสัยของเขาเป็นอย่างไร? การสุกงอมของเขาเป็นอย่างไร? บนตัวของเขามีอุปนิสัยที่น่าเคารพนับถือหรือไม่? ความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นของเขาเป็นอย่างไร? เขากับครอบครัวของเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เขากับเพื่อนของเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เขามีเพื่อนหรือไม่? โปรดจําไว้ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่มีเพื่อนจะต้องกลายเป็นภรรยาหรือสามีที่แย่มาก. คนๆ หนึ่งที่เข้ากับใครไม่ได้ ข้าพเจ้าสามารถพูดได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อยู่กับท่านไม่ได้ ท่านต้องดูว่าในชีวิตส่วนตัวแล้ว เขาปฏิบัติต่อเพื่อนฝูงอย่างไร ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร ปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัว พี่น้องบิดามารดา เด็กเล็กๆ อย่างไร จากนั้นจึงต้องมาดูว่าสภาพฝ่ายวิญญาณของเขาได้ถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิงแล้วหรือยัง? เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? ทั้งในอดีตของเขา เขาได้มอบถวายออกมามากเท่าไรและมีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณมากเท่าไร.
สําหรับพี่น้องผู้อาวุโส ก็ต้องนํากระดาษแผ่นหนึ่งมาและนําจุดเด่นของสองคนนี้มาเรียงไว้ เพื่อเปรียบเทียบกัน ท่านก็จะรู้ว่าในอนาคตสองคนนี้จะทะเลาะกันหรือโต้เถียงกันหรือไม่ หลายคนต้องให้เกิดเหตุแล้วจึงจะรู้ แต่เราต้องมีการศึกษาเรื่องล่วงหน้าอย่างรอบคอบ. เช่นนี้ เราก็จะรู้ว่าโอกาสที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตสมรสของพวกเขาเป็นอย่างไร.
เราต้องเน้นย้ําว่า ครอบครัวของคนรุ่นต่อไปจะมีความเกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวงกับคริสตจักรของคนรุ่นต่อไป. ข้าพเจ้าขอพูดกับผู้อาวุโสว่าท่านจะต้องดูแลครอบครัวของคนรุ่นต่อไป. การดําเนินชีวิตคริสตจักรของคนรุ่นต่อไปจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อท่านดูแลเรื่องนี้ให้ดี ถ้าหากครอบครัวรุ่นหลังไม่ดี คริสตจักรก็จะมีภาระหนัก. วันนี้ผู้ที่สมรสแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา, อดทนให้มาก, ใกล้ชิดกันมากขึ้น, รักกันให้มากขึ้น สําหรับผู้ที่ยังไม่ได้สมรส ก็หวังว่าเขาจะมีท่าทีที่ระมัดระวังเพื่อจะได้มีครอบครัวที่ดี. นี่เป็นเรื่องที่งดงามจริงๆ. ขอพระเจ้าประทานพระคุณแก่คริสตจักรเพื่อจะมีครอบครัวของอนุชนมากมายที่สามีภรรยาร่วมจิตร่วมใจปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเป็นเจ้าและเดินในทางของพระองค์อย่างแท้จริงในอนาคต. นี่เป็นเรื่องที่งดงามมาก.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 31 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. การสมรสเป็นเรื่องบริสุทธิ์
II. แก่นแท้พื้นฐานของการสมรส
1. ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2. เพื่อป้องกันมิให้ทำบาป
3. ร่วมรับพระคุณเป็นมรดก
III. ปัญหาของการรักษาตัวเป็นพรหมจารี
1. ประโยชน์ของการรักษาตัวเป็นพรหมจารี
2. ประเภทบุคคลที่สามารถรักษาความเป็นพรหมจารี
3. ความเป็นโสดมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายและการถูกรับขึ้นไป
IV. คู่หมายของการสมรส
1. คำสั่งในพันธสัญญาเดิม
2. ในพันธสัญญาใหม่
V. ผู้ที่สมรสแล้ว ถ้ามีฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อจะทำอย่างไร
1. ถ้าเขาต้องการที่จะแยกจากไปก็ให้เขาไป
2. ถ้าเขาไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ พระเจ้าจะทรงช่วยเขาให้รอด
VI. ทำอย่างไรถ้าได้หมั้นหมายกับผู้ที่ไม่เชื่อ
1. ทางที่ดีที่สุดก็คือฝ่ายผู้ที่ไม่เชื่อเป็นคนเริ่มต้นที่จะถอนหมั้น
2. ไม่อาจยกเลิกข้อตกลงใดๆ อย่างมักง่าย
3. การทำข้อตกลงไว้ก่อน
VII. ถ้าผู้หนึ่งจำเป็นที่จะต้องสมรสแต่ไม่สามารถหาคู่หมายที่เป็นผู้เชื่อได้จะทำอย่างไร
VIII. กรณีที่มีภรรยาน้อยแล้ว จะทำอย่างไร
1. พระคัมภีร์ไม่เคยเรียกร้องให้ไล่ภรรยาน้อยออกไป
2. อย่าให้ประเพณีผัวเมียของเธอต้องสิ้นสุดลง
3. บุคคลดังกล่าวเป็นผู้อาวุโสไม่ได้
4. ทางที่ดีทีสุด - ภรรยาน้อยได้รับความรอดและตัดสินใจที่จะแยกออกไปอย่างสมัครใจ
IX. การหย่าร้าง
1. ผู้ที่พระเจ้าได้ให้ผูกพันกันแล้ว มนุษย์ไม่อาจทำให้แยกจากกัน
2. ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้หย่าร้าง - เฉพาะเมื่อความเป็นหนึ่งนี้ถูกทำลายไป
X. ปัญหาของหญิงม่าย
XI. ปัญหาของความบาป
การที่จะเป็นคริสเตียนที่ดีคนหนึ่ง เขาจําเป็นต้องมีการจัดการกับปัญหาพื้นฐานทุกเรื่องอย่างถี่ถ้วน. ถ้ามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งยังไม่ได้รับการจัดการไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือเรื่อง อาชีพการงาน ในที่สุดแล้วปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา ขอเพียงยังมีเรื่องหนึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข คริสเตียนผู้นี้ก็จะถูกหน่วงเหนี่ยวไม่สามารถจะเดินในเส้นทางที่เที่ยงตรงต่อพระพักตร์ พระเจ้าได้ ในวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องการสมรส ผู้เชื่อใหม่ควรรู้ว่าพระคําของพระเจ้าพูดถึงเรื่องการสมรสไว้อย่างไร เราจําเป็นต้องพิจารณาเรื่องนี้จากมุมต่างๆ
I. การสมรสเป็นเรื่องบริสุทธิ์
ปัญหาแรกที่เราจะมาพูดกันและต้องแก้ไขเกี่ยวกับการสมรสก็คือเรื่องเพศ. เราจําเป็นต้องมีความชัดเจนว่ามนุษย์มีความรู้สึกทางเพศ กรณีนี้ก็เหมือนกับที่พวกเขามีความรู้สึกหิว (อาหาร)
ความรู้สึกหิวเป็นความต้องการตามธรรมชาติของร่างกายเช่นเดียวกับที่ความรู้สึกทางเพศก็เป็นความต้องการตามธรรมชาติของร่างกายด้วย. การรู้สึกหิวนั้นเป็นเรื่องตามธรรมชาติและก็ไม่มีความผิดที่จะรู้สึกหิว แต่การที่จะขโมยอาหารมากินนั้นเป็นความบาปที่ไม่ใช่เป็นเรื่องตามธรรมชาติ. ในทํานองเดียวกัน การมีความรู้สึกทางเพศก็เป็นเรื่องตามธรรมชาติและไม่ได้เป็นความบาป. แต่ถ้าบุคคลหนึ่งใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมมาตอบสนองความต้องการของเขา เขาก็ตกอยู่ในความบาปแล้ว.
เราต้องมองเห็นว่าการสมรสถูกกําหนดและริเริ่มโดยพระเจ้า. ดังนั้นความรู้สึกทางเพศนั้น พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้. การสมรสไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นหลังจากที่มนุษย์ตกต่ําลง เรื่องนี้มีมา ก่อนที่มนุษย์จะทําบาป. เรื่องนี้ไม่ได้ถูกกําหนดขึ้นหลังเยเนซิศบทที่ 3 แต่ว่าพระเจ้ากําหนดเรื่องการสมรสในเยเนซิศบทที่ 2. ดังนั้นความรู้สึกทางเพศจึงมีอยู่ก่อนแล้วและไม่ใช่มีมาหลังจากที่ความบาปได้เข้ามาในโลก. ฉะนั้นการที่บุคคลคนหนึ่งจะมีความรู้สึกทางเพศจึงไม่ใช่บาปอย่างแน่นอน และความรู้สึกทางเพศนี้ไม่มีองค์ประกอบของความบาปอยู่เลย นี่เป็นความรู้สึกที่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นโดยพระเจ้า.
ผู้เชื่อใหม่ต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคยติดต่อกับพี่น้องอนุชนชายและหญิงหลายคนในชีวิตคริสเตียนและการปรนนิบัติของข้าพเจ้าตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาหลายคนถูกรบกวนเกี่ยวกับเรื่องการสมรส พวกเขาถูกกล่าวโทษในมโนธรรมของพวกเขาอย่างไม่จําเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับการกําหนดของพระเจ้าและพระคําของ พระองค์ พวกเขามีความรู้สึกและความจําเป็นในการสมรส แต่พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความบาป. พี่น้องชายบางคนตกอยู่ในความสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับการทํางานของพระเจ้า เพียงเพราะมีความรู้สึกทางเพศ. ความคิดที่ว่าเรื่องทางเพศนั้นเป็นความบาป นั่นเป็นความคิดของคนนอกศาสนา. เราจําเป็นต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับพระคําของพระเจ้า. การที่มนุษย์ ผู้หนึ่งรู้สึกหิวนั้นไม่เป็นความบาปฉันใด ความต้องการในเรื่องเพศก็ไม่ใช่ความบาปฉันนั้น นี่เป็นความรู้สึกตามธรรมชาติ. ฮร.13:4 บอกว่า “จงให้การสมรสเป็นที่นับถือท่ามกลางคนทั้ง ปวง” การสมรสไม่เพียงเป็นเรื่องที่ต้องนับถือเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ด้วย. พระเจ้าทรงเห็นว่าเรื่องเพศไม่เพียงแต่เป็นเรื่องตามธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ด้วย.
ดร.เมเยอร์ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานของ ดี แอล มู้ดดี้ เขาได้เขียนหนังสือที่ดีๆ มากมาย โดยเฉพาะหนังสือเสริมสร้างเรา. ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า “สมองที่มลทินที่สุดในโลกคิดว่า เรื่องเพศเป็นสิ่งมลทิน” ข้าพเจ้าคิดว่าคําพูดนี้ได้เป็นถ้อยคําที่ดีที่สุด. มนุษย์มีความคิดที่เป็นมลทินในเรื่องเพศก็เพราะว่าเขาเองเป็นคนที่เป็นมลทิน. สําหรับผู้ที่สะอาดหมดจด ทุกอย่างก็จะสะอาด. สําหรับผู้ที่เป็นมลทิน ทุกอย่างก็จะเป็นมลทิน เพราะว่าสมองของมนุษย์เป็นมลทิน ฉะนั้นความคิดของเขาก็กลายเป็นมลทิน. เราจําเป็นต้องมองเห็นว่าการสมรสเป็นเรื่องที่สะอาดหมดจด. ความสัมพันธ์ทางเพศที่พระเจ้าได้ทรงกําหนดไว้นั้นเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์, สะอาดหมดจด, และไม่เป็นมลทิน.
ใน 1ตธ. 4:3 เปาโลกล่าวว่า ในภายหน้าจะมีคําสอนของพวกผี หนึ่งในคําสอนเหล่านั้นก็คือ การห้ามผู้คนสมรสกัน. ในที่นี้เรามองเห็นว่าแม้คําสอนของพวกผีก็ยังจะแสวงหาความ บริสุทธิ์. จี เฮช เพมเบอร์ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนในงานเขียนของเขาถึงวิธีการที่ผู้คนจะห้ามไม่ให้มีการสมรสก็เพื่อการแสวงหาความบริสุทธิ์ พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้จะทําให้พวกเขาบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม จดหมายที่เปาโลเขียนถึงติโมเธียวบอกกับเราว่าการห้ามผู้คนสมรสกันเป็นคําสอนของพวกผี. พระเจ้าไม่เคยห้ามไม่ให้ผู้คนมีการสมรสกัน.
เราไม่ควรที่จะถูกฟ้องร้องในมโนธรรมของเราโดยไม่จําเป็นเพราะเหตุคําสอนของคนนอกศาสนา. ความรู้สึกทางเพศเป็นเรื่องตามธรรมชาติและไม่ได้เป็นความบาป. เพราะเหตุที่เขา ใส่ใจที่จะจัดการกับความรู้สึกทางเพศนี้ทําให้เกิดปัญหาว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นบาปหรือไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาของการมีอยู่ของความรู้สึกทางเพศ.
การมีอยู่ของความรู้สึกทางเพศเป็นเรื่องตามธรรมชาติไม่ใช่ความบาป. แต่ต้องใส่ใจถึงวิธีการที่บุคคลคนหนึ่งจะจัดการกับความรู้สึกนี้ต่างหากที่เป็นตัวกําหนดว่าสิ่งนี้เป็นบาปหรือไม่ ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องมีการแก้ไขอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่เช่นนั้น มโนธรรมของบุคคลผู้นี้ก็จะถูกกล่าวโทษและเขาก็จะไม่เติบโต. ความรู้สึกผิดบาปนี้ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ความบาป แต่เป็นผลมาจากการไม่เข้าใจ.
II. แก่นแท้พื้นฐานของการสมรส
1. ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
การสมรสเป็นเรื่องที่พระเจ้ากําหนดไว้ ในเยเนซิศ พระเจ้าตรัสว่า มนุษย์ (ชาย) จะอยู่คนเดียวก็ไม่ดี. พระเจ้าตรัสถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นว่าดี ยกเว้นวันที่สองที่พระเจ้าไม่ได้ ตรัสว่าดี. พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่าดีในวันที่สองเพราะว่าท้องฟ้าเป็นสถานที่ของซาตาน แต่ในวันที่หกพระเจ้ากลับตรัสว่าไม่ดีหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพียงคนหนึ่งนั้น พระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวก็ไม่ดี” (ยนซ.2:18) นี่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดี แต่หมายถึงว่าไม่เป็นการดีเพราะมนุษย์ถูกสร้างเพียงคนเดียว ถูกสร้างแค่ครึ่งหนึ่ง เท่านั้น
พระเจ้าทรงสร้างคู่ครองให้กับอาดามในวันที่หกเช่นกัน. พระเจ้าทรงนําเธอมาให้อาดาม ฉะนั้นการก่อกําเนิดของเอวามีเพื่อจุดประสงค์ของการสมรส. คําว่า “คู่ครอง” หมายถึงเป็นคู่ เคียงเพื่อช่วยเหลือเขา. คํานี้ในภาษาเฮ็บรายหมายถึง “คนบางคนที่เหมาะสม, คนบางคนที่ให้ความช่วยเหลือ”
ในการพิจารณา ยนซ.2:18 ผู้อ่านพระคัมภีร์จํานวนมากคิดว่าตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างชายและหญิง. แต่พระคัมภีร์กล่าวเพียงว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ การทรงสร้างมนุษย์เป็นการทรงสร้างของชายและหญิง. ชายและหญิงรวมกันก่อให้เกิดมนุษย์ที่ครบสมบูรณ์ผู้หนึ่ง. ดูเหมือนกับว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพียงครึ่งเดียวในตอนแรกและ ทรงสร้างอีกครึ่งหนึ่งหลังจากที่พระองค์ทรงมองเห็นว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทั้งสองส่วนนี้ได้ถูกรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งเดียว. เฉพาะตอนที่ทั้งสองส่วนถูกรวมเข้าไว้ ด้วยกันจึงจะเป็นมนุษย์ที่ครบสมบูรณ์ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้ามิได้ตรัสว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดี” จนกระทั่งเอวาถูกสร้างขึ้น นี่แสดงให้เราเห็นว่าการสมรสมิได้ริเริ่มมาจากมนุษย์ แต่เป็นมาจากพระเจ้า. จุดเริ่มต้นของการสมรสนั้นไม่ได้มีมาหลังจากที่มนุษย์ตกต่ําลง แต่มีมาก่อนหน้าที่มนุษย์จะตกต่ํานั้นแล้ว. มนุษย์ไม่ได้ทําบาปในวันแรกที่เขาถูกสร้างขึ้น แต่เขาสมรสกันในวันแรกที่เขาถูกสร้างขึ้น หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างเอวาในวันแรก พระองค์ก็ได้มอบเธอให้กับอาดาม. นี่ไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ทําบาป. การแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงริเริ่มไว้.
ในเยเนซิศบทที่ 2 เรามองเห็นการสมรสในการทรงสร้างของพระเจ้า ในโยฮันบทที่ 2 ณ จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติของพระเยซู ก็ยังมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในงานสมรสนั้น พระเยซูได้เปลี่ยนน้ําให้เป็นเหล้าองุ่น. นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่อนุญาตให้มีการสมรสเท่านั้น แต่พระองค์ก็ยังทรงเห็นชอบและรับรองอีกด้วย. พระองค์ไม่ได้เพียงแค่เข้าร่วมงานสมรสเท่านั้น แต่พระองค์ยังคงทําให้งานสมรสได้รับการยกระดับและทําให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เป็นที่ชัดเจนว่าการสมรสถูกริเริ่มโดยพระเจ้าและได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ได้รับการเห็นชอบจากพระเยซู. ดังนั้นการสมรสจึงเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง.
ในที่นี้เรามองเห็นฐานะของการสมรสต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า คือให้มีสามีคนเดียวและภรรยาคนเดียวที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. ดังนั้นพระองค์จึงทรงเรียกภรรยาของอาดามว่าคู่ครอง. คู่ครองในภาษาเฮ็บรายหมายถึง คนบางคนที่จะมาช่วยเหลือ เราอาจพูดว่า พระเจ้าทรงต้องการมนุษย์มาดํารงชีวิตร่วมกัน, มีการสามัคคีธรรมร่วมกัน, และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า.
2. เพื่อป้องกันมิให้ทําบาป
ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้ก่อตั้งการสมรสขึ้นก่อนที่ความบาปจะเข้ามาในโลก ในพันธสัญญาใหม่ เปาโลกล่าวว่า การสมรสไม่เพียงแต่ไม่มีการห้ามเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจําเป็นเพราะว่าความบาปได้เข้ามาแล้ว (1กธ.7).
การสมรสสามารถป้องกันความบาปได้. นี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่าผู้ชายควรมีภรรยาเป็นของตัวเองและผู้หญิงควรมีสามีเป็นของตัวเอง. นี่คือการป้องกันจากความบาปของการล่วงประเวณี (ข้อ 2). เปาโลไม่ได้ปรับโทษความรู้สึกทางเพศว่าเป็นความบาป. ในทางตรงกันข้าม เขาแสดงให้เราเห็นว่าทั้งชายและหญิงควรสมรสเพื่อป้องกันความบาป.
เปาโลกล่าวว่าเราไม่ควรจะจัดเตรียมอะไรไว้บํารุงบําเรอเนื้อหนัง (รม.13:14). ถ้าชายคนหนึ่งกระทําบาปในเรื่องการเย่อหยิ่งอย่างต่อเนื่อง เปาโลไม่อาจกล่าวว่า “เนื่องจากคุณมักจะ กระทําบาปในเรื่องการเย่อหยิ่ง คุณสามารถเย่อหยิ่งที่บ้านได้ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ไปเย่อหยิ่งที่อื่น! ถ้าคุณมีที่เย่อหยิ่งแล้ว คุณอาจจะไม่เย่อหยิ่งแล้ว.” การกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่านี่เป็น การจัดเตรียมอะไรไว้บํารุงบําเรอเนื้อหนัง. พระเจ้าทรงไม่เคยจะเห็นด้วยกับการเย่อหยิ่งของเขาหรือมีการจัดเตรียมให้เขามีโอกาสไปเย่อหยิ่งที่อื่น ยกตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งที่ชอบขโมย. คุณไม่ควรกล่าวว่า “เนื่องจากคุณชอบขโมย ผมอนุญาตให้คุณไปขโมยของของพี่น้อง คนนั้นคนนี้ได้ เพื่อคุณจะได้ไม่ไปขโมยในที่อื่น” แทนที่คุณจะกล่าวเช่นนี้ คุณควรกล่าวว่า “คุณไม่ควรที่จะขโมยเลย” การขโมยถือเป็นความบาปอย่างแน่นอน และพวกเราไม่ควรเปิด ช่องทางให้กับเรื่องนี้ การเย่อหยิ่งก็เป็นความบาปอย่างแน่นอนเช่นกันและเราก็ไม่ควรเปิด ช่องทางให้กับเรื่องนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องเพศก็ไม่ถือเป็นความบาปเสียทีเดียว นั่นคือเหตุผลที่ ผู้ชายควรมีภรรยาของตัวเองและผู้หญิงควรที่จะมีสามีเป็นของตัวเอง ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราอาจจะคิดว่าคําของเปาโลเป็นการจัดเตรียมอะไรไว้บํารุงบําเรอเนื้อหนัง แต่เราต้องรู้ว่าอัครทูตไม่ได้จัดเตรียมอะไรไว้บํารุงบําเรอเนื้อหนัง. ดังนั้น เราไม่ควรพิจารณาว่าการสมรสเป็นบาปอย่างหนึ่ง เราต้องถือว่าการสมรสเป็นเรื่องสูงส่ง การสมรสเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์และถูกกําหนดไว้โดยตัวของพระเจ้าเอง.
การสมรสเป็นสิ่งที่จําเป็นเพราะความบาปได้เข้ามาแล้ว. การสมรสสามารถป้องกันความบาปได้ นี่ไม่ใช่การจัดเตรียมอะไรไว้บํารุงบําเรอเนื้อหนัง ในที่นี้มีความแตกต่างกัน อย่างชัดเจน
ใน 1 โกรินโธบทที่ 7 เปาโลพูดถึงเรื่องการสมรส. เขาเริ่มต้นโดยกล่าวว่าภรรยาคนหนึ่ง ไม่มีอํานาจเหนือร่างกายของเธอเองและสามีคนหนึ่งก็ไม่มีอํานาจเหนือร่างกายของเขาเอง (ข้อ 4). คําสอนของเปาโลค่อนข้างชัดเจน. เว้นแต่เพื่อวัตถุประสงค์ของการถวายตัวเองเพื่อการปรนนิบัติของพระเจ้า สามีและภรรยาก็ไม่ควรแยกจากกัน. นี่เป็นการป้องกันการล่วงประเวณี (ข้อ 5). เพื่อป้องกันการล่วงประเวณี พระเจ้าทรงกําหนดให้ผู้ชายและผู้หญิงสมรสกันและไม่ให้แยกจากกัน.
เปาโลใช้ถ้อยคําที่รุนแรงต่อบรรดาผู้ที่มีความปรารถนาในเรื่องเพศอย่างแรงกล้า. เปาโล กล่าวว่าพวกเขาควรที่จะสมรสเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความต้องการที่รุนแรง (ข้อ 9). เขาไม่ได้ตําหนิคนเหล่านั้น. เปาโลไม่ได้กล่าวว่า “พวกคุณผิดที่มีความต้องการที่รุนแรง พวกคุณได้ทําบาปในการที่มีความต้องการที่รุนแรง ดังนั้นพวกคุณต้องจัดเตรียมอะไรไว้บ้างสําหรับบํารุงบําเรอเนื้อหนังของคุณ” แต่เปาโลกล่าวว่า “ถ้าคุณมีความต้องการที่รุนแรง คุณควรที่จะสมรส. เป็นการดีกว่าที่จะทําการสมรสแทนที่จะดําเนินชีวิตอยู่กับความต้องการที่รุนแรง” พระคําของพระเจ้าชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความรู้สึกทางเพศไม่ใช่ความบาปอย่างหนึ่ง แม้แต่ความต้องการทางเพศอย่างรุนแรงก็ไม่ใช่ความบาปอย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าได้ทรงกําหนด ไว้ให้บรรดาผู้ที่มีความรู้สึกในเรื่องเพศอย่างแรงกล้าควรที่จะสมรส. ในด้านหนึ่ง พวกเขาไม่ควรจะงดเว้นจากการสมรสและในอีกด้านหนึ่งก็ไม่ควรตกลงไปในความบาป. นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยกับเรา.
ด้วยเหตุนี้ การก่อตั้งการสมรสมีทั้งด้านของพันธสัญญาเดิมและด้านของพันธสัญญาใหม่ จึงมีข้อแตกต่างกัน. พันธสัญญาเดิมเปิดเผยแก่เราว่าการสมรสได้จัดเตรียมคู่ครองคอยช่วยเหลือเรา. แต่พันธสัญญาใหม่กล่าวว่าการสมรสถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อที่จะป้องกันความบาป.
3. ร่วมรับพระคุณเป็นมรดก
ด้านที่สามคือ ในหนังสือจดหมายฉบับแรกของเปโตรกล่าวว่าภรรยาเป็น “ผู้ร่วมรับพระคุณแห่งชีวิต” (3:7). กล่าวอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะเห็นสามีและภรรยาปรนนิบัติพระองค์ร่วมกัน พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะเห็นอะกูลาและปริศที่ลาปรนนิบัติพระองค์ พระองค์ทรงชอบพระทัยที่เห็นเปโตรและภรรยาของเขา, ยูดาและภรรยาของเขาปรนนิบัติพระองค์ร่วมกัน.
ดังนั้น การสมรสของคริสเตียนมีแก่นแท้พื้นฐานสามอย่าง อย่างแรกคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน; อย่างที่สองคือการป้องกันความบาป; อย่างที่สามคือการร่วมรับมรดกแห่งพระคุณ ร่วมกันต่อพระพักตร์ของพระเจ้า. คริสเตียนคนหนึ่งไม่ควรเป็นคริสเตียนเพียงลําพังแต่เป็นคริสเตียนร่วมกันกับอีกคนหนึ่ง. คริสเตียนคนหนึ่งไม่ควรรับพระคุณเพียงลําพังแต่ร่วมกับอีกคนหนึ่ง.
III. ปัญหาของการรักษาตัวเป็นพรหมจารี
พระคัมภีร์ยังแสดงให้เราเห็นว่าถึงแม้จะมีความรู้สึกทางเพศอยู่ แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่รุนแรงในบางคน ดังนั้นคนนั้นก็ไม่จําเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการในเรื่องนี้ พระคัมภีร์ให้คําแนะนําว่าผู้นั้นควรจะรักษาตัวเป็นพรหมจารี.
1. ประโยชน์ของการรักษาตัวเป็นพรหมจารี
พรหมจารีนี้ไม่ได้ทําให้ผู้นั้นมีความบริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเขา หรือเธอก็สามารถมอบกําลังของร่างกายทั้งหมดเพื่อการงานของพระเจ้า ประเด็นนี้ยังมีการพูดถึงเรื่องนี้ใน 1 โกรินโธ 7 ด้วย.
เปาโลแสดงให้เราเห็นถึงปัญหาในการสมรส 3 ประการ ประการที่หนึ่ง การสมรสก็คือ การผูกมัด เขากล่าวว่า “ท่านมีภรรยาผูกมัดอยู่หรือ?” (ข้อ 27) บ่อยครั้งที่บุคคลคนหนึ่งไม่มีความอิสระหลังจากที่เขาได้สมรสแล้ว เมื่อเขาสมรสแล้ว เขาจะต้องสาละวนอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่าง เขาถูกผูกมัดด้วยภรรยาและจะต้องดูแลหลายสิ่งหลายอย่าง. ประการที่สอง บรรดาผู้ที่สมรสจะมีการทนทุกข์. เปาโลกล่าวว่า “แต่คนเช่นนั้นจะต้องทนทุกข์ในทางกาย” (ข้อ 28). เมื่อบุคคลหนึ่งสมรส การทนทุกข์ในทางกายก็เพิ่มขึ้น และเป็นการยากที่เขาจะปรนนิบัติพระเจ้าด้วยใจเดียว. ประการที่สาม บรรดาผู้ที่สมรสจะกระวนกระวายในสิ่งของแห่งโลกนี้ (ข้อ 32-34). ในมัดธาย 13 พระเยซูได้แสดงให้เห็นว่า การกระวนกระวายในเรื่องของโลกเปรียบเหมือนกับพงหนามที่มาบดบังการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ผลลัพธ์ก็คือเมล็ดนั้นก็ไม่เกิดผล (ข้อ 2). พูดโดยรวมแล้ว การสมรสจะนํามาซึ่งปัญหาของครอบครัว, การผูกมัด, การทนทุกข์ และความกระวนกระวาย.
คําพูดเหล่านี้ของเปาโลไม่เพียงแต่เพื่อบรรดาผู้ร่วมงานเท่านั้น แต่ยังเพื่อพี่น้องชายและหญิงทุกคนด้วย. บุคคลที่รักษาตัวเป็นพรหมจารีสามารถที่จะรอดพ้นจากความยากลําบาก มากมาย. เปาโลไม่ได้สั่งให้พวกเขารักษาความเป็นพรหมจารี แต่คําของเปาโลแสดงให้เห็นว่า เขาโน้มเอียงไปสู่การรักษาตัวเป็นพรหมจารี เปาโลไม่มีความเห็นของเขาเอง; เขาเพียงแต่บอกความจริงแก่พี่น้องชายทั้งหลาย. การสมรสเป็นสิ่งที่ดีและป้องกันอันตรายจากการทําบาป. แต่การสมรสก็นําบุคคลคนหนึ่งเข้ามาสู่ปัญหาของครอบครัว, การผูกมัด, การทนทุกข์และ ความกระวนกระวายของโลกนี้
2. ประเภทของบุคคลที่สามารถรักษาความเป็นพรหมจารี
เปาโลได้พูดให้เราเห็นต่อไปว่าบุคคลประเภทใดที่สามารถรักษาความเป็นพรหมจารีของเขา เขากล่าวว่าบางคนมีของประทานจากพระเจ้าในการรักษาตัวเป็นพรหมจารีของพวกเขา นี่เป็นของประทานจากพระเจ้าในการรักษาตัวเป็นพรหมจารี. บุคคลหนึ่งได้รับของประทานประเภทหนึ่งจากพระเจ้า อีกคนหนึ่งก็ได้รับของประทานอีกประเภทหนึ่งจากพระเจ้า. ถ้าข้าพเจ้ามีความจําเป็นที่จะสมรส การสมรสก็เป็นของประทานจากพระเจ้า นี่เป็นการรับของประทานจากพระเจ้า เพื่อที่จะสมรส. นี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า “แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าสําหรับตน คนหนึ่งได้รับอย่างนี้และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น” (1กธ.7:7). บรรดาผู้ที่รักษาตัวเป็นพรหมจารีก็ต้องมีของประทานของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่สมรสก็ต้องมีของประทานของพระเจ้าเช่นกัน.
เงื่อนไขแรกในการรักษาตัวเป็นพรหมจารีคือบุคคลคนหนึ่งที่มีเพียงความรู้สึกทางเพศเท่านั้น แต่ไม่มีแรงกดดันในเรื่องเพศ. หลายคนมีเพียงความรู้สึกทางเพศ แต่ไม่มีแรงกดดันในเรื่องเพศ. เฉพาะผู้ที่ไม่มีแรงกดดันในเรื่องเพศเท่านั้นที่จะสามารถรักษาความเป็นพรหมจารีเอาไว้ได้.
เงื่อนไขที่สอง บุคคลคนหนึ่งจะต้องมีความปรารถนาที่จะอยู่เป็นโสดและมีจิตใจที่มั่นคง ข้อ 36-37 กล่าวว่า “แต่ถ้าผู้ใดเห็นว่า การปฏิบัติต่อ (บุตรี) พรหมจารีของตนยังไม่เหมาะสม เธอก็ล่วงวัยสาวไปแล้วและสมควรจะทําการสมรส ก็ให้เขาทําตามที่ปรารถนามิได้เป็นการบาป จงให้เขาสมรสเถิด. แต่ถ้าผู้ใดตั้งใจแน่วแน่ ทั้งไม่มีความจําเป็นใดๆ และยังมีอํานาจบังคับใจของตนได้และได้ตัดสินในใจของตนแล้วว่าจะรักษา (บุตรีพรหมจารีของตนไว้เขาก็กระทําดีกว่า” เปาโลแสดงให้เราเห็นว่าในการรักษาความเป็นพรหมจารีนั้นบุคคลคนนั้นต้องมี เจตนาและความเต็มใจในการรักษาความเป็นพรหมจารีเอาไว้ ถ้าเขาคิดว่าเป็นสิ่งผิดที่เขาจะรักษาความเป็นพรหมจารีเอาไว้ เขาก็สามารถสมรสได้ ถ้าผู้ใดมีเจตนาและความโน้มเอียงที่ จะเป็นโสด และถ้าเขามีจิตใจที่มั่นคงที่จะรักษาความเป็นพรหมจารีของเขา เขาก็สามารถรักษาไว้ได้ ดังนั้นการมีจิตใจที่มั่นคงจึงเป็นข้อเรียกร้องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.
เงื่อนไขที่สาม การตัดสินใจดังกล่าวต้องไม่ขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมของเขา ข้อ 37 กล่าวว่า “ไม่มีความจําเป็นใดๆ” บางคนมีปัญหาในสภาพแวดล้อมของเขาและไม่เป็นการง่ายที่เขาจะรักษาตัวเป็นพรหมจารี. บางคนอาจจะก่อปัญหามากมายให้ครอบครัวถ้าเขารักษาความเป็นพรหมจารีไว้ ดังนั้นจึงต้องมีการจัดเตรียมของสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก่อนที่เขาจะสามารถรักษาความเป็นพรหมจารีของเขา.
เปาโลแสดงให้เราเห็นเงื่อนไขพื้นฐาน 3 ข้อในการรักษาความเป็นพรหมจารี: พวกเขา จะต้อง (1) ไม่มีแรงกดดันด้านความรู้สึกทางเพศ (2) มีจิตใจที่มั่นคง และ (3) ไม่ได้มีปัญหาในสภาพแวดล้อมของเขา. สําหรับผู้ที่ตรงตามเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรักษาความเป็นพรหมจารีของเขาเอาไว้ได้.
3. ความเป็นโสดมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายและการถูกรับขึ้นไป
บรรดาผู้ที่รักษาความเป็นโสดจะได้รับประโยชน์มากต่อพระพักตร์พระเจ้า มัดธาย 19 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นการง่ายกว่าสําหรับคนที่รักษาความเป็นโสดที่จะเข้าอาณาจักร ฝ่ายสวรรค์. เราต้องยอมรับว่า “ผู้ที่กระทําตัวเองให้เป็นวันที่เพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายก็มี” มัดธาย 19 กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นโสดและอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายอย่างชัดเจน เราไม่กล้าที่จะพูดอย่างเจาะจงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นโสดและอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามเราสามารถพูดได้ว่าการรักษาความเป็นโสดมีข้อได้เปรียบในการเข้าอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายอย่างแน่นอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกกับเราว่า มีผู้ที่กระทําตนเองให้เป็นวันที่ผู้ที่รักษาความเป็นโสดไว้ก็เพื่อเข้าสู่ อาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลาย.
ไม่เพียงแค่นี้ วิวรณ์บทที่ 14 แสดงให้เราเห็นว่า บรรดาผลสุกงอมรุ่นแรก (แสนสี่หมื่นสี่พันคน) เป็นพรหมจารี (รักษาความเป็นโสด). พวกเขาติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะ เสด็จไปที่ใด. แสนสี่หมื่นสี่พันคนนี้เป็นบรรดาผู้ที่ถูกรับขึ้นไปก่อน. การรักษาความเป็นพรหมจารีต้องเกี่ยวข้องกับการถูกรับขึ้นไปอย่างแน่นอน. ในวันหนึ่ง เราจะพบว่าการรักษาความเป็นพรหมจารีมีข้อได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดในการเข้าอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายและในการถูกรับขึ้นไป. แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับวันนี้อย่างไร? เปาโลกล่าวว่าการรักษาความเป็นพรหมจารีช่วยลดความทุกข์ยากอย่างแน่นอนและช่วยเหลือให้เขาปรนนิบัติพระเจ้าได้อย่างดี.
เรื่องนี้เราได้แต่นําเสนอข้อเท็จจริงเหล่านี้แก่พี่น้องชายและหญิงเท่านั้น เฉพาะผู้ที่ไม่มีแรงกดดันทางเพศ. ผู้ที่มีใจที่แน่วแน่ และผู้ที่พบกับการจัดเตรียมของสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงจะสามารถรักษาความเป็นพรหมจารีเอาไว้ได้ เรานําเสนอเรื่องนี้ในทัศนะภายนอกและในพระคัมภีร์ต่อพี่น้องชายและหญิง. ทุกคนควรจะมีการเลือกสรรด้วยตัวเองต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า.
IV. คู่หมายของการสมรส
ในเรื่องของการสมรส พระเจ้าได้ทรงวางแนวทางไว้อย่างชัดเจนสําหรับคนผู้หนึ่งว่าเขาสามารถสมรสกับใครได้และไม่สามารถสมรสกับใคร. พระคัมภีร์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสมรสแห่งพลไพร่ของพระเจ้าควรจะถูกจํากัดอยู่ในท่ามกลางพวกเขาเท่านั้น. กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเขาจะสมรส คู่สมรสของเขาจะต้องหามาจากท่ามกลางพลไพรของพระเจ้า ไม่ได้มาจากคนกลุ่มอื่น.
1. คําสั่งในพันธสัญญาเดิม
ในพันธสัญญาเดิมมีคําสั่งที่เพียงพอที่แสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ควรสมรสกับคนที่ไม่ได้เป็นพลไพร่ของพระเจ้า พบญ 7:3-4 กล่าวว่า ชาวอิสราเอลไม่ควรสมรสกับคนคะนาอัน พวกเขาไม่ควรยกบุตรสาวของพวกเขาให้แก่บุตรชายของคนคะนาอัน หรือรับบุตรสาวของคนคะนาอันมาให้แก่บุตรชายของพวกเขา เพราะว่าคนคะนาอันจะทําให้พวกเขาหันออกจากการ ติดตามพระเจ้าและจะล่อลวงพวกเขาไปปรนนิบัติพระอื่น. พระเจ้าได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในพันธสัญญาเดิมว่าคนคนหนึ่งควรที่จะแสวงหาคู่สมรสของเขาจากท่ามกลางพลไพร่ของ พระเจ้า เขาไม่สามารถแสวงหาภรรยาจากท่ามกลางผู้ที่ไม่เชื่อ. ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของการไปแสวงคู่สมรสจากผู้ที่ไม่เชื่อก็คือ ผู้นั้นก็จะทําให้เขาหันออกไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไปปรนนิบัติพระอื่น เป็นการง่ายที่ภรรยาทั้งหลายจะติดตามสามีของตนไปนมัสการรูปเคารพ เนื่องจากทั้งคู่สมรสกันก็เป็นสิ่งที่ง่ายมาก สําหรับคนหนึ่งจะติดตามอีกคนหนึ่งในการนมัสการ พระอื่น.
ยฮซ.23:12-13 เตือนชาวอิสราเอลไม่ให้สมรสกับคนในแผ่นดินนั้น (ชาวต่างชาติ) พวกเขาถูกเตือนว่าการสมรสกับคนในแผ่นนั้นจะกลายเป็นกับดักและหนามบนตัวของพวกเขา ภรรยาหรือสามีของพวกเขาจะกลายเป็นหนามของพวกเขา และพวกเขาก็จะถูกทําให้ติดกับดัก.
ในช่วงเวลาของนะเฮมยาชาวอิสราเอลได้กลับมาสู่แผ่นดินยูดาจากการเป็นเชลยที่ต่างแดน. พวกเขาหลายคนได้สมรสกับชาวต่างชาติและไม่สามารถพูดภาษาเย็บราย. นะเฮมยากําชับ พวกเขาใน 13:23-27 ให้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับหญิงต่างชาติและไม่ต้องมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเธอ. ในที่นี้เรามองเห็นปัญหาพื้นฐานของการสมรสกับหญิงต่างชาติ ไม่ช้าก็เร็ว ลูกที่เกิดมาก็จะติดตามแม่และจะไม่ติดตามพ่อเพื่อที่จะปรนนิบัติพระเจ้า. ถ้าคุณสมรสกับหญิงต่างชาติ ก็เป็นการง่ายที่ลูกๆ ของคุณจะติดตามเขาและจะหลงไปสู่โลก. นี่เป็นเรื่องที่ยากลําบากมาก.
มลค.2:11 ได้ให้เราเห็นว่าชาวอิสราเอลได้ทําบาปแห่งการคดโกงและได้ลบหลู่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาได้รับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา ในสายพระเนตรของพระเจ้า การสมรสกับหญิงต่างชาติเป็นการลบหลู่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ดังนั้น คริสเตียนควรแสวงหาคู่สมรสจากในหมู่ผู้เชื่อเท่านั้น.
นอกจากนี้เรายังได้รับการเตือนสติจากความล้มเหลวของซะโลโม. ซะโลโมเคยเป็นกษัตริย์ที่มีสติปัญญาที่สุด แต่เขาก็ได้ตกเข้าไปในการนมัสการรูปเคารพเพราะการสมรสกับหญิงต่างชาติ.
2. ในพันธสัญญาใหม่
ถ้อยคําของเปาโลในพันธสัญญาใหม่มีความชัดเจนเพียงพอ. ใน 1กธ.7:39 เขาบอกแก่หญิงม่ายให้สมรสกับผู้ที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
2กธ.6.14 เป็นข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่รู้จักกันดี ข้อนี้กล่าวว่าผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อไม่ควรที่จะเทียมแอกเดียวกัน คําเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงแค่การสมรสเท่านั้น แต่คําเหล่านี้ก็ได้ครอบคลุมถึงการสมรสอย่างแน่นอน. ผู้เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อไม่ควรที่จะมีส่วนร่วมในธุรกิจเดียวกัน พวกเขาไม่ควรจะเข้าร่วมในเป้าหมายเดียวกัน เหมือนกับสัตว์สองตัวไถนาด้วยแอกเดียวกัน พระเจ้าไม่อนุญาตในเรื่องนี้ พระองค์ไม่อนุญาตให้ผู้เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อมาเทียมแอกเดียวกัน ในพันธสัญญาเดิม วัวและม้าไม่สามารถมาเทียมแอกกันได้ และลาก็ไม่สามารถมาเทียมแอกเดียวกันกับม้า คุณไม่สามารถมีผู้หนึ่งที่เร็วกับอีกผู้หนึ่งที่ช้า. เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนหนึ่งไปทิศทางหนึ่งกับอีกคนหนึ่งไปในอีกทิศทางหนึ่ง หรือว่าคนหนึ่งมุ่งสู่สวรรค์กับอีกคนหนึ่งมุ่งสู่โลก. คุณไม่สามารถมีคนหนึ่งแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณกับอีกคนหนึ่งแสวงหาความร่ํารวยฝ่ายโลก ถ้าคนหนึ่งดึงไปทิศหนึ่งและอีกคนหนึ่งก็ดึงไปอีกทิศทางหนึ่ง ถ้าคุณทําเช่นนั้น แอกก็จะแตกหักไป.
ในท่ามกลางความสัมพันธ์ของการเทียมแอกนั้น ไม่มีสิ่งไหนที่จะร้ายแรงเท่ากับความสัมพันธ์ของการสมรส. คนหนึ่งอาจไปเทียมแอกร่วมกับคนอื่นในธุรกิจ แต่ก็ไม่มีแอกไหนที่จะสาหัสไปกว่าแอกของการสมรส. เมื่อผู้เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อร่วมกันรับผิดชอบครอบครัว ผลที่ตามมาก็ไม่อาจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากปัญหา การสมรสที่เป็นไปตามหลักเหตุผลที่สุดก็คือต้องเป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง. อย่าได้เลือกคนที่ไม่เชื่อตามอําเภอใจเป็นอันขาด ถ้าคุณเลือกคนที่ไม่เชื่ออย่างไม่ระมัดระวัง คุณจะพบกับปัญหาในภายหลังอย่างแน่นอน คนหนึ่งจะดึงไปทางหนึ่งและอีกคนก็จะดึงไปอีกทางหนึ่ง คนหนึ่งมุ่งสู่สวรรค์และอีกคนหนึ่งมุ่งสู่โลก. คนหนึ่งจะแสวงหาของประทานฝ่ายวิญญาณและอีกคนแสวงหาความร่ํารวยฝ่ายโลก ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล นั่นคือเหตุผลที่พระคัมภีร์ได้สั่งเราให้สมรสกับผู้ที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า.
V. .ผู้ที่สมรสแล้ว ถ้ามีฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อจะทําอย่างไร
ในที่นี้เกิดปัญหาอย่างหนึ่ง สมมติว่าพี่น้องชายคนหนึ่งได้สมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อเรียบร้อยแล้ว หรือพี่น้องหญิงคนหนึ่งได้สมรสกับสามีที่ไม่เชื่อเรียบร้อยแล้ว พวกเขาควรที่จะทําอย่างไร? เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าคนที่จะแต่งงานควรแสวงหาคู่สมรสที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่สมรสเรียบร้อยแล้ว พวกเขามีภรรยาหรือมีสามีที่ไม่เชื่อ. พวกเขา ควรที่จะทําอย่างไร?
1. ถ้าเขาต้องการที่จะแยกจากไปก็ให้เขาไป
1 โกรินโธบทที่ 7 ได้บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อ 12, 13 และ 15 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้บอกแก่เราว่าจะทําอย่างไรกันเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในคู่ครองที่รับเชื่อเพียงคนเดียว ขอจงจําไว้ว่าหลายครอบครัวในวันนี้มีปัญหาไม่มาก เพราะผู้เชื่อในครอบครัวเหล่านี้ไม่มีความเด็ดขาดที่เพียงพอ. ในหนังสือกิตติคุณพระเยซูได้ทํานายไว้ว่าจะมีปัญหากันมากในครอบครัว ถ้าผู้เชื่อเด็ดขาด ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว มีอยู่หลายกรณีที่ “สามคนต่อต้านสองคนและสองคนต่อต้านสามคน” (ลก.12:52) เพราะว่าสมาชิกบางคนในครอบครัวได้กลายเป็นผู้เชื่อ. สมมติว่าสามีทอดทิ้ง (แยกไปจาก) ภรรยาเพราะว่าภรรยาได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า สมมติว่าเขากล่าวว่า “คุณได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการคุณอีกต่อไป” ภรรยาควรทําอย่างไร? พระคําขององค์พระผู้เป็นเจ้าใน 1 โกรินโธ บทที่ 7 กล่าวไว้อย่างชัดเจน “ก็ให้เขาแยกไปเถิด” (ข้อ 15). ดังนั้นถ้าสามีต้องการแยกจากไป เพราะว่าภรรยาได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือในทางกลับกัน คําตอบ (พระคํา) ก็คือ “ก็ให้เขาแยกไปเถิด”
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ต้องชัดเจน: คุณจะต้องไม่เป็นผู้ที่เริ่มต้นในการแยกจากไป แต่เป็นเขา ไม่ใช่ข้าพเจ้าต้องการแยกจากไป. อีกฝ่ายหนึ่งต้องการแยกจากไปต่างหาก เขาเป็นผู้ที่ไม่พอใจที่คุณเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาคิดว่าเมื่อคุณได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอนาคต. เขาจึงต้องการจะแยกจากไป. ถ้าเขาต้องการแยกจากไป “ก็ให้เขาแยกไปเถิด”
2. ถ้าเขาไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ พระเจ้าจะทรงช่วยเขาให้รอด
เปาโลกล่าวว่า ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องแยกจากกันถ้าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ช่วยเขาให้รอดโดยคุณ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้และต้องการดําเนินชีวิตต่อไปกับคุณ เปาโลกล่าวว่า คุณควรที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับเขาและไม่ควรแยกจากเขา. เปาโลกล่าวว่า ผู้ที่ไม่เชื่อสามารถถูกแบ่งแยกบริสุทธิ์โดยผู้เชื่อ. เปาโลกล่าวว่า "เพราะว่าท่านผู้เป็นภรรยาจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยสามีให้รอดได้หรือไม่?” (ข้อ 16) ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งต้องการแยกจากไป นั่นเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของคุณ. แต่ถ้าเขาไม่ต้องการที่จะแยกจากไป คุณก็ต้องเชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเขาให้รอด. เปาโลกล่าวว่า เป็นการง่ายที่เขาจะได้รับความรอด. อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่พระองค์จะช่วยคนอื่นให้รอด แต่เป็นเรื่องง่ายอย่างแน่นอนสําหรับพระองค์ที่จะช่วยบุคคลที่เป็นคนของคุณให้ได้รับความรอด เราต้องจัดการกับเรื่องนี้โดยยึดจุดยืนนี้.
VI. ทําอย่างไรถ้าได้หมั้นหมายกับผู้ที่ไม่เชื่อ
พี่น้องชายหญิงบางคนมีอีกปัญหาหนึ่ง: พวกเขาได้หมั้นหมายกับผู้ที่ไม่เชื่อ. เขาควรจะทํา อย่างไร?
1. ทางที่ดีที่สุดก็คือฝ่ายผู้ที่ไม่เชื่อเป็นคนเริ่มต้นที่จะถอนหมั้น
พระเจ้าไม่ต้องการให้เราสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก. ถ้าบางคนได้หมั้นกับผู้ที่ไม่เชื่อเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือคู่หมั้นฝ่ายที่ไม่เชื่อจะถอนหมั้นอย่างสมัครใจ. ทั้งคู่ ยังไม่ได้สมรสกัน พวกเขาแค่ตกลงที่จะสมรสกันเท่านั้น ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดหนทางให้ฝ่ายหนึ่งที่ไม่เชื่อสมัครใจที่จะยกเลิกข้อตกลงนั้นเพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด.
2. ไม่อาจยกเลิกข้อตกลงใด ๆ อย่างมักง่าย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้บ่อยครั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทางออกดังกล่าว เพราะว่าได้มีข้อตกลงที่จะสมรสกันแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจไม่ยอมปล่อยคุณไปอย่างง่ายๆ เพียงเพราะว่าคุณได้เชื่อ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า. ในเวลาดังกล่าว คุณจะต้องตระหนักว่าการหมั้นหมายกับอีกคนหนึ่งนั้น ก็เป็นการตั้งพันธสัญญากับเขา. พันธสัญญาดังกล่าวเป็นคําสัญญาที่คุณได้สร้างไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้า. คริสเตียนคนหนึ่งไม่สามารถยกเลิกพันธสัญญาอย่างมักง่ายเพียงเพราะว่า เขาไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าพันธสัญญาใดๆ ก็บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของ พระเจ้า. คุณสามารถเสนอที่จะขอเลิกกับอีกฝ่ายหนึ่ง. อีกฝ่ายหนึ่งสามารถเริ่มต้นที่จะขอเลิก หรือคุณก็สามารถเริ่มต้นได้. การนําเสนอดังกล่าวไม่จําเป็นต้องเริ่มต้นจากอีกฝ่ายหนึ่ง. กรณี นี้แตกต่างจากกรณีแรก. ในกรณีที่สมรสแล้ว อีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้เริ่มต้น ในกรณีของการหมั้นหมาย คุณสามารถเริ่มต้นในการขอยกเลิกการหมั้น. ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยืนกรานให้คุณทําตามข้อตกลงของการสมรส คุณจะต้องทําตามข้อตกลง. เมื่อมีคําใดได้ออกมาจากปากของคริสเตียนแล้ว เขาจะต้องถือปฏิบัติตามคํานั้น เขาไม่สามารถยกเลิกอย่างพลการ เราได้รับความรอดเพราะพระเจ้าทรงถือปฏิบัติตามพระคําของพระองค์. ถ้าพระเจ้าทรงไม่ปฏิบัติตามคําพูดของพระองค์ ก็คงไม่มีความรอดอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณควรเจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจที่จะยกเลิกความสัมพันธ์ คุณก็ต้องสมรสกับเขาหรือกับเธอ.
บพส.15:4 กล่าวว่า “เมื่อให้คําสัตย์ปฏิญาณแล้วต้องพบกับความเสียหาย เขาก็ไม่กลับคํา” หลังจากที่ชาวอิสราเอลได้เข้าไปในแผ่นดินคะนาอันแล้ว พวกฆิบโอนก็หลอกพวกเขาด้วย ขนมปังแห้งๆ ขึ้นรา. รองเท้าเก่าที่มีรอยปะ และสวมเสื้อผ้าเก่า พวกเขาบอกว่าพวกเขามาจากประเทศที่ห่างไกลและยะโฮซูอะก็ได้สัญญาว่าจะไม่ฆ่าพวกเขา. ต่อมายะโฮซูอะพบว่า ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามาจากประเทศที่อยู่ใกล้ เพราะเหตุพันธสัญญาที่ได้ทําไว้กับพวกเขา พระเจ้าจึงไม่อนุญาตให้ชาวอิสราเอลฆ่าพวกเขา. อย่างมากที่สุด พวกเขาถูกใช้ให้เป็นคนตัดไม้และคนตักน้ํา (ยะโฮซูอะ 9:3-27). การถือรักษาพันธสัญญาของบุคคลหนึ่งเป็นเรื่องที่จริงจังมากในพระคัมภีร์. คุณสามารถที่จะยกเลิกการหมั้นหมายถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมที่จะ ยกเลิกเท่านั้น แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมาย คุณก็ไม่สามารถยกเลิกได้ พันธสัญญาที่ตั้งไว้กับพวกฆิบโอนก็ทําให้เกิดผลที่ตามมาอย่างร้ายแรง ฝนไม่ตกจากฟ้าสวรรค์ เพราะซาอูลฆ่าพวกฆิบโอน. ดาวิดถูกบังคับให้ถามพวกฆิบโอนว่าเขาควรจะทําอะไรให้พวกเขา พวกฆิบโอนต้องการให้นําลูกเจ็ดคนของซาอูลไปแขวนไว้บนต้นไม้และดาวิดก็ต้องทําตาม (1ซามูเอล 21:1-6). พระเจ้าจะไม่อนุญาตให้เราฝ่าฝืนพันธสัญญาตามอําเภอใจ. เราต้องเรียนรู้ที่จะถือรักษาพันธสัญญาที่เราตั้งไว้ เราไม่สามารถทําสิ่งใดที่ไม่ชอบธรรม.
3. การทําข้อตกลงไว้ก่อน
คุณได้หมั้นหมายกับบางคน แต่ในเวลานี้คุณได้มาเป็นคริสเตียน คุณควรจะทําอย่างไรถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยืนยันที่จะสมรสกับคุณ? นี่เป็นบางอย่างที่คุณสามารถทําได้คือทําข้อตกลงกับเขา ล่วงหน้า คุณสามารถบอกว่า “แน่นอนฉันจะแต่งงานกับคุณ แต่ฉันต้องตกลงเรื่องบางอย่างกับคุณก่อนที่จะสมรส.” อะไรคือเรื่องบางอย่าง? เรื่องแรกคือเขาต้องยอมให้คุณมาปรนนิบัติพระเจ้า คุณไม่ควรย้ายเข้าไปในบ้านของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยความหน้าชื่อใจคด แต่คุณควรย้ายเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย. ตอนนี้คุณได้เป็นคริสเตียนแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะสมรสกับอีกบุคคลหนึ่ง เขาจะต้องให้ความอิสระกับคุณในการปรนนิบัติพระเจ้า. เขาจะต้องไม่เข้ามาแทรกแซงการปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าของคุณ. เรื่องที่สองก็คือ เมื่อคุณมีลูกๆ พวกเขาก็ต้องถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นสอดคล้องกับคําสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะมาเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาหรือเธอ แต่ลูกๆ ต้องถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นสอดคล้องกับคําสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า คุณจะต้องจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มต้น เรื่องนี้ต้องมีข้อตกลงร่วมกันล่วงหน้าอย่างเด็ดขาด. ถ้าคุณมีการตกลงร่วมกัน คุณก็จะไม่พบกับความยากลําบากในภายหลัง. ถ้าคุณไม่ได้มีการตกลงกันล่วงหน้า คุณก็จะพบกับความยากลําบากตามมาตลอดเส้นทาง. การสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อมีแต่การสูญเสียเสมอ. แต่คุณสามารถลดการสูญเสีย และลดปัญหาที่ตามมาโดยการมีข้อตกลงร่วมกันก่อน. อีกฝ่ายหนึ่งต้องตกลงที่จะให้ความอิสระกับคุณในการนําพาลูกๆ ของคุณมาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณได้มาเป็นคริสเตียน คุณจะไม่ไปหาโลกนี้ คุณจะอยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ. ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยอมรับต่อข้อตกลงนี้ คุณก็สามารถดําเนินการในการสมรสกับเขาได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นชอบ เขาก็สามารถยกเลิกข้อตกลง. เราจําเป็นที่จะต้องนําเอาพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาแสดงให้เห็นต่อหน้าเขา. การทําเช่นนี้จะมีแนวโน้มที่จะลดปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาในที่สุด.
VII. ถ้าผู้หนึ่งจําเป็นที่จะต้องสมรสแต่ไม่สามารถหาคู่หมายที่เป็นผู้เชื่อได้
จะทําอย่างไร นี่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องมโนภาพ. เราได้แต่กล่าวว่าไม่มีคําสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเราจําเป็นต้องมาสัมผัสกับความรู้สึกของเปาโล ใน 1 โกรินโธ 7 เปาโลเฝ้าปรารถนาว่าถ้าเป็นไปได้บรรดาหญิงม่ายไม่ควรสมรสใหม่ แต่เปาโลกกล่าวอีกว่า ท่านยังปรารถนาที่จะให้บรรดาหญิงม่ายทําการสมรสใหม่กับบรรดาผู้ที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 39). ดังนั้น หญิงม่ายสามารถสมรสใหม่ได้ถ้ามีความจําเป็น จากหลักการนี้ เราสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดสําหรับพี่น้องชายก็คือสมรสกับพี่น้องหญิงที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ก็เป็นการดีกว่าที่เขาจะไม่สมรสเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาจําเป็นต้องสมรส เราก็ยังคงยินดีที่จะเห็นเขาสมรส. ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่เป็นผู้เชื่อ เราก็ยังคงยินดีที่จะเห็นเขาสมรส.
เมื่อเรากล่าวเช่นนี้ เราไม่ได้สนับสนุนเหมือนกับที่ชาวโลกกล่าวว่า “เลือกสิ่งที่ชั่วน้อยกว่าในสองสิ่งที่ชั่ว”. เรากําลังจะกล่าวว่า ยอมทําบาปที่ละเมิดการปกครองของพระเจ้าก็ดีกว่าที่จะทําบาปทางศีลธรรม. ถ้าการที่ข้าพเจ้าไม่สมรส ทําให้ข้าพเจ้าตกลงไปในความบาป ข้าพเจ้าได้ทําบาปทางศีลธรรม. ถ้าข้าพเจ้าสมรสกับหญิงที่ไม่เชื่อ ข้าพเจ้าก็ได้ทําบาปที่ละเมิดการปกครองของพระเจ้า. มีความบาปอยู่สองประเภท: ประเภทที่หนึ่งคือความบาปทางศีลธรรมและอีกประเภทคือความบาปที่ละเมิดการปกครองของพระเจ้า โปรดจําไว้ว่า บาปทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากยิ่งกว่าความบาปที่ละเมิดการปกครองของพระเจ้า ถ้าพี่น้องชายคนหนึ่ง จําเป็นที่จะสมรส และเขาไม่สามารถหาพี่น้องหญิงได้ สิ่งที่ดีที่สุดสําหรับเขาก็คือการที่เขาจะ ยังคงอยู่เป็นโสด. แต่ถ้าเขาต้องการสมรสจริงๆ เราควรจะยอมให้เขาสมรส ถึงแม้ว่าเขาจะต้องสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อก็ตาม.
ถ้าคุณสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อ คุณจะต้องเปิดตาของคุณออกและตระหนักว่าปัญหาร้ายแรงนั้นอยู่เบื้องหน้า. การที่ผู้เชื่อสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อก็จะมีปัญหาความยุ่งยากมาก. ความยุ่งยากนี้จะ มีมากยิ่งกว่าสามีภรรยาที่ไม่เชื่อมาก่อนแต่ต่อมามีฝ่ายหนึ่งได้กลายเป็นผู้เชื่อ. สามีหรือภรรยาที่กลายเป็นผู้เชื่อหลังจากการสมรสอาจจะต้องเผชิญกับความยากลําบาก แต่หลายครั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะนําพาเขาผ่านไปได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อที่ได้สมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อ เขาจะต้องเผชิญกับความยากลําบากมากมาย. เราจําเป็นต้องเตือนเขาล่วงหน้า และเขาก็จําเป็นต้องเปิด ตาของเขาออกเพื่อเขาจะมองเห็นความยากลําบากที่อยู่เบื้องหน้า.
ถ้าคนผู้หนึ่งสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อ เราต้องเตือนเขาอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ เขาต้องระมัดระวังที่จะไม่ถูกดึงให้หลงทางไป. เขาจะต้องจําไว้ว่า เขากําลังจะสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อและถ้าเขาไม่ ระมัดระวังก็จะเป็นการง่ายที่เขาจะถูกดึงให้หลงทางไป. แน่นอนว่าผู้ที่สมรสแล้วและผู้ที่หมั้นหมายแล้วก็ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ผู้ที่กําลังพิจารณาที่จะสมรสก็ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาจําเป็นต้องได้รับการปกป้องการรักษาไว้ และการอธิษฐานเผื่ออย่างเป็นพิเศษ เพื่อพวกเขาจะไม่ถูกดึงให้หลงทางไปโดยอีกฝ่ายหนึ่ง.
หากคุณไม่มีทางเลือกจึงต้องสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่อ คุณต้องวางเงื่อนไขเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้าเช่นกัน คุณจําเป็นต้องบอกผู้ที่ไม่เชื่อว่า “ข้าพเจ้าได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่บังคับให้คุณมาเชื่อ แต่คุณไม่สามารถมาแทรกแซงความเชื่อของข้าพเจ้า คุณจะต้องให้ความอิสระอย่างสมบูรณ์แก่ข้าพเจ้าในเรื่องนี้” คุณจําเป็นที่จะต้องพูด กับเขาถึงปัญหาของลูกๆ เช่นกัน. “คุณจะต้องให้ความอิสระกับข้าพเจ้าในการนําพาลูกๆ ของเราไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า. ข้าพเจ้าต้องการให้ลูกๆ ของข้าพเจ้าเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกเขานมัสการรูปเคารพหรือเอาตามอย่างโลกนี้” ถ้าคุณเน้นย้ําในเรื่องนี้อย่างเพียงพอ บางทีคุณอาจจะสามารถผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้.
ข้าพเจ้าขอพูดสักเล็กน้อยกับพี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้สูงอายุ. เมื่อคุณเห็นผู้เชื่อใหม่กําลังดิ้นรนกับปัญหาดังกล่าว คุณจะต้องมีความระมัดระวังอย่างมาก อย่าเปิดประตูกว้างเกินไป อย่าได้อนุญาตให้เขาสมรสกับผู้ที่ไม่เชื่ออย่างมักง่าย. แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ไม่ควรที่จะปิดประตูแน่นจนเกินไป. ไม่ใช่ให้เขาหลุดพ้นจากความบาปที่ละเมิดการปกครอง แต่กลับตกอยู่ในความบาปทางศีลธรรม. เป็นการดีกว่าที่เขาจะตกอยู่ในพระหัตถ์แห่งการปกครองของพระเจ้าแทนที่จะตกอยู่ในความบาปทางศีลธรรม.
ข้าพเจ้ามีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง. เรามีพี่น้องอนุชนชายหญิงมากมายในแต่ละท้องถิ่น. ปัญหาส่วนใหญ่ในการหาคู่สมรสเกิดขึ้นมาจากวิสุทธิชนส่วนใหญ่มีความคาดหวังมากเกินไปเกี่ยวกับภูมิหลังและสถานภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง. พี่น้องชายที่มีสถานภาพทางสังคมสูงไม่ต้องการที่จะสมรสกับพี่น้องหญิงที่มีสถานภาพที่ต่ํา และในทางกลับกันก็เป็นอย่างนั้น วันนี้เราไม่ได้ขาดไปซึ่งพี่น้องชายและพี่น้องหญิง แต่ปัญหาของสถานภาพได้ก่อให้เกิดปัญหามากมาย. ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายๆ ถ้าพี่น้องชายและพี่น้องหญิงจะเปลี่ยนแนวคิดของเขาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ. นี่จะเป็นเรื่องง่ายสําหรับพี่น้องหญิงที่จะสมรสถ้าพวกเธอไม่ดูถูกพี่น้องชายที่เป็นเกษตรกร. นี่ก็จะเป็นเรื่องง่ายเช่นกันสําหรับพี่น้องชายถ้าพวกเขาไม่ดูถูกพี่น้องหญิงที่เป็นเกษตรกร. วันนี้เราดูถูกอาชีพที่พระเจ้าทรงให้เกียรติ แต่ยกย่องอาชีพที่มนุษย์เห็นว่ามีเกียรติ. นี่เป็นสิ่งที่ทําให้ซับซ้อนยุ่งยาก. วันนี้เราไม่ขาดไปซึ่งพี่น้องชายและพี่น้องหญิง แต่เราขาดไปซึ่งความสอดคล้องกันทางสถานภาพ เนื่องจากเรื่องของสถานภาพได้ถูกพิจารณาเหมือนอย่างชาวโลก ดังนั้นเราจําเป็นที่จะต้องมีการ หันเปลี่ยนทางความคิดอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของอาชีพเพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ได้.
VIII. กรณีที่มีกรรยาน้อยแล้ว จะทําอย่างไร
ในพระคัมภีร์ไม่มีคําสั่งที่บอกให้ผู้ชายแยกตัวเองออกจากภรรยาน้อยของเขา ไม่มีที่ใดเลยในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าสั่งให้ผู้ชายไล่ภรรยาน้อยของเขาออกไป. ข้าพเจ้ากําลังพูดถึงภรรยา น้อยที่เขาได้มาก่อนที่จะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคัมภีร์ข้าพเจ้าคิดว่ามีข้อบ่งชี้ที่เพียงพอของการที่พระเจ้าต้องการให้ผู้ชายดูแลภรรยาน้อย.
บางที่เราควรจะมาดูถึงข้อเรียกร้องของมนุษย์ก่อนที่จะพิจารณาข้อเรียกร้องของพระคัมภีร์ สิ่งที่มนุษย์เรียกร้องเรื่องแรกก็คือให้ไล่ภรรยาน้อยของเขาออกไป. ถ้าไม่สามารถไล่ภรรยา น้อยออกไปได้ ความคิดของมนุษย์ก็คือสามีจะต้องหยุดที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอ นี่เป็นแนวคิดของมนุษย์และน่าเสียดายที่พี่น้องชายและพี่หญิงมากมายยึดถือแนวคิดนี้ แต่นี่ ไม่ใช่การเปิดเผยของพระเจ้า ในความเป็นจริงแล้วนี้เป็นแนวคิดนอกศาสนา.
1. พระคัมภีร์ไม่เคยเรียกร้องให้ไล่ภรรยาน้อยออกไป
ในพระคัมภีร์ไม่มีใครที่ได้ภรรยาน้อยมาโดยวิธีที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าดาวิด เขาไม่เพียงแต่ได้ภรรยาน้อยมา แต่ได้ถึงกับทําการฆาตกรรมเพื่อจะได้มา. อูรียาตายเพราะภรรยาของเขา ดาวิดสังเวยอูรียาเพื่อจะได้นางบัธเซบะ. ซะโลโมเกิดจากนางบัธเซบะและพระเยซูเองก็กําเนิดจากนางบัธเซบะด้วย. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับความจริงนี้ในพันธสัญญาใหม่ มัดธายบทที่ 1 บอกเราเกี่ยวกับหญิงสี่คน. นางบัธเซบะก็รวมอยู่ในนั้นด้วยและถูกกล่าวถึงในฐานะภรรยาของอูรียา. เราจะต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับความจริงนี้: บรรดาผู้มีภรรยาน้อยต้องยอมจํานนต่อพระหัตถ์แห่งการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาไม่อาจที่จะไล่ภรรยาน้อยออกไป.
ทําไมพระคัมภีร์ไม่ได้เรียกร้องให้ไล่ภรรยาน้อยออกไป? โปรดจําไว้ว่า บาปของการคบชู้ กับการได้ภรรยาน้อยเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าข้าพเจ้าขโมยพระคัมภีร์เล่มหนึ่งในวันนี้ ข้าพเจ้าก็จะต้องคืนพระคัมภีร์เล่มนั้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าข้าพเจ้าขโมยเงินหนึ่งพันดอลลาร์ในวันนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องคืนเงินหนึ่งพันดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าข้าพเจ้าได้ภรรยาน้อยมาวันนี้ ข้าพเจ้าไม่มีหนทางในการส่งเธอคืนกลับไป.
พี่น้องชายบางคนคิดว่าภรรยาน้อยทุกคนควรจะถูกไล่ออกไป. นี่คือการพิจารณาจากมุมมองของผู้ชาย. บรรดาผู้ชายทั้งหลายควรรู้ว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า การไปมีภรรยาน้อยเท่ากับการคบชู้ อย่างไรก็ตามในด้านของภรรยาน้อย เมื่อเธอสมรสกับผู้ชาย เธอไม่ได้สมรสกับสามีสองคน. ผู้ชายสมรสกับหญิงสองคน แต่ภรรยาน้อยไม่ได้สมรสกับสามีสองคน เราต้องมองเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยขอให้ชายนั้นไล่ภรรยาน้อยของเขาออกไป.
ข้าพเจ้าคิดว่าหลักการของมารดาของซะโลโมมีความชัดเจนมาก พระเจ้าทรงเจาะจงส่งผู้เผยพระวจนะนาธานไปหาดาวิดหลังจากที่ดาวิดรับนางบัธเซบะมาเป็นภรรยา. ทุกสิ่งที่ พระเจ้าทรงต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกกล่าวไว้แล้วผ่านนาธาน. ไม่มีความจําเป็นที่คุณจะไปเพิ่มอะไรเข้าไปในคําพูดของเขา. ถึงแม้ว่านาธานอาจจะพลาดอะไรไปก็ไม่มีความจําเป็นที่คุณหรือข้าพเจ้าจะไปเพิ่มคําอธิบายในเรื่องนี้ในสามพันปีต่อมา นาธานบอกดาวิดว่า บุตรชายของเขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอนและการพิพากษาก็จะมาถึงเขา. คนอื่นๆ ก็จะมาร่วมนอนกับนางสนมทั้งหลายของเขาอย่างเปิดเผยและดาบนั้นก็จะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเขา (2ซมอ.12:7-14). นาธานไม่ได้ขอให้ดาวิดไล่นางบัธเซบะออกไป. ถ้าเขาไล่เธอออกไปแล้ว เธอควรจะทําอย่างไร? อูรียาได้ตายไปแล้ว หลายคนในวันนี้ไม่มีอูรียาของพวกเธอแล้ว ในขณะที่อูรียาของบางคนก็ตายแล้ว. พวกเธอควรจะทําอย่างไร? ตอนที่พระเจ้าทรงส่งนาธานไปหาดาวิด พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้ดาวิดไล่นางบัธเซบะออกไป. ในความเป็นจริงแล้วต่อมาพระเจ้าทรงกระทําให้เธอให้กําเนิดซะโลโม (ข้อ 24). พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทําให้ภรรยาคนใดของดาวิดให้กําเนิดซะโลโม. ยิ่งไปกว่านั้นในหน้าแรกของพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า “และดาวิดให้กําเนิดซะโลโมที่เกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอูรียา” (มธ.1:6). พันธสัญญาใหม่ไม่ได้กล่าวว่าคนหนึ่งสามารถมีภรรยาน้อยได้. แต่พันธสัญญาใหม่ก็ไม่ได้กล่าวว่า คนหนึ่งต้องไล่ภรรยาน้อยของเขาออกไปเช่นกัน.
2. อย่าให้ประเพณีตัวเมียของเธอต้องสิ้นสุดลง
อซด.21:9-11 ระบุว่าถ้าเจ้านายยกทาสีคนหนึ่งให้เป็นภรรยาบุตรชายของเขา ก็ให้เขาปฏิบัติต่อหญิงนั้นดุจเป็นบุตรสาวของตน. ถ้าต่อมาบุตรชายหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาหญิงคนใช้นั้น ก็จะกลายเป็นภรรยาน้อย. การกําหนดของพระเจ้าเป็นที่ชัดเจน: อย่าให้เขาลดอาหารการกิน เสื้อผ้า และประเพณีผัวเมียของเธอ ถ้าเขาไม่ได้กระทําสามสิ่งนี้กับเธอ หญิงนั้นจะเป็นอิสระ และไม่เป็นทาสอีกต่อไป ดังนั้นหากใครคิดว่าเขาไม่สามารถกระทําหน้าที่ประเพณีผัวเมียกับภรรยาน้อยของเขา เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ข้าพเจ้าหวังว่าคุณจะ สามารถมีความชัดเจนกับเรื่องนี้.
3. บุคคลดังกล่าวเป็นผู้อาวุโสไม่ได้
มีพระคําเพียงตอนหนึ่งเท่านั้นที่พูดถึงเรื่องของภรรยาน้อยในพันธสัญญาใหม่ ในการอ่านพระคัมภีร์เราชอบที่จะเห็นเรื่องบางเรื่องที่ถูกกล่าวถึงเพียงครั้งเดียว ถ้าเรื่องนั้นถูกกล่าวถึง สองครั้ง เราจะต้องทําการเปรียบเทียบกัน ถ้าถูกกล่าวถึงสามครั้งหรือมากกว่านั้น เราจะต้องรวบรวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันก่อนที่เราจะหาข้อสรุปเกี่ยวกับคําสอนของพระเจ้า นี่คือเหตุผล ที่นักศึกษาพระคัมภีร์ทุกคนชอบเรื่องที่มีการกล่าวถึงเพียงครั้งเดียว เพราะพวกเขาอ่านแค่แห่งเดียวนี้ก็จะรู้น้ําพระทัยของพระเจ้า. มีเพียงแห่งเดียวในพันธสัญญาใหม่คือ 1 ติโมเธียว ที่ กล่าวถึงเรื่องของภรรยาน้อย. ในที่นั่นกล่าวว่า ผู้ดูแลต้องเป็นสามีของภรรยาคนเดียวนั่น หมายความว่าบรรดาผู้ที่มีภรรยาน้อยไม่สามารถเป็นผู้อาวุโสในคริสตจักรได้ อย่างไรก็ตาม พันธสัญญาใหม่ไม่ได้กล่าวว่า เขานั้นควรจะไล่ภรรยาน้อยของเขาออกไปหรือละเว้นจากประเพณีผัวเมียกับเธอ.
4. ทางที่ดีที่สุด - ภรรยาน้อยได้รับความรอดและตัดสินใจที่จะแยกออกไปอย่างสมัครใจ
ถ้าภรรยาน้อยได้รับความรอดและไม่มีความปรารถนาที่จะมีประเพณีผัวเมียกับเขาต่อไปก็เป็นการดีถ้าเธอจะยินดีแยกออกไปจากสามี แต่นี่เป็นเรื่องความสมัครใจ นี่ไม่ใช่คําสั่งของ พระเจ้าหรือของคริสตจักร คริสตจักรไม่ควรเรียกร้องอะไรในเรื่องนี้ พระเจ้าได้ทรงผูกพันสองคนไว้ด้วยกันเท่านั้นและหลักการนี้ก็ควรจะถูกรักษาไว้ ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนว่าคนที่มี ภรรยาน้อยจะประสบความทุกข์ยากในร่างกายมากกว่าคนที่มีภรรยาคนเดียว. คนผู้นี้จะถูกตีสอนมากขึ้นจากพระเจ้า.
IX. การหย่าร้าง
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการหย่าร้าง แต่การหย่าร้างถูกอนุญาตโดยพระคําภายใต้เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น. มีกฎหมายมากมายเกี่ยวกับการหย่าร้างในท่ามกลางประเทศต่างๆ ของโลกนี้" บางประเทศมีกฎหมายมากกว่ายี่สิบข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนจีนก็มีกฎหมายกําหนดในเรื่องนี้หลายข้อ. ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความผิดปกติทางจิตหรือมีความขัดแย้งกันอย่างหนึ่งอย่างใด คู่สามีภรรยาสามารถหย่าร้างจากกันได้ แต่พระคัมภีร์ให้เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวสําหรับการหย่าร้างนั่นคือการมีชู้. ปัจจัยอื่นๆ เช่น การเจ็บป่วยทางจิต หรือการหายตัวไปเป็นเวลานานล้วนไม่ใช่เหตุผลสําหรับการหย่าร้างกัน. เหตุผลเดียวสําหรับการหย่าร้างคือการคบชู้ ในมัดธาย 19 และลูกา 16 พระเยซูตรัสแก่เราอย่างชัดเจนว่า การหย่าร้างจะอนุญาตเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการคบชู้เท่านั้น.
1. ผู้ที่พระเจ้าได้ให้ผูกพันกันแล้ว มนุษย์ไม่อาจทําให้แยกจากกัน
การหย่าร้างได้รับอนุญาตในกรณีที่มีการคบชู้ เพราะว่ามนุษย์ไม่ควรที่จะแยกผู้ที่พระเจ้าได้ให้ผูกพันกันแล้ว กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือสามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันในสายพระเนตร ของพระเจ้า. การหย่าร้างทั้งหลายได้ทําลายความเป็นหนึ่งเดียวนี้ อะไรคือการคบชู้? นั่นก็คือการทําลายความเป็นหนึ่งเดียวนี้ ถ้าคุณมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาหรือสามีของคุณ คุณได้กระทําการคบชู้ และคุณได้ทําลายความเป็นหนึ่งเดียวนี้. ภรรยาหรือสามีอาจพรากจากกันไปหลายปีหรือมีความเจ็บป่วยทางจิต. บางทีอาจจะมีการคุกคามทางจิต (psychological harassment) หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งแยกไปและไปสมรสกับคนอื่น เขาได้ทําลายความเป็นหนึ่งนั้นและได้กระทําการคบชู้ในความเป็นจริง.
2. ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้หย่าร้าง - เฉพาะเมื่อความเป็นหนึ่งนี้ถูกทําลายไป
เพราะเหตุใดการหย่าร้างได้รับอนุญาตในกรณีของการคบชู้ เพราะความเป็นหนึ่งได้ถูกทําลายไปเรียบร้อยแล้ว แต่เดิมภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกับสามีของเธอ. เมื่อสามีคบชู้ เธอก็เป็น อิสระ. เมื่อความเป็นหนึ่งอยู่ที่นั่นเธอต้องรักษามันไว้ ตอนนี้ความเป็นหนึ่งเดียวนั้นได้ถูกสามีทําลาย ภรรยาก็จะเป็นอิสระ. ดังนั้นการคบชู้เป็นเงื่อนไขเดียวสําหรับการหย่าร้าง. ภรรยา สามารถไปจากสามีของเธอ ถ้าเขาได้คบชู้ ถ้าพี่น้องหญิงพบว่าสามีของเธอคบชู้หรือไปมีภรรยาน้อย เธอสามารถหย่าร้างจากสามีของเธอและคริสตจักรไม่สามารถขัดขวางเธอได้ เธอสามารถหย่าร้างจากสามีของเธอและสามารถสมรสใหม่ได้ อะไรก็ตามที่ทําลายความเป็นหนึ่งนั้นก็เป็นบาป. บุคคลคนหนึ่งสามารถไปจากคู่สมรสของเขาหรือเธอได้ถ้ามีการคบชู้มาเกี่ยวข้อง เพราะการคบชู้ได้ทําลายความเป็นหนึ่งนั้น. การหย่าร้างเป็นการประกาศว่าความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างสามีและภรรยาไม่มีอยู่แล้ว เพราะว่าความเป็นหนึ่งนั้นไม่มีอยู่แล้ว ผู้นั้นจึงสามารถสมรสใหม่ได้.
มัดธาย 19 และลูกา 16 เป็นข้อพระคัมภีร์สองแห่งที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเราจะต้องให้ความสนใจอย่างมากกับสองตอนนี้ การหย่าร้างขึ้นอยู่กับการคบชู้ การคบชู้ทําลายความเป็นหนึ่งที่มีอยู่เดิมระหว่างสามีและภรรยา ทั้งสองไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไปแต่ได้กลายเป็นสอง. ดังนั้นพวกเขาสามารถหย่าร้างกันได้ พวกเขาสามารถหย่าร้างกันได้เพราะไม่มีความเป็นหนึ่งอีกต่อไประหว่างพวกเขา. ที่จริงแล้วการหย่าร้างได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อฝ่ายหนึ่งได้คบชู้ ไม่ใช่เริ่มต้นที่การฟ้องหย่าที่เรียกว่าการฟ้องหย่าเป็นเพียงแค่ขั้นตอนเท่านั้น การสมรสเริ่มต้นด้วยการประกาศความเป็นหนึ่งเดียวและการหย่าร้างคือการประกาศว่าความเป็นหนึ่งไม่มีอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลที่การหย่าร้างจะได้รับอนุญาตเมื่อพบว่ามีการคบชู้ การหย่าร้างที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการคบชู้ ผลลัพธ์ทําให้ทั้งสองฝ่ายกําลังกระทําการคบชู้ สมมติว่าทั้งสามีและภรรยาไม่ได้คบชู้ พวกเขาไม่สามารถหย่าร้างกันได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้ากันได้ก็ตาม. แต่ถ้าพวกเขาหย่าร้างกัน พวกเขาได้คบชู้. ถ้าความเป็นหนึ่งเดียวยังไม่ได้ถูกทําลายไป และเขาพยายามที่จะสมรสใหม่ เขาหรือเธอก็ได้คบชู้ในความเป็นจริงแล้ว เฉพาะตอนที่ความเป็นหนึ่งไม่มีอีกต่อไปแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถสมรสใหม่ได้.
เราจําเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือการสมรส การสมรสหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่หมายความว่าทั้งสองคนไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นกายอันเดียวกัน การคบชู้ทําลายความเป็นหนึ่งนี้ ในขณะที่การหย่าร้างเป็นแต่การประกาศถึงการถูกทําลายของความเป็นหนึ่งนี้เท่านั้น ในวันนี้ถ้าความเป็นหนึ่งได้หายไปในระหว่างทั้งสองคน การสมรสใหม่ก็ถูกนับว่าชอบธรรม. แต่สมมติว่าความเป็นหนึ่งเดียวกันยังคงมีอยู่ ทั้งสองคนอาจจะทะเลาะกันอย่างรุนแรง พวกเขาอาจจะเข้ากันไม่ได้และพวกเขาอาจจะขู่ว่าจะหย่าร้างกัน. กฎหมายของโลกและชาวโลกอาจจะอนุญาตให้พวกเขาหย่าร้างกันได้ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าทั้งสองยังไม่สามารถหย่าร้างกันได้. ถ้าพวกเขาหย่าร้างกัน พวกเขาก็ได้คบชู้ในความเป็นจริง. การหย่าร้างได้รับอนุญาตเฉพาะถ้ามีการคบชู้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น เราจําต้องมองเห็นว่าไม่มีใครสามารถแยกผู้ที่พระเจ้าได้ให้ผูกพันกันแล้ว เนื่องจากมีการผูกพันกันแล้ว เขาจะต้องไม่พยายามที่จะทําลายมันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม.
X. ปัญหาของหญิงม่าย
ผู้ที่ภรรยาได้ตายจากไปแล้ว เขาสามารถแต่งงานใหม่ นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์อนุญาตให้ทําได้ สําหรับหญิงม่ายก็สามารถแต่งงานใหม่ได้. คู่ครองจะสิ้นสุดลงด้วยการตาย ความสัมพันธ์ของคู่ครองจะไม่ดํารงอยู่อีกเมื่อเป็นขึ้นแล้ว เพราะในเวลานั้นมนุษย์ไม่มีการแต่งงานกันอีก (มธ.22:30). การแต่งงานเป็นเรื่องของโลกในทุกวันนี้ ทูตสวรรค์ก็ไม่มีเรื่องการแต่งงาน. คนที่เป็นขึ้นแล้วก็ไม่มีการแต่งงานกันอีก. การแต่งงานเป็นเรื่องของชาตินี้ ไม่ใช่เรื่องของชาติหน้า. ฉะนั้นคู่ครองจะสิ้นสุดลงด้วยการตาย. เมื่อฝ่ายหนึ่งตายแล้ว ถ้าท่านยังคิดถึงสัมพันธภาพในอดีต ท่านจะไม่แต่งงานใหม่ก็ดี แต่ถ้าท่านจะแต่งงานใหม่ พระคัมภีร์ก็อนุญาตให้ทําได้.
ขอให้เราใส่ใจคําสอนในโรมบทที่ 7 ในที่นั่นกล่าวว่า คริสเตียนทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าโดยการตายและการเป็นขึ้นของพระคริสต์ เราก็ได้แต่งงานใหม่แล้ว. โรมบทที่ 7 ให้เราเห็นว่าสามีบังคับเราอยู่ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีตายแล้ว ภรรยาก็สามารถแต่งงานใหม่. ทุกคนที่สามียังไม่ตาย แล้วไปแต่งงานใหม่ก็เป็นหญิงแพศยาที่คบชู้ ถ้าเราไม่ได้ตายต่อกฎบัญญัติเหมือนกับคนที่ยึดมั่นวันซะบาโต ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็เป็นแพศยา. ขอบคุณพระเจ้า เรามีสามีเพียงผู้เดียว พวกถือวันซะบาโต เขามีสามีสองคน คําสอนในโรมบทที่ 7 ว่า ถ้ากฎบัญญัติไม่ตาย เราก็ไม่อาจเป็นของพระคริสต์ เราก็จะกลายเป็นหญิงแพศยา เพราะเดิมที่เราได้แต่งงานกับกฎบัญญัติ เราเป็นของกฎบัญญัติ แต่เพราะเหตุพระคริสต์ เราได้ตายแล้ว วันนี้เราเลือกสรรพระคริสต์จึงไม่เป็นหญิงแพศยา เราล้วนได้แต่งงานใหม่กับพระคริสต์ เราได้ตายต่อกฎบัญญัติแล้ว ดังนั้น เราไม่ได้เป็นหญิงแพศยา โรมบทที่ 7 ได้กล่าวถึงสามีมีอํานาจเหนือภรรยานั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อตาย. ทันทีที่สามีตาย ภรรยาก็อิสระ ในชีวิตคริสตจักรอย่าได้มีทัศนะว่าหญิงม่ายสมรสใหม่เป็นความผิด ความคิดแบบนี้เป็นความคิดของชาวโลก.
ถ้าหญิงม่ายจะรักษาความเป็นโสดโดยไม่แต่งงานใหม่ นี่ก็เป็นเรื่องดี. เปาโลกล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า หญิงม่ายและผู้ที่เป็นโสดจะเหมือนข้าพเจ้าก็จะเป็นการดี ถ้าหากเพื่อการปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยอมอยู่เป็นโสด ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าเพราะเหตุกลัวการวิพากษ์วิจารณ์และตามมุมมองของสังคมจึงไม่แต่งงาน นั่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าหวังว่าในคริสตจักรต้องขจัดไปซึ่งแนวคิดเช่นนี้.
เปาโลกล่าวแก่ติโมเธียวว่า ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้หญิงม่ายที่ยังสาวอยู่ได้แต่งงานเสีย กรณีนี้ก็เหมือนกับพี่น้องชายแต่งงานใหม่. ปัญหาที่มีอยู่ในวันนี้ก็คือท่านมีความต้องการนั้นหรือไม่ มีบางคนคิดว่าการอยู่เป็นโสดเป็นความต้องการทางจิตใจ บางคนสภาพการณ์ในครอบครัวมีความจําเป็น ถ้ามีพี่น้องชายที่ภรรยาได้ตายไป เขาแต่งงานใหม่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าพี่น้องหญิงที่สามีได้ตายไป เธอไปแต่งงานใหม่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเช่นกัน คริสเตียนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ เราต้องขจัดออกซึ่งความคิดของคนนอกศาสนา.
XI. ปัญหาของความบาป
ในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงเห็นชอบว่า เพศเป็นเรื่องที่ถูกต้องและความรู้สึกทางเพศก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง. พฤติกรรมทางเพศก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง. ความรู้สึกทางเพศไม่เพียงแค่ไม่ใช่บาป แต่เป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ แต่ก็จํากัดอยู่ในคู่สมรสเท่านั้น เฉพาะในคู่สมรสเรื่องนี้จึงจะถูกต้องและบริสุทธิ์. ส่วนความรู้สึกและพฤติกรรมทางเพศที่อยู่นอกเหนือจากคู่สมรสหนึ่งเดียวนั้น ล้วนเป็นบาปทั้งสิ้น ท่านมองเห็นแล้วหรือยังอะไรคือบาป นั่นก็คือพฤติกรรมที่อยู่นอกเหนือการสมรสก็คือบาป. เพราะเหตุใดเล่า? เพราะพฤติกรรมที่อยู่นอกเหนือคู่ครองก็ได้ทําลายความเป็นหนึ่งไปเสีย. ดังนั้นการดํารงอยู่ของความบาปเพราะความเป็นหนึ่งจึงได้ถูกทําลาย การดํารงอยู่ของความบาปไม่ใช่เพราะตัวเพศเอง ตัวเพศเองนั้นไม่มีบาป เราจําต้องเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจนต่อพระพักตร์พระเจ้า.
ยกตัวอย่างที่พระเยซูตรัสในมัดธายบทที่ 5:27-28 “ท่านทั้งหลายย่อมได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าคบชู้ ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกําหนัดต่อหญิงนั้น ผู้นั้นก็ได้ เป็นชู้กับเธอในใจของเขาแล้ว”. การแลดูในที่นี้ ภาษาเดิมคือ “มอง” แต่ได้ครอบคลุมถึง “เห็น” การมองมีการใช้งานของความตั้งใจ การแลดูผู้หญิงไม่ใช่เห็นผู้หญิง การเห็นเป็น พฤติกรรมที่ถูกกระทํา แต่การมองเป็นพฤติกรรมที่เป็นผู้กระทํา. ถัดจากนั้นยังมีคําหนึ่งคือ มีใจกําหนัด ภาษาอังกฤษคือ to lust after her ไม่ใช่ว่า แลดูผู้หญิงก็เกิดใจกําหนัด แต่คือเพื่อใจกําหนัดนั้นจึงไปแลดูผู้หญิง. นั่นก็คือใจกําหนัดมาก่อน ไม่ใช่แลดูมาก่อน. พระคัมภีร์ภาษาจีนแปลว่าทุกคนที่แลดูผู้หญิงแล้วมีใจกําหนัด แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ทุกคนที่แลดูผู้หญิงเพื่อใจกําหนัดนั้น” การแลดูในที่นี้เป็นการแลดูครั้งที่สอง ไม่ใช่ครั้งแรก. ในครั้งแรกนั้น ท่านได้พบเห็นผู้หญิงตามท้องถนน ครั้งที่สองท่านก็ไปแลดูเขาในระหว่างการแลดูครั้งแรกกับครั้งที่สอง ท่านได้มีใจกําหนัดแล้ว ท่านแลดูเขาครั้งที่สองก็เพื่อใจกําหนัดนั้น ฉะนั้นการแลดูครั้งที่สองจึงเป็นเรื่องของก้าวที่สาม สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นไม่ใช่การแลดูในครั้งแรก แต่เป็นเรื่องของก้าวที่สาม. ผู้หญิงอยู่ตามท้องถนนนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ แต่มีบางคนไม่ได้ถูกจํากัด ได้ไปกระตุ้นให้เกิดใจกําหนัด ซาตานได้ยิงธนูแห่งใจกําหนัดให้เขา พอเขาเหลียวไปแลดูครั้งที่สองจึงเป็นบาป นี่ก็คือเมื่อมีใจกําหนัดแล้ว ไปแลดูครั้งที่สองจึงเป็นบาป.
มัดธายบทที่ 5 กล่าวไว้ว่า ทุกคนที่แลดูผู้หญิงเพื่อใจกําหนัดนั้น คนนั้นก็ได้เป็นชู้กับเธอในใจแล้ว. พระเยซูไม่ได้ตรัสถึงการแลดูครั้งแรก ถ้าเรานําเอาการแลดูครั้งแรกเพิ่มเข้ามาก็จะไม่ถูกต้อง. ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งบนท้องถนนโดยบังเอิญ ซาตานได้ยิงธนูแห่งใจกําหนัดเข้ามา. ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธมันเสียก็จบเรื่อง แต่ถ้าข้าพเจ้าเหลียวกลับไปแลดู นี่ก็จะเป็นบาป ขอให้ท่านจําไว้ว่า ความรู้สึกทางเพศไม่ใช่บาป แต่เมื่อความตั้งใจของเราได้ตัดสินใจเห็นด้วย นั่นก็จะกลายเป็นบาป เพราะการเห็นด้วยของความตั้งใจนี้อยู่นอกเหนือคู่ครอง. ในความตั้งใจของท่านได้ทําลายความเป็นหนึ่งไปแล้ว ในพฤติกรรมของท่านได้ทําลายความเป็นหนึ่งไป นั่นก็เป็นบาป ส่วนการทําลายความเป็นหนึ่งในความตั้งใจก็เป็นบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า.
ในพันธสัญญาเดิมพูดถึงการคบชู้เท่านั้น ในพันธสัญญาเดิมไม่มีบาปของการล่วงประเวณี ในพันธสัญญาเดิมไม่อนุญาตให้คนคบชู้เพราะมนุษย์ไม่รู้จักตัวเองพอ. การคบชู้คืออะไร ผู้หญิงที่มีคู่ครองแล้วไปทําผิด นั่นก็คือคบชู้ ส่วนการล่วงประเวณีคืออะไร ผู้ที่ไม่มีคู่ครอง แต่ไปทําผิดก็คือการล่วงประเวณี พฤติกรรมเหมือนกัน แต่ความบาปมีไม่เหมือนกัน ฉะนั้น เราจึงพูดได้ว่า หญิงโสเภณี มีแต่ผิดประเวณี ไม่ได้คบชู้เพราะเขาไม่มีคู่ครอง. ท่านต้องใส่ใจต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์ล่วงประเวณี แต่ในพันธสัญญาเดิมได้แต่พูดถึงผู้ที่มีคู่ครองแล้วได้ทําบาป แต่ไม่ได้พูดถึงผู้ที่ไม่มีคู่ครองได้ทําบาป ในพันธสัญญาเดิมไม่ใช่ไม่มีพฤติกรรมนี้ แต่ว่าศัพท์คํานี้ยังไม่ถูกกล่าวถึง ฉะนั้นไม่เพียงแต่การทําลายความเป็นหนึ่งคือบาป แม้แต่การไม่ทําลายความเป็นหนึ่งก็เป็นบาปด้วย.
เราจําต้องรู้ว่า การคบชู้เป็นบาปและการล่วงประเวณีก็เป็นบาปด้วย. การทําลายความเป็นหนึ่งของคู่ครองเป็นบาปการล่วงประเวณีของผู้ที่ไม่มีคู่ครอง ไม่มีความเป็นหนึ่งก็เป็นบาปเช่นกัน คริสเตียนห้ามคบชู้และห้ามล่วงประเวณีด้วย. เราต้องมองเห็นว่าเพศเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ ความรู้สึกทางเพศก็ไม่ใช่บาป. พฤติกรรมของเพศก็เป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ ถ้ากระทําต่อคู่ครองก็ไม่เป็นบาป. แต่ถ้าท่านมีความสัมพันธ์ของคู่ครองแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมทางเพศนอกเหนือคู่ครอง นี่ก็คือการคบชู้ ถ้าท่านไม่มีความสัมพันธ์ของคู่ครอง แล้วไปมีพฤติกรรมทางเพศ นี่คือการล่วงประเวณี. เราเป็นคริสเตียนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าต้องไม่คบชู้และต้องไม่ล่วงประเวณีด้วย.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 30 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. อาชีพที่พระเจ้าทรงจัดแจงไว้ในพระคัมภีร์
1. ยุคแห่งพันธสัญญาเดิม
2. ยุคแห่งพันธสัญญาใหม่
II. หลักการของอาชีพ
1. ปัจจัยที่ได้รับจากธรรมชาติ - เพิ่มพูนจนอุดมสมบูรณ์
2. การแปรรูปผลิตภัณฑ์ - เพิ่มพูนมูลค่า
3. ผู้ที่ทํางานก็จะได้รับค่าจ้าง
4. การค้าขาย – เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์เห็นว่าไม่ดีเป็นพิเศษ
III. การเลือกอาชีพ 3 ประเภทที่ไม่เหมือนกัน
IV. ไม่ควรทำการค้าโดยตรง
V. การค้าโดยตรงกับการผลิตผลเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
VI. อาชีพที่พระเจ้าทรงโปรดปราน
VII. หนทางที่จะมุ่งหน้าของเราตั้งแต่นี้ไป
ข้อพระคัมภีร์: 2ธซ. 3:10-12
2ธซ. 3:10 ด้วยว่าเมื่อเรายังอยู่กับท่านทั้งหลาย เราก็ได้กำชับอย่างนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงานก็อย่าให้เขากิน.
2ธซ. 3:11 ด้วยเราได้ยินว่ามีบางคนในพวกท่านที่ไม่ประพฤติตามระเบียบวินัย ไม่ยอมทำงานเลย แต่เที่ยวยุ่งกับธุระของผู้อื่น.
2ธซ. 3:12 เราขอกำชับและเตือนสติคนเช่นนั้นในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า จงทำงานด้วยใจสงบและกินอาหารของตนเอง.
------------------------------
อาชีพของคริสเตียนเป็นเรื่องที่ใหญ่เรื่องหนึ่ง ถ้าหากว่าเลือกอาชีพผิด หนทางข้างหน้านั้น ก็จะเดินได้ไม่ดี ดังนั้นคริสเตียนจําต้องใส่ใจต่อการเลือกอาชีพ.
I. อาชีพที่พระเจ้าทรงจัดแจงไว้ในพระคัมภีร์
1. ยุคแห่งพันธสัญญาเดิม
ขณะที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างมนุษย์ พระเจ้าก็ทรงจัดแจงอาชีพเพื่อมนุษย์ไว้แล้ว เรื่องราวที่พระเจ้าทรงจัดแบ่งให้กับอาดามและเอวาทนั้น ก็คือการซ่อมแซมและเฝ้าดู, ดังนั้น อาชีพเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะทําความผิดบาป. ในระยะแรกอาชีพของอาดามและเอวา ก็เหมือนกับคนดูแลสวนที่ซ่อมแซมและเฝ้าดูอยู่ในสวนเอเดนที่พระเจ้าทรงสร้างไว้
แต่หลังจากอาดามและเอวาได้ทําความผิดบาป แผ่นดินก็ไม่เกิดผลให้แก่พวกเขา พวกเขา ต้องทํามาหากินด้วยเหงื่อไหลอาบหน้า พวกเขาต้องทําไร่ไถนาจึงจะมีกิน (ยนซ.3:17-19) สิ่งนี้ ให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากมนุษย์ได้ตกต่ําไปแล้ว อาชีพที่พระเจ้าทรงกําหนดไว้นั้น ก็คือการเป็นชาวไร่ชาวนา, มนุษย์จําต้องทําไร่ไถนาด้วยเหงื่อไหลอาบหน้า แผ่นดินนั้นจึงจะเกิดผลให้แก่มนุษย์ และให้มนุษย์ได้รับอาหาร. ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ เราสามารถยอมรับได้ว่า เกษตรกรนั้นล้วนซื่อตรงมากกว่าคนอาชีพอื่นๆ ในระยะเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงกําหนดว่า มนุษย์ควรจะทําไร่นา.
เมื่อมาถึงเยเนซิศบทที่ 4 ท่านได้มองเห็นว่าคายินทําไร่ไถนา แต่เฮเบลนั้นเลี้ยงแกะ ตอนนี้ได้มีการเลี้ยงแกะเพิ่มเข้ามา ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นอาชีพที่พระเจ้าทรงโปรดปราน.
ต่อมา เมื่อมนุษย์บนแผ่นดินโลกยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้น ได้มีช่างต่างๆ ก่อกําเนิดขึ้นมา มีช่างเหล็ก มีช่างทองเหลือง มีช่างทําเครื่องดนตรีและมีช่างที่ทําเครื่องมือทองเหลืองและเหล็ก ต่างๆ เกิดขึ้นมา (4:22). เมื่อมาถึงสมัยของหอบาเบลได้มีช่างอิฐและช่างไม้ (11:3-4). (แม้การก่อสร้างหอบาเบลเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่มนุษย์ก็ได้เรียนรู้การก่อสร้างจากที่นั่น. ดังนั้นช่าง ทองเหลือง ช่างเหล็ก ช่างทําเครื่องดนตรี และช่างก่อสร้างนั้น ล้วนถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้อง).
เมื่อมาถึงเยเนซิศบทที่ 12 พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรอับราฮามเป็นคนเลี้ยงสัตว์. เขามีวัวและแกะมากมาย. เมื่อมาถึงยาโคบ เขาก็มีฝูงวัวและฝูงแกะ. สิ่งนี้จึงให้เรามองเห็นว่าอาชีพ หลักของพวกเขานั้นล้วนเป็นคนเลี้ยงสัตว์.
ในอียิปต์ชาวอิสราเอลเป็นช่างเผาอิฐให้แก่ฟาโรห์. แต่หลังจากพวกเขาได้ออกจากอียิปต์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานแผ่นดินที่หลั่งไหลน้ํานมและน้ําผึ้งให้แก่พวกเขา. ที่นี่มีสอง อาชีพที่ปรากฏอย่างชัดเจนคือการเลี้ยงสัตว์และการทําไร่ไถนา, องุ่นในแผ่นดินนั้นต้องแบก ด้วยคนสองคน (อฤธ.13:23). แสดงให้เห็นว่าที่นั่นมีการทําไร่ไถนา พระเจ้าทรงตรัสว่า ถ้าเจ้าทั้งหลายทรยศต่อเราและกราบไหว้รูปเคารพ เราจะทําให้ฟ้าสวรรค์ของเจ้าเป็นดุจดั่งทองเหลือง แผ่นดินดุจดั่งเหล็ก และจะไม่เกิดผลให้แก่เจ้าทั้งหลาย (ลวต 26:19-20). สิ่งนี้ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าอาชีพของพวกเขาที่อยู่ในแผ่นดินคะนาอันที่พระเจ้าทรงสัญญานั้น ก็คือ การทําไร่ไถนาและเลี้ยงสัตว์. ในพันธสัญญาเดิมก็มีอาชีพต่างๆ เหล่านี้
2. ยุคแห่งพันธสัญญาใหม่
เมื่อมาถึงพันธสัญญาใหม่ คําอุปมาที่พระเยซูทรงอ้างอิงอยู่ในกิตติคุณมัดธายได้ให้เรามองเห็นว่าการทําไร่ไถนานั้นเป็นอาชีพที่เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง. ยกตัวอย่างเช่นในบทที่ 13 มีอุปมาของการหว่านเมล็ดพืช. ในบทที่ 20 มีอุปมาของสวนองุ่น, ในลูกาบทที่ 17 ได้บอกว่า มีทาสไถนาหรือทาสเลี้ยงแกะซึ่งกลับมาจากทุ่งนา. ในโยฮันบทที่ 10 พระองค์ตรัสว่า ผู้เลี้ยงอันดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อแกะ นี่ก็คือการเลี้ยงสัตว์. ดังนั้นอาชีพทําไร่ไถนาและการเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นอาชีพพื้นฐานที่พระเจ้าได้ทรงกําหนดไว้ให้กับมนุษย์.
พระองค์ทรงเรียกอัครทูต 12 คน ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนจับปลา. ถ้าคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี พระองค์ก็คงต้องการให้ข้าพเจ้าและเขาทิ้งอาชีพนี้ แต่สําหรับชาวประมง พระองค์ทรงตรัสว่า “เมื่อก่อนพวกเจ้าเป็นคนจับปลา แต่ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะให้พวกเจ้าได้คนเหมือนกับได้ปลา” (มธ 4:19). ดังนั้นการจับปลาก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ.
ลูกาเป็นหมอ เปาโลเย็บกระโจม. การเย็บกระโจมนั้นเป็นการแปรรูปผลผลิต ซึ่งไม่เหมือนกับการจับปลา การที่มนุษย์ไถนานั้นเป็นการผลิตโดยตรง. ส่วนการทอผ้า การเป็นช่างตัดเสื้อหรือการเย็บกระโจม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการแปรรูปผลผลิต.
ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดได้ว่า ตั้งแต่พันธสัญญาเดิมจนถึงพันธสัญญาใหม่ การจัดแจงอาชีพของพระเจ้าก็เป็นเช่นนี้ เหล่าสาวกของพระองค์ที่เป็นเกษตรกร คนเลี้ยงสัตว์ นายช่าง คนจับ ปลา หรือทําการแปรรูปผลผลิต. ถ้าหากจะต้องการเพิ่มอาชีพอีกอาชีพหนึ่ง อย่างมากก็สามารถเป็นได้เพียงแค่ “คนงาน” (ไม่ใช่หมายถึงเป็นคนทํางานฝ่ายวิญญาณ) เพราะว่าในพันธสัญญาใหม่มีคํากล่าวไว้ว่า “คนที่ทํางานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน” (1ตธ.5:18) คนงานก็คือคนที่ใช้แรงงาน คนที่ขายแรงงาน. ค่าแรงที่ได้จากการใช้แรงงานนั้นก็เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับในพระคัมภีร์ด้วย.
II. หลักการของอาชีพ
ในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงจัดแจงอาชีพมากมายให้แก่มนุษย์ ดังนั้น เราจึงสามารถหาหลักการพื้นฐานออกมาได้อย่างหนึ่งซึ่งกล่าวได้คือ สิ่งที่มนุษย์ได้รับหรือต้อนรับนั้นจําต้องมาจากธรรมชาติ. หรือมนุษย์ต้องเอาเวลาและกําลังของเขาออกมาเพื่อจะได้มาซึ่งค่าแรง. นี่ก็คือ หลักการของอาชีพต่างๆ ที่กล่าวยกไว้ในพระคัมภีร์.
1. ปัจจัยที่ได้รับจากธรรมชาติ - เพิ่มพูนจนอุดมสมบูรณ์
ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชได้เอาข้าวสาลีเมล็ดหนึ่งหว่านลงในดิน รอสักหน่อยหนึ่งก็เกิดเมล็ดมากมายออกมา 30 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง หรือ100 เท่าบ้าง (มธ.13:38). เมล็ดเดียวกลายเป็นหนึ่งร้อยเมล็ด กลายเป็นหกสิบเมล็ด หรือกลายเป็นสามสิบเมล็ด. ท่านนําเมล็ดพืชปลูกลงในดิน แล้วทําให้มันเติบโตขึ้น มันก็จะเกิดเมล็ดออกมามากมาย ท่านมองเห็นไหมว่านี่เป็นการได้รับมาจากการให้ของธรรมชาติ การให้ของธรรมชาตินั้นเป็นการให้ที่อุดมสมบูรณ์ และทุกคนล้วนสามารถได้รับมาจากมัน เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างแก่คนชั่ว และคนดี และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม (5:45). นี่คือคุณประโยชน์ที่ชัดเจนของการทําเกษตรกรรม. ดังนั้นวัตถุประสงค์ของพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่มาจากธรรมชาติ. การเลี้ยงสัตว์ก็อยู่ในหลักการเดียวกันนี้ด้วย. คุณเลี้ยงแกะ มันก็จะให้น้ํานมแก่คุณ คุณเลี้ยงแกะ มันก็จะเกิดลูกแกะมากมายให้แก่คุณ. นี่คือการเพิ่มพูนของการก่อกําเนิด. นี่ก็คือสิ่งที่ธรรมชาติให้ และไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาจากการใช้วิธีอื่น.
เมื่อมาถึงในพันธสัญญาใหม่ ท่านมองเห็นว่ามีการจับปลา. การจับปลาเป็นการไปจับมาจากแม่น้ําหรือในทะเล นี่ก็ยังเป็นการได้รับมาจากธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะเหตุว่าการที่ข้าพเจ้าไปจับมาจากในแม่น้ําหรือในทะเลนั้นจะทําให้ใครสักคนหนึ่งยิ่งยากจนลง. ข้าพเจ้าสามารถจับปลาขึ้นมาจากน้ํา ข้าพเจ้าก็สามารถกลายเป็นคนมั่งมี แต่ว่าไม่สามารถทําให้ใครสักคนกลายเป็นคนยากจนลง แกะของข้าพเจ้าเกิดลูกแกะหกตัว วัวของข้าพเจ้าเกิดลูกวัวสองตัว แต่ก็ไม่ใช่เพราะเหตุว่าแกะของข้าพเจ้าเกิดลูกแกะ หรือวัวของข้าพเจ้าเกิดลูกวัวแล้ว จะทําให้บ้าน ของใครสักคนหนึ่งต้องกลายเป็นคนยากจนลง. ข้าพเจ้าทํานาอยู่ที่นี่ และนาของข้าพเจ้า เกิดผลร้อยเท่าก็ไม่ได้ทําให้คนอื่นต้องหิวโหยและเกิดความสูญเสีย ดังนั้นหลักการพื้นฐานของอาชีพที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์นั้นก็คือข้าพเจ้ามีรายได้ คนอื่นก็ไม่ได้รับความเสียหาย นี่ก็คืออาชีพที่สูงส่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดแจงไว้.
2. การแปรรูปผลิตภัณฑ์ - เพิ่มพูนมูลค่า
การเย็บกระโจมของเปาโลก็อยู่ในหลักการเดียวกัน แต่ว่าเขาไม่ได้เอามาจากธรรมชาติโดยตรง เหมือนกับการจับปลา การเลี้ยงสัตว์ และการทําไร่ไถนา ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากธรรมชาติโดยตรง. เปาโลอยู่ที่นั่นได้ใช้เวลาในการแปรรูปผลิตภัณฑ์. นี่ก็คือการเพิ่มพูนมูลค่าให้กับสิ่งของ. สมมุติว่า ผ้าผืนหนึ่งมีค่าเพียงหนึ่งเหรียญเท่านั้น ข้าพเจ้าได้เอามันไปตัดเย็บและทําเป็นกระโจม มันก็จะมีค่าเป็นสองเหรียญ. มูลค่าของมันได้เพิ่มพูนขึ้น ข้าพเจ้าก็ ได้รับค่าแรงจากการเพิ่มมูลค่า ไม่ใช่เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าได้รับเงินมาจากการเพิ่มพูนมูลค่านี้ แล้วทําให้ใครสักคนหนึ่งต้องกลายเป็นคนยากจน ไม่มีใครสักคนหนึ่งเพราะเหตุเปาโลเย็บกระโจม จึงทําให้เขาต้องยากจนลงและได้รับความเสียหาย ข้าพเจ้าได้เพิ่มพูนมูลค่าให้กับผ้าผืนนี้ ก็เพราะว่าข้าพเจ้าได้เพิ่มเวลาทําการแปรรูป และข้าพเจ้าจึงได้รับค่าแรง นี่ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม. ดังนั้นอาชีพที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์นั้น มีหลักการพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือการเพิ่มพูนมูลค่า.
3. ผู้ที่ทํางานก็จะได้รับค่าจ้าง
ยกตัวอย่างเช่นการเป็นคนงานรับจ้าง นายช่าง และหมอ นี่ก็เป็นหลักการอีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าใช้เวลาของข้าพเจ้ามาขายเป็นเงิน เพื่อจะได้รับค่าแรง. แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นการเอาของ มาจากธรรมชาติ อีกทั้งก็ไม่ใช่การแปรรูปให้กับผลิตภัณฑ์ แต่ข้าพเจ้าได้ใช้เวลา ได้จ่ายราคา และได้ทําเรื่องราวมากมาย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีรายได้เป็นจํานวนมาก. ผู้ที่ทํางานก็จะได้รับค่าจ้าง นี่ก็เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงยอมรับ.
4. การค้าขาย – เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์เห็นว่าไม่ดีเป็นพิเศษ
มีอยู่อาชีพหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์เห็นว่าไม่ดีเป็นพิเศษนั่นก็คือการค้าขาย ขอให้พวกท่านสนใจเป็นพิเศษต่อเรื่องนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าพี่น้องผู้แรกเชื่อ ถ้าหากท่านมีกําลังในการเลือกอาชีพ ทางที่ดีที่สุดแล้วอย่าทําการค้าขาย. เพราะอะไร? ก่อนอื่นข้าพเจ้าอยากจะให้มองประเด็นนี้อย่างกว้างๆ ซึ่งอาจจะทําให้ท่านมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น สมมุติว่า พวกเราที่นี่มีหนึ่งร้อยคน ทุกคนมีเงินหนึ่งล้านเหรียญ หนึ่งร้อยคนเมื่อรวมเข้าด้วยกัน ก็จะมีหนึ่งร้อยล้าน ข้าพเจ้าขอถามว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไปทําการค้าขาย ไปทําธุรกิจ ข้าพเจ้าก็จะต้องคิดหากําไรอย่างอัตโนมัติ อีกทั้งยังหวังว่าหนึ่งล้านของข้าพเจ้าจะกลายเป็นสองล้าน. พวกท่านไม่ต้องสนใจว่าข้าพเจ้าจะทําธุรกิจอย่างไร จะชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม. เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากข้าพเจ้าทํา การค้าขายเป็นเวลาหนึ่งเดือน เงินก็ได้เปลี่ยนเป็นสองล้าน. แน่นอนว่าในท่ามกลางพวกท่าน ต้องมีเงินของใครบางคนที่ลดน้อยลง เพราะว่าพวกเราหนึ่งร้อยคน ทุกคนล้วนมีหนึ่งล้าน ในมือของข้าพเจ้าก็มีเพียงหนึ่งล้าน. ถึงแม้ข้าพเจ้าจะทําธุรกิจโดยใช้วิธีที่มีความชอบธรรมที่สุด เพื่อทําให้เงินในมือของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปเป็นสองล้านได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงต้องทํา ให้เงินของใครบางคนในท่ามกลางพวกคุณได้ขาดหายไป และเงินของใครบางคนต้องลดน้อยลง. ในที่นี้ ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน พวกคุณก็เป็นคริสเตียนและเป็นพี่น้องของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้า ขอถามว่าข้าพเจ้าได้กําไรจากเงินของพวกคุณ ข้าพเจ้ายิ่งร่ํารวยขึ้น พวกคุณยิ่งยากจนลงอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะรู้สึกละอายใจไหม? ต้องละอายใจแน่ ถึงแม้พวกคุณจะเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคริสเตียนอยู่ดี. ข้าพเจ้าขอบอกพวกคุณว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า ข้าพเจ้ามีหลักปฏิบัติของบุตรของพระเจ้า และข้าพเจ้าก็มีฐานะแห่งบุตรของพระเจ้า บุตรของ พระเจ้าไม่อาจทําให้ชาวโลกยิ่งยากจนลง และทําให้ตัวเองยิ่งมีเงินมากขึ้น แม้ข้าพเจ้าใช้วิธีที่ ชอบธรรม มาค้ากําไรจากเงินของพวกคุณ และการค้ากําไรจากเงินของผู้เชื่อทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะรู้สึกละอายใจ. ถึงแม้ข้าพเจ้าใช้วิธีที่ชอบธรรมค้ากําไรจากเงินของผู้ที่ไม่เชื่อ ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกละอายใจ การทําธุรกิจก็จะมีสภาพการณ์เช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจนําเงินจากกระเป๋าของผู้อื่นใส่ในกระเป๋าของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม การเอาเงินของผู้อื่นมาใส่ในกระเป๋าของตัวเองย่อมทําให้ผู้อื่นเสียหาย. นี่ก็คือข้อเท็จจริง.
แต่อาชีพพื้นฐานที่พระเจ้าได้ประทานให้มนุษย์ในพระคัมภีร์จะไม่เกิดปัญหาเช่นนี้ สมมุติว่าข้าพเจ้าเป็นชาวนา ข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวข้าวมาได้หนึ่งร้อยหาบ และไม่ใช่ว่าการที่ข้าพเจ้าได้เก็บเกี่ยวข้าวมาได้หนึ่งร้อยหาบเป็นเหตุทําให้ข้าวสิบหาบในบ้านของพี่น้องคนหนึ่งได้เปลี่ยนเป็นเก้าหาบไป. ข้าพเจ้าไม่ได้ทําให้ข้าวของเขาน้อยลง. ถ้าหากข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวข้าวมาได้หนึ่งร้อยหาบ ข้าพเจ้าจะไม่ทําให้ข้าวของใครคนหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณต้องน้อยลงสักครึ่งกิโลกรัม ถ้าข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวข้าวมาได้หนึ่งร้อยหาบ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทําให้ใครคนหนึ่งในพวกคุณต้องยากจนลง เพราะว่านี่ไม่ได้เรียกว่าการค้าขายกําไร แต่เป็นการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ต่างหาก ท่านจะต้องรู้จักแยกแยะว่า การค้าขายกําไรกับการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์เป็น สองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง. พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้บุตรของพระองค์มีเพียงจุดประสงค์เดียวซึ่งนั่นก็คือการค้าขายกําไร. พระเจ้าต้องการให้อาชีพของเราสามารถเพิ่มพูน ความอุดมสมบูรณ์ นี่เป็นหลักการพื้นฐานที่ชัดเจน. พี่น้องผู้แรกเชื่อทั้งหลาย อย่าคิดถึงแต่เงินตั้งแต่เช้าจรดเย็น. อย่าคิดตลอดว่าจะค้าขายกําไรอย่างไร. ขอให้พวกคุณจําไว้ว่า คุณค้าขายกําไรมา เงินของคนอื่นก็ต้องน้อยลงแน่นอน. เงินของข้าพเจ้าเพิ่มพูนก็คือเงินของคนอื่นลดน้อยลง นี่คือหลักการของการค้าขาย.
III. การเลือกอาชีพ 3 ประเภทที่ไม่เหมือนกัน
ในที่นี้พวกเราได้มองเห็นว่า มีอาชีพ 3 ประเภทที่ไม่เหมือนกันคือการค้าขาย การทํางาน และการผลิตผล. อาชีพที่พระเจ้าทรงกําหนดซึ่งสูงส่งที่สุดในพระคัมภีร์ก็คือการเป็นผู้ผลิตผล. เริ่มตั้งแต่อาดาม อาชีพที่พระเจ้าให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือการผลิตผล เพราะว่าการผลิตผลนั้นเป็นการที่ข้าพเจ้าได้เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ และไม่ได้ทําให้คนอื่นยากจนลง. ข้าพเจ้าเลี้ยงแกะหนึ่งร้อยตัว ผ่านไปไม่กี่ปี ก็จะกลายเป็นสี่ร้อยตัว เพราะได้เพิ่มพูนขึ้นสามร้อยตัว แต่ว่าการเพิ่มพูนเช่นนี้ จะไม่ทําให้เงินในกระเป๋าของพี่น้องของใครคนหนึ่งต้องน้อยลงแม้แต่บาทเดียว. เดิมที่เงินของพวกคุณมีอยู่ในบ้านเท่าไร ก็ยังคงมีอยู่เท่านั้น และจะไม่ลดน้อยลงอย่างเด็ดขาดเพราะเหตุว่าแกะของข้าพเจ้าได้เกิดลูกแกะ. นี่คือหลักการพื้นฐานของอาชีพที่มีอยู่ในพระคัมภีร์. ข้าพเจ้าจะทําให้สิ่งของทั้งหมดของข้าพเจ้าเพิ่มพูนขึ้น และจะทําให้มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มพูนขึ้น. แม้ว่าข้าพเจ้าได้นําแกะนั้นไปขายแล้วข้าพเจ้าก็ได้เงินนั้นมา แต่ว่าก็จะไม่ทําให้ใครคนหนึ่งต้องยากจนลง.
ข้าพเจ้าหวังว่าพี่น้องผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย ถ้ามีโอกาสเลือกอาชีพ ควรจะเลือกอาชีพที่เพิ่มทวีสิ่งของขึ้น อย่าเลือกอาชีพที่เพิ่มทวีเงินทองขึ้น การเพิ่มทวีเงินทอง แต่ไม่เพิ่มทวีสิ่งของ นี่เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมาก. พวกเราต้องเรียนรู้การเพิ่มทวีสิ่งของในโลก ไม่ใช่การเพิ่มทวีทรัพย์สมบัติส่วนตัวของตัวเอง ในที่นี้มีข้อแตกต่างที่ยิ่งใหญ่.
การเย็บกระโจมของเปาโลก็เป็นอีกหลักการหนึ่ง. ไม่ผิดเลย ที่เขาไม่ได้ทําให้ฝ้ายเส้นไหม หรือผ้าเพิ่มทวีมากขึ้น แต่ว่าผ้านี้เพราะเหตุเขาได้มีการตัด มีการเย็บ ได้ใช้เวลาและกําลังไป มากมาย จึงได้มีการเพิ่มทวีมูลค่า. ตามที่ผู้ศึกษาพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า ในสมัยนั้นกระโจมจะต้องย้อมสี. ดีน อัลฟอร์ด (Dean Alford) กล่าวว่า เปาโลเคยพูดไว้ว่า “ดูเถิด สองมือของ ข้าพเจ้า” (กจ.20:34 ภาษาเดิม) ในมือสองข้างของเขาต้องเปื้อนสีของกระโจมและไม่สะอาดอย่างแน่นอน ดังนั้น การเย็บกระโจมของเปาโลนั้นทําให้สิ่งของได้เพิ่มทวีมูลค่า.
การเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์และการเพิ่มทวีมูลค่าล้วนเป็นเรื่องที่ดี. สมมุติว่า ไม้ท่อนหนึ่ง ข้าพเจ้าเอามันไปทําเป็นเก้าอี้ นี่เป็นเรื่องที่ดี เพราะเหตุข้าพเจ้าทําเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ เพิ่มทวีมูลค่าให้กับท่อนไม้ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้เพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ที่มาจากธรรมชาติ แต่โลกนี้ก็ได้เก้าอี้มากขึ้นตัวหนึ่งเพราะเหตุข้าพเจ้า เพราะเหตุข้าพเจ้าได้ทํากระโจม เช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ได้กระโจมเพิ่มขึ้นหลังหนึ่ง สิ่งนี้ทําให้ตัวเองได้รับประโยชน์และก็ไม่ได้ทําให้ผู้อื่นเสียหายด้วย ข้าพเจ้าสามารถทํากระโจม ข้าพเจ้าสามารถทําให้ผ้าถูกๆ กลายเป็นกระโจมที่มีราคาแพง. ผ้าได้กลายเป็นกระโจม นี่คือการทําให้สิ่งของในโลกเพิ่มทวีขึ้น และนี่ก็เป็นอาชีพอีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับ.
พี่น้องผู้แรกเชื่อทั้งหลาย หลังจากวันนี้เราต้องมองเห็นว่า อาชีพของเรามีสองมาตรฐาน เราจะต้องเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของโลกและก็จะต้องเพิ่มพูนมูลค่าของสิ่งของ. จริงๆ แล้ว การเย็บกระโจมนั้นเป็นการเพิ่มทวีความอุดมสมบูรณ์ของโลก. เพราะเหตุว่ามือของข้าพเจ้าได้ทํากระโจมเช่นนี้ กระโจมของโลกก็ได้เพิ่มทวีขึ้น ดังนั้นการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง. นี่คือหลักการพื้นฐานของอาชีพที่พระเจ้าได้ทรงจัดแจงไว้สําหรับมนุษย์.
IV. ไม่ควรทําการค้าโดยตรง
ข้าพเจ้าเคยเรียนเศรษฐศาสตร์มาบ้าง จึงรู้ว่ามันมีเพื่อความต้องการของการค้าขาย. แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์. ไม่ผิดเลยที่พระเยซูได้ตรัสว่า จงเอาไปลงทุน ค้าขาย จนกว่าเราจะกลับมา (ลก.19:13) แต่ความหมายของพระคัมภีร์ข้อนั้นก็คือต้องการให้เราทํางานอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกับการค้าขาย พวกคุณรู้ไหมว่า คนที่ทําการค้าขายเป็นคนที่ตั้งอกตั้งใจมาก. ขอเพียงที่ไหนทํากําไรได้ ก็จะมีการเข้าไปถึงที่นั่น ความหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือถ้าคุณมีโอกาสคุณก็ต้องฉวยมันเอาไว้ คุณต้องตั้งอกตั้งใจทํางานเช่นนี้.
ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนรู้ว่า การค้าขายเริ่มต้นจากเมืองตุโรและผลลัพธ์ของการค้าขายก็มาถึงบาบิโลน ตั้งแต่ยะเอศเคลบทที่ 28 จนถึงวิวรณ์บทที่ 28 พวกคุณสามารถมองเห็นว่า ผู้ที่เริ่มต้นการค้าขายนั้นก็คือกษัตริย์ของเมืองตุโร. ยะเอศเคลบทที่ 28 ให้พวกเรามองเห็นว่ากษัตริย์ของเมืองตุโรเป็นตัวแทนของซาตาน. ใน 28:16 กล่าวว่า “ในการค้ามากมายของเจ้านั้น เจ้าเต็มไปด้วยการทารุณและเจ้าได้ทําบาป.” ดังนั้นท่านโปรดจําไว้ว่า ความคิดในการค้าขายแบบนี้ของท่าน นั่นก็คือการทํากําไรให้กับตัวเอง แต่ทําให้คนอื่นต้องขาดทุนและทําให้ความมั่งคั่งของโลกนี้ต้องลดน้อยลง นี่ไม่ใช่อาชีพที่พระเจ้าทรงกําหนด แต่อาชีพเหล่านี้ล้วนเป็นของซาตาน. หลักการเช่นนี้ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน.
หลักการของการค้าขาย คือขณะที่เงินในกระเป๋าของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น เงินในกระเป๋าของคนอื่นนั้นได้ลดน้อยลง. ทันทีที่มนุษย์มีความคิดที่จะหากําไร สรุปง่ายๆ ก็คือ ทันทีที่เงินของคนนี้เพิ่มขึ้น เงินของอีกคนหนึ่งก็ต้องน้อยลง. เงินของใครบางคนเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีเงินของใครบางคนน้อยลงอย่างแน่นอน สมมุติว่าทั่วทั้งโลกมีเงินอยู่เพียงสองหมื่นหนึ่งพันล้าน. ขณะที่คุณร่ํารวย ก็เป็นเงินสองหมื่นหนึ่งพันล้าน ขณะที่คุณยากจน ก็ยังเป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันล้าน. เงินบนโลกนี้ได้ถูกจํากัดไว้แล้ว แต่ว่าข้าพเจ้านําเงินของคนอื่นมา และทําให้เงินของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น นี่แหละเรียกว่าการค้าโดยตรง. ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่า หลังจับปลามาแล้วจะไม่สามารถเอาไปขาย. ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดว่า เกี่ยวข้าวสาลีมาแล้วแต่จะไม่สามารถขาย. ข้าพเจ้าก็ ไม่ได้พูดว่า แกะที่เกิดลูกแกะออกมาแล้วก็จะไม่สามารถขาย. และข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดว่า เปาโล เย็บกระโจมเสร็จแล้วแต่จะไม่สามารถขาย. แต่ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่า การเย็บกระโจม การเกิดลูกแกะ การเกี่ยวข้าวสาลี หรือการจับปลา ล้วนไม่ใช่การค้าโดยตรง แต่เป็นการนําเอาผลผลิตของข้าพเจ้าไปแลกเป็นเงินมาต่างหาก. ผลประโยชน์ที่ข้าพเจ้าได้รับนั้นเป็นผลประโยชน์ที่ธรรมชาติได้ให้แก่ข้าพเจ้า. ความอุดมสมบูรณ์ที่ข้าพเจ้าได้รับเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ธรรมชาตินั้นให้แก่ข้าพเจ้า. ไม่ใช่ความอุดมสมบูรณ์ที่มาจากการทําให้คนอื่นยากจนลงแล้วทําให้ตัวเองร่ํารวยขึ้น.
คริสเตียนจะต้องมีความคิดอย่างหนึ่ง คือข้าพเจ้าจะไม่พยายามค้ากําไรจากผู้อื่น อย่ามีความคิดใดๆ ที่จะเอาเปรียบใครคนหนึ่งเป็นอันขาด. เราผู้เป็นบุตรของพระเจ้ามีฐานะที่สูงเช่นนี้ ถ้าจะต้องไปค้ากําไรเงินที่ต่ําช้าของโลกนี้ ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าดู. สมมุติว่า ประธานาธิบดีของประเทศหนึ่งมายังเมืองหลิ่ง มองเห็นคนในท้องถิ่นคนหนึ่งเป็นโรคมาลาเรีย ก็ได้เอายาเม็ดควีนินขายให้กับพวกเขาและก็พูดว่า “ผมซื้อมันมาเม็ดละห้าหยวน แต่ตอนนี้จะ ขายให้คุณเม็ดละหกหยวน”. พวกคุณลองคิดดูว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ประธานาธิบดีของประเทศจะมาหากําไรหนึ่งหยวนจากกรรมกร นี่มันไม่สมกับฐานะเขาเลย ข้าพเจ้าขอบอกกับพวกคุณ ถ้าคริสเตียนจะค้ากําไรจากใครคนหนึ่ง นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าละอายใจมากกว่าประธานาธิบดีคนหนึ่งไปค้ากําไรจากกรรมกร ฐานะของพวกเรากับของพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน พวกเราไม่อาจที่จะไปค้ากําไรจากเงินของใคร.
พวกเราที่เป็นคริสเตียนเป็นผู้ที่สูงส่ง. คริสเตียนมีศักดิ์ศรีของคริสเตียน มีฐานะของคริสเตียน และมีหลักปฏิบัติของคริสเตียน. ข้าพเจ้าจะค้ากําไรจากใครคนหนึ่งล้วนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะมาเพิ่มความมั่งคั่งของตัวเองเช่นนี้ได้. ข้าพเจ้ายอมไปเป็นชาวนา ไถนา ปลูกข้าวดีกว่า. สิ่งนี้จะมีสง่าราศีมากกว่าการไปค้ากําไร. เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงจัดแจง ธรรมชาติไว้เพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า สิ่งนี้จะมีสง่าราศีมากกว่าการที่ข้าพเจ้าไปค้ากําไรจากผู้อื่น. คริสเตียนจะต้องมีความคิดที่จะไม่ค้ากําไรจากเงินของผู้อื่น.
ทุกอาชีพที่สามารถเพิ่มจํานวนและมูลค่าของวัตถุ ล้วนเป็นอาชีพที่ได้รับการโปรดปรานต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า การค้าโดยตรงเป็นอาชีพที่พระเจ้าไม่ทรงโปรดปราน พวกคุณต้อง สนใจเป็นพิเศษต่อยะเอศเคลบทที่ 28 ซึ่งมีหลักการของการค้ากําไรจากการค้าที่กษัตริย์ตุโรเป็นผู้เริ่มต้น. พระเจ้าทรงติเตียนว่า “เพราะเหตุมีการค้ามากมาย ภายในท่านก็มีบาป”. เมื่อมาถึงวิวรณ์บทที่ 18 เมื่อโลกนี้ใกล้จะสิ้นสุดและอาณาจักรใกล้จะเริ่มต้น ท่านก็มองเห็นเมืองบาบิโลนกําลังถูกลงโทษ ในเรื่องการค้าขายนี้ จะดําเนินต่อไปจนถึงเมืองบาบิโลนได้สิ้นสลาย. พ่อค้าทั้งหลายบนแผ่นดินโลก ล้วนจะร้องไห้โศกเศร้าเพื่อเมืองบาบิโลน ในที่นั่นท่านจะมองเห็นว่า สินค้าทั้งหมดบนแผ่นดินโลก สินค้าชนิดแรกคือทองคํา ส่วนสิ้นค้าชนิดสุดท้าย คือชีวิตมนุษย์. ชีวิตมนุษย์ก็คือจิต ซึ่งเป็นศัพท์คําเดียวกัน ตั้งแต่ทองคําไปจนถึงชีวิตมนุษย์ ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถนํามาค้าขาย ทุกสิ่งล้วนสามารถค้าขายได้. มนุษย์คิดแต่จะค้ากําไร คิดแต่จะร่ํารวย และคิดแต่จะกลายเป็นเศรษฐี แต่ว่าพี่น้องทั้งหลาย พวกเราต้องหลีกหนีจากอาชีพที่ต่ําเช่นนี้.
V. การค้าโดยตรงกับการผลิตผลเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
ข้าพเจ้าหวังว่าพวกคุณจะสามารถแยกแยะข้อแตกต่างระหว่างการค้าโดยตรงกับการผลิตผลได้ ข้าวสาลี วัว แกะ กระโจม และปลาล้วนสามารถเอาไปขายได้. นี่ไม่ได้เรียกว่าเป็นการค้าขาย สิ่งที่บนโลกนี้เรียกว่าการค้าขายนั้นก็คือ วันนี้ข้าพเจ้าซื้อแป้งสาลีมาหนึ่งร้อยถุง วางเอาไว้เพื่อรอกระทั่งราคานั้นปรับตัวขึ้นแล้วค่อยขายออกไป. หรือข้าพเจ้าซื้อน้ํามันมาห้าสิบถัง วางเอาไว้รอกระทั่งราคานั้นปรับตัวขึ้นแล้วค่อยขายออกไป. ปริมาณของแป้งสาลี หรือน้ํามันไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะเหตุข้าพเจ้า ทั้งข้าวสาลีและน้ํามันนั้นล้วนไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่เงินของข้าพเจ้าได้เพิ่มขึ้นแล้ว. ข้าพเจ้าไม่ได้ทําให้สิ่งของในโลกเพิ่มขึ้น แต่กลับเพิ่มทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่น่าละอาย. และเป็นเรื่องที่ผู้เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นควรจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง.
การซื้อขายเพื่อจุดประสงค์ของการผลิตผลนั้นเป็นเรื่องที่ทําได้ แต่ถ้าซื้อเข้ามาแล้วขายออกไปเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นเรื่องที่ทําไม่ได้ ถ้ามีพี่น้องชายคนหนึ่งนําเอาผลผลิตจากไร่นาไปขาย นี่เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากมีพี่น้องชายอีกคนหนึ่งนําข้าวสารที่ซื้อเข้ามาแล้วขายออกไปอีก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ดี แม้ว่าทั้งสองคนล้วนทําการขาย แต่หลักการนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าพี่น้องชายคนหนึ่งซื้อกระโจมสิบหลังเข้ามา แล้วขายกระโจมทั้งสิบหลังนั้นออกไป การทําเช่นนี้ไม่เหมือนกับอาชีพของเปาโล. แต่ถ้าตอนค่ําข้าพเจ้าเย็บกระโจม และตอนกลางวันก็ขายออกไป การทําเช่นนี้จึงจะเหมือนกับอาชีพของเปาโล. คุณมองเห็นไหมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง. ถ้าคุณตรากตรําในบางสิ่งแล้วเอาสิ่งที่คุณได้ตรากตรํานั้นไปขายเป็นเงิน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพระพร. แต่ถ้าคุณซื้อบางสิ่งเข้ามาแล้วก็ขายมันออกไปอีก และในใจของคุณก็หวังที่จะเอาแต่กําไรอย่างเดียว สิ่งนี้ก็จะไม่เพียงเป็นอาชีพที่ต่ําที่สุดในสายตาของคริสเตียน แต่ยังเป็นอาชีพที่ต่ําที่สุดในสายตาของชาวโลกด้วย.
ดังนั้นพี่น้องที่ทําการค้าโดยตรงไม่สามารถเป็นผู้รับผิดชอบได้ เพราะคนเช่นนี้ไม่อาจได้รับการปลดปล่อยจากเงินทอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หนทางของเราจะต้องยิ่งชัดเจนขึ้น บุตรของพระเจ้าควรจะต้องหลุดพ้นจากอํานาจของเงินทองอย่างสิ้นเชิง จึงจะสามารถปรนนิบัติพระเจ้า และคริสตจักรก็จะมีหนทางที่จะมุ่งหน้า.
VI. อาชีพที่พระเจ้าทรงโปรดปราน
ทั้งคนเลี้ยงแกะและคนที่เพาะปลูกล้วนเป็นผู้ให้ผลผลิต คนที่ทําการค้าขายนั้นเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง แต่ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่แทรกอยู่ตรงกลางของคนสองประเภทนี้นั่นก็คือ คนทํางาน เช่น หมอและอาจารย์ พวกเขาเอาเวลาของพวกเขาออกมาทํางาน นี่ก็เป็นอาชีพที่ดีอย่างหนึ่งในพระคัมภีร์. แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทําการผลิตผล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ค้ากําไรจากผู้อื่น. พวกเขาไม่ได้รับอะไรมาจากธรรมชาติ และก็ไม่ได้เอาอะไรจากผู้อื่น. พวกเขาใช้เวลาของตัวเอง กําลังของตัวเอง และกําลังสมองของตัวเอง เพื่อไปแลกสิ่งดํารงชีพที่พวกเขาควรจะได้รับ. คนที่ทํางานเขาก็จะได้รับค่าจ้าง ก็เป็นเรื่องที่สมควร นี่เป็นอาชีพที่พระเจ้าทรงชอบพระทัยในพระคัมภีร์. เราสามารถพูดได้ว่าอาชีพที่สูงที่สุดนั้นคืออาชีพที่ให้ผลผลิต รองลงมา คือการทํางานใช้กําลังสมอง หรือกําลังกายเพื่อได้รับค่าตอบแทน.
ผู้ให้ผลผลิตนั้นเป็นการรับมาจากธรรมชาติ แต่ไม่ได้รับอะไรมาจากมนุษย์. คนทํางานไม่ได้อะไรจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้รับอะไรจากมนุษย์เช่นกัน คนที่ทําการค้าขายนั้นไม่ได้รับอะไรจากธรรมชาติ แต่กลับรับมาจากมนุษย์. อาชีพทั้งสามประเภทล้วนไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง. ผู้ให้ผลผลิตนั้น เป็นการได้รับมาจากธรรมชาติ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้รับอะไรจากมนุษย์ นี่เป็นอาชีพที่สูงส่งที่สุดในพระคัมภีร์. คนทํางานเป็นคนขายแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นกําลังสมองก็ดี หรือกําลังกายก็ดี เขาได้ใช้เวลาและกําลังของเขา เพื่อสิ่งที่เขาควรจะได้รับ เขาไม่ได้ทําให้คนอื่นๆ ยากจนลง. ท่านจ่ายเงินให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ต้องทํางานตอบแทนให้แก่ท่าน ทั้งสองฝ่ายจึงจะสามารถหักล้างกันไป นี่เป็นอาชีพที่พระเจ้าทรงยอมรับ. ส่วนคนที่ค้าขายในการค้าโดยตรง เขาไม่ได้รับอะไรจากธรรมชาติ แต่กลับไปเอากําไรจากมนุษย์ นอกจากการคิดจะเอากําไรแล้ว ก็ไม่มีเป้าหมายอย่างอื่น นี่เป็นอาชีพที่ต่ําที่สุดที่อยู่ในพระคัมภีร์.
วันนี้หนทางและหลักการนี้ก็ได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว. ข้าพเจ้าหวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะมีการหันเปลี่ยนในอาชีพของพวกคุณ.
VI. หนทางที่จะมุ่งหน้าของเราตั้งแต่นี้ไป
ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะให้พวกท่านเดินอยู่ในหนทางที่สุดขั้ว. อย่าไปปรับโทษเมื่อพบกับคนที่ทําการค้าขาย เพราะว่าพวกเขาไม่มีโอกาสในการเลือกอาชีพของเขา. ข้าพเจ้าได้รู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งใจค่อนข้างบริสุทธิ์ ขณะนั้นเขาเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียน. ต่อมาเมื่อได้เข้าสู่วงการของธุรกิจไม่นาน ใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายไป. ตั้งแต่เช้าถึงค่ํา คิดแต่จะหากําไร ถ้าต้องการให้เขาซื้อของเขาก็จะคิดหากําไรจากคุณ. เขาพยายามจะค้ากําไรจากคุณอย่างลับๆ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย ข้าพเจ้าอยากบอกว่า นี่คือใจที่เสื่อมเสียไปแล้ว เราหวังว่าพี่น้องทุกคนที่สามารถเลือกสรรอาชีพของตัวเองได้อย่างอิสระ อย่าได้เข้าสู่วงการของการค้าโดยตรงอย่างเด็ดขาด. ส่วนพี่น้องที่อยู่ในวงการนี้แล้ว เราต้องช่วยเหลือเขา ทําให้เขามองเห็นและให้เขาเปลี่ยนอาชีพเสีย อย่าทําให้พวกเขาลําบากใจ แต่อย่างน้อยที่สุดต้องแสดงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนในหนทางนี้.
อย่างไรก็ตาม การทําการค้าโดยตรงนั้นไม่ใช่เรื่องดี เรายังคงหวังว่าจากนี้เมื่อผ่านไปสิบปี หรือยี่สิบปี จะไม่มีบรรยากาศในการทําค้าขาย. หวังว่าในอนาคตพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ใน ท่ามกลางเราทุกแห่ง จะไม่มีบรรยากาศของการทําการค้าโดยตรง. เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราขอเป็นครูหรือกรรมกร แต่ไม่ขอทําการค้าโดยตรง. ข้าพเจ้าขอเป็นผู้เพาะปลูกเพื่อผลิตข้าว จ้าว ข้าวสาลี เพื่อจะได้นําออกไปขาย. ข้าพเจ้าขอเลี้ยงแกะเพื่อเกิดลูกแกะ เพื่อจะได้นําไปขาย. ข้าพเจ้าขอเลี้ยงไก่ที่ออกไข่ เพื่อจะได้นําไปขาย. ข้าพเจ้าขอเลี้ยงวัว เพื่อจะได้เอาน้ํานม ไปขาย. และข้าพเจ้าเย็บผ้า ก็เพื่อเอาไปขาย. เราล้วนสามารถทําเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้าหากมนุษย์ยิ่งขยัน ยิ่งทํางานมากเช่นนี้ พระเจ้าก็จะอวยพรยิ่งมาก. สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในท่ามกลางพี่น้องทั้งหลายก็คือ เรามีแต่ค้ากําไรเงินมากมายอย่างเดียว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ดีที่สุด.
วันนี้ ถ้าเรามาเทียบเคียงกับองค์การคณะ พี่น้องทั้งหลายของเรานั้นเป็นคนยากจนที่สุด แต่ถ้าเราไม่ระวัง เราก็จะเป็นคนที่มีเงินมากที่สุด เพราะว่าเราเป็นคนซื่อตรงกว่า เป็นคนขยัน กว่า และไม่พูดโกหก ในเวลาเดียวกันไม่ว่าในเรื่องอะไรๆ เราก็ใช้จ่ายน้อยกว่าเขา เราไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา อีกทั้งก็ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านที่ดีๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ผ่านไปไม่นาน พี่น้องทั้งหลายในแต่ละท้องถิ่นล้วนจะร่ํารวย. ท่านก็รู้ว่า ก่อนที่จอห์น เวสเลย์จะจากโลกนี้ไปเขา เคยพูดว่า “ผมเป็นห่วงแทนคนในคณะเวสเลย์ พวกเขาทั้งชื่อสัตย์ ขยัน และประหยัด ในอนาคตพวกเขาจะต้องกลายเป็นคนที่มีเงินมากที่สุดในโลก” วันนี้คําพูดนี้ก็ได้กลายเป็นความจริง คนในคณะเวสเลย์ที่อยู่ทั่วทุกแห่งล้วนเป็นคนที่มีเงินมากที่สุด แต่ผลลัพธ์นั้นคือ พยานของพวกเขาต้องจบลง.
อย่างไรก็ตาม เราหวังว่าพี่น้องชายผู้แรกเชื่อทั้งหลาย ต้องได้เงินมาโดยการตรากตรําของตัวเอง แต่ไม่ใช่การค้ากําไรโดยมือหนึ่งรับเข้ามา และอีกมือหนึ่งขายออกไป. หลักการของ พวกเราคือต้องเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่เพิ่มพูนเงิน. หากเป็นเช่นนี้ เงินที่รับเข้ามาก็จะเป็นเงินที่สะอาด เมื่อเงินนี้มอบถวายไปแล้วก็จะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า. เงินทุกบาทก็จะสามารถเกิดผลดี. สมมุติว่ามีพี่น้องชายคนหนึ่งทําตะกร้าใบหนึ่งแล้วขายออกไป หลังจากนั้นก็นําเงินนั้นมามอบถวาย การทําเช่นนี้จะดีกว่าพี่น้องชายอีกคนหนึ่งที่ซื้อตะกร้ามาสิบใบแล้วขายออกไป แล้วเอาเงินกําไรนั้นมามอบถวาย. แม้ว่าจํานวนเงินที่มอบถวายนั้นเท่ากัน แต่เนื้อแท้ของเงินที่ได้มานั้นไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้าหวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะสามารถมองเห็นหลักการนี้ นั่นคือถ้าไม่ตรากตรําก็ต้องทําการผลิตผล ซึ่งทั้งสองนี้ล้วนเป็นหลักการที่ถูกต้อง. ส่วนเรื่องการค้าขายนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจและไม่กล้าห้ามใครได้ แต่ข้าพเจ้าขอหนุนใจว่า เราต้องพยายามอย่างสุดกําลังที่จะไม่ไปทําเรื่องราวเกี่ยวกับการค้าโดยตรง เพราะว่าอาชีพนี้จะคอยดึงคริสเตียนอย่างเราลงคลอง. หวังว่าพี่น้องชายผู้แรกเชื่อทั้งหลายจะสามารถเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าในเรื่องของอาชีพ.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 29 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ควรบริหารเงินทองตามหลักการของพระเจ้า
II. การจุนเจือของพระเจ้านั้นมีเงื่อนไข
III. ต้องให้แก่เขาและจะมีให้แก่ท่าน
IV. พยานสองเรื่องของการบริหารเงินทอง
1. เรื่องเล่าของพี่น้องแฮนเล่ มอร์
2. การเรียนรู้บทเรียนแห่งการให้เป็นครั้งแรก
V. วิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียน
1. ต้องนำเงินออกไปหว่าน
2. ต้องถวายแด่พระเจ้า
3. ต้องเอาเงินแจกจ่ายออกไป
4. ทุ่มเททุกอย่างเพื่อพระเจ้า
5. การตอบรับแห่งการจุนเจือ
VI. ต้องนำเงินทองของเราปลดปล่อยออกไป
ข้อพระคัมภีร์: ลก. 6:38; 1ตธ. 6:17-19; 2กธ. 9:6; มลค. 3:10; สภษ. 11:24; ฟป. 4:15-19
ลก. 6:38 จงให้แก่[เขา] และจะมีให้ท่านด้วย และจะตวงด้วยทะนานเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นเทที่อกของท่าน. เพราะว่าท่านจะตวง[ให้เขา] ด้วยทะนานอันใด ก็จะตวงคืนให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น."
1ตธ. 6:17 จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีในยุคนี้ อย่าให้มีความคิดเย่อหยิ่ง อย่าให้เขาตั้งความหวังอยู่กับทรัพย์อันไม่เที่ยง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้เรารับสุขอย่างบริบูรณ์.
1ตธ. 6:18 จงกำชับให้เขากระทำการดี, ให้มั่งมีในการดีนั้น, ให้เต็มใจในการจุนเจือ, และให้ยินดีในการร่วมแบ่งปันกับผู้อื่น
1ตธ. 6:19 เพื่อเป็นการสะสมทรัพย์ล้ำค่าสำหรับตนเป็นฐานรากอันดีในอนาคต เพื่อเขาจะได้ยึดฉวยชีวิตอันแท้จริงนั้นไว้.
2กธ. 9:6 แต่นี่แหละ คนที่หว่านเล็กน้อยจะเก็บเกี่ยวเล็กน้อย แต่คนที่หว่านมากจะเก็บเกี่ยวมาก.
มลค. 3:10 จงนําสิบชักหนึ่งทั้งหมดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศน์ของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ว่าเราจะเปิดบัญชรในฟ้าสวรรค์ให้เจ้าและเทพรจนไม่มีที่สําหรับจุได้ให้เจ้าหรือไม่
สภษ. 11:24 ผู้ที่ยิ่งแจกจ่ายก็ยิ่งทวีขึ้น ผู้ที่ยิ่งหวงสิ่งที่ควรแจกจ่ายไว้ก็ยิ่งขัดสน.
ฟป. 4:15 ท่านที่เป็นชาวฟิลิปปอยก็ทราบอยู่แล้วว่า เมื่อแรกเริ่มที่ข้าพเจ้าได้ประกาศกิตติคุณ ขณะที่ได้ไปจากมณฑลมากะโดเนียนั้น ไม่มีคริสตจักรใดที่ได้สามัคคีธรรมกับข้าพเจ้าในบัญชีแห่งการให้และการรับ เว้นแต่ท่านทั้งหลาย
ฟป. 4:16 แม้ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเธซะโลนิเก ท่านก็ได้ใช้[คนมาจุนเจือ]ความต้องการของข้าพเจ้าครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่ง.
ฟป. 4:17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าอยากได้ของกำนัล แต่ข้าพเจ้าอยากให้ท่านมีผลทวีมากขึ้นในบัญชีของท่าน.
ฟป. 4:18 แต่ข้าพเจ้าได้รับทุกสิ่งครบแล้วและมีบริบูรณ์แล้ว ข้าพเจ้าก็อิ่มอยู่เพราะได้รับของกำนัลซึ่งเอปาฟะโรดีโตนำมาจากท่าน เป็นสุคนธรสอันหอมหวานเป็นเครื่องบูชาที่ทรงโปรดและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า.
ฟป. 4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะเติมเต็มความต้องการของท่านทุกอย่าง ตามความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ในสง่าราศีในพระคริสต์เยซู
------------------------------
I. ควรบริหารเงินทองตามหลักการของพระเจ้า
วันนี้เราจะมาพิจารณาถึงเรื่องเกี่ยวกับการมอบถวายและการบริจาคเงินทอง หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ขายทุกสิ่งไปแล้ว เขาก็จะมีรายได้อีกและเงินทองจะกลับคืนมาอีกโดยปกติวิสัย แล้วเขาจะจัดการอย่างไร? เมื่อบุคคลหนึ่งได้บริจาคเงินทั้งหมดในครั้งเดียว นั่นไม่ได้หมายความว่าเงินทองได้สูญเสียอิทธิพลบนตัวของเขาแล้ว บางคนอาจจะบริจาคเงินทั้งหมดในครั้งเดียวแต่ภายหลังนั้นเงินทองก็อาจมีอิทธิพลบนตัวเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาอาจจะมองว่า เงินนั้นเป็นสิ่งของของเขาเอง ดังนั้นผู้เชื่อควรจะเรียนรู้ในการนําเงินทองให้ออกไปอย่างต่อเนื่องต่อพระพักตร์พระเจ้า.
วิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียนนั้นแตกต่างกับวิธีการบริหารเงินทองของผู้ที่ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง วิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียนนั้นคือการให้. สําหรับวิธีการบริหารเงินทองของผู้ที่ไม่เชื่อนั้นคือการสะสม. วันนี้เราจะมาพูดถึงว่า คริสเตียนที่ใช้ชีวิตบนโลกนี้จะทําอย่างไรจึงไม่ขัดสนเป็นนิตย์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าการดําเนินชีวิตของเราบนแผ่นดินโลกจะไม่ขัดสน นกในอากาศไม่เคยขาดแคลนอาหาร ดอกลิลลี่บนโลกก็ไม่เคยขาดแคลนเสื้อผ้าที่สวยงามเช่นกัน ฉะนั้นบุตรของพระเจ้าก็จะไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร ถ้าหากว่าบุตรของพระเจ้าขัดสนนั่นย่อมมีสาเหตุและยอมมีปัญหา. พี่น้องทั้งหลายที่มีความยากลําบากใน เรื่องรายได้นั้นล้วนเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้บริหารเงินทองตามหลักการของพระเจ้า.
เมื่อท่านทั้งหลายได้ขายทุกสิ่งและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นท่านก็ต้องกระทําตามหลักการของพระเจ้า ถ้าหากว่าท่านไม่กระทําตามวิธีการที่พระเจ้าทรงกําหนด ท่านก็จะประสบกับความยากลําบาก. บุตรของพระเจ้าเป็นอันมากล้วนต้องเรียนรู้วิธีการบริหารเงินทอง. ข้าพเจ้าขอบอกทานว่าถ้าท่านไม่เรียนรู้ที่จะบริหารเงินของตัวเองอย่างไร ท่านก็จะประสบปัญหามากมาย วันนี้เราก็จะมาพิจารณาดูว่าเราจะได้รับความมั่งคั่งสมบูรณ์ของพระเจ้าไดอยางไร.
II. การจุนเจือของพระเจ้านั้นมีเงื่อนไข
การที่ผู้เชื่ออย่างเราดําเนินชีวิตบนโลกนี้ อาหารและเสื้อผ้าของเรารวมทั้งสิ่งจําเป็นในการใช้ชีวิตทุกอย่าง เราล้วนต้องเฝ้าหวังให้พระเจ้าเป็นผู้ประทาน ถ้าหากว่าปราศจากพระเมตตาของพระเจ้า เราก็ไม่สามารถดําเนินชีวิตได้ แม้กระทั่งเศรษฐีก็ต้องพึ่งพิงพระเจ้า ในระหว่างสงครามจีนกับญี่ปุ่น เราได้เห็นเศรษฐีหลายคนก็ขาดไปซึ่งเสื้อผ้าและขาดไปซึ่งอาหาร. วันหนึ่งคนเป็นอันมากจะต้องเสียใจ. เปาโลกล่าวว่า จงอย่าพึ่งพิงเงินทองที่ไม่แน่นอน หากมนุษย์โลภเงินทอง เขาก็จะมีความทุกข์กังวลมาก. มีเพียงผู้ที่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ถึงแม้เขาอาจจะไม่มีเงินที่สะสมไว้ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ให้เขาประสบกับความยากลําบาก เพราะพระองค์สามารถจุนเจือความต้องการของเขาทุกอย่าง แต่เขาต้องรู้ว่าการจุนเจือของพระเจ้าที่ มีต่อมนุษย์นั้นมีเงื่อนไข.
ถ้าหากว่าพระเจ้าสามารถเลี้ยงดูนกในอากาศเป็นอันมากได้ พระเจ้าก็ต้องสามารถเลี้ยงดูพวกเราได้เช่นกัน พูดตามความจริงแล้ว ถ้าหากมนุษย์ต้องเลี้ยงดูนกมากมายเช่นนี้ เขาก็คงทําไม่สําเร็จ ถ้าให้มนุษย์ไปใส่ปุ๋ยให้กับดอกลิลลี่มากมายบนโลกนี้ มนุษย์ก็ไม่อาจทําสําเร็จได้ แต่ว่าพระเจ้าทรงมีความอุดมสมบูรณ์ที่เพียงพอ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูบรรดานกในอากาศและทรงสามารถเลี้ยงดูดอกลิลลี่บนโลกนี้ พระเจ้าก็ยิ่งต้องมีความอุดมสมบูรณ์ที่เพียงพอในการเลี้ยงดูบุตรของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราขัดสนจนไม่อาจดํารงอยู่ได้. คนทั้งปวงที่ตกอยู่ในสภาวะที่ขัดสนนั้นล้วนเป็นเพราะว่าตัวเขาเองมีปัญหากล่าวคือ เขาไม่ได้บริหารเงินทองตามวิธีการของพระเจ้า ถ้าเราใช้เงินทองตามกฏที่พระเจ้าทรงกําหนดนั้น เราก็จะไม่ตกในความยากจนแล้ว.
เรามาอ่าน ลูกา 6:38 กันอีกครั้งหนึ่ง. ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่าพระเจ้าทรงจุนเจือบุคคลประเภทใด เราจําเป็นต้องมองเห็นว่า พระเจ้าทรงยินดีในการจุนเจือ ถ้าพระเจ้าจะทรงจุนเจือก็เหมือนอย่างที่หนังสือเอ็กโซโดกล่าวไว้ พระเจ้าสามารถให้เรากินจนสํารอกออกมาคือให้เรากินจนเบื่อหน่ายไป สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับพระเจ้า จงอย่าไปคิดว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ยากจน. วัวบนภูเขานับพันเป็นของพระองค์ แกะบนภูเขานับหมื่นก็เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของพระองค์ทั้งหมด แล้วทําไมบุตรของพระเจ้ายังยากจนและขัดสนอยู่? ไม่ใช่เพราะพระเจ้าไมทรงจุนเจือเขา. แต่ว่าเราจําเป็นต้องกระทําเรื่องอย่างหนึ่งเพื่อทําให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของพระเจ้าแล้วเราจึงสามารถได้รับการจุนเจือจากพระเจ้า. การที่คําอธิษฐานทูลขอนั้นได้รับการตอบรับย่อมมีเงื่อนไข แม้กระทั่งการรับความรอดก็มีเงื่อนไขด้วยซึ่งก็คือการเชื่อ. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเงื่อนไขของมัน เราจําเป็นต้องกระทําให้ถูกต้องตามเงื่อนไขแล้วจึงจะได้รับสิ่งที่ต้องการ. ทํานองเดียวกัน ถ้าเราจะได้รับการจุนเจือจากพระเจ้า เราก็ต้องสนองข้อเรียกร้องของพระเจ้า ข้อเรียกร้องของพระองค์คืออะไร นั่นก็คือการให้แก่คนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงให้แก่เขาและจะมีให้แก่ทานด้วย”
III. ต้องให้แก่เขาและจะมีให้ท่านด้วย
ข้าพเจ้ามองเห็นพี่น้องชายหลายคนที่ลําบากในเรื่องเศรษฐกิจ สาเหตุก็เพราะว่าการให้ของเขามีปัญหา สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพราะว่ารายได้ของเขามีไม่พอ. ในพระคัมภีร์เราได้เห็นหลักการพื้นฐานอย่างหนึ่ง ผู้ที่ต้องการอุดมสมบูรณ์นั้นก็ต้องให้ออกไป ส่วนผู้ที่ต้องการยากจนก็ให้เก็บสมเอาไว้ ผู้ใดคิดคํานึงแต่ตัวเอง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่ยากจน ผู้ใดเรียนรู้ให้คนอื่น เขาย่อมมีความอุดมสมบูรณ์ พระคําของพระเจ้าตรัสอย่างไรก็จะเป็นไปอย่างนั้น ถ้าท่านจะหลีกเลี่ยงความยากจน ท่านจําต้องให้ออกไปอยู่เสมอ. ท่านยิ่งให้ออกไปพระเจ้าก็จะยิ่งให้ท่าน ถ้าท่านยอมนําทรัพย์ที่มีเหลือให้คนอื่น คนอื่นก็จะยินดีนําทรัพย์ที่มีเหลือของเขามอบให้แก่ท่านในอนาคต ถ้าท่านนําหนึ่งในยี่สิบมอบให้คนอื่น เขาก็จะนําหนึ่งในยี่สิบมอบให้แก่ท่านเป็นการตอบแทน ถ้าท่านนําหนึ่งในหนึ่งพันมอบให้คนอื่น เขาก็จะนําหนึ่งในหนึ่งพันมอบให้แก่ท่านเป็นการตอบแทนในอนาคต.
เพราะว่าทานจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาก็จะตวงให้ทานด้วยทะนานอันนั้น ท่านจะปฏิบัติต่อพี่น้องของท่านอย่างไร พระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติต่อทานตามขนาดที่ท่านปฏิบัติต่อผู้อื่น ถ้าท่านยินดีนําสิ่งที่เลี้ยงชีพมอบแก่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะนําสิ่งที่เลี้ยงชีพมามอบให้แก่ท่าน ถ้าท่านนําสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่ใช้ไม่ได้มอบให้แก่ผู้อื่น เขาก็จะนําสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่ใช้ไม่ได้มามอบให้แก่ท่าน. หลายคนมีปัญหาทางรายได้นั่นก็เพราะว่าเขามีปัญหาทางรายจ่าย ถ้ามนุษย์ไม่มีปัญหาทางรายจ่าย รายได้ของเขาก็จะไม่มีปัญหาเช่นกัน. พระคําของพระเจ้าชัดเจนมาก เมื่อท่านยอมมอบให้กับคนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงให้แก่ทาน ถ้าท่านไม่ยอมมอบให้คนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะไม่มอบให้ทาน. หลายคนคิดเพียงว่าเขาต้องมีความเชื่อในการทูลขอเงินจากพระเจ้า แต่เขาไม่มีความเชื่อที่จะนําเงินของเขามอบออกไป มิน่าละ! เขาก็จะไม่สามารถมีความเชื่อในการรับเงินเข้ามาจากพระเจ้า.
พี่น้องชายทั้งหลายเมื่อท่านเริ่มต้นเป็นคริสเตียน ท่านก็ต้องเรียนรู้บทเรียนพื้นฐานในการใช้เงินทอง. คริสเตียนมีวิธีการบริหารเงินทองที่พิเศษคือ ข้าพเจ้าจะมีรายรับอย่างไรก็ต้องจ่ายออกอย่างนั้น พูดอีกนัยหนึ่งคือการบริหารเงินทองของคริสเตียนนั้นต้องคํานวณจากจ่ายออกเพื่อรับเข้า. สําหรับชาวโลกเขาจะคํานวณจากรับเข้าเพื่อจ่ายออก แต่สําหรับเราจะคํานวณจากจ่ายออกเพื่อรับเข้า ท่านจ่ายออกไปเท่าไร ท่านก็จะรับเข้ามาเท่านั้น ดังนั้นทุกคนที่รักเงินทอง ทุกคนที่ตระหนี่ล้วนเป็นบุคคลที่ไม่สามารถได้รับเงินจากพระเจ้าและไม่สามารถรับการจุนเจือจากพระเจ้าเลย.
พี่น้องทั้งหลายล้วนต้องรู้ว่าทานควรเฝ้าหวังพระเจ้ามาคํานึงถึงความต้องการของท่านเอง แต่มีเพียงบุคคลประเภทเดียวที่พระเจ้าทรงยินดีสนองความต้องการของเขานั่นก็คือ บุคคลที่ยินดีที่จะให้ออกไป. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ถ้อยคําที่อัศจรรย์ในที่นี้ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงตวงให้ด้วยทะนานเต็มยัดสั่นแน่น ในขณะที่พระเจ้าทรงให้แก่มนุษย์ พระองค์จะไม่ทรงคิดเล็กคิดน้อยกับมนุษย์เลยเพราะว่าพระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พระเจ้าของเราทรงกว้างใหญ่. จอกที่พระเจ้าทรงยื่นให้เรานั้น เป็นจอกที่เปี่ยมล้น. พระเจ้าไม่เคยตระหนี่ พระองค์ตรัสว่า ถ้าพระองค์จะทรงให้เราหรือประทานบางสิ่งแก่เรา พระองค์จะตวงให้ด้วยทะนานเต็มยัดสั่นแน่น ในขณะที่พระเจ้าทรงประทานแก่มนุษย์ พระองค์จะทรงใช้ทะนานที่สั่นจนแน่นพูนล้น ท่านเคยไปซื้อข้าวสารไหม คนขายข้าวสารส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ทะนานที่สั่นแน่นพูนล้น เพียงแต่ตวงเข้าแล้วก็รีบเทออก. แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า พระองค์จะประทานแก่เราแบบยัดสั่นแน่นพูนล้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่าพระเจ้าของเราทรงเป็นผู้ที่กว้างใหญ่. พระองค์สามารถประทานแก่เราแบบยัดสั่นแนนพูนล้น แต่พระองค์เคยตรัสไว้ว่าเราจะตวงให้คนอื่นด้วยทะนานอันใด พระองค์ก็จะทรงตวงให้เราด้วยทะนานอันนั้น ถ้าท่านให้แก่คนอื่นอย่างตระหนี่ ท่านให้แก่คนอื่นโดยคิดคํานวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในขณะที่พระเจ้าทรงดลใจคนอื่นให้มอบแก่ท่าน เขาก็จะคํานวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน.
ท่านต้องให้แก่คนอื่น คนอื่นก็จะให้แก่ท่านด้วย หลายคนไม่เคยเรียนรู้ในการให้แก่คนอื่นเลย แต่เขามักจะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงฟังคําอธิษฐานทูลขอของเขา. ท่านจําเป็นต้องให้คนอื่นก่อนท่านจึงสามารถมีรายได้ ฉะนั้นไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ท่านไม่ได้รับอะไรเลยในสองสามวันนี้ นั่นย่อมเป็นเพราะว่าท่านมีปัญหาในการให้แก่ผู้อื่น ข้าพเจ้าได้รับความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 กว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าเมื่อไรที่ท่านมีปัญหาในการให้แก่ผู้อื่น ท่านเองก็จะขัดสน.
IV. พยานสองเรื่องในการบริหารเงินทอง
1. เรื่องเล่าของพี่น้องแฮนเล่ มอร์
พี่น้องแฮนเล มอร์เป็นคนอังกฤษ เป็นผู้เขียนวารสาร “ชีวิตและความเชื่อ” เขามีข้อดีหลายอย่างต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า. การรู้จักพระคัมภีร์เป็นข้อดีประการหนึ่งของเขา เขาเป็นคนที่ดําเนินชีวิตโดยพึ่งพิงองค์พระผู้เป็นเจ้า เขามักจะขัดสนและพบกับการทดสอบอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเขารู้จักขอพระคัมภีร์ ลก. 6:38 ข้อนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่เขาขัดสน เขามักพูดกับภรรยาของเขาว่า “สองสามวันนี้เราคงบกพร่องในการให้ผู้อื่นแล้วนะ” เขาไม่ได้บอกว่าในบ้านไม่มีของอะไรแล้ว แต่เขาบอกว่า สองสามวันนี้เขามีความบกพร่องในเรื่องของการให้ออกไป.
มีครั้งหนึ่งในบ้านของพี่น้องแฮนเล มอร์ไม่มีแป้งสาลีแล้ว แป้งสาลีเป็นของที่ชาวอังกฤษขาดไม่ได้. รออีกสองวันก็ยังไม่มีใครเอามาให้ เขาก็พูดกับภรรยาว่า “นั่นเป็นเพราะว่าในบ้านของเรามีของอย่างหนึ่งที่มากเหลือเพื่ออย่างแน่นอน” ท่านเห็นไหมว่าเขาไม่ได้ทูลขอแป้งสาลีจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขากลับพูดว่า “มีของสักอย่างหนึ่งที่มากเหลือเฟือ ด้วยเหตุนี้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ประทานแก่เรา” สามีภรรยาคู่นี้ก็เลยคุกเข่าอธิษฐานขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดเผยให้เขาเห็นว่าในบ้านของเขามีสิ่งของอะไรที่มากเหลือเพื่อ. พออธิษฐานเสร็จเขาก็เริ่มตรวจสอบจากห้องเก็บของชั้นบนเพื่อดูว่าของชิ้นไหนมีมากเหลือเฟือ แม้แตสิ่งของของลูกๆ ก็ตรวจดูแล้วทุกอย่างเพียงแค่มีพอใช้. เขาก็ทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ในบ้านไม่มีของที่เหลือเฟือ. พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ให้แก่ข้าพเจ้าก็จะเป็นความผิดของพระองค์” ผ่านไปสักครูหนึ่งเขาพูดกับภรรยาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่ผิด มันย่อมเป็นเพราะว่า ในบ้านของเรามีของที่เหลือเฟือ " เขาก็ไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง จนพบว่าที่ห้องใต้ดินมีเนยกล่องหนึ่งที่คนอื่นมอบให้เขาเมื่อสองสามวันก่อน เมื่อเขาเห็นเนยกล่องนี้ก็รู้สึกชื่นชมยินดีมาก เขาบอกภรรยาของเขาว่า “สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่เหลือเฟือ.”
สามีภรรยาคู่นี้แก่ชราแล้ว เขาได้เรียนบทเรียนนี้เป็นเวลาหลายปี เขารู้จักพระคําขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “จงให้แก่เขาแล้วจะมีให้แก่ท่านด้วย” ฉะนั้นพวกเขาจึงร้อนใจที่จะนําเนยกล่องนี้มอบให้แก่ผู้อื่น แต่พวกเขาจะมอบให้แก่ใคร? เนื่องจากพี่น้องมอร์เป็นผู้รับผิดชอบที่นั่น ท่านจึงไปเยี่ยมเยียนพี่น้องที่ยากจนทั้งหลาย ไม่ว่าท่านพบใครก็เอาเนยก้อนหนึ่งมอบให้แก่เขา สามีภรรยาผู้ชราคนี้ได้นําเนยในกล่องนี้สับเป็นชิ้นๆ แล้วห่อไว้ส่งไปให้แก่บ้านของพี่น้องทั้งหลาย เมื่อส่งออกไปทีละห่อๆ จนหมดแล้ว เขาก็พูดกับภรรยาของเขาว่า “ตอนนี้เราได้เคลียร์ทุกอย่างแล้ว.” เขาก็คุกเข่าลงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าขอเตือนพระองค์หน่อย พระองค์เคยตรัสว่า “จงให้แก่เขาแล้วจะมีให้แก่ท่านด้วย” ขอทรงโปรดระลึกถึงข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่มีแป้งสาลีแล้ว”
วันนั้นเป็นวันเสาร์ ในท่ามกลางครอบครัวที่ได้รับเนยที่พี่น้องมอร์มอบให้นั้น มีอยู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของพี่น้องหญิงที่ยากจนคนหนึ่งและพิการด้วย เขาต้องนอนบนเตียงตลอดทั้งวัน ผ่านมาหลายวันแล้วที่เขากินแต่ขนมปังที่ไม่ทาเนย. ฉะนั้นเขาจึงอธิษฐานทูลขอองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าโปรดประทานเนยแก่ข้าพเจ้าสักหน่อย” พออธิษฐานเสร็จไม่นาน นัก พี่น้องมอร์ก็มามอบเนยก้อนหนึ่งให้เขา เขาก็เลยขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า อีกครู่หนึ่งเขาเงยหน้าทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “แม้ว่าพี่น้องมอร์ของเราไม่ได้ขัดสนอะไรเลย เขายังนําเนยให้ข้าพเจ้ากิน แต่ถ้าหากว่าเขาขัดสนอะไรขอทรงฟังคําอธิษฐานทูลขอของเขา.” เนื่องจากพี่น้องมอร์ไม่เคยให้คนอื่นเห็นว่าเขาขัดสน ดังนั้นผู้คนไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาขัดสนแม้แต่น้อย แล้วยังมีบางคนเล่าลือกันว่าพี่น้องมอร์เป็นพี่น้องชายที่รวยมาก. เขามักจะแจกของให้คนอื่น อย่างเช่นในครั้งนี้เขาได้ซื้อเนยเป็นกล่องเพื่อแจกให้คนเป็นอันมาก แต่พี่น้องหญิงคนนี้ อธิษฐานต่อพระองค์ว่า “ถ้าพี่น้องมอร์ขัดสนขอทรงสดับฟังคําทูลขอของเขา” ในวันเดียวกันนั้นเวลาผ่านไปไม่ถึง 2-3 ชั่วโมง พี่น้องมอร์ก็ได้รับแป้งสาลี 2 กระสอบ ปัญหาของเขาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว.
ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า พระคําของพระเจ้าทุกประโยคล้วนน่าเชื่อถือ, คนเป็นอัน มากมีปัญหาอย่างหนึ่งคือ เขาไม่ยอมเชื่อว่าพระคําของพระเจ้านั้นเป็นพระคําที่ควรแก่การเชื่อถือ พี่น้องมอร์ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อพระคําของพระเจ้าจริงๆ ผู้ใดที่ไม่ยอมให้คนอื่น เขาย่อมไม่ได้รับจากผู้อื่นด้วย ถ้าท่านยอมให้แก่ผู้อื่นก็ย่อมมีให้แก่ท่านด้วย ดังนั้น เราต้องเรียนรู้ในการให้ผู้อื่น ไม่ใช่ว่าเมื่อเราให้ผู้อื่นเราก็หมดตัว แต่การให้ผู้อื่นนั้นจะทําให้พระเจ้าประทานแก่เราด้วย. นี่ก็คือหลักการบริหารเงินทองของคริสเตียน. ตราบใดในบ้านของท่านมีของที่เหลือเฟือ ท่านก็อย่าไปหวังว่าพระเจ้าจะทรงประทานอะไรแก่ท่าน.
เคยมีผู้ร่วมงานคนหนึ่งบอกแก่ข้าพเจ้าว่า “ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกครั้งถ้ามีเงินเหลือไว้ ในมือของเรามันย่อมมีปัญหาเกิดขึ้น” ถ้าเรามีปัญหาในการให้ผู้อื่น เราก็ย่อมมีปัญหาในรายได้ของเรา. คนที่ยิ่งอยากมีนั้นก็ยิ่งไม่มี คนที่ยิ่งให้แก่คนอื่นนั้นก็จะยิ่งมี คนเป็นอันมากนําสิ่งที่เขามีนั้นกําไว้ในมือของตัวเอง ฉะนั้นพระเจ้าก็ทรงปล่อยให้เขากําแต่สิ่งเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่ได้เรียนรู้ในการให้ออกไป. ถ้าพระคุณแห่งการให้ไม่ได้อยู่บนตัวท่าน พระคุณของพระเจ้าก็จะไม่อยู่บนตัวท่านด้วย ถ้าท่านไม่มีพระคุณต่อผู้อื่น พระเจ้าก็จะขาดแคลนพระคุณบนตัวท่านด้วย.
2. การเรียนรู้บทเรียนแห่งการให้เป็นครั้งแรก
การเรียนรู้บทเรียนแห่งการให้เป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าสามารถเป็นพยานได้มากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่อยากทําเช่นนี้ ข้าพเจ้าอยากบอกเล่าถึงการเรียนรู้บทเรียนนี้เป็นครั้งแรกของข้าพเจ้า. ในปี 1923 พี่น้อง เว่ย กวาง สี เชิญข้าพเจ้าไปสถานที่ของเขาที่เมืองเจี้ยนโอว ซึ่งห่างจากเมืองฝูโจว ประมาณ 500 ลี้ ในเวลานั้นข้าพเจ้ายังเรียนหนังสือที่โรงเรียน พี่น้องเว่ย เป็นเพื่อนร่วมเรียนกับข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากําลังขึ้นไปเมืองเจี้ยนโอว ข้าพเจ้าก็ถามพี่น้องเว่ยว่า “ค่าเดินทางประมาณเท่าไร?” เขาบอกว่า “ถ้าไปทางเรือต้องใช้เงินหลายสิบหยวน” ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ขออธิษฐานดูก่อน ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าไปก็สามารถไปได้”
ในเวลานั้นข้าพเจ้าไม่มีเงิน ข้าพเจ้าก็อธิษฐานว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไป พระองค์ต้องให้เงินข้าพเจ้า” หลังจากอธิษฐานแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานเงินแก่ข้าพเจ้าประมาณ 10-20 หยวน พร้อมกับเงินเหรียญอีกประมาณ 100 กว่าเหรียญ. เงินก้อนนี้เมื่อใช้เป็นค่าเดินทางแล้วยังขาดสองสามเท่า ผ่านไปไม่นานพี่น้องเว่ยก็เขียนจดหมายมาเร่งว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ข้าพเจ้าก็ส่งโทรเลขไปยืนยันว่าจะต้องไป. ข้าพเจ้าก็กําหนดว่า จะออกเดินทางในวันศุกร์. ตอนเช้าของวันพฤหัสบดี ข้าพเจ้าก็นึกถึงคําพูดหนึ่งว่า “จงให้แก่เขาก็มีให้แก่ท่านด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกมีความกลัวทางภายใน ถ้าให้ข้าพเจ้าเอาเงินมอบให้คนอื่น ข้าพเจ้าก็ทําได้ แต่ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงประทานเงินแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถออกเดินทางได้ สิ่งนี้ทําให้ข้าพเจ้ารู้สึกลําบากใจ.
แต่ว่าความรู้สึกในใจของข้าพเจ้ายิ่งนานวันยิ่งลึกซึ้งขึ้นในใจของข้าพเจ้าพูดอยู่ตลอดว่า ควรเอาเงินธนบัตรนี้ให้ออกไปและสําหรับเงินเหรียญเก็บไว้ใช้เอง. ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะให้ใครเล่า? ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งตามมาคือต้องให้พี่น้องชายที่มีครอบครัวแล้วคนหนึ่ง. ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะนอบน้อมและก็ไม่กล้าที่จะไม่นอบน้อม ข้าพเจ้าก็ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ถ้าพระองค์จะทรงให้ข้าพเจ้ามอบเงินแก่พี่น้องชายคนนี้ ก็ให้ข้าพเจ้าพบเขาในระหว่างทาง” ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินออกไปในระหว่างทาง พี่น้องชายคนนั้นก็เดินตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า พอเห็นเขา จิตใจของข้าพเจ้าก็สงบเยือกเย็น และได้เตรียมพร้อมแล้วจึงเดินเข้าไปพูดกับเขาว่า “พี่น้องครับ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าเอาสิ่งนี้มาให้แก่พี่น้อง” เมื่อพูดจบข้าพเจ้าก็เดินจากไป พอเดินไปสองสามก้าวก็หลั่งน้ําตา ข้าพเจ้าพูด “ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปหาพี่น้องเว่ยแล้ว รับปากว่าจะไปหาเขา ตอนนี้เงินนั้นข้าพเจ้าก็ให้ออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ตัวข้าพเจ้าจะไปอย่างไรละ? แต่ในอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “จงให้แก่เขาแล้วจะมีให้แก่ทานด้วย”
ฉะนั้นในขณะที่ข้าพเจ้าจะกลับไปก็ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ควรจะประทานเงินแก่ข้าพเจ้าได้แล้ว เวลาใก้ลถึงแล้ว พรุ่งนี้ข้าพเจ้าต้องไปนั่งเรือแล้ว” แต่อย่างไรก็ตามในวันพฤหัสบดีนั้นข้าพเจ้าไม่ได้รับเงิน วันศุกร์ก็ต้องออกเดินทางแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีเงิน มีพี่น้องชายคนหนึ่งมาส่งข้าพเจ้า เวลานั้นข้าพเจ้ายังไม่มีเงิน พี่น้องชายคนนี้พาข้าพเจ้าไปนั่งเรือ พอขึ้นเรือข้าพเจ้าคิดว่าแย่แล้ว เพราะว่าข้าพเจ้าไม่เคยออกนอกเมืองฝูโจวและก็ไม่เคยเข้าไปที่ดินแดนภายในของประเทศจีน ถ้าให้ข้าพเจ้ามุ่งไปทางตะวันตก ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนที่นั่นแม้แต่คนเดียว วันนั้นข้าพเจ้าออกจากบ้านเดินไปก็อธิษฐานไป อธิษฐานจนขึ้นเรือ อธิษฐานจนพี่น้องชายคนนั้นแยกทางไป อธิษฐานจนนอนหลับบนพื้นกระดานเรือ. ข้าพเจ้าทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ให้แก่คนอื่นแล้ว แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงให้แก่ข้าพเจ้านั่น ก็คือเรื่องของพระองค์แล้ว” ในวันนั้นข้าพเจ้านั่งเรือรับจ้างไปถึงสะพานหงซาน จากนั้นก็นั่งเรือกลไฟไปถึงปากน้ํา ขณะที่นั่งอยู่บนเรือกลไฟข้าพเจ้าเดินจากชั้นบนไปชั้นล่างแล้วเดินจากชั้นล่างไปสู่ชั้นบนข้าพเจ้าได้เดินหลายๆ รอบ เพราะข้าพเจ้าคิดว่าถ้าพระเจ้าจะทรงประทานเงินแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ต้องเดินไปมาหลายๆ รอบ เพื่อสร้างโอกาสให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดําเนินการง่ายยิ่งขึ้น และดูว่า “พระเจ้าทรงมีการจัดแจงแล้วหรือไม่” แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะว่าบนเรือนั้นข้าพเจ้าไมมีคนที่รู้จักแม้แต่คนเดียว แต่ถึงอย่างไรในใจของข้าพเจ้าก็ยัง พูดว่า “ถ้าท่านให้แก่คนอื่นแล้วเราก็จะให้แก่ท่านด้วย”
เป็นเช่นนี้ตลอดจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น เรือใกล้จะถึงปากน้ําแล้ว พอถึงปากน้ําข้าพเจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งเรือรับจ้าง เรือรับจ้างนั้นราคาแพงมาก. เงินที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้น เมื่อจ่ายค่าเรือกลไฟแล้วก็ยังเหลือประมาณ 7 หยวน ข้าพเจ้ารู้สึกลําบากใจอย่างยิ่ง ในเวลานั้นข้าพเจ้าอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้เราถึงปากน้ําแล้วเราจะซื้อตัวกลับไปเมืองฝูโจวหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าเฉลียวใจคิดว่า ขอให้ไปถึงเจี้ยนโอวได้ก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ขอให้พระองค์ประทานเงินแก่ข้าพเจ้าอีกแล้ว แต่ขอเพียงให้ข้าพเจ้าไปถึงเมืองเจี้ยนโอวได้ก็ดีแล้ว” เมื่ออธิษฐานอย่างนี้ภายในก็เกิดสันติสุข.
ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่หัวเรือกลไฟ เรือยังไปไม่ถึงปากน้ําก็มีเรือเล็กลําหนึ่งชิดเข้ามา คนขับเรือถามข้าพเจ้าว่า “นายท่านครับ ท่านจะขึ้นไปที่หนานผิงหรือเจี้ยนโอว” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไปเจี้ยนโอว” เขาพูดว่า “งั้นผมขอพาท่านไป” ข้าพเจ้าเลยถามว่า “ราคาเท่าไรครับ” เขาตอบว่า “0.7 หยวนครับ” พอได้ยินข้าพเจ้าก็รู้ทันทีว่านี่คือการจัดเตรียมขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าย่อมไปได้. เขาได้นําสัมภาระของข้าพเจ้าขนขึ้นเรือของเขา โดยปกติค่าเดินทางไปเมืองเจี้ยนโอวนั้น ต้องใช้ 70-80 หยวน ข้าพเจ้าถามเขาว่า “ทําไมท่านถึงคิดเงินกับข้าพเจ้าถูกอย่างนี้” เขาตอบว่า “ผมไม่ได้คิดเงินท่านถูกหรอกแต่เป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในอําเภอนี้ได้เหมาลําเรือผม เขาอยู่ห้องข้างหน้า เขารับปากผมว่าผมสามารถรับผู้โดยสารอีกคนหนึ่งอยู่ห้องข้างหลัง เช่นนี้ผมก็จะมีรายได้พิเศษเพื่อทํามาหากิน ข้าพเจ้าจําได้ว่าในวันนั้นข้าพเจ้าจ่ายค่าเรือแล้วยังมีเงินเหลือเพื่อใช้ซื้อกับข้าวและเนื้อนิดหน่อย เช่นนี้ข้าพเจ้าก็ได้ไปถึงเมืองเจี้ยนโอวแล้ว.
เมื่อถึงวันที่ต้องกลับจากเมืองเจี้ยนโอว ข้าพเจ้าก็ลําบากใจอีกเพราะข้าพเจ้ามีเงินทั้งหมดเพียง 1.2 หยวน ข้าพเจ้าใช้ซื้อของประมาณ 1 หยวน จึงเหลือแค่ 0.2 หยวนเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อการประชุมใกล้จะสิ้นสุดข้าพเจ้าก็อธิษฐานตลอดเวลา มีวันหนึ่งพี่น้องฟิลิป ลู่ ท่านเป็น หนึ่งในมิชชันนารีเคมบริดจ์ทั้งเจ็ด ท่านเชิญข้าพเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง. ท่านบอกว่า “พี่น้องนี การที่พี่น้องมาเยี่ยมในครั้งนี้เราได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างมาก สําหรับค่าเดินทางกลับของพี่น้อง ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบแทนดีไหมครับ?” พอข้าพเจ้าได้ยินคํานี้ด้านหนึ่งรู้สึกชื่นชมยินดี แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกไม่ค่อยเหมาะสม ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “พอดีมีคนรับผิดชอบค่าเดินทางสวนนี้แล้วครับ” เมื่อเขาได้ยินคําตอบเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เอยถึงเรื่องนี้อีก หลังจากที่กลับมาจากงานเลี้ยง ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากที่ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธเขาไป แต่ตอนที่ข้าพเจ้าอธิษฐานก็รู้สึกถึงสันติสุขที่มีอยู่ในใจ.
ข้าพเจ้ารอคอยอีกวันหนึ่ง ในวันที่สามข้าพเจ้าต้องออกเดินทางแล้ว แต่ในกระเป๋ามีเพียง 0.2 หยวนเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาไปจ่ายค่าเรือ ข้าพเจ้ารู้สึกลําบากใจมาก คุณพ่อของพี่น้องเว่ยและครอบครัวของพี่น้องเว่ยมาส่งข้าพเจ้า. พี่น้องเว่ยก็เดินด้วยกันกับข้าพเจ้า สัมภาระได้ขนไปก่อนแล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้นําพาข้าพเจ้ามาถึงเมืองเจี้ยนโอว พระองค์ไม่ทรงให้ข้าพเจ้ากลับบ้านไม่ได้ พระองค์ต้องมีความรับผิดชอบต่อข้าพเจ้า พระองค์ไม่สามารถให้คนอื่นมาแบกรับแทนพระองค์ ถ้าข้าพเจ้าทําผิดก็ยอมรับผิด แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าได้ทําผิด.” ข้าพเจ้าพูดอยู่ตลอดว่าความ รับผิดชอบนี้อยู่ที่พระองค์. เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า “จงให้แก่เขาก็มีให้ท่านด้วย” พอเดินอยู่ระหว่างทาง พี่น้องฟิลิปก็ใช้คนหนึ่งมามอบจดหมายให้ข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าเปิดอ่านแล้วท่านบอกว่า “แม้ข้าพเจ้ารู้ว่ามีคนรับผิดชอบค่าเดินทางของพี่น้องแล้ว แต่พระเจ้ายังให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการที่พี่น้องมาเจี้ยนโอวในครั้งนี้ ข้าพเจ้าควรมีส่วนร่วม. ขอให้ท่านรับส่วนร่วมที่มาจากพี่น้องผู้สูงอายุคนหนึ่งดีไหมครับ ขอให้ท่านรับเงินนิดหน่อยนี้ไว้เถอะ” ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็รับเงินนี้เอาไว้ ข้าพเจ้าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เงินที่ให้มาในเวลานี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม” ข้าพเจ้าจึงใช้เงินนี้เป็นค่าเดินทางกลับ. จําได้ว่าตอนที่กลับมาถึงบ้านยังมีเงินเหลือสําหรับเป็นค่าพิมพ์วารสารฟื้นฟูในครั้งนั้นด้วย.
หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปหาผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า. พอไปถึงบ้านของเขา ภรรยาของเขาเห็นข้าพเจ้าเดินเข้ามาก็พูดว่า “พี่น้องนี ข้าพเจ้าขอถามเรื่องหนึ่งนะ ตอนพี่น้องนีเดินทางออกจากฝูโจวทําไมเอาเงิน 20 หยวนมามอบให้สามีของข้าพเจ้า? ทําไมท่านนําเงินมอบให้เขาแล้วก็วิ่งจากไป?” ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่มีเรื่องอื่นใด เพราะวันนั้นข้าพเจ้าอธิษฐานทั้งวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ามองเห็นว่า ข้าพเจ้าควรที่จะเอาเงินมอบแก่เขา พอข้าพเจ้าเดินออกจากบ้านก็พบเขาในระหว่างทาง ดังนั้นข้าพเจ้าก็เอาเงินมอบแก่เขา ” พี่น้องหญิงคนนั้นพูดว่า “ในค่ําคืนวันนั้นแหละที่บ้านของเขาเหลือข้าวสารและผักสําหรับมื้อสุดท้าย. หลังจากที่พี่น้องเอาเงินมาให้ เราได้ซื้อข้าวสาร 1 หาบและก็ได้ซื้อฟื้นอีกหลายกิโลกรัมใช้จนถึงสองสามวันก่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบเงินอีกส่วนหนึ่งให้แก่เรา ในครั้งนั้นเราเฝ้ารอคอยท่าต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลา 3 วัน.” ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้เขาฟังก็เดินออกมา ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินลงเนินนั้นข้าพเจ้าพูดในใจว่า “ดีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้เอา 20 หยวนนั้นเก็บไว้ใช้เอง. ถ้าข้าพเจ้าเอา 20 หยวนนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเอง เงินก็ตายแล้ว. แต่พอข้าพเจ้าเอา 20 หยวนนั้นให้ออกไปมันก็ใช้ประโยชน์ได้” ในระหว่างทางข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้าทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “สําหรับพระคัมภีร์ ลูกาบทที่ 6 นั้น ข้าพเจ้าได้มองเห็นเป็นครั้งแรก” ข้าพเจ้าจึงมอบถวายตัวอีกครั้งหนึ่งแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทูลว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าต้องเป็นคนให้ออกไป. ข้าพเจ้าไม่อยากให้เงินที่อยู่ในมือของข้าพเจ้านั้นเป็นเงินที่เกียจคร้านแม้สตางค์เดียวก็ตาม.”
ข้าพเจ้าหวังว่า ข้าพเจ้าจะนําเงินให้ออกไปเพื่อทําการอัศจรรยเพื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าจะนําเงินให้ออกไปเป็นการตอบรับของพระเจ้าที่สดับฟังคําอธิษฐานทูลขอ. ข้าพเจ้าไม่ยินดีนําเงินมาเก็บไว้ในมือของข้าพเจ้า จนกลายเป็นเงินที่เกียจคร้านซึ่งใช้ประโยชน์ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่กล้าพูดว่า ในเรื่องของการให้นั้น ได้ผ่านตัวข้าพเจ้ามากมาย แต่ข้าพเจ้าอาจจะมีการให้มากกว่าคนอื่น นิดหน่อย ข้าพเจ้าอาจจะมีการรับที่มากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเช่นกัน ในประเทศจีนน้อยคนนักที่เป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าที่ได้รับเข้ามามากมาย แล้วก็ได้จ่ายออกไปมากมายเช่นกัน ท่านทั้งหลายฟังไปแล้วจะถือเป็นถ้อยคําที่คลั่งไคล้ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าขอพูดว่า “ข้าพเจ้ายินยอมให้เงินของข้าพเจ้าออกไปทําการอัศจรรย์ ข้าพเจ้ายินยอมให้เงินของข้าพเจ้า จ่ายออกไปเพื่อเป็นการตอบรับคําอธิษฐานทูลขอ ดีกว่าเก็บเงินนั้นไว้เป็นเงินที่เกียจคร้านซึ่งใช้ประโยชน์ไม่ได้ วันนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ใช้เงินนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องให้เงินออกไป แต่พอข้าพเจ้ามีความต้องการแล้ว เงินนั้นจะกลับคืนมามากกว่าที่ให้ออกไปอีกหลายๆ เท่า.”
พี่น้องผู้แรกเชื่อจําเป็นต้องเรียนรู้วิธีการบริหารเงินทองตั้งแต่แรก. ข้าพเจ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องส่วนตัวให้มาก แต่ข้าพเจ้าขอเป็นพยาน ข้าพเจ้าคิดว่าตั้งแต่ปี ค.ศ.1923 เป็นต้นมา จํานวนครั้งที่ข้าพเจ้าใช้เงินจนหมดไม่ได้น้อยกว่าพี่น้องในประเทศจีนคนใดทั้งสิ้น. พระคําขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “จงให้แก่เขาแล้วจะมีให้แก่ท่านด้วย.” ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงสิ่งนี้มาโดยตลอด เมื่อข้าพเจ้ามอบให้แก่ผู้อื่น พระองค์ก็ทรงสนองความต้องการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าขอเพียงมอบให้คนอื่นแล้วก็จะมีให้ข้าพเจ้าด้วย ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าพเจ้าได้มองเห็นว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ให้แก่คนอื่นอย่างง่ายๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าอย่างง่ายๆ ข้าพเจ้ายอมที่จะได้รับชื่อเสียงว่าพี่น้องนีเป็นคนรวย จริงๆ แล้วที่ข้าพเจ้ามีเงินเพราะมือของข้าพเจ้าให้ออกไปเสมอ ข้าพเจ้ามักจะให้เงินทองออกไปเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่พอให้ออกไปแล้ว เงินมันก็จะกลับมาเป็นจํานวนอีกหลายๆ เท่า. พระเจ้าของเราไม่ใช่พระเจ้าที่ตระหนี่เลย.
V. วิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียน
วิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียนนั้นไม่ใช่การกําเงินไว้ในมือ ท่านยิ่งกํา เงินก็ยิ่งตาย ท่านยิ่งกํา เงินก็ยิ่งหายไปดุจน้ําที่ระเหยไป. ท่านยิ่งให้ออกไป เงินก็ยิ่งเพิ่มเข้ามามากขึ้น ถ้าหากว่าลูกของพระเจ้าเรียนรู้ในการให้ พระเจ้าก็จะทรงทําการอัศจรรย์ทุกหนทุกแห่ง. แต่ถ้าเรากําเงินไว้ในมือ บุตรของพระเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่ยากจน. ผู้ใดกําเงินไว้ในมือตลอดเวลา และไม่สามารถให้ออกไปนั้นพระเจ้าก็ไม่สามารถให้ความไว้วางใจในเขา. แต่ถ้าท่านยิ่งให้ออกไป พระเจ้าก็ยิ่งประทานแก่ท่าน.
1. ต้องนําเงินออกไปหว่าน
ขอให้พี่น้องอ่าน 2 โกรินโธ 9:6 “แต่นี่แหละคนที่หว่านเล็กน้อยจะเก็บเกี่ยวเล็กน้อย แต่คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวมาก” พระคัมภีร์ข้อนี้ได้กล่าวถึงหลักการแห่งการบริหารเงินทองในพระคัมภีร์. การที่คริสเตียนนําเงินให้แก่คนอื่นนั้นคือการนําออกไปหว่าน แต่ไม่ใช่นําออกไปทิ้ง ไม่ใช่การทิ้งมากก็จะได้มาก การทิ้งน้อยก็จะเก็บเกี่ยวน้อย. แต่พระเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวมากผู้ที่หว่านน้อยก็จะเก็บเกี่ยวน้อย.” การที่ท่านนําเงินทองไปหว่านนั้น ท่านหวังหรือไม่ว่าเงินของท่านจะเจริญงอกงาม? ถ้าท่านหวังว่าเงินของท่านจะเจริญงอกงาม ท่านก็ต้องนําออกไปหว่าน หากท่านนําเงินออกไปหว่าน เงินมันก็เจริญงอกงาม. แต่ถ้าท่าน ไม่นําออกไป มันก็จะไม่มีทางเจริญงอกงามอย่างแน่นอน.
พี่น้องทั้งหลาย เราไม่สามารถโง่เขลาจนถึงขั้นหนึ่ง โดยคิดว่าเราจะไปเก็บเกี่ยวในที่ที่เรา ไม่ได้หว่าน. การอธิษฐานมากมายที่ทูลขอการจุนเจือนั้นพระเจ้าไม่สามารถสดับฟังได้ เพราะว่าเราเป็นคนใจแข็งจะเก็บเกี่ยวผลที่เรามิได้หว่านและก็เก็บสะสมที่เราไม่ได้โปรย. นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทําไมท่านไม่นําเงินนิดๆ หน่อยๆ ออกไปหว่าน? ท่านมีพี่น้องชายหญิงที่ยากลําบากมากมาย แต่ทําไมท่านไม่ยอมนําเงินไปหว่านที่ตัวเขาเพื่อถึงเวลาหนึ่ง ท่านสามารถเก็บเกี่ยวได้? ผู้ใดกําเงินไว้ในมือยิ่งแน่น ผู้นั้นก็ยิ่งไม่ได้รับเงิน. ท่านทั้งหลายต้องเห็นว่าในที่นี้ มีรูปภาพที่งดงามรูปหนึ่งคือ ชาวโกรินโธนําเงินทองมอบถวายแก่พี่น้องในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อคํานึงถึงความต้องการของเขา. เปาโลก็พูดว่า “นี่ไม่ใช่การทิ้งเสีย แต่เป็นการหว่าน” พี่น้องทั้งหลาย เราทั้งหลายสามารถนําเงินมาใช้เป็นเมล็ดพันธุ์. ถ้าหากว่าท่านพบเห็นพี่น้องที่ยากลําบาก ท่านต้องคํานึงถึงความยากลําบากของเขา แล้วพระเจ้าก็สามารถให้เงินนั้นเจริญงอกงามเป็นสามสิบเท่า หกสิบเท่าและมีการเก็บเกี่ยวจนร้อยเท่า หวังว่าท่านเรียนรู้ในการนําเงินออกไปหว่านให้มากขึ้น.
พี่น้องผู้แรกเชื่อต้องเรียนรู้ในการนําเงินออกไปหว่าน เมื่อถึงเวลาที่ท่านเองมีความต้องการ ท่านก็สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านได้หว่านนั้น ท่านไม่สามารถไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่านเลย มีพี่น้องชายมากมายยิ่งทํางานยิ่งยากจน มีเท่าไรก็กินเท่านั้น เขาก็จะไม่มีอะไรเหลือไว้อย่างแน่นอน ถ้ามีข้าวสารหนึ่งหาบ ท่านต้องเก็บไว้สักห้าสิบกิโลเพื่อเป็นเมล็ดที่ใช้ในการหว่าน ในปีต่อไป ท่านก็จะเก็บเกี่ยวได้ แล้วพอปีหน้าท่านต้องเก็บไว้อีกห้าสิบกิโลเพื่อใช้หว่าน ถึงปีถัดไป ท่านก็จะเก็บเกี่ยวได้อีก ถ้าเราจะหว่านเราก็จะกินให้หมดไม่ได้ คนมากมายเอาแต่กินแต่ไม่เคยไปหว่าน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่มีความต้องการ เขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่ถ้าวันนี้มีพี่น้องอนุชนกลุ่มหนึ่งที่สามารถนําเงินไปหว่านบนตัวของพี่น้องคนอื่นและคุกเข่าทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้าบัดนี้ข้าพเจ้านําเงินหว่านบนตัวของพี่น้องผู้อื่นแล้ว พอข้าพเจ้ามีความต้องการข้าพเจ้าก็จะมีการเก็บเกี่ยว.” ท่านจะเห็นว่าพระเจ้าจะทรงเคารพในคําตรัสของพระองค์เอง.
2. ต้องถวายแด่พระเจ้า
ยิ่งกว่านั้นท่านต้องเห็นว่าพระเจ้าได้ตรัสแก่ชนชาติอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมว่า “จงนําสิบชักหนึ่งทั้งหมดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศน์ของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ว่าเราจะเปิดบัญชรในฟ้าสวรรค์ให้เจ้าและเทพรจนไม่มีที่สําหรับจุได้ให้เจ้าหรือไม่” (มาลาคี 3:10). นี่ก็คือหลักการอันเดียวกัน.
ในเวลานั้นชาวอิสราเอลยากจนถึงที่สุด เขามีความยากลําบากจนไม่มีทางออก เขาจะมีความสามารถในการปฏิบัติตามคําตรัสในมาลาคีบทที่ 3 ได้อย่างไร? ชาวอิสราเอลจะถามว่า“แม้กระทั่งข้าวสารสิบหาบก็ไม่พอกินแล้วข้าวสารเก้าหาบจะพอกินหรือ แม้แป้งสาลีสิบกระสอบยังไม่พอกินแล้วเก้ากระสอบจะพอกินหรือ?” นี่คือคําพูดของคนฝ่ายเลือดเนื้อและคนเขลา พระเจ้าจึงทรงติเตียนว่าสําหรับมนุษย์ก็เหลือกําลังที่จะทําได้ แต่พระเจ้าทรงทําได้ทุกสิ่ง พระเจ้าตรัสว่า “จงนําสิบชักหนึ่งที่เราประทานแก่เจ้าส่งเข้าไปในคลังของเราเพื่อลองดูเราว่า เราจะเปิดบัญชรในฟ้าสวรรค์นั้นและเทพรจนไม่มีที่สําหรับจุได้ให้เจ้าหรือไม่”
ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่าข้าวสารสิบหาบเป็นเหตุที่ทําให้ยากจน แต่ข้าวสารเก้าหาบ เป็นเหตุที่ทําให้อุดมสมบูรณ์. มนุษย์คิดว่าของที่อยู่ในมือของตัวเองนั้นยิ่งมากยิ่งดี แต่ของที่อยู่ในมือของตนนั้น เป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ยากจน แต่ถ้าข้าพเจ้ามอบถวายของแด่พระเจ้า นี่ก็คือสาเหตุสําคัญที่ทําให้ได้รับการอวยพระพร. ข้าวสารหนึ่งหาบนั้นเมื่ออยู่ในมือของข้าพเจ้า ก็กลายเป็นการแช่งสาปของข้าพเจ้า แต่พอมอบถวายไปยังคลังของพระเจ้ามันก็กลายเป็นพระพรของข้าพเจ้า. หลักการของชาวอิสราเอลก็คืออย่างนี้ ถ้าท่านนําของที่ควรมอบถวายแด่พระเจ้านั้นเก็บไว้ที่บ้านท่านก็จะมองเห็นความยากจน ถ้าท่านเก็บสงวนสิ่งนั้นไว้ก็ทําให้ท่านยากจน.
3. ต้องเอาเงินแจกจ่ายออกไป
เรามาอ่านพระคัมภีร์อีกแห่งหนึ่ง สุภาษิต 11:24 ว่า “ผู้ที่ยิ่งแจกจ่ายก็ยิ่งทวีขึ้น ผู้ที่ยิ่งหวงสิ่งที่ควรแจกจ่ายไว้ก็ยิ่งขัดสน.” คนมากมายเขาไม่ได้แจกจ่ายแต่เขากลับไม่มีอะไรเหลือไว้ คนมากมายที่แจกจ่ายออกไปแล้วกลับได้รับความมั่งคั่งสมบูรณ์ พระคําของพระเจ้าให้เราเห็นอีก ครั้งหนึ่งถึงหลักการแห่งการบริหารเงินทองของคริสเตียน.
4. ทุ่มเททุกอย่างเพื่อพระเจ้า
เรามาดูพระคัมภีร์อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบันทึกที่อัศจรรย์มาก. ท่านจะเห็นว่าเอลียาอธิษฐาน ทูลขอน้ําฝนจากพระเจ้าบนภูเขาคารเม็ล (1พงศาวดารกษัตริย์บทที่ 18). เวลานั้นเป็นเวลาแห้งแล้ง แห้งแล้งถึงขั้นหนึ่งแม้กษัตริยก็ต้องออกไปหาน้ํา. พวกขุนนางก็ออกไปหาน้ําด้วย ในเวลานั้นน้ําเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก. เอลียาได้ก่อแท่นบูชาขึ้นใหม่บนภูเขาเพื่อพระเจ้าและนําเครื่องบูชามาถวาย จากนั้นเอลียาก็สั่งให้คนตักน้ํามาแล้วก็เทลงบนแท่นบูชาและเครื่องบูชาด้วย. ในเวลานั้นน้ําเป็นสิ่งที่มีค่ามาก! แม้กษัตริย์ก็ต้องออกไปหาน้ํา. แต่เอลียาบอกว่าต้องเอาน้ําเทลงไป. น้ําหนึ่งหาบ สองหาบ สามหาบ เทจนน้ําไหลนองรอบแท่นบูชาเหมือนแม่น้ํา แต่น้ําฝนก็ยังไม่ตกลงมา ในเมื่อน้ําฝนยังไม่ได้ตกลงมาก็เทน้ําออกไปซะมากมาย มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากมิใช่หรือ? ถ้าหากน้ําฝนยังไม่ตกแล้วเทน้ําเหล่านี้ทิ้งไป มันไม่เสียดายหรือ? แต่ว่าเอลียาให้เขาตักน้ํามาแล้วก็เทลงไป สําหรับท่านเองก็คุกเข่าลงอธิษฐานทูลขอพระเจ้า ประทานไฟลงมาเผาเครื่องบูชาบนแท่น. ในที่สุดพระเจ้าทรงสดับฟังคําอธิษฐานของท่านและ ก็ได้ประทานน้ําฝนลงมาห่าใหญ่ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านจะให้สวรรค์ประทานน้ําฝนห่าใหญ่ ท่านเองก็ต้องนําน้ําของท่านเทออกมา ถ้าท่านเสียดายน้ําของตัวเอง น้ําฝนฝ่ายสวรรค์ก็จะไม่ตกลงมา.
ปัญหาของคนเป็นอันมากก็อยู่ที่นี่ เขานําสิ่งที่เป็นของเขากําไว้แน่นมาก แต่กลับเรียกร้องให้พระเจ้าฟังคําทูลขอ แม้ว่าพระเจ้าจะให้แผ่นดินนั้นไม่แห้งแล้งอีกต่อไป แต่มนุษย์ก็ต้องเทน้ําบนแท่นบูชา. ถ้าพิจารณาตามความคิดเห็นของมนุษย์แล้ว การทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ ถ้าน้ําฝนไม่ตกลงมาอย่างน้อยก็ยังมีน้ําหลายหาบอยู่. แต่ถ้าคนที่คิดคํานวณ เพียงแต่น้ําสองสามหาบที่มีอยู่ในมือของตัวเองนั้น เขาจะไม่มีวันมองเห็นน้ําฝนฝ่ายสวรรค์ สําหรับผู้ที่จะมองเห็นน้ําฝนฝ่ายสวรรค์นั้น เขาก็ต้องเหมือนอย่างเอลียาที่ไม่เสียดายน้ําที่อยู่ในมือของตัวเอง เขาต้องให้ทุกอย่างออกไป. สําหรับผู้แรกเชื่อแล้ว ถ้าท่านไม่สามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของเงินทอง ถ้าท่านไม่ได้ถูกช่วยให้พ้นจากเงินทอง ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านว่า ท่านไม่สามารถเดินหนทางของคริสตจักรได้อย่างเที่ยงตรงเลย. เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าหวังว่า ท่านทั้งหลายจะเป็นบุคคลที่มอบถวายตัวเอง ท่านยินยอมมอบถวายทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า
5. ทุ่มเททุกอย่างเพื่อพระเจ้า
หนังสือพิลิปปอยบทที่ 4 ข้อ 19 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่พิเศษมาก. ชาวโกรินโธนั้นเป็นผู้ที่เสียดายเงินทอง สวนชาวฟิลิปปอยเป็นผู้ที่ยินดีเสียสละเงิน. เปาโลได้รับการจุนเจือจากชาวฟิลิปปอยครั้งแล้วครั้งเล่า. แต่ว่าเปาโลกล่าวแก่ชาวฟิลิปปอยว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเติมเต็มความต้องการทุกอย่างของท่านตามความอุดมสมบูรณ์ของพระคริสต์และตามสง่าราศีของพระคริสต์” ท่านทั้งหลายรู้สึกว่าฟิลิปปอยบทที่ 4 เป็นพระคําที่พิเศษไหม? เปาโลได้พูดเป็นพิเศษว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเติมเต็มความต้องการทุกอย่างของท่าน” พระเจ้าของผู้รับเงินนั้น พระเจ้าของผู้รับของกํานัลนั้นจะเติมเต็มความต้องการของผู้มอบของกํานัล.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก ท่านทั้งหลายคํานึงถึงความต้องการของข้าพเจ้าโดยตลอด ครั้งแล้วครั้งเล่า พระเจ้าของข้าพเจ้าก็จะเติมเต็มความต้องการทุกอย่างของท่าน ไม่มีเรื่องที่ว่า ท่านไม่จุนเจือผู้อื่นแล้วพระเจ้าจะทรงจุนเจือท่าน วันนี้คนมากมายยึดฉวยฟิลิปปอยบทที่ 4 ข้อ 19 ไว้ แต่เขาไม่เคยมองเห็นฟิลิปปอยบทที่ 4 ข้อ 19. เพราะว่าพระองค์ไม่ทรงประทานแก่ผู้ที่ทูลขอ แต่พระองค์จะประทานแก่ผู้ที่ให้ มีเพียงผู้ที่ให้จึงสามารถมายึดฉวยฟิลิปปอยบทที่ 4 ข้อ 19 ไว้ได้ สําหรับผู้ที่ไม่ให้นั้นก็ไม่สามารถยึดฉวยฟิลิปปอยบทที่ 4 ข้อ 19 ไว้. ท่านต้องให้แก่ผู้อื่นแล้วท่านจึงสามารถทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า วันนี้พระองค์ต้องเติมเต็มความต้องการของข้าพเจ้าทุกอย่างตามความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ในพระคริสต์” มีเพียงชาวฟิลิปปอยเท่านั้นที่พระเจ้าทรงสามารถเติมเต็มความต้องการทุกอย่างของเขา. มีเพียงผู้คนที่ยึดหลักการของการให้นั้น พระเจ้าจึงสามารถจุนเจือความต้องการของเขาได้.
ในขณะที่ท่านไม่มีแป้งในอ่างและก็ไม่มีน้ํามันในขวดแล้ว ขอให้ท่านจําไว้ว่า ท่านต้องนําเอาแป้งกํามือสุดท้ายนั้นทําขนมปังก้อนเล็กให้เอลียารับประทานก่อน คือให้ผู้รับใช้ของพระเจ้ารับประทานก่อน และก็นําน้ํามันเล็กน้อยผสมกับแป้งกํามือสุดท้ายทําขนมปังให้ผู้พยากรณ์กินก่อน หลังจากนั้นแป้งกํามือนี้และน้ํามันเล็กน้อยนี้สามารถให้ท่านกินเป็นเวลาสามปีหกเดือน. ท่านเคยได้ยินไหมว่าน้ํามันหนึ่งขวดสามารถกินเป็นเวลาสามปีหกเดือน ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านนําเอาน้ํามันเล็กน้อยและแป้งเล็กน้อยของท่านทําขนมปังให้ผู้พยากรณ์ของพระเจ้ากินก่อน เมื่อท่านหมดแล้ว ท่านก็จะเห็นว่าน้ํามันขวดนั้นสามารถเลี้ยง ชีพทานถึงเวลาสามปีหกเดือน. (เทียบดู ลูกา 4:25-26; 1 พงศาวดารกษัตริย์ 17:8-16) เดิมทีของเล็กๆ น้อยๆ นั้นท่านกินมื้อเดียวก็ไม่พอ แต่พอท่านให้ออกไป ท่านได้เลี้ยงชีพตัวเองเป็นเวลานาน สิ่งนี้ก็คือวิธีการบริหารเงินทองของคริสเตียน.
VI. ต้องนําเงินทองของเราปลดปล่อยออกไป
ทั้งพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิมก็มีคําสอนอันเดียวกัน. ความยากจนไม่ใช่หนทางของคริสเตียน. พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เรายากจน และพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เรายากลําบากด้วย ถ้าในท่ามกลางเรามีความยากจนและความทุกข์ยากลําบากก็เพราะว่ามนุษย์กําเงินไว้แน่น ท่านยิ่งรักตัวเองยิ่งเป็นห่วงตัวเอง ท่านก็จะยิ่งอดอยาก ท่านยิ่งมองเงินเป็นสิ่งสําคัญ ท่านก็จะยิ่งยากจน. สําหรับเรื่องอื่นๆ ข้าพเจ้าอาจไม่สามารถเป็นพยานได้ แต่สําหรับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าสามารถเป็นพยานได้ ท่านกําเงินไว้ยิ่งแน่นยิ่งเสียดายเงินทอง ท่านก็จะยิ่งยากจน อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน. ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เห็นเรื่องราวเช่นนี้มากมาย ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราจะปลดปล่อยเงินทองออกไป ให้เงินทองดําเนินอยู่บนโลกนี้ ให้เงินทองไปทํางานเพื่อให้พระเจ้าตอบรับการอธิษฐานและทําการอัศจรรย์. ถึงเวลาเรามีความต้องการ พระเจ้าก็จะทรงจัดแจงให้.
ไม่เพียงพวกท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แม้ซาตานก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย วัวบนภูเขานับพันเป็นของพระองค์ สวนแกะบนภูเขานับหมื่นก็เป็นของพระองค์ด้วย. มีเพียงคนเขลาถึงจะคิดว่าเงินทองเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าใช้กําลังของตนเองได้มา ผู้แรกเชื่อต้องมองเห็นว่า การมอบถวายเป็นเรื่องที่เราควรทํา เราควรนําเงินที่เราได้มานั้นให้ออกไป เพื่อระลึกถึงพี่น้องชายหญิงที่ยากจน อยาเป็นคนโง่เขลาที่เอาแต่รับและสะสมเงินทองเพื่อตัวเองโดยการเอาเงินของตัวเองเก็บซ่อนไว้ หนทางของคริสเตียนอยู่ที่การให้ ท่านต้องนําสิ่งที่ท่านมีทั้งหมด ให้ออกไป ท่านก็จะเห็นว่าเงินทองในคริสตจักรนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต ในขณะที่ท่านมีความต้องการ นกบินในอากาศก็จะร่วมมือกับท่าน เมื่อท่านมีความต้องการ พระเจ้าจะทรงทําการอัศจรรย์.
ท่านต้องนําตัวเองวางไว้ในพระคําของพระเจ้า มิฉะนั้นพระเจ้าก็ไม่สามารถสําเร็จพระคําของพระองค์บนตัวของท่าน ท่านต้องนําตัวเองมอบถวายแด่พระเจ้ากอนแล้วก็นําเงินทองของท่านให้ออกไปอย่างสม่ําเสมอ เช่นนี้พระเจ้าจึงสามารถประทานสิ่งของทุกอย่างแกท่านได้
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 28 ตั้งแต่ หน้า 435 -
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า
II. จะรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร
1. การจัดแจงทางสภาพแวดล้อม
2. การนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
3. คําสอนของพระคัมภีร์
III. การยืนยันจากคริสตจักรและปัจจัยอื่นๆ
IV. ผู้ที่มีคุณสมบัติในการรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า
ข้อพระคัมภีร์: ยฮ. 7:17; มธ. 10:29-31; 18:15-20; รม. 8:14; บพส. 119.105; 1ยฮ. 2:27
ยฮ. 7:17 ถ้าผู้ใดตั้งใจที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่า คำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือเราพูดจากตัวเราเอง.
มธ. 10:29 นกกระจอกสองตัวเขาขายหนึ่งอัสซาริอันมิใช่หรือ? ถึงกระนั้นไม่มีนกสักตัวที่จะตกถึงพื้นดินนอกจากพระบิดา[จะทรงเห็นชอบ].
มธ. 10:30 แม้แต่ผมบนศีรษะของท่านก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น.
มธ. 10:31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็มีค่ามากกว่านกกระจอกหลายตัว.
มธ. 18:15 ยิ่งกว่านั้น ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดบาปต่อท่าน, จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น. ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา.
มธ. 18:16 แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ท่านจงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปกับท่านด้วย ด้วยพยานสองสามปาก ทุกคำจึงจะเป็นหลักฐานได้.
มธ. 18:17 ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น ก็จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี.
มธ. 18:18 แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบเพื่อนทาสคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นไว้แล้วบีบคอว่า ‘จงใช้หนี้ให้ข้า.’
มธ. 18:19 เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความกลมเกลียวกันแล้ว พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็จะทรงกระทำให้สำเร็จ.
มธ. 18:20 ด้วยว่ามีสองสามคนถูกชุมนุมกันที่ไหนๆ เข้าสู่ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น.”
รม. 8:14 เพราะทุกคนที่ได้รับการนำพาจากพระวิญญาณของพระเจ้า คนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า.
บพส. 119.105 พระคําของพระองค์เป็นตะเกียงสําหรับเท้าของข้าพเจ้า และเป็นความสว่างสําหรับทางของข้าพเจ้า.
1ยฮ. 2:27 และฝ่ายท่านทั้งหลาย การชโลมซึ่งท่านได้รับจากพระองค์นั้นก็อาศัยอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดสอนท่าน แต่การชโลมของพระองค์ได้สอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ได้เป็นคำมุสา และการชโลมนั้นสอนท่านแล้วอย่างไร จงอาศัยอยู่ในพระองค์อย่างนั้น.
------------------------------
I. ความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า
ก่อนที่พวกเราจะได้รับความรอดนั้น ทุกสิ่งที่เรากระทําล้วนเป็นไปตามความตั้งใจของเราเอง. ในเวลานั้น เราได้แต่ปรนนิบัติตัวเองและทําตามที่ตัวเราเองชอบใจ เราจะทําแต่สิ่งที่เราชอบและทําให้เรามีความสุข. แต่วันนี้เราได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้ต้อนรับพระคริสต์เยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว เรายอมรับว่าพระองค์คือนายที่เราปรนนิบัติ. เรายอมรับว่าเราคือผู้ที่พระองค์ทรงไถ่กลับมา. เราเป็นคนของพระองค์, เป็นผู้ที่ได้กลับคืนสู่พระองค์, และเป็นผู้ที่ปรนนิบัติพระองค์. ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เราได้รับความรอด เราจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่ง นั่นคือ การประพฤติของเรา. เราจะต้องไม่ทําตามความรักชอบของเราอีกต่อไป แต่จะต้องประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า หลังจากที่เราเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จุดศูนย์รวมในการดําเนินชีวิตของเราก็ได้เปลี่ยนไปด้วย จุดศูนย์รวมนี้ ไม่ได้เป็นของเราเองอีกต่อไป แต่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทันทีที่เราได้รับความรอด ประโยคแรกเราก็ควรจะทูลถามว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าควรทําอย่างไร?” เปาโลเคยถามเช่นนี้ในกิจการ 22:10 และเราเองก็ควรจะถามแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เมื่อเราประสบกับสถานการณ์อย่างหนึ่ง เราควรจะถามพระองค์ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าได้เป็นไปตามความประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์” ในขณะที่เรากําลังกําหนดอนาคตและกําลังเลือกสรรหนทางของเรา เราควรทูลต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าได้เป็นไปตามความประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของ พระองค์”
ชีวิตที่เราได้รับมานั้นมีข้อเรียกร้องพื้นฐานอย่างหนึ่งอยู่ภายใน ซึ่งก็คือต้องการให้เราประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า เรายิ่งประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า ภายในเราก็จะยิ่งรู้สึกชื่นชมยินดี. เรายิ่งไม่ดําเนินตามความประสงค์ของตัวเอง หนทางที่เราเดินต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าก็จะเที่ยงตรงยิ่งขึ้น หากเรายังคงทําตามความประสงค์ของตัวเองเหมือนแต่ก่อน ก็ไม่เพียงแต่ทําให้เราไม่มีความสุขเท่านั้น แต่ยังทําให้เราทนทุกข์อีกด้วย หลังจากที่เราได้รับความรอดแล้ว ถ้ายิ่งดําเนินตามความประสงค์ของตัวเองก็มีแต่จะยิ่งทนทุกข์ ยิ่งไม่ชื่นชมยินดี แต่หากเรายิ่งดําเนินตามชีวิตใหม่ที่อยู่ภายในเรา และยิ่งประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า เราก็จะยิ่งชื่นชมยินดีและมีสันติสุข นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์. ท่านอย่าได้คิดอย่างเด็ดขาดว่าถ้าเราได้ทําตามความประสงค์ของเราเอง เราก็จะชื่นชมยินดี หลังจากที่ท่านได้เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านไม่ทําตามความประสงค์ของตัวเองและเรียนรู้ที่จะนอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เรียนรู้ที่จะประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า ท่านก็จะเห็นได้ว่าหนทางสายนี้เป็นหนทางที่ชื่นชมยินดีและมีสันติสุข ความชื่นชมยินดีของคริสเตียนนั้นคือการประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทําตามความประสงค์ของเราเอง.
เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับน้ําพระทัยของพระเจ้าและให้น้ําพระทัยของพระเจ้ามาปกครองเรา. บุคคลผู้ใดที่นอบน้อมอย่างอ่อนโยนอยู่ภายใต้น้ําพระทัยของพระเจ้า ผู้นั้นก็สามารถลดระยะทางที่คดเคี้ยวได้อย่างมากมาย. คนมากมายที่พ่ายแพ้และชีวิตไม่เติบโต ก็เป็นเพราะมัวแต่ทําตามใจตัวเอง. ผลลัพธ์ของการทําตามใจตัวเองก็คือการทนทุกข์และความยากแค้น ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับไปประพฤติตามพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่ดี เพราะว่าพระเจ้ามักจะอาศัยเรื่องราว, สภาพการณ์, และสภาพแวดล้อมต่างๆ มาทําให้ท่านต้องยอมสยบแต่โดยดี นอกเสียจากว่าท่านจะไม่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พระองค์ก็จะยอมปล่อยให้ท่านไป. ขอเพียงท่านเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงใช้วิธีการของพระองค์เพื่อจะนําท่านมาเดินในหนทางแห่งการนอบน้อมต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ดังนั้นความไม่นอบน้อมทั้งปวงจึงได้แต่ทําให้ท่านเดินคดเคี้ยวไปเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วท่านก็ยังคงต้องยอมนอบน้อมอยู่ดี.
II. จะรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร
ปัญหาของเราในตอนนี้ก็คือเราจะรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร หลายครั้งเรามักคิดว่ามนุษย์โลกอย่างเราไม่มีทางที่จะเข้าใจน้ําพระทัยของพระเจ้าได้ อย่างไรก็ตามเราต้องมีความมั่นใจว่าไม่ได้มีแต่เราที่ต้องการประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า แต่พระเจ้าเองก็ทรงต้องการให้เราประพฤติตามน้ําพระทัยของพระองค์ด้วย และไม่ได้มีแต่เราที่ทูลขอเพื่อจะรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า แต่พระเจ้าเองก็ทรงต้องการให้เรารู้จักน้ําพระทัยของพระองค์เช่นกัน หากพระเจ้าทรงต้องการให้เราประพฤติตามน้ําพระทัยของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะต้องทรงทําให้เราสามารถรู้จักน้ําพระทัยของพระองค์ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการเปิดเผยน้ําพระทัยของพระเจ้าแก่เรานั้นเป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่มีบุตรของพระเจ้าคนใดต้องกังวลว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าเลย แล้วจะให้ข้าพเจ้าประพฤติตามได้อย่างไรเล่า? เราไม่จําเป็นต้องกังวลไป เพราะพระเจ้าย่อมมีวิธีการที่จะทําให้เรารู้จักน้ําพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว (ฮร. 13:21). เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงใช้สื่อกลางที่เหมาะสมมาทําให้เรารู้ว่าน้ําพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไร. การนําน้ําพระทัยของพระองค์มาบอกแก่เรานั้นเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้า. ถ้าท่าที่และใจของเรานอบน้อม เราก็จะรู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเปิดเผยน้ําพระทัยของพระองค์ให้แก่พวกเรา.
แล้วเราจะใช้วิธีใดมารู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้า? หากคริสเตียนคนหนึ่งต้องการที่จะรู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้า เขาก็จําเป็นต้องใส่ใจในสามเรื่องนี้ให้ดี หากทั้งสามเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่านั่นคือน้ําพระทัยของพระเจ้า. สามเรื่องที่ว่านี้คือ (1) การจัดแจงทางสภาพแวดล้อม, (2) ความรู้สึกทางภายในหรือที่เรียกกันว่าการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์, และ (3) คําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์. สามเรื่องที่ได้กล่าวมานั้นไม่ได้เรียงตามลําดับความสําคัญและก็ไม่ได้เรียงตามลําดับก่อนหลังด้วย. เราเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าสามเรื่องนี้จะช่วยเราให้รู้จักถึงน้ําพระทัยของพระเจ้า เมื่อทั้งสามเรื่องนี้เป็นพยานไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน เราก็สามารถมั่นใจได้ว่านี่ก็คือน้ําพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าในสามเรื่องนี้ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับอีกสองเรื่อง ถ้าเช่นนั้นก็ยังคงต้องรอดูต่อไป. ทั้งสามเรื่องนี้จําเป็นต้องสอดคล้องกัน เราจึงจะมุ่งหน้าต่อไปได้.
1. การจัดแจงทางสภาพแวดล้อม
ลูกา 12:6 กล่าวว่า “นกกระจอกห้าตัว เขาขายสองอัสซาริอันมิใช่หรือ?” ส่วนมัดธาย 10:29 กล่าวว่า “นกกระจอกสองตัว เขาขายหนึ่งอัสซาริอันมิใช่หรือ?” เงินหนึ่งอัสซาริอันซื้อนกกระจอกได้สองตัว ถ้าว่าตามหลักเหตุผลแล้วเงินสองอัสซาริอันก็ต้องซื้อนกกระจอกได้สี่ตัว แต่พระองค์กลับตรัสว่า เงินสองอัสซาริอันสามารถซื้อนกกระจอกได้ห้าตัว, เงินหนึ่งอัสซาริอันซื้อได้สองตัว, เงินสองอัสซาริอันซื้อได้สี่ตัวและแถมให้อีกหนึ่งตัว. กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า นกกระจอกเป็นสัตว์ที่มีราคาถูกที่สุด แต่ถ้าพระเจ้าของเราไม่ทรงอนุญาต แม้แต่นกกระจอกที่ราคาถูกเช่นนี้ก็จะไม่มีสักตัวเดียวที่จะตกลงถึงดิน แม้นกตัวที่ห้าจะเป็นตัวที่ให้โดยไม่คิดมูลค่า แต่ก็ไม่มีสักตัวหนึ่งที่จะถูกลืมเลือนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ถ้าหากพระเจ้าของเราไม่ทรงอนุญาต ก็จะไม่มีนกสักตัวที่ตกถึงพื้นดิน. กรณีนี้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นภายใต้การอนุญาตของพระเจ้า หากพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ไม่ทรงอนุญาต นกกระจอกสักตัวหนึ่งก็จะไม่ตกถึงพื้นดิน.
เส้นผมของคนคนหนึ่งมีอยู่กี่เส้นนั้นเป็นเรื่องยากที่จะนับได้อย่างถี่ถ้วน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “แม้แต่ผมบนศีรษะของท่าน ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น” (มธ. 10:30). “ทรงนับไว้แล้ว” แปลตามภาษาเดิมยังสามารถแปลได้ว่า "ทรงทําหมายเลขไว้แล้ว" ไม่มีใครที่รู้ว่าตัวเองมีเส้นผมทั้งหมดกี่เส้น และก็ไม่มีใครที่สามารถนับเส้นผมของตัวเองได้อย่างถี่ถ้วน แต่พระเจ้าได้ทรงนับเส้นผมของเราทุกเส้นและทรงทําหมายเลขไว้แล้วทุกเส้น. พระเจ้าของเราทรงละเอียดอ่อนและจริงจังยิ่งนัก!
ถ้าพระเจ้ายังทรงดูแลสิ่งทรงสร้างราคาถูกอย่างนกกระจอก แล้วพระองค์จะทรงดูแลเราผู้เป็นบุตรทั้งหลายยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด! หากพระเจ้าทรงดูแลเรื่องเล็กๆ อย่างเส้นผม แล้วเรื่องอื่นๆ จะทรงดูแลยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด! ดังนั้นเมื่อเราเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้าผ่านสภาพแวดล้อม. ไม่มีสักเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับเราโดย บังเอิญ. ทุกสิ่งที่พบเจอล้วนผ่านการวัดขนาดมาจากพระเจ้าแล้ว. อาชีพการงาน, สภาพแวดล้อม, สามีหรือภรรยาของท่าน, บิดามารดาหรือลูกหลานของท่าน, ญาติสนิทมิตรสหาย, ทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าล้วนทรงจัดแจงแทนท่านแล้ว. เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่านในทุกๆ วันล้วนแต่อยู่ในการจัดแจงของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้าที่อยู่ในสภาพแวดล้อม ผู้เชื่อใหม่อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ต่อการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์และอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกับคําสอนในพระคัมภีร์ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่อยู่ในสภาพแวดล้อมได้ นี่คือบทเรียนขั้นพื้นฐานที่สุดสําหรับผู้เชื่อ.
บทเพลงสรรเสริญ 32:9 กล่าวว่า “อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดเหล็กขวางปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็จะเข้ามาหาเจ้า” หลายครั้งเรามักจะปราศจากความเข้าใจเหมือนกับม้าหรือล่อตัวนั้น ซึ่งภายนอกต้องให้พระเจ้าติดเหล็กขวางปากและบังเหียน ทั้งผูกทั้งดึง เราจึงจะไม่ผิดพลาด. ท่านเคยเห็นคนเลี้ยงเป็ดหรือไม่? ในมือของเขาจะถือไม้ยาวๆ ไว้. พอเป็ดวิ่งไปทางซ้าย เขาก็จะใช้ไม้ไล่มันกลับมา. พอเป็ดวิ่งออกไปทางขวา เขาก็จะใช้ไม้นั้นไล่มันกลับมาอีก เป็ดเหล่านั้นไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจะต้องเดินตรงไป. ในทํานองเดียวกัน ท่านเองก็สามารถนําตัวท่านมอบไว้กับพระองค์และทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าเหมือนกับม้าหรือล่อต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ที่ปราศจากความเข้าใจ แต่ข้าพเจ้าไม่อยากทําผิดพลาด. ข้าพเจ้าอยากรู้จักน้ําพระทัยของพระองค์. ขอพระองค์ติดเหล็กขวางปาก และใส่บังเหียนให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์ทรงปลดพระหัตถ์เมื่อไร ข้าพเจ้าก็เดินพลาดเมื่อนั้น ขอพระองค์ทรงรักษาข้าพเจ้าไว้ในน้ําพระทัยของพระองค์และนําพาข้าพเจ้าไปสู่น้ําพระทัยของพระองค์ หากข้าพเจ้าออกห่างจากพระองค์ ขอพระองค์ทรงหยุดข้าพเจ้าไว้” ข้าพเจ้าไม่รู้สิ่งใด แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างใด เมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธน้ําพระทัยของพระองค์ ขอพระองค์ทรงมาหยุดข้าพเจ้าไว้!” พี่น้องทั้งหลาย เราอย่าได้เห็นว่าการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเด็ดขาด เพราะหลายครั้ง แม้เราจะทําตัวดูเหมือนกับม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ แต่เนื่องด้วยพระเมตตาของพระเจ้า เราจึงถูกผูกไว้ทันเวลา พระเจ้าจะทรงใช้สภาพแวดล้อมมาหยุดเราจากความผิดพลาดและบังคับเราให้เดินตามพระองค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
2. การนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระหัตถ์ของพระเจ้าจะปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อม แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการที่จะเห็นเราเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา. พระเจ้าจึงต้องนําพาเราจาก ภายใน. โรม 8:14 กล่าวว่า “เพราะทุกคนที่ได้รับการนําพาจากพระวิญญาณของพระเจ้า คนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า” เราเป็นบุตรของพระเจ้าและมีชีวิตของพระเจ้าอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่เพียงแต่ทรงนําพาเราโดยอาศัยสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังทรงตรัสกับเราและนําพาเราผ่านพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในเราด้วย. เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อาศัยอยู่ภายในเราจึงสามารถรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้จากส่วนที่ลึกที่สุดของเรา.
หนังสือยะเอศเคลมีถ้อยคําหนึ่งกล่าวว่า “เราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า” (ยอค. 11:19) และยังกล่าวอีกครั้งว่า “เราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า” (ยอค. 36:26-27). เราต้องแยกแยะความแตกต่างระหว่างคําว่า “วิญญาณใหม่” กับ “วิญญาณของเรา” คําว่า “วิญญาณของเรา” ชี้ถึงพระวิญญาณของพระเจ้า ส่วน “วิญญาณใหม่” ชี้ถึงวิญญาณซึ่งเราได้รับมาในขณะที่เราบังเกิดใหม่. วิญญาณใหม่นี้ก็เหมือนกับบ้าน, พระวิหารเพื่อให้พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถประทับอยู่ข้างใน. ถ้าหากภายในของเราไม่มีวิญญาณใหม่ที่ว่านี้ พระเจ้าก็ไม่สามารถประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราได้ เพราะภายในของเราก็ไม่มีสถานที่ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับ. ตลอดทุกยุคสมัยที่ผ่านมา พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา แต่ว่าวิญญาณของมนุษย์นั้นเป็นมลทิน, เป็นสิ่งทรงสร้างเก่า, เต็มไปด้วยความบาป, อีกทั้งได้ตายแล้ว. ดังนั้น แม้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าประสงค์ที่จะอาศัยอยู่ในมนุษย์ แต่ก็ไม่สามารถทําได้. มนุษย์จําเป็นต้องได้รับการบังเกิดใหม่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและมีวิญญาณใหม่ก่อน จึงจะมีฐานะในการต้อนรับพระวิญญาณของพระเจ้าและให้พระวิญญาณของพระเจ้าประทับอยู่ภายในได้.
ทันทีที่พี่น้องผู้แรกเชื่อคนหนึ่งมีวิญญาณใหม่ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ได้ประทับอยู่ในเขาแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงบอกถึงน้ําพระทัยของพระองค์แก่เขาเองอย่างอัตโนมัติ. ภายในของเขาก็จะมีความรู้สึกอย่างอัตโนมัติ. เขาไม่เพียงสามารถมองเห็นการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่ภายในก็ยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วย ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะเรียนรู้เชื่อในการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมของพระเจ้าเพียงเท่านั้น แต่ควรเรียนรู้เชื่อในการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราด้วย. เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและถึงเวลาที่มีความต้องการพระวิญญาณของพระเจ้าก็จะส่องสว่างภายในท่าน. พระองค์จะทรงให้ความรู้สึกแก่ท่านและให้ท่านรู้ได้ว่าสิ่งไหนมาจากพระเจ้าหรือสิ่งไหนไม่ได้มาจากพระเจ้า.
มีพี่น้องชายคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า. ทุกๆ ปีในช่วงฤดูหนาว เขาจะดื่มเหล้าหนักมากและเหล้าที่เขาดื่มนั้นก็เป็นเหล้าที่หมักเองเสียด้วย ต่อมาทั้งเขาและภรรยาก็ได้รับความรอด. แต่เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ. วันหนึ่งเขาได้ตระเตรียมอาหารและเหล้าไว้ดื่มเหมือนอย่างที่เคยทํามาทุกปี เขาลุกขึ้นขอบพระคุณสําหรับอาหารเสร็จแล้วก็เอ่ยถามภรรยาว่า “คริสเตียนดื่มเหล้าได้ไหม?” ภรรยาของเขาตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้” เขาก็พูดต่ออีกว่า “น่าเสียดายตรงนี้ไม่มีใครให้ถามได้เลย” ภรรยาของเขาก็บอกว่า “เหล้าก็เตรียมเสร็จแล้ว อาหารที่เตรียมเสร็จแล้ว วันนี้ดื่มกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไว้วันหลังค่อยไปถามก็ได้” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ขอบพระคุณสําหรับอาหารอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง. เขาคิดว่าตอนนี้เขาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ควรจะต้องรู้ว่าคริสเตียนดื่มเหล้าได้หรือไม่ เขาจึงให้ภรรยาหยิบพระคัมภีร์ออกมา แต่พอเปิดดูก็ไม่รู้ว่าต้องเปิดหน้าไหนและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หลังจากวันนั้น ก็มีคนมาพบเขาและได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ เพื่อนของเขาจึงถามว่า “แล้วสรุปวันนั้นได้ดื่มมั้ย? เขากล่าวว่า “สรุปวันนั้นก็ไม่ได้ดื่ม เพราะว่าเจ้าบ้านที่อยู่ภายในนั้นไม่อนุญาต. ผมก็เลยไม่ได้ดื่ม”.
ดังนั้นหากมนุษย์มีความปรารถนาที่จะประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า เขาก็จะสามารถรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแน่นอน. มีแต่คนที่ไม่ใส่ใจเท่านั้นถึงจะไม่ชัดเจน. ตราบใดที่คนคนหนึ่งมีความมุ่งหมายที่จะประพฤติตามน้ําพระทัยของพระเจ้า “เจ้าบ้านที่อยู่ภายใน ก็จะบอกแก่เขาเอง “เจ้าบ้านที่อยู่ภายใน” ซึ่งพี่น้องท่านนั้นได้กล่าวถึงก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง เมื่อคนคนหนึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทับอยู่ภายในเขา, นําพาเขา, และเป็นเจ้าบ้านของเขา. น้ําพระทัยของพระเจ้าไม่เพียงถูกเปิดเผยแก่เราโดยการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่โดย “เจ้าบ้านที่อยู่ภายใน” ด้วย.
การนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท. ประเภทแรกคือการกระตุ้นจากภายใน เหมือนกับที่บันทึกไว้ใน กจ. 8:29 “พระวิญญาณนั้นก็ตรัสกับฟิลิปว่าจงเข้า ไปใกล้ๆ รถนั้นเถิด” และใน กจ. 10:19-20 ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสแก่เปโตรว่า “จงลุกขึ้น ลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด” สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการกระตุ้นจากภายใน ประเภทที่สอง คือการขัดขวางจากภายใน ในกิจการ 16:6-7 กล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงห้าม” และ “พระวิญญาณของพระเยซูไม่อนุญาตให้ไป” กรณีนี้ก็คือการขัดขวางจากภายใน เรื่องราวของ “เจ้าบ้านที่อยู่ภายในไม่อนุญาต” ซึ่งเราได้กล่าวถึงข้างต้นก็เป็นเรื่องของการขัดขวางจากภายในเหมือนกัน.
พี่น้องผู้แรกเชื่อที่ต้องการรู้จักกับน้ําพระทัยของพระเจ้าควรทําความเข้าใจต่อความรู้สึกทางภายในสักหน่อยหนึ่ง. พระวิญญาณของพระเจ้าอาศัยอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น ความรู้สึกของพระวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งที่ตื้นเขินหรืออยู่ทางภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากส่วนลึกที่สุด ความรู้สึกนี้คล้ายกับเป็นเสียง แต่ก็ไม่ใช่เสียง และคล้ายกับเป็นความรู้สึก แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึก. พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงบอกท่านจากภายในว่าอะไรที่ใช่และอะไรที่ไม่ใช่น้ําพระทัยของพระองค์ หากท่านเป็นผู้ที่มีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ภายในท่านก็จะรู้สึกถูกต้องเมื่อท่านยินยอมประพฤติตามชีวิตนี้ ในทางตรงกันข้ามถ้าท่านไม่เชื่อฟังและขัดขืนต่อชีวิตนี้สักเล็กน้อย ท่านก็จะรับรู้ได้ถึงความอึดอัดที่อยู่ภายในและสันติสุขก็จะหายไป ดังนั้น การนอบน้อมต่อชีวิตจึงเป็นการดําเนินชีวิตที่ผู้เชื่อควรจะมี. ท่านอย่าได้กระทําในเรื่องที่ทําให้ภายในสูญเสียไปซึ่งสันติสุข. เมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกไม่มีสันติสุข ท่านก็ควรตระหนักได้ทันทีว่าพระวิญญาณที่อยู่ภายในท่านไม่ทรงพอพระทัยและทรงเสียพระทัยกับสิ่งที่ท่านทํา หากท่านทําเรื่องที่ไม่ได้เป็นมาจากพระองค์ ภายในของท่านย่อมไม่มีสันติสุขอย่างแน่นอน ยิ่งทําก็ยิ่งไม่มีสันติสุข ยิ่งทําก็ยิ่งไม่ชื่นชมยินดี แต่ถ้าหากเป็นการนําพาจากพระองค์แล้ว ท่านก็จะมีสันติสุขและความชื่นชมยินดีอย่างอัตโนมัติ.
อย่างไรก็ดี ท่านอย่าได้วิเคราะห์ความรู้สึกทางภายในจนเกินไป หากท่านม้วแต่วิเคราะห์ ว่าเรื่องนี้ใช่หรือไม่ใช่ ท่านก็จะสับสนอย่างสิ้นเชิง บางคนก็เอาแต่วิเคราะห์ว่าอะไรคือความรู้สึกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในหรืออะไรคือความรู้สึกของจิต. เขาวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด นี่เป็นสภาพการณ์ที่ไม่มีพลานามัยเอาเสียเลย. นี่เป็นโรคทางฝ่ายวิญญาณชนิดหนึ่ง เมื่อคนคนหนึ่งตกเข้าไปในหนทางแห่งการวิเคราะห์ตามความรู้สึกแล้ว ก็จะหันเขากลับมาเดินบนหนทางที่ปกติได้ยากมาก. ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะสามารถหลีกเลี่ยงจากปัญหานี้ได้. ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว คนคนหนึ่งต้องใช้การวิเคราะห์ก็เป็นเพราะเขามีแสงสว่างไม่เพียงพอ. หากเขามีแสงสว่างที่เพียงพอ ทุกอย่างก็จะชัดเจนต่อเขาโดยอัตโนมัติ เขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาไปนั่งวิเคราะห์เลย. หากท่านปรารถนาที่จะนอบน้อมต่อพระเจ้าโดยแท้จริง ภายในของท่านก็จะมีการนําพาที่ชัดเจนอย่างแน่นอน.
3. คําสอนของพระคัมภีร์
น้ําพระทัยของพระเจ้าไม่เพียงแต่ปรากฏผ่านสภาพแวดล้อมและไม่เพียงให้เรารู้ได้จากพระวิญญาณที่อยู่ภายในเราเท่านั้น เรายังสามารถรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าผ่านพระคัมภีร์ได้อีกด้วย.
น้ําพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยนนิรันดร์. น้ําพระทัยของพระองค์ถูกเปิดเผยผ่านประสบการณ์อันหลากหลายของผู้คนในสมัยก่อน และเรื่องราวเหล่านั้นล้วนถูกบันทึกไว้ ในพระคัมภีร์. ดังนั้นน้ําพระทัยของพระเจ้าจึงถูกเปิดเผยไว้เป็นหลักการและตัวอย่างมากมายที่อยู่ในพระคัมภีร์. หากผู้ใดต้องการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าก็จําเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจัง. พระคัมภีร์ไม่ใช่บทบันทึกธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่อุดมสมบูรณ์. น้ําพระทัยของพระเจ้าเรื่องแล้วเรื่องเล่าได้ถูกเปิดเผยออกมาโดยพระคัมภีร์ ท่าน เพียงแค่ดูว่าในอดีตนั้นพระคําที่พระเจ้าได้ตรัสไว้เป็นอย่างไร แล้วท่านก็จะรู้ว่าน้ําพระทัยของพระเจ้าในปัจจุบันนี้คืออะไร น้ําพระทัยของพระเจ้าไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาโดยเด็ดขาด เพราะ “ในพระองค์นั้น ล้วนเป็นใช่ทั้งสิ้น” (2กธ. 1:19). น้ําพระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อเรานั้นจะไม่มีทางขัดแย้งกับคําสอนในพระคัมภีร์อย่างเด็ดขาด. พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่นําพาให้เราไปทําในสิ่งที่พระคัมภีร์ปรับโทษอย่างแน่นอน.
“พระคําของพระองค์เป็นตะเกียงสําหรับเท้าของข้าพเจ้า และเป็นความสว่างสําหรับทางของข้าพเจ้า” (บพส. 119:105). ดังนั้นหากเราต้องการเข้าใจน้ําพระทัยของพระเจ้าและต้องการรู้ว่า พระเจ้าจะทรงนําพาเราเดินในหนทางเบื้องหน้าอย่างไร เราก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ให้มากๆ และอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน.
การที่พระเจ้าตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์นั้นสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท: ประเภทที่หนึ่ง คือคําสอนที่เป็นหลักการของพระคัมภีร์ และอีกประเภทคือคําสัญญาที่อยู่ในพระคัมภีร์ สําหรับคําสอนที่เป็นหลักการของพระคัมภีร์นั้น เราต้องอาศัยการฉายส่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะเข้าใจได้ ส่วนคําสัญญานั้น เราต้องอาศัยการนําพาของพระวิญญาณถึงจะได้รับมา. ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณได้ตรัสกับเราทั้งหลายตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในมัดธาย 28:19-20 ว่าคริสเตียนควรจะประกาศกิตติคุณแก่ผู้คน. นี่คือคําสอนที่เป็นหลักการของพระคัมภีร์ แต่การที่ท่านอยากจะไปประกาศกิตติคุณในสถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ท่านอยากรู้ว่าเป็นน้ําพระทัยของพระเจ้าหรือไม่นั้นก็จําต้องขึ้นอยู่กับการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านควรอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าให้มากและขอให้พระเจ้าประทานคําตรัสที่พิเศษแก่ท่าน จนกระทั่งวันหนึ่งพระวิญญาณได้ประทานพระคําที่ทรงสัญญากับท่านแล้ว เช่นนี้ท่านก็จะรู้ได้ว่าสิ่งนี้เป็นน้ําพระทัยของพระเจ้าใช่หรือไม่.
มีผู้เชื่อบางคนแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้าโดยใช้วิธีเสี่ยงทาย. พวกเขาหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าแล้วอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงบันดาลให้นิ้วของข้าพเจ้าไปเจอข้อพระคัมภีร์ที่แสดงถึงน้ําพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากที่พวกเขาอธิษฐานเสร็จแล้ว ตาของเขาก็ยังคงปิดอยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เปิดพระคัมภีร์และใช้นิ้วของเขาชี้ไปยังสักแห่งบนพระคัมภีร์ เมื่อเปิดตาแล้วก็ยึดถ้อยคําในพระคัมภีร์ข้อนั้นเป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า. มีผู้เชื่อที่ยังเยาว์วัยบางคนใช้วิธีการนี้ทูลถามพระเจ้า. แต่เพราะพวกเขามีจิตใจที่ มุ่งมั่น บางครั้งพระเจ้าก็อะลุ่มอล่วยในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา แล้วชี้แนะหนทางให้แก่พวกเขาเหมือนกัน แต่ว่านี้ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องอย่างแน่นอน. มีหลายคนที่ทําแล้วไม่เพียงไม่ได้ผลเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะผิดพลาดอีกด้วย. พี่น้องทั้งหลาย โปรดอย่าลืมว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ที่มีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์และมีพระวิญญาณของพระเจ้าอาศัยอยู่ภายในเราแล้ว ดังนั้นเราจึงควรทูลขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระคําของพระองค์แก่เราโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องอ่านพระคัมภีร์ให้ดีๆ เป็นประจําทุกๆ วัน และท่องจําข้อพระคัมภีร์ด้วย เพื่อในยามจําเป็นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงตรัสแก่เราและนําพาเราโดยผ่านพระคําที่เราได้อ่านไปนั้น.
ตอนนี้เราจะนําทั้งสามเรื่องข้างต้นมาพูดรวมกัน ทั้งสามเรื่องนี้มีลําดับที่ไม่แน่นอน บางครั้งการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมก็มาก่อน หลังจากนั้นค่อยมีการนําพาของพระวิญญาณ บริสุทธิ์และคําสอนของพระคัมภีร์. บางครั้งก็มีการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์และคําสอนของพระคัมภีร์ก่อน แล้วจึงค่อยมีการจัดแจงทางสภาพแวดล้อม การจัดแจงทางสภาพแวดล้อมเกี่ยวข้องกับเวลาของพระเจ้าเป็นพิเศษ ขณะที่พี่น้องจอร์จ มูเลอร์กําลังแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้าก็มักจะถามสามคําถามบ่อยๆ ว่า (1) การงานนี้เป็นการงานของพระเจ้าหรือไม่? (2) การงานนี้เป็นการงานที่พระเจ้าทรงต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นคนทําหรือไม่? และ (3) ในเวลานี้ใช่เวลาของพระเจ้าหรือไม่? สําหรับคําถามแรกกับคําถามที่สองนั้นสามารถหาคําตอบได้จากคําสั่งสอนของพระคัมภีร์และจากการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนคําถามที่สามนั้นต้องดูจากการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมแล้วถึงจะพบคําตอบได้.
ถ้าหากเราอยากรู้ว่าความรู้สึกภายในนั้นเป็นการนําพาของพระวิญญาณหรือไม่ เราก็ควรต้องถามสองคําถามนี้ด้วย คือ (1) การนําพานี้สอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่? และ (2) การนําพานี้มีการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมหรือไม่? ถ้าการนําพาเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับคําสอนในพระคัมภีร์ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่น้ําพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน. ถ้าหากไม่มีการจัดแจงทางสภาพแวดล้อมนั่นก็แปลว่าเรายังคงต้องรอต่อไป เพราะบางทีความรู้สึกของเราอาจจะผิดพลาด หรืออาจจะยังไม่ถึงเวลาของพระเจ้า.
ในการแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้า เราควรที่จะเรียนรู้บทเรียนหนึ่งคือต้องกลัวต่อการผิดพลาด อย่าได้ยืนกรานในทัศนคติของตัวเอง เราสามารถทูลขอให้พระเจ้าทรงปิดกั้นหนทางที่ไม่ใช่น้ําพระทัยของพระองค์.
สมมุติว่ามีคนเชิญท่านไปทํางาน หรือท่านมีความตั้งใจที่จะทําบางสิ่ง หรืออาจจะมีคนแนะนําให้ท่านพิจารณาถึงอนาคตของตัวเองใหม่อีกครั้ง เป็นต้น แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นน้ําพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? ท่านต้องเปิดดูคําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์ก่อนว่าพระเจ้าได้ ตรัสเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ในพระคําของพระองค์ว่าอย่างไร จากนั้นท่านควรตรวจดูความรู้สึกทางภายในของท่าน พระคัมภีร์อาจสอนว่าอย่างนี้ แล้วภายในของท่านรู้สึกอย่างไร? หากความรู้สึกทางภายในของท่านไม่เหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ นั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าความรู้สึกทางภายในของท่านเชื่อฟังไม่ได้ ท่านควรจะรอก่อนและแสวงหาต่อไปอีก แต่ถ้าการนําพาทางภายในท่านเหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ ท่านก็สามารถเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า น้ําพระทัยของพระองค์ได้สําแดงผ่านสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่ความรู้สึกทางภายในกับคําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า! ขอทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้เรียบร้อย. ขอโปรดให้สภาพแวดล้อมนี้สอดคล้องกับคําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์และการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์” เช่นนี้แล้วท่านก็จะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงสําแดงน้ําพระทัยของพระองค์ผ่านทางสภาพแวดล้อมเสมอ. ถ้าไม่ใช่น้ําพระทัยของพระเจ้า นกกระจอกสักตัวจะไม่ตกถึงพื้นดิน. แต่ถ้าเป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงให้เรามองเห็นทางภายนอกและสิ่งที่เราเห็นทางภายใน รวมถึงสิ่งที่เห็นจากพระคัมภีร์ จําต้องอยู่ในเส้นทางเดียวกัน. ขอเพียงแต่ภายในท่านมีความชัดเจน, การสั่งสอนของพระคัมภีร์ก็ชัดเจน, และสภาพแวดล้อมก็ชัดเจนด้วย. ท่านก็จะชัดเจนต่อน้ําพระทัยของพระเจ้า.
III. การยืนยันจากคริสตจักรและปัจจัยอื่นๆ
นอกจากน้ําพระทัยของพระเจ้าถูกเปิดเผยอยู่ในพระคําของพระองค์, ในวิญญาณของมนุษย์, และในสภาพแวดล้อมแล้ว. น้ําพระทัยของพระเจ้ายังถูกเปิดเผยอยู่ในคริสตจักรด้วย ถ้าหากท่านกําลังแสวงหาน้ําพระทัยพระเจ้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ท่านต้องชัดเจนต่อการนําพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์, คําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์, และการจัดแจงทางสภาพแวดล้อม. แต่ถ้าเป็นไปได้ ท่านก็ควรสามัคคีธรรมกับคนเหล่านั้นที่รู้จักพระเจ้าในคริสตจักร เพื่อดูว่าพี่น้องเหล่านั้นจะ “อาเมน” ต่อสิ่งที่ท่านมองเห็นหรือไม่. นี่จะทําให้ท่านมั่นใจต่อน้ําพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น เพราะคนเหล่านั้นรู้จักพระคัมภีร์ค่อนข้างดีทีเดียว พวกเขาเคยผ่านการจัดการกับเนื้อหนังมาบ้างแล้ว และดําเนินชีวิตอยู่ภายใต้การนําของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจาก พวกเขามีสภาพการณ์ฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ จึงทําให้พระเจ้าสามารถตรัสน้ําพระทัยของพระองค์ผ่านพวกเขาได้ พวกเขาจะพิจารณาถึงสภาพการณ์ของท่านในคริสตจักรและเขาจะรู้สึกได้ว่า เขาสามารถกล่าว “อาเมน” ต่อสิ่งที่ท่านได้มองเห็นหรือไม่ ถ้าหากเขาสามารถกล่าว “อาเมน” ท่านก็มั่นใจได้เลยว่าการนําพาที่ท่านได้รับเป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าหากพวกเขาไม่กล่าวว่า “อาเมน” ท่านก็ยังคงต้องรอต่อไปอีก และแสวงหาให้มากขึ้น เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีขีดจํากัด ทั้งความรู้สึกส่วนตัว, ความเข้าใจส่วนบุคคลที่มีต่อพระคัมภีร์, และการรู้จักส่วนบุคคลที่มีต่อการจัดแจงทางสภาพแวดล้อม. ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะไม่เที่ยงตรงหรืออาจผิดพลาดได้. ในด้านนี้คริสตจักรนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือมากกว่า ถ้าหากว่าเหล่าอวัยวะอื่นๆ ในท่ามกลางคริสตจักรเห็นว่า "การนําพา" ที่ท่านได้รับมานั้นไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็อย่าได้ยืนกรานเป็นอันขาดว่า “การนําพา” ที่ท่านได้รับมานั้นเชื่อถือได้ เมื่อต้องเจอกับสภาพการณ์แบบนี้ เราควรเรียนรู้ที่จะถ่อมตัวลง.
มัดธายบทที่ 18 พูดถึงหลักการของคริสตจักร. ถ้าหากพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อพี่น้องอีกคน พี่น้องที่ถูกกระทําต้องหาโอกาสไปแจ้งความผิดแก่พี่น้องคนที่ทําผิดในขณะที่อยู่สองต่อสองเท่านั้น แต่ถ้าเขาไม่ฟังก็ให้นําคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย. คําพูดทุกคําของพยานสองสามปากจึงจะเป็นหลักฐานได้ หากว่ายังไม่ฟังก็ให้แจ้งต่อคริสตจักร ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่กระทําผิดก็จําต้องฟังคริสตจักร. เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกของคริสตจักร. องค์พระเยซูเจ้า ตรัสว่า “ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกผูกมัดในสวรรค์แล้ว เมื่อท่านจะปลดปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกปลดปล่อยในสวรรค์แล้ว” (มธ. 18:18). เพราะว่าคริสตจักรเป็นที่ประทับของพระเจ้า เป็นที่ที่ความสว่างของพระเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้นเราต้องเชื่อว่าน้ําพระทัยของพระเจ้าจะเปิดเผยอยู่ในคริสตจักร. เราจึงควรมีท่าทีที่ถ่อมตน เพราะเกรงว่ามุมมองของเราเองอาจผิดพลาดได้ นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีการสามัคคีธรรมและรับการหล่อเลี้ยงจากพระกาย.
ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงมีหน้าที่รับผิดชอบที่หนักอึ้งต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า คริสตจักรจําต้องเรียนรู้ที่จะเป็นความสว่างต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. หากว่าคริสตจักรปล่อยตัวไปตามเนื้อหนังและทําอะไรตามใจชอบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการยืนยันจากคริสตจักรแล้ว การที่คริสตจักรจะมีการยืนยันอย่างเที่ยงตรงและศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ก็ต่อเมื่อคริสตจักรได้กลายเป็นทางออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์. คริสตจักรจะต้องอยู่ฝ่ายวิญญาณและยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มีอํานาจ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะใช้คริสตจักรเป็นทางออกของพระเจ้าได้. การยืนยันของคริสตจักรที่เรากําลังพูดถึงนั้นไม่ใช่การที่พี่น้องทั้งคริสตจักรมารวมตัวเพื่อเปิดประชุมหารือกัน แต่หมายถึงการพูดของคนกลุ่มหนึ่งที่รู้จักพระเจ้าและได้รับการนําพาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่รับผิดชอบในคริสตจักรรวมถึงผู้ที่ทํางานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจเดียวจําเป็นต้องมีการรู้จักที่เพียงพอต่อเรื่องราวฝ่ายวิญญาณ มีการจัดการกับเนื้อหนังของตัวเองจนถึงขั้นหนึ่งและยังต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ อีกทั้งมีการสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างต่อเนื่องจนเต็มไปด้วยการสถิตอยู่ของพระเจ้า และดําเนินชีวิตอยู่ภายใต้การนําของพระวิญญาณบริสุทธิ์. มีเพียงเช่นนี้พวกเขาจึงจะมีมุมมองที่ถูกต้องและพระวิญญาณจึงจะทรงให้การยืนยันที่ถูกต้องผ่านพวกเขาได้ด้วย.
บางคนอาจจะยกข้อพระคัมภีร์ ฆต. 1:16-17 มาอ้างว่า เมื่อเปาโลได้รับการเปิดเผย เขาไม่ได้ปรึกษากับมนุษย์ฝ่ายเลือดเนื้อและไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อหาคนเหล่านั้นที่เป็นอัครทูตก่อนเขา. ดังนั้นพวกเขาจึงว่าพวกเขาเองชัดเจนก็พอแล้วและไม่จําเป็นต้องไปสามัคคีธรรมกับคริสตจักรอีก. ผู้ที่ได้รับการเปิดเผยที่ชัดเจนอย่างเปาโลนั้นมีความมั่นใจอย่างแท้จริง ในสิ่งที่เขามองเห็นโดยไม่ต้องสงสัย แต่ปัญหาคือท่านได้รับการเปิดเผยในแบบที่เปาโลได้รับหรือไม่? เปาโลได้รับการหล่อเลี้ยงและความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยอาศัยพี่น้องอยู่หลายครั้ง ขณะที่เขากําลังไปยังเมืองดาเมเซ็ก เขาก็ได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่ส่องลงมา จนกระทั่งล้มลงกับพื้นและได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นแล้วเข้าไปในเมืองและจะมีผู้บอกให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรทําอะไร.” เขาได้รับการวางมือจากอะนาเนีย ผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามและยังได้รับการวางมือและถูกมอบหมายให้ออกไปโดยบรรดาผู้ร่วมงานในเมืองอันติโอเกียด้วย (กจ. 9:3-6, 12; 13:1-3). ดังนั้นถ้อยคําที่เขาได้กล่าวในหนังสือฆะลาเตียบทที่ 1 นั้น จึงพิสูจน์ว่า “กิตติคุณที่ได้ประกาศโดยข้าพเจ้านั้น ไม่ได้ประกาศตามมนุษย์แต่ข้าพเจ้าได้รับโดยการเปิดเผยของพระเยซูคริสต์” (ข้อ 11-12). ถ้อยคําเช่นนี้ไม่ได้มีความหมายที่เข้าข้างตัวเองเลยแม้แต่น้อย. ดังนั้นเราจึงควรถ่อมตน อีกทั้งอย่าได้ทําตัวหัวแข็ง และอย่าคิดไปว่าตัวเราเลิศเลอ. ถ้าเทียบกับเปาโลแล้ว ว่ากันตามตรงพวกเรายังห่างไกลจากเปาโลมากจริงๆ! เนื่องจากในขณะที่เราแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้า ตัวเราเองเป็นฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นการง่ายที่จะตกในความโน้มเอียงของตัวเองหรือรสนิยมของเราเองใส่เข้าไปด้วย การมองเห็นได้อย่างชัดเจนนั้นจึงเป็นเรื่องยากสําหรับเราในสภาพการณ์เช่นนี้ คริสตจักรจึงสามารถหล่อเลี้ยงและช่วยเหลือเราได้มากทีเดียว ดังนั้นในขณะที่เรามีความต้องการ เราจึงควรแสวงหาการยืนยันจากคริสตจักร.
อย่างไรก็ตาม เราต้องป้องกันเดินสู่ทางสุดขั้วด้วย. มีคริสเตียนบางคนก็ไม่กระตือรือร้นเลย. ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็เอาแต่ไปถามคริสตจักรและคอยให้คนอื่นช่วยตัดสินใจให้ กรณีนี้ขัดกับหลักการในพันธสัญญาใหม่ เราอย่าได้ให้พี่น้องกลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝ่ายวิญญาณในคริสตจักรเป็นเหมือนกับผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม ซึ่งก็คือไม่ว่ามีปัญหาอะไรก็ต้องไปถามพวกเขา. 1 โยฮัน 2:27 กล่าวว่า “และฝ่ายท่านทั้งหลาย การชโลมซึ่งท่านได้รับจากพระองค์นั้นก็อาศัยอยู่ในท่าน จึงไม่จําเป็นต้องมีผู้ใดสอนท่าน แต่การชโลมของพระองค์ได้สอนท่านทุกสิ่ง” การชโลมนี้ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ภายใน. เราไม่สามารถนําการยืนยันของคริสตจักรมาแทนที่การสั่งสอนแห่งการชโลมได้ การยืนยันของคริสตจักรไม่ใช่ผู้พยากรณ์ แต่การยืนยันของคริสตจักรมีจุดประสงค์เพื่อยืนยันในสิ่งที่เราพบเห็น เพื่อให้เราสามารถมีความมั่นใจต่อน้ําพระทัยของพระเจ้าได้มากขึ้น ดังนั้นการยืนยันของคริสตจักรจึงเป็นเครื่องป้องกัน ไม่ใช่สิ่งที่มาแทนที่การแสวงหาส่วนตัวที่มีต่อน้ําพระทัยของพระเจ้า.
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่เราควรจะรู้ วิธีการแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้าที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นมักใช้กับเรื่องที่ค่อนข้างสําคัญ. สําหรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจําวันนั้นก็ไม่จําเป็นต้องปรับใช้วิธีนี้ไปแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้า. เราสามารถตัดสินได้ด้วยสามัญสํานึกของเรา. พระเจ้าของเราไม่ทรงปฏิเสธสามัญสํานึกของเรา. พระเจ้าทรงต้องการให้เราใช้สามัญสํานึกไปตัดสินเรื่องต่างๆ ที่สามัญสํานึกของเราสามารถเข้าใจได้. มีเพียงเรื่องที่สําคัญๆ ในชีวิตเราเท่านั้นที่เราต้องใช้วิธีการที่ได้กล่าวไปข้างต้นเพื่อมาแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้า.
ในการแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้านั้น เราไม่ควรตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ผิดปกติคือ มีความคิดที่ว่างเปล่าและความตั้งใจที่ไม่กระตือรือร้น เฮ็บราย 5:14 กล่าวถึงคนเหล่านั้น “ที่ได้ฝึกฝนความสามารถของเขาโดยการปฏิบัติอยู่เสมอจนสามารถแยกแยะดีชั่วได้” เราจําต้องฝึกฝนความคิดและความตั้งใจของเรา, เราจําต้องให้ความตั้งใจของเราอยู่ฝ่ายพระเจ้าและร่วมงานกับพระองค์, จริงอยู่ที่เราควรวางลงซึ่งความตั้งใจของเราเอง แต่การล้มเลิกการใช้งานของความคิดจนตกอยู่ในความว่างเปล่าและทําให้ความตั้งใจอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่กระตือรือร้นนั้นเป็นเรื่องที่ผิด. ผู้คนจํานวนมากเชื่อฟังในสติปัญญาของตัวเอง แต่ไม่เชื่อฟังในพระเจ้า นี่เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง. อย่างไรก็ตาม ผู้คนจํานวนมากคิดว่าการเชื่อฟังในพระเจ้านั้นหมายความว่าเขาไม่ต้องใช้ความคิดของตัวเองแล้ว. นี่ก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วย ในขณะที่ลูกาเขียนหนังสือกิตติคุณนั้น เขาเองก็ได้ “สืบเสาะถ้วนถี่” (1:3). ใน รม. 12:2 เปาโลบอกกับเราว่า “จงเปลี่ยนแปลงโดยการเปลี่ยนใหม่ของความคิด เพื่อท่านทั้งหลายจะได้พิสูจน์จนรู้ถึงน้ําพระทัยของพระเจ้า” ดังนั้นในการแสวงหาน้ําพระทัยของพระเจ้า เราจึงต้องใช้ความคิดและความตั้งใจของเรา แน่นอนว่าความคิดและความตั้งใจนี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง.
เราจะกล่าวถึงเรื่องของนิมิตและความฝันโดยสังเขปด้วย ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงเปิดเผยน้ําพระทัยของพระองค์ให้แก่มนุษย์ผ่านนิมิตและความฝัน. ส่วนในพันธสัญญาใหม่นั้นก็มีนิมิตและความฝันด้วย แต่ว่าพระเจ้าไม่ทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นสื่อกลางหลักในการนําพาในพันธสัญญาใหม่นั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงอาศัยอยู่ภายในเราและสามารถตรัสกับเราโดยตรงจากภายใน. ดังนั้นสื่อกลางทั่วไปที่ใช้นําพาโดยหลักๆ แล้วก็คือการนําพาที่อยู่ภายใน. นอกจากว่าพระเจ้าจะทรงมีเรื่องที่พิเศษและสําคัญให้เรารู้ ซึ่งไม่ง่ายนักที่เราจะต้อนรับการนําพานี้ได้ในสภาพการณ์ทั่วๆ ไป พระองค์จึงทรงนําพาเราด้วยความฝันและนิมิต ดังนั้นนิมิตและความฝันที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่จึงไม่ใช่สื่อกลางโดยปกติที่พระเจ้าใช้ในการนําพา. เช่นนั้นแล้ว แม้เราจะมีนิมิตและความฝัน เราก็ยังคงต้องแสวงหาการยืนยันทางภายใน และการยืนยันจากสภาพแวดล้อมเพื่อปกป้องตัวเราเองไว้ด้วย. ตัวอย่างเช่น ในกิจการบทที่ 10 แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เปโตรไปประกาศกิตติคุณให้แก่คนต่างชาติ แต่ตามประเพณีดั้งเดิมแล้ว เปโตรซึ่งเป็นชาวยิวนั้นไม่เคยติดต่อกับคนต่างชาติเลย. พระเจ้าจึงทรงให้เขามองเห็นนิมิตเพื่อหันเปลี่ยนทัศนคติเช่นนี้ หลังจากที่เปโตรมองเห็นนิมิตแล้ว โกระเนเลียวก็ใช้คนสามคนไปหาเขา. ในด้านหนึ่ง กรณีนี้ก็คือการยืนยันจากสภาพแวดล้อม นั่นเอง. ในอีกด้านหนึ่งนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตรัสกับเขาด้วยการยืนยันทางภายในและการยืนยันทางสภาพแวดล้อมนี้ทําให้เขามั่นใจได้ว่านี่เป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า.
แน่นอนว่า บางครั้งเราก็ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจและรอ มีเพียงนิมิตหรือความฝันที่ชัดเจนและชัดแจ้ง และความรู้สึกภายในที่สามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น เราจึงจะสรุปได้ทันทีว่าเป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า โดยไม่ต้องรอการยืนยันจากสภาพแวดล้อม. ตัวอย่างเช่น ในขณะที่เปาโลกําลังอธิษฐานอยู่ในพระวิหาร เขาก็เข้าสู่ภวังค์. เขาเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาและทรงกําชับให้เขารีบออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม อย่าได้ล่าช้า. ในตอนแรกเขาอ้างเหตุผลกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและพยายามจะปฏิเสธ. แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาอีกครั้งว่า “จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปไกล คือไปยังคนต่างชาติ” (กจ. 22:17-21). ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่เปาโลพบกับพายุในทะเลและความหวังในการรอดชีวิตก็สูญสิ้นไปแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปยืนข้างๆ เขาและกล่าวแก่เขาว่าอย่ากลัวเลย (27:23-24). กรณีเหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตที่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่บ่อยนัก. พระเจ้าประทานนิมิตและความฝันให้กับบุตรทั้งหลายของพระองค์ก็ต่อเมื่อมีความต้องการที่พิเศษ คริสเตียนบางคนมีความฝันและนิมิตบ่อยจนเหมือนกับมื้ออาหารที่เขากินทุกวัน นี่เป็นการเจ็บป่วยฝ่ายวิญญาณอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นมาจากความผิดปกติทางระบบประสาท, การโจมตีของซาตาน, หรือการหลอกลวงจากวิญญาณชั่ว ไม่ว่าจะเป็นมาจากเหตุผลใด สถานการณ์เช่นนี้ก็ล้วนแต่ผิดปกติทั้งนั้น.
เราสามารถสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงนําพามนุษย์ด้วยวิธีการมากมาย แต่ละคนล้วนมีสภาพการณ์และความต้องการฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างกัน. นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงนําพาพวกเราด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนกัน แต่สื่อกลางหลักของพระองค์ก็คือการจัดแจงทางสภาพแวดล้อม, การนําพาทางภายใน, และคําสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์. เราจําเป็นต้องชี้ให้เห็นอีกครั้งว่า เมื่อสามสิ่งนี้เกิดขึ้นในแนวทางเดียวกัน เราก็มั่นใจได้ว่านี่เป็นน้ําพระทัยของพระเจ้า.
IV. ผู้ที่มีคุณสมบัติในการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า
ท้ายที่สุด แม้เราจะมีวิธีการที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าได้ โปรดจําไว้ว่า วิธีการที่ถูกต้องจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อใช้กับคนที่ถูกต้องด้วย ถ้าคนไม่ถูกต้องแล้ว ถึงจะมีวิธีการที่ถูกต้องก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด. ถ้าคนคนหนึ่งเป็นคนที่กบฏ การแสวงหาน้ําพระทัยพระเจ้าของเขานั้นก็ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าคนคนหนึ่งต้องการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า เขาก็ต้องมีความปรารถนาจากภายในว่าเขาจะปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระองค์.
พระบัญญัติ 15:17 บันทึกเกี่ยวกับทาสคนหนึ่ง ซึ่งใบหูของเขาถูกแทงด้วยเหล็กหมาดทะลุที่ประตูเรือน. กรณีนี้แสดงให้เราเห็นว่า หากเราต้องการปรนนิบัติพระเจ้า หูของเราก็ต้องฟังคําตรัสของพระองค์อยู่ตลอดเวลา เราควรมายังเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วทูลว่า “ข้าพเจ้ายินดีเจาะหูของข้าพเจ้าที่ประตูและให้หูของข้าพเจ้าฟังพระคําของพระองค์. ข้าพเจ้าต้องการปรนนิบัติพระองค์และจะปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระองค์. ข้าพเจ้าอ้อนวอนจากใจว่าข้าพเจ้าจะปรนนิบัติพระองค์. พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างจริงจังที่จะเป็นทาสของพระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าได้ยินคําตรัสของพระองค์. ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักน้ําพระทัยของพระองค์” เราต้องมายังเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าและทูลขอพระคําของพระองค์, หูของเราต้องถูกเจาะที่ประตู, รอการมอบหมายของพระองค์, และเชื่อฟังคําบัญชาของพระองค์.
หลายครั้งที่ภายในข้าพเจ้ารู้สึกลําบากใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมากมายค้นหาวิธีการในการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า แต่กลับไม่ปรารถนาที่จะปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระองค์. พวกเขาได้แต่ศึกษาวิธีการเช่นนี้เพื่อเป็นความรู้ แต่พวกเขาก็ยังมีความปรารถนาของตัวเอง พวกเขายึดพระองค์เป็นที่ปรึกษาและให้น้ําพระทัยของพระองค์กลายเป็นข้ออ้างอิงของเขา. พี่น้องทั้งหลาย มีเพียงคนที่ตั้งใจจะปฏิบัติตามน้ําพระทัยของพระองค์เท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงเปิดเผยให้เขารู้ “ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระทัยของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้" (ยฮ. 7:17) ดังนั้น ถ้าผู้ใดต้องการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า ผู้นั้นก็ต้องตั้งใจประพฤติตามน้ําพระทัยของพระองค์ หากท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและแน่วแน่ที่จะประพฤติตามน้ําพระทัยของพระองค์ แม้ท่านจะไม่รู้วิธีการใดๆ พระเจ้าก็ทรงทําให้ท่านรู้จักน้ําพระทัยของพระองค์ได้ ในพระคัมภีร์มีข้อหนึ่งกล่าวว่า “เพราะว่าพระเนตรของพระยะโฮวาสอดส่องไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสําแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่คนเหล่านั้นที่มีใจต่อพระองค์อย่างครบสมบูรณ์” (2คนก. 16:9). ข้อพระคัมภีร์นี้หากแปลตามตัวอักษรก็คือ “เพราะว่าพระเนตรของพระยะโฮวาไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสําแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็น แก่คนเหล่านั้นที่ใจของเขาโน้มเอียงต่อพระองค์อย่างครบถ้วน” พระเนตรของพระองค์เคลื่อนไปมาจากที่นี่ไปที่นั่น. พระเนตรนี้ไม่เพียงสอดส่องไปมาแค่ครั้งเดียว แต่สอดส่องไปมาอย่างต่อเนื่องเพื่อทอดดูผู้ที่มีใจติดตามน้ําพระทัยของพระองค์. หากคนเหล่านั้นมีใจโน้มเอียงไปหาพระองค์อย่างครบถ้วน พระองค์ก็จะทรงปรากฏแก่เขา. ดังนั้น ถ้าใจของท่านโน้มเอียงไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างครบถ้วนและกล่าวว่า “ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้าต้องการน้ําพระทัยของพระองค์. ข้าพเจ้าต้องการน้ําพระทัยของพระองค์จริงๆ. ” พระเจ้าก็จะทรงให้ท่านรู้ถึงน้ํา พระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่อาจไม่เปิดเผยพระองค์เองแก่ท่าน พระองค์ต้องให้ท่านรู้ เราไม่ควรคิดว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานแล้วจึงจะเข้าใจน้ําพระทัยของพระองค์ได้. เราหวังว่าผู้เชื่อทุกคนตั้งแต่วันแรกที่เชื่อเป็นต้นมาก็จะมอบถวายทุกอย่างเพื่อรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า.
เราอย่าได้คิดว่าการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย. เราต้องรู้ว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นเราก็เป็นเหมือนหนอนตัวเล็กๆ คนตัวเล็กอย่างเราสามารถเข้าใจน้ําพระทัยของพระเจ้าได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก! ขอให้เรามองเห็นว่าการเข้าใจน้ําพระทัยของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่มีสง่าราศี เมื่อพระเจ้าทรงถ่อมพระองค์เองมาให้มนุษย์รู้จักน้ําพระทัยของพระองค์แล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ในการรู้จักน้ําพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งยังต้องก้มลงนมัสการ, ให้ความล้ําค่า, และประพฤติตามน้ําพระทัยของพระองค์ด้วย.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 27 ตั้งแต่ หน้า 415 - 434
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. อภัยพี่น้อง
1. ต้องอภัยเสมอ
2. ขนาดของพระเจ้า
3. ความคาดหวังของพระเจ้า
4. การตีสอนของพระเจ้า
II. การฟื้นสภาพพี่น้อง
1. แจ้งแก่เขา
2. จุดมุ่งหมายของการแจ้ง
3. ท่าทีที่เหมาะสมของการแจ้ง
4. แจ้งต่อผู้อื่น
5. แจ้งต่อคริสตจักร
ข้อพระคัมภีร์: มธ.18:21-35, 15-20; ลก.17:3-5
มธ. 18:21 แล้วเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพี่น้องของข้าพเจ้าจะทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าควรจะอภัยเขาสักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งหรือ?”
มธ. 18:22 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เรามิได้กล่าวแก่ท่านว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่ถึงเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด.
มธ. 18:23 ด้วยเหตุนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายเปรียบเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ประสงค์จะคิดบัญชีกับทาสของพระองค์.
มธ. 18:24 เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า.
มธ. 18:25 แต่เพราะเขาไม่มี[เงิน]จะใช้หนี้ นายจึงสั่งให้ขายตัวเขา, ภรรยา, ลูกและบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้.
มธ. 18:26 ทาสผู้นั้นจึงก้มกราบลงทูลว่า ‘ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น.’
มธ. 18:27 นายของทาสผู้นั้นมีพระทัยกรุณาทรงโปรดปล่อยตัวเขาไปและยังยกหนี้ให้เขาด้วย.
มธ. 18:28 แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบเพื่อนทาสคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นไว้แล้วบีบคอว่า ‘จงใช้หนี้ให้ข้า.’
มธ. 18:29 เพื่อนทาสของเขาคนนั้นได้ก้มลงอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้.’
มธ. 18:30 แต่เขาไม่ยอม กลับนำทาสที่เป็นลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น.
มธ. 18:31 ฝ่ายเหล่าเพื่อนทาสของเขาเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นไปกราบทูลนายของพวกเขา.
มธ. 18:32 ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมาตรัสแก่เขาว่า ‘อ้ายทาสชั่ว หนี้ทั้งหมดของเจ้าเราโปรดยกให้เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา.
มธ. 18:33 เจ้าควรจะเมตตาผู้ที่เป็นทาสด้วยกันเหมือนกับเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ?
มธ. 18:34 แล้วนายของเขานั้นก็โกรธนัก จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ ให้ทรมานจนกว่าเขาจะใช้หนี้ครบหมด.
มธ. 18:35 ถ้าท่านแต่ละคนไม่อภัยให้พี่น้องของท่านจากใจของท่าน พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราจะทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายอย่างนั้นแหละ.”
มธ. 18:15 ยิ่งกว่านั้น ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดบาปต่อท่าน, จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น. ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา.
มธ. 18:16 แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ท่านจงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปกับท่านด้วย ด้วยพยานสองสามปาก ทุกคำจึงจะเป็นหลักฐานได้.
มธ. 18:17 ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น ก็จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี.
มธ. 18:18 เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ‘ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกผูกมัดในสวรรค์แล้ว เมื่อท่านจะปลดปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกปลดปล่อยในสวรรค์แล้ว.’
มธ. 18:19 เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความกลมเกลียวกันแล้ว พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็จะทรงกระทำให้สำเร็จ.
มธ. 18:20 ด้วยว่ามีสองสามคนถูกชุมนุมกันที่ไหนๆ เข้าสู่ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น.”
ลก. 17:3 จงระวังตัวให้ดี. ถ้าพี่น้องของท่านทำบาป จงติเตียนเขา และถ้าเขากลับใจแล้ว จงอภัยแก่เขา.
ลก. 17:4 แม้เขาผิดต่อท่านวันละเจ็ดหน และได้หันกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหน และกล่าวว่า 'ฉันกลับใจแล้ว' ท่านยังต้องอภัยแก่เขา."
ลก. 17:5 เหล่าอัครทูตจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "[ขอพระองค์โปรด]ให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น."
------------------------------
I. อภัยพี่น้อง
เราควรทําอย่างไรถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อเรา? นี่คือกับปัญหาหนึ่งที่เราทุกคนต้องจัดการ. ไม่ใช่เราที่ทําผิดต่อผู้อื่น แต่เป็นผู้อื่นที่ทําผิดต่อเรา แล้วเราควรทําอย่างไร? เมื่อเรานําข้อพระคัมภีร์ทั้งสามแห่งข้างต้น (มธ.18.21-35; 15-20; ลก.17:3-5) มาเชื่อมโยงกัน เราก็จะพบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เราว่า ถ้ามีพี่น้องทําผิดต่อเรา เราไม่เพียงต้องให้อภัยเขาเท่านั้น แต่เรายังต้องฟื้นสภาพเขาด้วย ตอนนี้ให้เรามาพิจารณาเรื่องของการอภัยกันก่อน.
1. ต้องอภัยเสมอ
มัดธาย 18:21-22 กล่าวว่า “แล้วเปโตรมาทูลพระองค์ว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพี่น้องของข้าพเจ้าจะทําผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าควรจะอภัยเขาสักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งหรือ? พระเยซูตรัสตอบเขาว่า เรามิได้กล่าวแก่ท่านว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่ถึงเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด” ลูกา 17:3-4 กล่าวว่า “จงระวังตัวให้ดี ถ้าพี่น้องของท่านทําบาป จงติเตียนเขา และถ้าเขากลับใจแล้ว จงอภัยแก่เขา แม้เขาผิดต่อท่านวันละเจ็ดหนและได้หันกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนและกล่าวว่า ฉันกลับใจแล้ว ท่านยังต้องอภัยแก่เขา” ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือกิตติคุณ มัดธาย กล่าวว่า เราไม่เพียงต้องอภัยพี่น้องเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่ถึงเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด ส่วนข้อพระคัมภีร์ในหนังสือลูกากล่าวว่า หากพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อท่านวันละเจ็ดหนและได้หันกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหน ท่านยังต้องอภัยแก่เขา ไม่ว่าการกลับใจของเขานั้นจะกระทําด้วยความจริงใจหรือไม่ ตราบใดที่เขากลับใจ เราก็ยังต้องอภัยแก่เขา เขาจะจริงใจหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เรายังต้องอภัยแก่เขา.
การอภัยเจ็ดครั้งไม่มากเลย แต่การอภัยวันละเจ็ดครั้งก็ไม่น้อยเหมือนกัน. สมมติว่ามีคนคนหนึ่งทําผิดต่อท่านเจ็ดครั้งในวันเดียว แล้วเขาก็มาบอกท่านทั้งเจ็ดครั้งว่าเขาได้ทําผิดต่อท่าน ถ้าเป็นเช่นนี้ ท่านยังเชื่อหรือไม่ว่าเขาได้ยอมรับผิดด้วยความจริงใจ? ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะคิดว่าเขาเพียงยอมรับด้วยปากเท่านั้น ดังนั้นลูกา 17:5 จึงกล่าวว่า “เหล่าอัครทูตจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น ” พวกเขารู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาสําหรับพวกเขา พวกเขาคิดไม่ออกว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่พี่น้องคนหนึ่งจะทําผิดต่อพี่น้องอีกคนหนึ่งวันละเจ็ดครั้ง แล้วได้หันมากลับใจทั้งเจ็ดครั้ง. พวกเขาไม่อาจเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า “ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้าเพิ่มขึ้น.” แต่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าก็ยังควรที่จะให้อภัยเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อมีพี่น้องทําผิดต่อเรา เราไม่ควรจดจําหรือยึดติดอยู่กับความผิดนั้นๆ.
2. ขนาดของพระเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยกคําอุปมาหนึ่งในมัดธาย 18:23-27 กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้อาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายเปรียบเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งประสงค์จะคิดบัญชีกับทาสของพระองค์ เมื่อตั้งต้นทําการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า. แต่เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ นายจึงสั่งให้ขายทั้งตัวเขา, ภรรยา, ลูก, และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ ทาสผู้นั้นจึงก้มกราบลงทูลว่า ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น นายของทาสผู้นั้นมีพระทัยกรุณาทรงโปรดปล่อยตัวเขาไปและยังยกหนี้ให้เขาด้วย”
ทาสคนนั้นเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ ซึ่งเป็นเงินจํานวนมหาศาล. เขาไม่มีความสามารถที่จะใช้หนี้เพราะ “เขาไม่มีเงินจะใช้หนี้” เราไม่สามารถใช้หนี้ทั้งหมดที่เราติดค้างพระเจ้าได้เลย จํานวนที่เราเป็นหนี้พระเจ้านั้นมากมายกว่าที่มนุษย์เป็นหนี้เรามากนัก. เมื่อบุตรของพระเจ้าคนใดตระหนักอย่างถูกต้องถึงมูลค่าที่เขาเป็นหนี้ต่อพระเจ้า เขาก็จะสามารถยกหนี้ให้พี่น้องด้วยใจกว้าง แต่ถ้าเราลืมพระคุณที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งเราได้รับจากพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ความเมตตาต่อผู้อื่น เราจําต้องมองเห็นก่อนว่าเราเป็นหนี้ต่อพระเจ้ามากเหลือเกิน จากนั้นจึงจะสามารถมองเห็นว่าผู้อื่นเป็นหนี้ต่อเราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น.
ทาสนั้นไม่มีเงินจะใช้หนี้ และนายจึงสั่งเขา “ให้ขายทั้งตัวเขา, ภรรยา, ลูก, และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้” ตามความเป็นจริงแล้ว แม้เขาจะขายสิ่งของทั้งหมดที่เขามีอยู่ เขาก็ยังไม่สามารถใช้หนี้ได้ทั้งหมด ดังนั้น “ทาสผู้นั้นจึงก้มกราบลงทูลว่า ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น”
มีคนจํานวนน้อยมากที่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าพระคุณคืออะไรและกิตติคุณคืออะไร. มนุษย์มักคิดว่าเขาไม่สามารถชําระหนี้ได้ในวันนี้ แต่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถชําระหนี้ได้ เขาทําไม่ได้ในวันนี้ แต่สักวันหนึ่งเขาจะทําได้ อย่างไรก็ตาม ในข้อพระคําเหล่านี้เราจะเห็นทาสคนหนึ่ง ซึ่งแม้เขาได้ขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว ก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้หนี้ทั้งหมดอยู่ดี. เขาจึงพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น.” เขาคิดว่าเขามีเจตนาที่ดี เขาไม่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้หนี้ เขาเพียงแต่ขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ยึดเวลาแก่เขามากขึ้น แล้วเขาจะใช้หนี้ทั้งหมด. จริงๆ แล้วนี่ก็คือความคิดของคนที่ไม่รู้จักพระคุณ.
“นายของทาสผู้นั้นมีพระทัยกรุณาทรงโปรดปล่อยตัวเขาไปและยังยกหนี้ให้เขาด้วย” นี่ก็คือกิตติคุณ กิตติคุณไม่ใช่การที่พระเจ้าทรงกระทําการงานแทนที่ท่านตามความคิดของท่าน ท่านอาจจะพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น.” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตอบว่า “เจ้ามีอยู่เท่าไรก็ให้มาเท่านั้นก่อน ส่วนที่เหลือค่อยให้ภายหลัง.” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกหนี้ทั้งหมดให้ท่านแล้ว คําอธิษฐานและคําทูลขอของมนุษย์นั้นห่างไกลกับพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากนัก. องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงกระทําการงานแทนเราและทรงตอบคําอธิษฐานของเราตามสิ่งที่พระองค์ทรงมี. นายของทาสผู้นั้นทรงโปรดปล่อยตัวเขาไปและยังยกหนี้ให้เขาด้วย. นี่ก็คือพระคุณของพระเจ้า. นี่ก็คือขนาดของพระองค์นั่นเอง ทุกคนที่ขอพระคุณต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ก็จะประทานพระคุณแก่เขา แม้ว่าการรู้จักที่เขามีต่อพระคุณยังน้อยมากก็ตาม. ดังนั้นเราต้องมองเห็นหลักการเช่นนี้อย่างชัดเจน. องค์พระผู้เป็นเจ้าชอบที่จะประทานพระคุณแก่มนุษย์ ขอเพียงแค่เรามีความปรารถนาเล็กน้อยที่จะได้รับพระคุณ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะเทพระคุณลงมาบนตัวของเรา. พระองค์กลัวเพียงแต่ว่ามนุษย์จะไม่มาขอเท่านั้น. ตราบใดที่มนุษย์มีความหวังเพียงเล็กน้อยและเปิดปากขอต่อพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอประทานพระคุณแก่ข้าพเจ้า” พระองค์ก็จะเทพระคุณลงมาบนตัวของเขา. ยิ่งกว่านั้น พระคุณที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้นี้ก็เพื่อให้พระองค์ได้รับความอิ่มหนําด้วย เราอาจจะคิดว่าเงินหนึ่งเหรียญก็เพียงพอแล้ว แต่พระองค์ไม่เพียงประทานหนึ่งเหรียญเท่านั้น แต่จะประทานให้เราถึงสิบล้าน พระองค์ทรงกระทําเพื่อความอิ่มหนําของพระองค์เอง. การกระทําของพระองค์นั้นสอดคล้องกับตัวของพระองค์เอง ท่านอาจจะรับเอาแม้แต่เงินหนึ่งเหรียญ แต่พระเจ้าไม่สามารถประทานเงินจํานวนเล็กน้อยเช่นนั้นแก่ใครได้ มิเช่นนั้นพระองค์ก็คงไม่ประทานให้เลยหรือถ้าจะประทานให้ก็ต้องประทานตามขนาดของพระองค์.
เราต้องตระหนักว่าการช่วยให้รอดถูกกระทําให้สําเร็จครบถ้วนบนตัวของมนุษย์ตามขนาดของพระเจ้า. การช่วยให้รอดไม่ได้เป็นไปตามความคิดของมนุษย์ การช่วยให้รอดถูกกระทําให้สําเร็จครบถ้วนบนตัวของมนุษย์ตามแนวคิดและโครงการของพระเจ้า.
โจรคนนั้นที่ถูกตรึงไว้บนกางเขนทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์แล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยินคําอธิษฐานของเขา แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ตอบเขาตามคําอธิษฐานของเขา พระองค์กลับตรัสว่า “วันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในสวนบรมสุขเกษม.” (ลก:23:42-43). การช่วยให้รอดคือการที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ตามน้ําพระทัยของพระองค์เอง ไม่ได้เป็นไปตามความตั้งใจของคนบาป. การช่วยให้รอดไม่ได้เป็นไปตามความคิดที่มีขอบเขตจํากัดของคนบาป ซึ่งคิดว่าพระเจ้าควรจะทําอะไรแทนเขา แต่เป็นไปตามความคิดของพระองค์เองที่มีต่อคนบาป. ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ได้รอจนกระทั่งพระองค์เสด็จเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์ก่อน แล้วจึงจะระลึกถึงโจรคนนั้น พระองค์ทรงสัญญากับโจรคนนั้นว่าวันนั้นเขาจะอยู่กับพระองค์ในสวนบรมสุขเกษม.
คนเก็บภาษีได้อธิษฐานในพระวิหารและที่อกของตนกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดระงับพระพิโรธต่อข้าพเจ้าผู้เป็นคนบาปนี้เถิด!” อย่างมากเขาก็ได้ขอให้พระเจ้าทรงระงับพระพิโรธต่อเขา แต่พระเจ้าไม่ได้ตอบเขาตามคําอธิษฐานของเขา. องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนนี้แหละเมื่อกลับไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น” (ลก.18:9-14). กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือคนบาปคนนี้กลับไปโดยจะได้รับการโปรดให้ชอบธรรม. เรื่องนี้เหนือกว่าที่คนบาปจะคาดคิดได้. ตัวของคนบาปเองนั้นไม่มีความคิดในเรื่องของการโปรดให้ชอบธรรม เขาร้องขอเพียงให้พระองค์เวทนาเท่านั้น แต่พระเจ้าตรัสว่าเขาได้รับการโปรดให้ชอบธรรม. นี่ก็หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นว่าเขาเป็นคนบาป แต่เห็นว่าเขาเป็นคนชอบธรรม ไม่เพียงความบาปของเขาได้รับการอภัย เขายังได้รับการโปรดให้ชอบธรรมจากพระเจ้าอีกด้วย. นี่จึงชี้ให้เราเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้กระทําให้การช่วยให้รอดถึงสําเร็จครบถ้วนตามความคิดของมนุษย์ แต่ตามความคิดของพระเจ้าเอง.
อุปมาเรื่องบุตรพเนจรกลับบ้าน (ลก.15:11-32). ก็มีสภาพการณ์อย่างเดียวกัน เมื่อเขาได้เดินทางไปเมืองไกลและก่อนที่เขาจะไปพบบิดาของเขานั้น เขาได้เตรียมตัวกลับบ้านเพื่อที่จะเป็นลูกจ้างของบิดา แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านบิดาของเขาไม่ได้ขอให้เขาเป็นลูกจ้าง. แต่บิดากลับสั่งทาสของตนให้ไปเอาเสื้อคลุมที่ดีที่สุดมาสวมให้เขา, เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือของเขา, เอารองเท้ามาสวมที่เท้าของเขา,และเอาลูกโคอ้วนพีมาฆ่าเพื่อจะได้กินดื่มและยินดีด้วยกัน เพราะว่าบุตรคนนี้ได้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก จากอุปมาเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าอีกครั้งว่าพระเจ้าไม่ได้ทําให้การช่วยให้รอดของพระองค์สําเร็จครบถ้วนตามความคิดของคนบาปอย่างเรา แต่ตามความคิดของพระองค์เอง.
มาระโกบทที่ 2 พูดถึงคนสี่คนที่หามคนเป็นอัมพาตคนหนึ่งมาหาองค์พระเยซูเจ้า. เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก พวกเขาจึงรื้อหลังคาตรงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่นั้น แล้วเอาที่นอนซึ่งคนเป็นอัมพาตนอนอยู่นั้นหย่อนลงมา เพื่อหวังจะให้องค์พระเยซูเจ้ารักษาคนเป็นอัมพาตนั้นให้สามารถลุกขึ้นเดินได้. แต่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว ” (มก.2:5). องค์พระเยซูเจ้าไม่เพียงรักษาเขาเท่านั้น แต่พระองค์ยังอภัยความบาปของเขาด้วย. กรณีนี้บอกกับเราว่าพระเจ้าจะทรงทําจนบรรลุถึงความอิ่มหนําของพระองค์ สิ่งที่ท่านต้องทําก็คือไปยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและทูลขอต่อ พระองค์. สิ่งสําคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราทูลขอเพียงพอหรือไม่. พระองค์จะทรงกระทําจนบรรลุถึงความพึงพอใจของพระองค์ ไม่ใช่ความพึงพอใจของคนบาป. ดังนั้นเราจึงไม่ควรใคร่ครวญเรื่องของความรอดจากมุมมองของเราเอง แต่ควรมองจากมุมมองของพระเจ้า.
3. ความคาดหวังของพระเจ้า
พระเจ้าทรงคาดหวังที่จะเห็นสิ่งหนึ่งบนตัวของเรา นั่นก็คือผู้ที่ต้องการที่จะได้รับพระคุณจะต้องเรียนรู้ในการแจกจ่ายพระคุณก่อน. ผู้ที่ได้รับพระคุณจะต้องเรียนรู้ในการแบ่งปันพระคุณ ถ้าคนคนหนึ่งได้รับพระคุณ พระเจ้าก็จะคาดหวังให้คนนั้นแบ่งปันพระคุณนี้แก่ผู้อื่นด้วย.
มัดธาย 18:28-29 กล่าวว่า “แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบเพื่อนทาสคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นไว้แล้วบีบคอว่าจงใช้หนี้ให้ข้า. เพื่อนทาสของเขาคนนั้นได้ก้มลงอ้อนวอนเขาว่า ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้” ในที่นี้องค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าเราเป็นหนี้พระองค์หนึ่งหมื่นตะลันต์ ขณะที่ผู้อื่นเป็นหนี้เราเพียงหนึ่งร้อยเดนาริอันเท่านั้น เมื่อเราพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้” พระองค์ไม่เพียงปล่อยเราไปเท่านั้น แต่ยังยกหนี้ให้เราอีกด้วย เพื่อนทาสของเราก็คือพี่น้องของเราซึ่งอย่างมากเขาก็เป็นหนี้เราแค่หนึ่งร้อยเดนาริอัน. เมื่อเขาพูดว่า “ขอโปรดผ่อนผันแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่าน” ซึ่งเขาก็มีความหวังและการร้องขอเช่นเดียวกันกับเรา แล้วเราจะไม่ผ่อนผันให้เขาได้อย่างไร? แต่ว่าทาสคนนั้น “ไม่ยอม แต่กลับนําทาสที่เป็นลูกหนี้ไปจําจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น.” (ข้อ 30).
องค์พระผู้เป็นเจ้ายกคําอุปมานี้ขึ้นมาให้เราเห็นว่าคนที่ไม่อภัยแก่ผู้อื่นนั้นเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า ถ้าท่านไม่อภัยแก่พี่น้องของท่าน ท่านก็คือทาสคนนั้น เมื่อเราอ่านคําอุปมานี้แล้ว เราจะรู้สึกว่าทาสคนนี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย. นายของเขาได้ยกหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ให้เขาแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมยกหนี้หนึ่งร้อยเดนาริอันให้เพื่อนทาสของตน และยังนําเพื่อนทาสของตนไปจําจองไว้ในคุกจนกว่าจะใช้เงินนั้น เขาทําตามมาตรฐานแห่ง “ความชอบธรรม!” ของเขาเอง แต่เราจําต้องรู้ว่าผู้เชื่อควรจะปฏิบัติต่อตัวเองตามความชอบธรรม แต่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นตามพระคุณ พี่น้องของท่านอาจเป็นหนี้ท่านและองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงทราบอย่างชัดเจนว่าพี่น้องของท่านเป็นหนี้ท่านอยู่ แต่พระองค์ยังแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนอีกว่าถ้าผู้เชื่อไม่อภัยให้พี่น้องของเขา เขาก็จะไม่ได้จัดการกับพี่น้องคนนั้นตามพระคุณ. ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เขาก็คือคนที่ขาดไปซึ่งพระคุณ.
ข้อ 31-33 กล่าวว่า “ฝ่ายเหล่าเพื่อนทาสของเขา เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนําเหตุการณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นไปกราบทูลนายของพวกเขา. ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมา ตรัสแก่เขาว่า อ้ายทาสชั่ว หนี้ทั้งหมดของเจ้า เราโปรดยกให้ เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา. เจ้าควรจะเมตตาผู้ที่เป็นทาสด้วยกันเหมือนกับเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังให้เรากระทําต่อผู้อื่นเหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงกระทําต่อเรา. พระองค์ไม่ได้เรียกร้องเราตามความชอบธรรม. ในทํานองเดียวกัน พระองค์ก็ไม่ได้คาดหวังให้เราไปเรียกร้องผู้อื่นตามความชอบธรรมเช่นกัน. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกหนี้ของเราตามพระเมตตา และพระองค์ก็ทรงคาดหวังให้เรายกหนี้ของผู้อื่นตามความเมตตาด้วยเช่นกัน สิ่งที่พระองค์ทรงใช้มาวัดเรานั้น พระองค์ก็คาดหวังให้เรานําไปวัดผู้อื่นด้วยการวัดอย่างเดียวกันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจกจ่ายพระคุณแก่เราด้วยทะนานที่เต็ม, ยัด, สั่นแน่น, และพูนล้น. พระองค์ก็ทรงคาดหวังให้เราทําสิ่งเดียวกันนี้ต่อผู้อื่นด้วยทะนานที่เต็ม, ยัด, สั่นแน่น, และพูนล้นด้วย. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังให้เราทําเช่นนี้ต่อพี่น้องของเราเหมือนกับที่พระองค์ทรงกระทําต่อเรา.
เรื่องที่น่ารังเกียจที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าก็คือการที่คนคนหนึ่งได้รับการอภัยแล้วแต่กลับไม่ยอมให้อภัยผู้อื่น ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจไปกว่าการที่คนๆ หนึ่งได้รับการอภัยแล้วแต่กลับไม่อภัยให้ผู้อื่น หรือการที่คนๆ หนึ่งได้รับพระเมตตาแล้วแต่กลับไม่เมตตาต่อผู้อื่น. คนๆ หนึ่งไม่ควรแค่รับพระคุณมาแล้วแต่กลับปฏิเสธที่จะแบ่งปันพระคุณแก่ผู้อื่น เขาจําต้องตระหนักต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เขาก็ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างนั้น. คนที่ต้อนรับพระคุณของพระเจ้าแล้วแต่ปฏิเสธที่จะแบ่งปันพระคุณแก่ผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่สุด. คนที่ได้รับการอภัยแล้วแต่กลับไม่อภัยผู้อื่นก็ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นกัน. พระเจ้าทรงปรับโทษคนที่เป็นหนี้แต่ก็ยังพยายามที่จะเก็บหนี้จากลูกหนี้อีกคนหนึ่ง. พระองค์ทรงเกลียดชังผู้ที่จดจําข้อบกพร่องของผู้อื่นทั้งๆ ที่ตัวของเขาเองก็บกพร่องอยู่.
นายก็ถามทาสคนนั้นว่า “เจ้าควรจะเมตตาผู้ที่เป็นทาสด้วยกันเหมือนกับเราได้เมตตาเจ้า มิใช่หรือ?” พระเจ้าต้องการให้เราเมตตาผู้อื่นเหมือนกับที่พระองค์ทรงเมตตาต่อเรา. เราจําต้องเรียนรู้ที่จะเมตตาผู้อื่นและอภัยให้พวกเขา. ผู้ที่มีประสบการณ์ต่อพระคุณและได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้วก็ควรเรียนรู้ที่จะยกหนี้ให้ผู้อื่นด้วย. เขาต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัย, มีความเมตตา, และมีพระคุณต่อผู้อื่น. เราจําต้องเงยหน้าขึ้นและกล่าวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงยกหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้ายินดีที่จะอภัยให้ผู้ที่กระทําผิดต่อข้าพเจ้าในวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะอภัยให้ผู้ที่กระทําผิดต่อข้าพเจ้าในอนาคตด้วย. พระองค์ทรงอภัยบาปอันใหญ่หลวงของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดีเรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นเหมือนกับพระองค์ด้วย”
4. การตีสอนของพระเจ้า
ข้อที่ 34 ยังกล่าวต่อไปว่า “นายของเขานั้นก็โกรธนัก จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าเขาจะใช้หนี้ครบหมด” นี่คือผู้ที่อยู่ภายใต้การตีสอนของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมานจนกว่าเขาจะใช้หนี้ครบหมด.
ข้อ 35 กล่าวว่า “ถ้าท่านแต่ละคนไม่อภัยให้พี่น้องจากใจของท่าน พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของ เราจะทรงกระทําแก่ท่านทั้งหลายอย่างนั้นแหละ” นี่เป็นเรื่องที่เคร่งเครียด. เราหวังว่าจะไม่มีใครตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า. เราต้องอภัยให้พี่น้องจากใจเหมือนกับพระเจ้าทรงอภัยให้เราจากพระทัยของพระองค์. เราหวังว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนจะเรียนรู้ที่จะให้อภัยต่อความผิดทั้งปวง. อย่าพยายามที่จะจดจําความบาปของพี่น้อง เราไม่ควรขอให้พี่น้องชดใช้แก่เรา ในเรื่องนี้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรเป็นเหมือนกับพระเจ้า. ในเมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเราด้วยพระทัยกว้างขวาง พระองค์ก็คาดหวังให้เราปฏิบัติต่อพี่น้องของเราด้วยใจกว้างขวางด้วย เช่นกัน.
II. การฟื้นสภาพพี่น้อง
การให้อภัยพี่น้องของเราเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะนั่นเป็นเพียงด้านลบ. เรายังต้องฟื้นสภาพเขาด้วย. นี่ก็คือคํากําชับที่มีต่อเราใน มธ.18:15-20.
1. แจ้งแก่เขา
มธ.18:15 กล่าวว่า “ยิ่งกว่านั้น ถ้าพี่น้องของท่านทําผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา” ในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้านั้นมีการทําผิดต่อกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อท่าน แล้วท่านจะทําอย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “จงไปและว่ากล่าวตักเตือนเขาระหว่างท่าน กับเขาตามลําพัง” ถ้าพี่น้องทําผิดต่อท่าน สิ่งแรกที่ท่านควรทําก็คือไม่ไปบอกผู้อื่น อย่าไปบอกพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนใดหรือผู้อาวุโสของคริสตจักรเกี่ยวกับความผิดนั้น และไม่ควรนําเรื่องนั้นมาพูดคุยกันอย่างมักง่ายในการสนทนาของท่าน. นี่ไม่ใช่คํากําชับขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพี่น้องทําผิดต่อท่าน สิ่งแรกที่ท่านควรทําก็คือไปหาเขาและแจ้งแก่เขา.
ปัญหามักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อพี่น้องอีกคนหนึ่ง และพี่น้องถูกกระทําคนนั้นก็นําเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ. เขาพูดไปทั่วจนกระทั่งทั้งคริสตจักรรับรู้ถึงเรื่องนั้น แต่พี่น้องที่ทําผิดยังไม่รู้ด้วยซ้ําว่าตัวเองกระทําผิดอะไร. การเล่าเรื่องของคนอื่นเช่นนี้เป็นพฤติกรรมของคนที่อ่อนแอ มีเพียงคนอ่อนแอที่ไม่กล้าไปพูดคุยกับพี่น้องที่กระทําผิดโดยตรง เขากล้าแต่เพียงนําเรื่องนั้นไปพูดลับหลัง เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับพี่น้องคนนั้นเพื่อพูดถึงเรื่องนี้ การพูดลับหลังคนอื่นหรือนินทาว่าร้ายคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่หมดจด. เราต้องจัดการกับความผิดของพี่น้องของเรา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการให้เราไปบอกผู้อื่นก่อน. คนแรกที่เขาจะต้องบอกก็คือคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ใช่คนอื่น ถ้าเราเรียนรู้บทเรียนพื้นฐานนี้ได้ดี ก็จะสามารถลดปัญหาต่างๆ ของคริสตจักรลงได้.
แล้วเราจะบอกผู้อื่นอย่างไร? เราควรจะเขียนจดหมายหาเขาหรือไม่? องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้บอกให้เราทําอย่างนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้บอกว่าเราต้องจัดการกับปัญหาด้วยการเขียน แต่โดยการไปหาพี่น้องของเราแล้วพูดกับเขาหน้าต่อหน้า. อย่างไรก็ตามการพูดถึงเรื่องนี้ ลับหลังคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิด แต่การพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคนจํานวนมากก็ผิดเท่ากัน. เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่อง “ระหว่างท่านกับเขา” เพียงสองคน แต่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าล้วนล้มเหลวในเรื่องนี้ พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย. แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกําชับเราว่ามีเพียงเมื่อเขากับท่านสองคนอยู่ด้วยกันจึงจะสามารถพูดได้. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือการจัดการกับความบาปส่วนบุคคลนั้นควรจะจัดการกันเพียงแค่สองคน ไม่ควรมีคนที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอันขาด.
เราต้องเรียนรู้บทเรียนนี้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เราไม่ควรไปพูดลับหลังพี่น้องที่ทําผิดต่อเราและเราไม่ควรพูดเรื่องของเขาต่อหน้าคนจํานวนมาก. เราจะพูดถึงความผิดของเขาได้ก็ต่อเมื่อท่านกับเขาอยู่ด้วยกันลําพังสองคน. เราจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องอื่นหรือยกปัญหาอื่นขึ้นมา เราแค่ชี้ถึงความผิดของเขาอย่างง่ายๆ เรื่องนี้ต้องการพระคุณจากพระเจ้า ซึ่งเป็นบทเรียนหนึ่งที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจําต้องเรียนรู้.
พี่น้องชายหญิงบางคนอาจคิดว่าการทําแบบนี้ไม่ยุ่งยากเกินไปหรือ? จริงอยู่ที่การทําเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่ถ้าท่านต้องการที่จะดําเนินตามพระคําของพระเจ้า ท่านก็ไม่ควรกลัวความยุ่งยาก ถ้าท่านรู้สึกว่าความผิดที่พี่น้องทํากับท่านนั้นเล็กน้อยมากจนท่านรู้สึกว่าไม่จําเป็นที่จะต้องไปพูดกับเขา. ในกรณีนี้ท่านก็ไม่จําเป็นต้องไปบอกกับคนอื่นด้วย ถ้าท่านรู้สึกว่าเรื่องนั้นไม่สําคัญ, ง่ายๆ, ไม่เป็นปัญหา, และไม่มีค่าพอที่จะนําไปบอกกับเขา ท่านก็ไม่ควรบอกเรื่องนั้นกับคนอื่นด้วย ท่านไม่ควรคิดว่าเขาไม่ต้องรู้ แต่คนอื่นต้องรู้ ถ้าท่านต้องการที่จะพูด ก็ให้พูดกับเขาเพียงลําพัง ถ้าคิดว่าจะไม่พูดก็ให้เงียบเสีย. ไม่ควรให้คนอื่นล้วนรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ผู้ที่ทํานั้นกลับยังไม่รู้เรื่อง.
2. จุดมุ่งหมายของการแจ้ง
วรรคหลังของข้อที่ 15 กล่าวว่า “ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา” นี่ก็คือจุดมุ่งหมายของการแจ้ง. จุดมุ่งหมายของการแจ้งพี่น้องของท่านไม่ใช่เพื่อรับการชดใช้. แต่จุดมุ่งหมายของการแจ้งมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือ “ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา”
ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ท่านได้รับความเสียหายมากแค่ไหน ถ้าพี่น้องของท่านทําผิดต่อท่านแล้วไม่จัดการเรื่องนั้นให้เรียบร้อย ระหว่างเขากับพระเจ้าก็จะมีบางสิ่งที่ผ่านไปไม่ได้; เขาก็จะมีปัญหาหรืออุปสรรคในการสามัคคีธรรมและการอธิษฐาน. นี่ก็คือสาเหตุที่ท่านต้องไปกล่าวท้วงติงเขา. นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของการระบายความรู้สึกที่เจ็บปวดของท่าน แต่เป็นความรับผิดชอบของท่าน หากเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเจ็บปวดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก. ถ้าเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเจ็บปวด. ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สําหรับท่าน. และถ้าท่านคิดว่าท่านสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ ท่านก็ไม่จําเป็นที่จะต้องพูดกับพี่น้องของท่านหรือกับคนอื่นๆ. ไม่มีใครรู้ถึงความเคร่งเครียดของเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าตัวท่าน. ความรับผิดชอบในการตัดสินใจว่าจะไปบอกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวท่าน. ความรับผิดชอบขึ้นอยู่กับฝ่ายที่มีความชัดเจนต่อเรื่องนี้มากที่สุด มีสภาพการณ์มากมายที่สามารถปล่อยให้ผ่านไปได้ แต่ก็มีสภาพการณ์มากมายที่ต้องได้รับการจัดการ. ถ้ามีการทําผิดเกิดขึ้นจริง ซึ่งทําให้พี่น้องของท่านสะดุดล้มได้ ท่านก็ต้องแจ้งความผิดแก่เขาเมื่อเขากับท่านอยู่กันสองคนเพียงลําพัง เรื่องใดที่ ต้องจัดการก็ต้องจัดการด้วยความระมัดระวัง. ท่านอาจจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปได้อย่างง่ายๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่สามารถปล่อยให้ผ่านไปอย่างง่ายๆ เหมือนกับท่าน. เขาได้ทําผิดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและพระเจ้าก็ยังไม่อภัยให้แก่เขา ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดจนทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้ามีปัญหา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นท่านจึงควรไปแจ้งแก่เขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน. ท่านต้องหาโอกาสขณะที่เขากับท่านอยู่ด้วยกันสองคนตามลําพังและพูดกับเขาว่า “พี่น้องครับ การทําผิดต่อผมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลย. การที่พี่น้องทําผิดต่อผมเช่นนี้จะทําลายอนาคตของท่านต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า จะทําให้ท่านมีอุปสรรคต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งจะนําความเสียหายมาให้ตัวท่าน” ถ้าเขาฟังท่าน “ท่านจะได้พี่น้องของท่านคืนมา” ด้วยวิธีเช่นนี้ ท่านก็จะสามารถฟื้นสภาพพี่น้องของท่านกลับมา.
วันนี้บุตรทั้งหลายของพระเจ้ามากมายไม่เชื่อฟังคําสอนในพระคําเรื่องนี้ บางคนชอบพูดถึงความผิดของผู้อื่นและไม่หยุดที่จะป่าวประกาศออกไป บางคนไม่ไปบอกผู้อื่น แต่เขากลับไม่เคยให้อภัยและเก็บความแค้นไว้ในใจของเขา. บางคนอภัยให้ แต่ไม่พยายามที่จะฟื้นสภาพพี่น้องคนนั้น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้เราทํา. การพูดถึงความผิดของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ผิด; การเก็บเงียบไว้คนเดียว แต่ในใจยังไม่ให้อภัยก็เป็นสิ่งที่ผิด และการให้อภัย แต่ไม่ไปเตือนสติพี่น้องก็เป็นเรื่องที่ผิดพอๆ กัน.
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสว่าการอภัยให้พี่น้องที่ทําผิดต่อเราก็เพียงพอแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้ายังแสดงให้เราเห็นว่าคนที่ถูกทําผิดมีความรับผิดชอบที่จะต้องไปฟื้นสภาพคนที่ทําผิด เพราะการทําผิดต่อคนๆ หนึ่งไม่ใช่สิ่งที่เล็กน้อยเลย ดังนั้นเราจึงมีความรับผิดชอบที่จะบอกคนที่ทําผิดต่อเราเพื่อประโยชน์ของเขาเอง เราต้องคิดหาวิธีที่จะฟื้นสภาพพี่น้องของเราและได้เขากลับคืนมา เมื่อเราพูดกับเขา เราต้องมีท่าทีที่เหมาะสมและจุดมุ่งหมายที่บริสุทธิ์ จุดมุ่งหมายของเราก็เพื่อที่จะฟื้นสภาพพี่น้องของเรา. ถ้าจุดมุ่งหมายของเราคือการได้เขาคืนมา เราก็จะรู้ว่าจะพูดถึงความผิดของเขาอย่างไร. ถ้าจุดมุ่งหมายของเราไม่ใช่เพื่อการฟื้นสภาพ เขาก็มีแต่จะทําให้ความสัมพันธ์แย่ลง. จุดประสงค์ของการเตือนสติไม่ใช่การเรียกร้องให้ชดใช้ หรือแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของเราเอง แต่เพื่อการฟื้นสภาพพี่น้องของเรา.
3. ท่าทีที่เหมาะสมของการแจ้ง
ถ้าจุดมุ่งหมายของเราบริสุทธิ์ เราก็จะรู้ว่าจะทําเรื่องนี้ต่อไปทีละขั้นทีละตอนอย่างไร อันดับแรก เราต้องมีวิญญาณที่ถูกต้องก่อน จากนั้นถ้อยคําที่เราพูด. วิธีการที่เราจะพูด รวมถึงท่าทีของเรา, สีหน้า, เสียง, น้ําเสียงก็ต้องถูกต้องด้วย. จุดประสงค์ของเราคือการได้เขาคืนมา ไม่ใช่เพียงแค่แจ้งความผิดของเขาอย่างเดียวเท่านั้น.
ถ้าเราแค่พยายามที่จะต่อว่าเขา ซึ่งการต่อว่าของเราอาจจะถูกต้องและถ้อยคํารุนแรงที่เราใช้นั้นก็อาจจะสมเหตุสมผล แต่ท่าที, น้ําเสียง, และสีหน้าของเราก็ยังห่างไกลกับเป้าหมายของการได้เขากลับคืนมา.
การที่เราจะพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับพี่น้องคนหนึ่งเป็นเรื่องง่าย; การที่เราจะชมเชยคนๆ หนึ่งก็เป็นเรื่องง่าย แต่การอารมณ์เสียใส่คนๆ หนึ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก. ขอเพียงแค่เราระบายอารมณ์ออกไป เราก็จะอารมณ์เสียทันที แต่การชี้ถึงความผิดของคนคนหนึ่ง อีกทั้งฟื้นสภาพ และได้เขากลับคืนมาในเวลาเดียวกันนั้น มีเพียงคนที่เต็มไปด้วยพระคุณจึงจะสามารถทําได้ เขาต้องลืมเกี่ยวกับตัวของเขาให้ได้ก่อน เขาจึงจะสามารถถ่อมตัว, อ่อนสุภาพ, พ้นจากความเย่อหยิ่ง, และเต็มใจที่จะไปช่วยคนเหล่านั้นที่ทําผิด. ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทําก็คือการวางตัวเองไว้ข้างหนึ่ง.
ท่านต้องตระหนักว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้พี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อท่าน เพราะพระองค์ทรงชื่นชอบท่านและเลือกสรรท่าน. พระองค์จึงทรงวางความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่บนตัวของท่าน ท่านเป็นภาชนะที่ถูกเลือกและพระเจ้าทรงใช้ท่านเพื่อที่จะได้พี่น้องของท่านคืนมา.
ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และท่านอภัยให้เขา เรื่องนั้นก็ยุติลง ท่านไม่ต้องทําอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว แต่ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อท่านจนทําให้ท่านผ่านไปไม่ได้ ท่านก็ไม่สามารถปิดตาแล้วพูดว่าไม่มีปัญหา ปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว และท่านไม่อาจเมินเฉยได้. ถ้าปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ปัญหานั้นก็จะกลายเป็นภาระหนักต่อคริสตจักร. คริสตจักรอ่อนแออยู่บ่อยๆ เป็นเพราะภาระหนักเหล่านี้ ภาระหนักเหล่านี้ทําให้ชีวิตของพระกายรั่วไหล ไปและก็ทําให้การงานแห่งการปฏิบัติสูญเปล่าไป. ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. ถ้าคนคนหนึ่งทําผิดต่อเรา เราก็ต้องไม่ปิดตาของเราและพยายามที่จะเมินเฉยต่อปัญหานั้น เราต้องจัดการปัญหานั้นอย่างเหมาะสม อย่างไร ก็ตาม วิญญาณ, ท่าที, คําพูด, สีหน้า, และน้ําเสียงจะต้องเหมาะสมด้วยเช่นกัน นี่ก็คือ หนทางเดียวที่จะได้พี่น้องของท่านคืนมา.
4. แจ้งต่อผู้อื่น
ข้อที่ 16 กล่าวว่า “แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ท่านจงนําคนหนึ่งหรือสองคนไปกับท่านด้วย ด้วยพยานสองสามปาก ทุกคําจึงจะเป็นหลักฐานได้” ถ้าท่านไปหาเขาด้วยตัวของท่านเองและพูดกับเขา ด้วยเจตนาที่เหมาะสม, ท่าทีที่ดี, และถ้อยคําที่สุภาพแล้ว เขาก็ยังคงไม่ฟังท่าน ท่านก็ต้องไป และแจ้งเรื่องนี้ต่อผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ท่านต้องแจ้งต่อผู้อื่นหลังจากที่เขาปฏิเสธคําพูดของท่านแล้วเท่านนั้น ท่านต้องไม่ไปแจ้งต่อผู้อื่นอย่างหละหลวม.
ถ้ามีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างบุตรของพระเจ้าสองคนและถ้าทั้งสองคนจัดการปัญหานั้น ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายๆ แต่สมมุติว่าคนคน หนึ่งไม่ระมัดระวังคําพูดของเขาและปัญหานั้นไปเข้าหูของบุคคลที่สาม. ปัญหานั้นก็จะขยาย ใหญ่ขึ้นและยากที่จะแก้ไข. ถ้าบาดแผลไม่มีสิ่งใดเจือปน กระบวนการเยียวยารักษาก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้ามีสิ่งสกปรกเข้าสู่บาดแผลแล้วก็จะไม่เพียงทําให้ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งสกปรกนั้นยังทําให้แผลหายยากอีกด้วย. การเผยแพร่ปัญหาไปสู่บุคคลที่สามโดยไม่จําเป็นนั้น เป็นเหมือนการเพิ่มสิ่งสกปรกเข้าสู่บาดแผล. ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องชายและพี่น้องหญิงทั้งหลายต้องจัดการอย่างตรงไปตรงมากับเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เราควรแจ้งอีกคนหนึ่งหรือคนอื่นๆ ก็ต่อเมื่อเขาไม่รับฟังการตักเตือนเท่านั้น จุดประสงค์ของการแจ้งต่อผู้อื่น ไม่ใช่เพิ่มการซุบซิบนินทาให้มากขึ้น แต่เป็นการเชิญผู้อื่นให้มาตักเตือน, ช่วยเหลือ, และ สามัคคีธรรมด้วยกัน.
“คนหนึ่งหรือสองคน” ในที่นี้ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นผู้ที่มีความหนักแน่นฝ่ายวิญญาณ. ท่านควรอธิบายเรื่องของพวกท่านสองคนแก่พวกเขาและขอความเห็นจากพวกเขา พวกเขาก็ต้องไปตรวจสอบว่าพี่น้องคนนั้นทําผิดจริงหรือไม่. ผู้ที่สุกงอมจะต้องอธิษฐานและพิจารณาเรื่องนี้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและจากนั้นก็ตัดสินตามการแยกแยะฝ่ายวิญญาณของพวกเขา ถ้าพวกเขารู้สึกว่าพี่น้องที่ทําผิดคนนั้นทําผิดจริงๆ พวกเขาก็ต้องไปหาพี่น้องคนนั้นและพูดว่า “เรื่องนี้พี่น้องทําผิดนะครับ. การกระทําเช่นนี้ทําให้ท่านถูกตัดขาดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า. ท่านต้องกลับใจและสารภาพบาป.”
“ด้วยพยานสองสามปาก ทุกคําจึงจะเป็นหลักฐานได้” “คนหนึ่งหรือสองคน” นั้นต้องไม่พูดอย่างมักง่าย. อย่าได้เชิญคนช่างพูดเข้าไปในการประชุมดังกล่าว. คนช่างพูดไม่สามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้ แต่ต้องเชิญคนที่เชื่อถือได้, ซื่อสัตย์, อยู่ฝ่ายวิญาณ, และมีประสบการณ์ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าต่างหาก. เช่นนี้ทุกคําจึงจะเป็นหลักฐานได้โดยพยานสองสามปาก.
5. แจ้งต่อคริสตจักร
ข้อ 17 กล่าวว่า “ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้นก็จงไปแจ้งต่อคริสตจักร.” ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ด้วยตัวของเราเอง เราก็ต้องนําคนหนึ่งหรือสองคนไปจัดการปัญหานั้นด้วยกันกับเรา ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้นก็จงไปแจ้งต่อคริสตจักร. การแจ้งต่อคริสตจักรไม่ได้หมายความว่าเรานําเรื่องนี้ไปเผยแพร่เมื่อทั้งคริสตจักรมาประชุมรวมกัน. แต่หมายความถึง การไปแจ้งต่อผู้อาวุโสที่รับผิดชอบในคริสตจักร. ถ้ามโนธรรมของคริสตจักรก็รู้สึกว่าพี่น้องคนนี้กระทําผิด เขาก็คงต้องผิดอย่างแน่นอน ถ้าพี่น้องที่ทําผิดคนนั้นดําเนินชีวิตอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขาต้องวางลงซึ่งมุมมองของเขาเองและยอมรับพยานสองสามปากนั้น ถ้าเขาไม่ยอมรับพยานสองสามปาก อย่างน้อยเขาก็ต้องยอมรับคําตัดสินของคริสตจักร. มุมมองที่เป็นเอกฉันท์และการตัดสินของคริสตจักรได้สะท้อนถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า. พี่น้องคนนั้นต้องตระหนักว่าการเมินเฉยต่อคริสตจักรนั้นเป็นเรื่องที่ผิด. เขาควรจะอ่อนสุภาพและไม่เชื่อฟังในความรู้สึกของเขาเองหรือการตัดสินของเขาเอง แต่เขาต้องยอมรับความรู้สึกของคริสตจักร.
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขายังคงไม่ฟังคนเหล่านั้น? ข้อ 17 กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี” นี่เป็นถ้อยคําที่เคร่งเครียดมาก. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าเขาไม่ฟังคริสตจักร พี่น้องชายและหญิงทุกคนในคริสตจักรก็ไม่ควรไปมาหาสู่กับเขาอีกต่อไป. ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะเผชิญกับปัญหาของเขา คริสตจักรก็ควรถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษีและไม่ควรไปสามัคคีธรรมกับเขาอีก ถึงแม้เขาไม่โดนขับไล่ออกไป แต่พี่น้องทุกคนควรถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี และไม่ควรสนใจเขาอีก. ถ้าเขาพูดก็ไม่ควรมีใครฟังเขา. ถ้าเขามาหักขนมปัง ทุกคนก็ควรเฉยเมยต่อเขา. ถ้าเขาอธิษฐานก็ไม่ควรมีใครพูดอาเมน. ถ้าเขาอยากมา เขาก็มาได้. ถ้าเขาอยากไป เขาก็ไปได้ แต่ทุกคนควรถือว่าเขาเป็นเหมือนคนนอก. ถ้าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าท่าทีเช่นนี้อย่างเป็นน้ําหนึ่งใจเดียว การฟื้นสภาพพี่น้องคนหนึ่งกลับคืนมา ก็เป็นเรื่องง่าย. จุดประสงค์ของการจัดการกับเขาเช่นนี้ก็ยังคงมีเพื่อที่จะฟื้นสภาพเขา.
ข้อ 18 กล่าวว่า “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกผูกมัดในสวรรค์แล้ว เมื่อท่านจะปลดปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็ถูกปลดปล่อยในสวรรค์แล้ว” ซึ่งข้อนี้ได้เชื่อมต่อจากข้อที่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ทั้งหลายทรงยอมรับทุกอย่างที่คริสตจักรกระทําบนแผ่นดินโลก. ถ้าคริสตจักรถือว่าคนคนหนึ่งมีความผิดจริงและเขาไม่ฟังคริสตจักร คริสตจักรก็จะมองเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็ทรงยอมรับในเรื่องนี้ด้วย.
ข้อ 19 และ 20 ก็มีพื้นฐานอยู่บนข้อก่อนหน้านี้เช่นกัน. “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความกลมเกลียวกันแล้ว พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็จะทรงกระทําให้สําเร็จ ด้วยว่ามีสองสามคนถูกชุมนุมกันที่ไหนๆ เข้าสู่ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น” เหตุใดข้อก่อนหน้านี้จึงกล่าวว่า “ด้วยพยานสองสามปาก ทุกคําจึงจะเป็นหลักฐานได้.”? ในที่นี้เราจะเห็นว่าหลักการของสองสามคนก็คือหลักการของคริสตจักร. ถ้าสองหรือสามคนกระทําสิ่งหนึ่งด้วยความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน และถ้าสองหรือสามคนนี้พิจารณาเรื่องหนึ่งด้วยความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็จะยอมรับการตัดสินนั้น มัดธาย 18:18-20 ได้ถูก กล่าวถึงในบริบทของการจัดการที่เรามีต่อพี่น้อง. เมื่อเรื่องเรื่องหนึ่งถูกนํามายังสองหรือสามคนและจากนั้นไปถึงทั้งคริสตจักร พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็จะยอมรับการ ตัดสินใจดังกล่าว
ในที่นี้เราจะมาพูดเสริมในบางประเด็น นั่นก็คือคริสตจักรจะทําการตัดสินใจต่อเรื่องที่ สําคัญอย่างไร? กิจการบทที่ 15 แสดงให้เราเห็นว่าเมื่อพี่น้องชายทั้งหลายมาอยู่ด้วยกัน ทุก คนก็สามารถพูดและถกเหตุผลกัน. กระทั่งคนที่ถือรักษากฎบัญญัติก็สามารถลุกขึ้นมาพูด ความคิดเห็นของตัวเอง แม้ว่าความเห็นของพวกเขาจะผิดอย่างสิ้นเชิง. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ คือพี่น้องชายทุกคนล้วนมีโอกาสพูดที่เท่าเทียมกัน แต่ก็ไม่ใช่พี่น้องชายทุกคนที่สามารถ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ พี่น้องชายทุกคนสามารถแสดงสิ่งที่เขารู้สึกต่อเบื้องพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ หลังจากผู้อาวุโสทั้งหลายได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดแล้ว พวกเขาต้องพูด ความรู้สึกของเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและทําการตัดสินสุดท้ายในเรื่องนั้นๆ, พี่น้องชาย ที่รับผิดชอบทั้งหลายก็ล้วนมีความรู้สึกเดียวกันต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรู้สึกนี้คือความรู้สึกของคริสตจักร ซึ่งก็คือมโนธรรมของคริสตจักรนั่นเอง. หลังจากที่ พวกเขาพูดแล้ว ทุกคนก็ควรนอบน้อมและทําตามอย่างเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน นี่ก็คือวิธีการ ของคริสตจักร, คริสตจักรไม่ได้บังคับผู้คนหรือห้ามไม่ให้คนอื่นพูด. แต่ก็ไม่ควรมีใครพูด อย่างมักง่าย. เมื่อเวลาในการตัดสินมาถึง ผู้อาวุโสทั้งหลายต้องพูดภายใต้การนําของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ควรฟังผู้อาวุโส. ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์มี อํานาจอยู่ในคริสตจักร เรื่องดังกล่าวก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มี อํานาจในคริสตจักร ทั้งยังมีความเห็นของเนื้อหนังมากมาย คริสตจักรก็จะไม่สามารถตัดสิน ปัญหาทุกอย่างได้ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะยอมสยบต่ออํานาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และ เชื่อฟังคริสตจักร
ขอพระเจ้าประทานพระคุณแก่เรา ขอให้เราเป็นเหมือนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ซึ่ง เต็มไปด้วยพระคุณ. ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อเรา เราก็ควรให้อภัยเขาจากใจ. ยิ่งกว่านั้นเรา ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการฟื้นสภาพเขาตามพระคําขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้องค์ พระผู้เป็นเจ้านําพาให้เราสามารถดําเนินชีวิตออกซึ่งการดําเนินชีวิตเช่นนี้ในคริสตจักร
คนและจากนั้นไปถึงทั้งคริสตจักร พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทั้งหลายก็จะยอมรับการ ตัดสินใจดังกล่าว
ในที่นี้เราจะมาพูดเสริมในบางประเด็น นั่นก็คือคริสตจักรจะทําการตัดสินใจต่อเรื่องที่ สําคัญอย่างไร? กิจการบทที่ 15 แสดงให้เราเห็นว่าเมื่อพี่น้องชายทั้งหลายมาอยู่ด้วยกัน ทุก คนก็สามารถพูดและถกเหตุผลกัน. กระทั่งคนที่ถือรักษากฎบัญญัติก็สามารถลุกขึ้นมาพูด ความคิดเห็นของตัวเอง แม้ว่าความเห็นของพวกเขาจะผิดอย่างสิ้นเชิง. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ คือพี่น้องชายทุกคนล้วนมีโอกาสพูดที่เท่าเทียมกัน แต่ก็ไม่ใช่พี่น้องชายทุกคนที่สามารถ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ พี่น้องชายทุกคนสามารถแสดงสิ่งที่เขารู้สึกต่อเบื้องพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ หลังจากผู้อาวุโสทั้งหลายได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดแล้ว พวกเขาต้องพูด ความรู้สึกของเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและทําการตัดสินสุดท้ายในเรื่องนั้นๆ, พี่น้องชาย ที่รับผิดชอบทั้งหลายก็ล้วนมีความรู้สึกเดียวกันต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรู้สึกนี้คือความรู้สึกของคริสตจักร ซึ่งก็คือมโนธรรมของคริสตจักรนั่นเอง. หลังจากที่ พวกเขาพูดแล้ว ทุกคนก็ควรนอบน้อมและทําตามอย่างเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน นี่ก็คือวิธีการ ของคริสตจักร, คริสตจักรไม่ได้บังคับผู้คนหรือห้ามไม่ให้คนอื่นพูด. แต่ก็ไม่ควรมีใครพูด อย่างมักง่าย. เมื่อเวลาในการตัดสินมาถึง ผู้อาวุโสทั้งหลายต้องพูดภายใต้การนําของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ควรฟังผู้อาวุโส. ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์มี อํานาจอยู่ในคริสตจักร เรื่องดังกล่าวก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มี อํานาจในคริสตจักร ทั้งยังมีความเห็นของเนื้อหนังมากมาย คริสตจักรก็จะไม่สามารถตัดสิน ปัญหาทุกอย่างได้ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะยอมสยบต่ออํานาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และ เชื่อฟังคริสตจักร
ขอพระเจ้าประทานพระคุณแก่เรา ขอให้เราเป็นเหมือนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ซึ่ง เต็มไปด้วยพระคุณ. ถ้าพี่น้องคนหนึ่งทําผิดต่อเรา เราก็ควรให้อภัยเขาจากใจ. ยิ่งกว่านั้นเรา ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการฟื้นสภาพเขาตามพระคําขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้องค์ พระผู้เป็นเจ้านําพาให้เราสามารถดําเนินชีวิตออกซึ่งการดําเนินชีวิตเช่นนี้ในคริสตจักร
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 23 ตั้งแต่ หน้า 351 - 366
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. มโนธรรมที่ปราศจากบกพร่อง
II. เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดในเลวีติโกบทที่ 6
1. ความบาปที่ผิดต่อมนุษย์
2. วิธีการคืนสิ่งของ
III. คำสอนในมัดธายบทที่ 5
IV. ประเด็นสำคัญบางประการในด้านภาคปฏิบัติ
ข้อพระคัมภีร์: ลวต.6:1-7; มธ.25:23-26
ลวต. 6:1 พระยะโฮวาตรัสแก่โมเซว่า
ลวต. 6:2 “ถ้าผู้ใดทำผิดและกระทำการไม่สัตย์ซื่อต่อพระยะโฮวา คือหลอกลวงหรือโจรกรรมหรือกรรโชกทรัพย์ที่เป็นหลักประกันที่เพื่อนบ้านมาฝากไว้
ลวต. 6:3 หรือทรัพย์ที่เก็บตกได้และไม่พูดความจริงและสาบานตัวเป็นความเท็จ ในข้อเหล่านี้ถ้าผู้ใดกระทำผิดแล้ว
ลวต. 6:4 ก็ให้ผู้ที่กระทำบาปซึ่งมีความผิดนั้นเอาทรัพย์ที่โจรกรรมหรือทรัพย์ที่กรรโชกไป หรือทรัพย์ที่เขาฝากไว้หรือทรัพย์ที่เก็บตกได้
ลวต. 6:5 หรือทรัพย์ที่ได้มาโดยสาบานเป็นความเท็จคืนให้เจ้าของเสียหรือให้ผู้นั้นคืนเต็มจำนวน และให้เพิ่มอีกหนึ่งในห้าแก่เจ้าของ ในวันที่ได้พบว่าเขาได้กระทำความผิด.
ลวต. 6:6 และให้ผู้นั้นนำเครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดมายังพระยะโฮวา คือแกะตัวผู้ปราศจากตำหนิจากฝูงแกะตามการประเมินราคาของเจ้ามาให้แก่ปุโรหิต.
ลวต. 6:7 และปุโรหิตจะทำการปกปิดบาปแทนผู้นั้น และเขาจะได้รับการอภัยในสิ่งที่เขากระทำซึ่งเป็นความผิดนั้น.”
มธ. 25:23 นายจึงกล่าวกับเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก. เจ้าจงเข้ามาร่วม[รับสุข]ความยินดีของนายเถิด.’
มธ. 25:24 ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวนั้นก็มาพูดว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลในที่ซึ่งท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมในที่ซึ่งท่านมิได้ฝัด.
มธ. 25:25 ข้าพเจ้ากลัว จึงเอาหนึ่งตะลันต์ของท่านไปฝังซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิดของของท่านเท่าไร ท่านก็ได้เท่านั้น.
มธ. 25:26 นายจึงตอบเขาว่า ‘อ้ายทาสชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้อยู่ว่าเราเกี่ยวผลในที่ซึ่งเรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมในที่ซึ่งเรามิได้ฝัด.
------------------------------
I. มโนธรรมที่ปราศจากบกพร่อง
หลังจากที่เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะต้องสร้างความเคยชินในการสารภาพและการชดใช้. หากเราทําผิดต่อคนใดหรือมีความบกพร่องต่อใคร เราก็ควรเรียนรู้ที่จะสารภาพหรือชดใช้ ด้านหนึ่งเราจะต้องสารภาพต่อพระเจ้า และอีกด้านหนึ่งเราจะต้องสารภาพและชดใช้ต่อมนุษย์ด้วย. หากคนคนหนึ่งไม่ได้สารภาพต่อพระเจ้าหรือขออภัยหรือชดใช้ต่อมนุษย์แล้ว มโนธรรมของเขาก็จะแข็งกระด้างไปได้ง่าย เมื่อมโนธรรมแข็งกระด้างไปแล้วก็จะเกิดปัญหาขั้นพื้นฐาน นั่นก็คือความสว่างของพระเจ้ายากที่จะฉายส่องเข้ามาในคนคนนั้น ดังนั้นจึงจําเป็นต้องสร้างความเคยชินในการสารภาพและชดใช้ เพื่อเขาจะสามารถรักษาไว้ซึ่งมโนธรรมที่ว่องไวต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า.
มีผู้ที่ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าคนหนึ่งเคยถามคําถามหนึ่งว่า “ครั้งสุดท้ายที่คุณสารภาพต่อผู้อื่นคือเมื่อไหร่กัน?” ถ้าครั้งสุดท้ายที่คนคนหนึ่งสารภาพต่อผู้อื่นนั้นผ่านมานานมากแล้ว ก็แสดงว่ามโนธรรมของคนคนนั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน เรามักจะทําผิดต่อผู้อื่นเสมอ. ถ้าคนคนหนึ่งทําผิดต่อผู้อื่น แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งนั้นก็แสดงว่ามโนธรรมของเขาจะต้องเจ็บป่วยหรือไม่ปกติอย่างแน่นอน ระยะเวลาตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ท่านสารภาพต่อผู้อื่นนั้น สามารถบ่งชี้ได้ว่าระหว่างท่านกับพระเจ้ามีปัญหาหรือไม่ หากระยะเวลานั้นผ่านมานานแล้ว นั่นก็พิสูจน์ว่าวิญญาณของท่านขาดไปซึ่งความสว่าง. หากระยะเวลานั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน นั่นก็คือท่านเพิ่งจะสารภาพต่อผู้อื่นในระยะอันใกล้นี้ นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าความรู้สึกในมโนธรรมของท่านยังว่องไวอยู่. ถ้าเราอยากจะดําเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความสว่างของพระเจ้า เราก็จําต้องมีมโนธรรมที่ว่องไว และถ้าเราจะรักษาไว้ซึ่งมโนธรรมที่ว่องไว เราก็จําต้องปรับโทษความบาปในฐานะที่เป็นสิ่งผิดบาปนั้น เราจะต้องสารภาพต่อพระเจ้า และเราก็ยังต้องสารภาพและชดใช้ต่อมนุษย์ด้วย.
หากเราล่วงละเมิดต่อพระเจ้า และการล่วงละเมิดนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราก็ไม่จําเป็นต้องไปสารภาพกับมนุษย์ เราไม่ควรทําจนเกินเลยไป หากความบาปของพี่น้องชายหญิงคนใดไม่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เขาล่วงละเมิดต่อพระเจ้าเท่านั้น พี่น้องคนนั้นก็จะต้องสารภาพต่อพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีความจําเป็นต้องไปสารภาพต่อมนุษย์เลย. ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใส่ใจต่อหลักการนี้.
ความบาปประเภทไหนคือการทําผิดต่อมนุษย์? เมื่อคนหนึ่งทําผิดต่อคนอื่น หรือบกพร่องต่อผู้อื่น เขาควรจะขออภัยหรือชดใช้ต่อผู้นั้นอย่างไร? หากเราต้องการความชัดเจนในเรื่องนี้ เราจะต้องมาศึกษาพระคําสองตอนกันอย่างละเอียด.
II. เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดในเลวีติโกบทที่ 6
เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดมีสองด้านคือ ด้านแรกได้ถูกเปิดเผยไว้ในเลวีติโกบทที่ 5 ส่วนอีกด้านหนึ่งถูกเปิดเผยไว้ในเลวีติโกบทที่ 6. บทที่ 5 บอกกับเราว่าเราควรจะสารภาพต่อพระเจ้าและถวายสัตวบูชาเพื่อขอการอภัยสําหรับความบาปปลีกย่อยของเรา. บทที่ 6 บอกกับเราว่าหากเราทําผิดต่อผู้อื่นในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุ การถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้านั้นยังไม่เพียงพอ เรายังควรต้องชดใช้ต่อผู้ที่เรากระทําผิดด้วย บทที่ 6 กล่าวว่าหากเราทําผิดต่อผู้หนึ่งในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุ เราควรจะจัดการเรื่องนั้นกับมนุษย์. แน่นอนว่าเรายังต้องสารภาพต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงอภัยเรา แต่การจัดการต่อพระเจ้าเท่านั้นยังไม่เพียงพอ. เราไม่สามารถขอให้พระเจ้าให้อภัยเราแทนคนที่เราไปกระทําผิดได้.
ในด้านของมนุษย์นั้น เราจะต้องไปจัดการกันอย่างไร? ให้เรามาดูเครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดในเลวีติโกบทที่ 6.
1. ความบาปที่ผิดต่อมนุษย์
เลวีติโก 6:2-7 กล่าวว่า “ถ้าผู้ใดทําผิดและกระทําการที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระยะโฮวา” - ความบาปทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการล่วงละเมิดต่อพระยะโฮวา - “คือหลอกลวงเพื่อนบ้านในเรื่องของที่มาฝากไว้หรือของประกัน หรือโจรกรรม หรือกรรโชกทรัพย์ของเพื่อนบ้าน หรือเก็บทรัพย์ที่สูญหายได้ แต่ไม่พูดความจริงและสาบานเป็นความเท็จ ในข้อเหล่านี้ถ้าผู้ใดกระทําผิดแล้ว ก็ให้ผู้ที่กระทําบาปซึ่งมีความผิดนั้นเอาทรัพย์ที่โจรกรรมหรือทรัพย์ที่กรรโชกไป หรือทรัพย์ที่เขาฝากไว้หรือทรัพย์ที่เก็บตกได้ หรือทรัพย์ที่ได้มาโดยสาบานเป็นความเท็จคืนให้เจ้าของเสีย หรือให้ผู้นั้นคืนเต็มจํานวน และให้เพิ่มอีกหนึ่งในห้าแก่เจ้าของในวันที่ได้พบว่าเขาได้กระทําความผิด และให้ผู้นั้นนําเครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดมายังพระยะโฮวา คือแกะตัวผู้ปราศจากตําหนิจากฝูงแกะตามการประเมินราคาของเจ้ามาให้แก่ปุโรหิต. และปุโรหิตจะทําการปกปิดบาปแทนผู้นั้นต่อเบื้องพระพักตร์พระยะโฮวาและเขาจะได้รับการอภัยในสิ่งที่เขากระทํา ซึ่งเป็นความผิดนั้น” ผู้ที่ทําผิดต่อผู้อื่นหรือบกพร่องต่อผู้อื่นในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุนั้นจะต้องจัดการเรื่องนั้นกับมนุษย์ก่อน เขาจึงจะได้รับการอภัย. หากเขาไม่ได้จัดการกับมนุษย์ เขาก็จะไม่ได้รับการอภัย.
ในข้อพระคําเหล่านี้ มีการทําผิดต่อมนุษย์ 6 ประเภทดังต่อไปนี้:
(1) หลอกลวงของที่เพื่อนบ้านมาฝากไว้: นี่หมายความว่ามีคนนําสิ่งของมาฝากให้เขารักษาไว้ แต่เขากลับเก็บของที่ดี ของที่มีราคา ของที่เขาชอบไว้กับตัว แล้วเอาของที่ไม่ดีคืนให้คนอื่น นี่ก็คือการหลอกลวง และก็เป็นความบาปต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วย เราไม่ควรหลอกลวงผู้อื่นในเรื่องของที่เขานํามาฝากไว้ แต่เราต้องรักษาของนั้นอย่างสัตย์ซื่อ. ลูกทั้งหลายของพระเจ้าย่อมต้องรักษาของที่ผู้อื่นวางใจมาฝากเขาไว้อย่างสัตย์ซื่อ หากเรารักษาของนั้นไว้ไม่ได้ เราก็ไม่ควรให้เขานํามาฝากไว้กับเรา แต่เมื่อเรารับฝากแล้ว เราก็ต้องรักษาไว้อย่างดีที่สุด. หากเราไม่สัตย์ซื่อทําสิ่งของนั้นเสียหาย เราก็ได้ทําผิดต่อมนุษย์แล้ว.
(2) หลอกลวงของประกันของเพื่อนบ้าน นี่หมายถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือการหลอกลวงในการทําธุรกิจหรือการหากําไรด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง หรือการเอาสิ่งที่เราไม่ควรจะได้มาเป็นของเรา. นี่เป็นความบาปต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และเราควรจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด.
(3) การโจรกรรมเพื่อนบ้าน: แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นท่ามกลางวิสุทธิชนทั้งหลาย แต่เราก็ยังต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่มีใครสามารถใช้วิธีการโจรกรรมเพื่อนําของมาเป็นของตนเองได้ ใครก็ตามที่พยายามใช้สถานะหรืออํานาจของตัวเองมาแย่งชิงสิ่งของของผู้อื่น เขาก็ได้กระทําความบาปแล้ว.
(4) การกรรโชกทรัพย์ของเพื่อนบ้าน: นี่ก็คือความบาปจากการเอาเปรียบผู้อื่นโดยใช้อิทธิพลของตําแหน่งหรืออํานาจ ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ลูกทั้งหลายของพระองค์ไม่ควรประพฤติเช่นนี้ การประพฤติเช่นนี้จะต้องได้รับการจัดการ.
(5) การเก็บทรัพย์ที่สูญหายได้ แต่ไม่พูดความจริง: ผู้เชื่อใหม่จะต้องใส่ใจต่อเรื่องนี้เป็นพิเศษ. หลายคนได้หลอกลวงเกี่ยวกับของที่คนอื่นทําหาย การที่มีแล้วบอกว่าไม่มี หรือมีเยอะแต่บอกว่ามีน้อย หรือเปลี่ยนเอาสิ่งที่ดีไปเป็นสิ่งที่ไม่ดีนั้นล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น มีบางสิ่งอยู่ที่นั่น แต่ท่านกลับบอกว่าไม่มี, ที่นั่นมีของอยู่เยอะ แต่ท่านกลับบอกว่ามีอยู่น้อย บางสิ่งอาจจะดี แต่ท่านกลับบอกว่าไม่ดี ทั้งหมดนี้ก็คือการหลอกลวง, มีคนทําของหาย แต่ท่านก็เอาเปรียบคนอื่น หากําไรกับสิ่งนั้น หาผลประโยชน์จากสิ่งนั้น นี่ก็คือความบาป คริสเตียนจะต้องไม่เอาของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง. หากท่านบังเอิญเก็บของบางอย่างได้ ท่านจะต้องรักษาสิ่งนั้นไว้ให้ดีเพื่อจะคืนให้กับเจ้าของ. อย่าได้ถือว่าของที่เก็บได้นั้นเป็นของตัวเอง การเก็บเอาของที่เก็บได้มาเป็นของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องเพื่อจะได้ของของคนอื่นนั้นก็ยิ่งไม่ถูกต้องไปอีก. การใช้วิธีที่ไม่ชอบธรรมเพื่อยึดเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองล้วนไม่ถูกต้องทั้งนั้น ผู้เชื่อไม่ควรทําสิ่งใดที่เอาเปรียบผู้อื่น เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง.
(6) การสาบานเป็นความเท็จ: การสาบานเป็นความเท็จเพราะเหตุสิ่งของฝ่ายวัตถุบางอย่าง นั้นเป็นความบาป. ท่านทราบถึงเรื่องราวบางอย่าง แต่ท่านกลับบอกว่าไม่ทราบ. ท่านเห็นเรื่องราวบางอย่าง แต่ท่านกลับบอกว่าไม่เห็น. มีบางอย่างอยู่ที่นั่น แต่ท่านกลับบอกว่าไม่มี ผู้ที่ได้สาบานเป็นความเท็จนั้นล้วนได้กระทําบาปแล้ว.
“ในข้อเหล่านี้ถ้าผู้ใดกระทําผิดแล้ว” – กรณีนี้ชี้ถึงการทําผิดต่อมนุษย์ในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุ. ลูกทั้งหลายของพระเจ้าควรเรียนรู้และจําบทเรียนนี้ไว้เสมอ – พวกเขาไม่ควรนําเอาสิ่งของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง สิ่งของของคนอื่นก็เป็นของคนอื่น อย่าได้นําเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตัวเอง. ผู้ใดที่ได้สาบานเป็นความเท็จในสิ่งเหล่านี้ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นและได้กระทําผิดต่อผู้อื่นนั้นล้วนแต่เป็นความบาปทั้งสิ้น.
พี่น้องทั้งหลาย หากท่านกระทําสิ่งใดด้วยความไม่สัตย์ซื่อ หากท่านแสวงหาผลประโยชน์โดยการเอาเปรียบผู้อื่น หรือหากท่านได้สิ่งใดมาด้วยวิธีการทั้งหกวิธีข้างต้น ท่านก็ได้กระทําบาปแล้ว ท่านจะต้องจัดการกับความบาปเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน.
2. วิธีการคืนสิ่งของ
การประพฤติของเราจะต้องชอบธรรม และมโนธรรมของเราจะต้องปราศจากบกพร่องต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. พระคําของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “ก็ให้ผู้ที่กระทําบาปซึ่งมีความผิดนั้น เอาทรัพย์ที่โจรกรรม. คืนให้เจ้าของเสีย” (ข้อ 4). คําว่า “คืน” นั้นมีความสําคัญมาก. เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดมีสองด้าน ด้านหนึ่งจําเป็นต้องมีการปกปิดบาปต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. อีกด้านหนึ่งก็ต้องมีการ “คืน” สิ่งที่เอามานั้นให้แก่มนุษย์ อย่าคิดว่าแค่การปกปิดบาปต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าก็เพียงพอแล้ว ท่านจะต้องคืนสิ่งที่เอามานั้นให้แก่มนุษย์ด้วย หากท่านไม่ได้คืนก็ยังคงขาดตกบกพร่องอยู่. เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดที่อยู่ในเลวีติโกบทที่ 5 นั้นได้จัดการกับความบาปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทําผิดต่อผู้อื่นในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุ แน่นอนว่าในกรณีนั้นท่านก็ไม่จําเป็นต้องคืนสิ่งใด. ทว่าความบาปที่ได้กล่าวถึงในบทที่ 6 นั้น เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่สูญหายไป ซึ่งในกรณีนี้ท่านจะต้องทําการ “คืน” สิ่งของนั้นๆ ดังนั้น เพียงแค่การปกปิดบาปผ่านเครื่องสัตวบูชาจึงยังไม่เพียงพอ. ผู้นั้นยังต้อง “คืน” สิ่งที่เขาไปเอามาด้วย. นี่คือสาเหตุที่ข้อ 4 กล่าวว่า “ก็ให้ผู้ที่กระทําบาปซึ่งมีความผิดนั้นเอาทรัพย์ที่โจรกรรมคืนให้เจ้าของเสีย” ทุกสิ่งที่ได้มาด้วยวิธีการที่เป็นความบาปนั้นจะต้องให้กลับคืนไป, ผู้นั้นจะต้องคืนสิ่งที่เขาได้โจรกรรมมา, สิ่งที่เขาได้กรรโชกมา, สิ่งที่เขาได้รับฝากไว้, หรือสิ่งที่เขาเก็บได้, และสิ่งที่เขาสาบานเป็นความเท็จ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องให้กลับคืนไป.
แล้วเขาจะคืนสิ่งเหล่านั้นไปอย่างไร? “ให้ผู้นั้นคืนเต็มจํานวน และให้เพิ่มอีกหนึ่งในห้าแก่เจ้าของในวันที่ได้พบว่าเขาได้กระทําความผิด” (ข้อ 5). นี่ก็คือสามประเด็นที่เราจะต้องใส่ใจ.
ประการแรก เราจะต้องคืนให้เต็มจํานวน หากเราไม่คืน เราก็ผิด แต่หากเราไม่คืนเต็มจํานวน เราก็ผิดเหมือนกัน ท่านอย่าได้คิดว่าเพียงคําขอโทษก็เพียงพอแล้ว. หากของชิ้นนั้น ยังอยู่ในบ้านของเรา นั่นก็พิสูจน์ว่าเรายังคงผิดอยู่ เราจะต้องคืนของนั้นกลับไปเต็มจํานวน.
ประการที่สอง พระเจ้าไม่เพียงต้องการให้เราคืนเต็มจํานวนเท่านั้น แต่พระองค์ยังต้องการให้เราเพิ่มอีกหนึ่งในห้าให้กับสิ่งที่เราชดใช้ด้วย. เหตุใดจึงต้องเพิ่มหนึ่งในห้า? ตามหลักการนี้ ก็คือเราจะต้องคืนให้อย่างเหลือล้น หากเรานําเอาเงินหรือสิ่งของมาจากผู้อื่น พระเจ้าทรงต้องการให้เราเพิ่มหนึ่งในห้าจากจํานวนที่เราคืนให้แก่เขา พระเจ้าไม่ต้องการให้ลูกทั้งหลายของพระองค์คืนแค่จํานวนขั้นต่ํา, ในหนังสือเล่มหนึ่งนั้นจะมีขอบหนังสือที่ว่างอยู่ทั้งด้านบน, ด้านล่าง, ด้านซ้าย, และด้านขวา, ทํานองเดียวกัน เราก็ไม่ควรคับแคบในการขอโทษผู้อื่นและในการคืนสิ่งของที่เราเอามาจากเขา. เราจะต้องมีใจกว้างและเต็มล้น.
บางคนไม่ได้เพิ่มหนึ่งในห้าให้กับสิ่งที่เขาชดใช้ แต่กลับคืนน้อยกว่าหนึ่งในห้าที่ยืมมาด้วยซ้ําไป. พวกเขาขออภัยโดยกล่าวว่า “แม้ว่าฉันจะทําผิดต่อคุณในเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้ผิดในเรื่องอื่น ในเรื่องอื่นนั้น ฉันไม่ได้ทําผิดต่อคุณ แต่เป็นคุณต่างหากที่ทําผิดต่อฉัน.” นี่คือการคิดบัญชี ไม่ใช่การสารภาพ. หากท่านต้องการที่จะสารภาพ ท่านก็อย่าได้คับแคบ. ท่านสามารถชดใช้มากกว่าสิ่งที่ท่านทําได้ แต่อย่าชดใช้น้อยกว่า ใครใช้ให้ท่านทําผิดตั้งแต่แรกเล่า? ในเมื่อท่านจะต้องชดใช้แล้ว ท่านก็ควรจะใจกว้างเสียหน่อย. อย่าได้เอาของคนอื่นมา แต่กลับคืนให้เขาในจํานวนที่เท่าเดิม. ท่านจะต้องคืนให้เขาอย่างเหลือล้น.
บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรจะประพฤติตนให้สมกับสถานะของพวกเขา, กระทั่งในเรื่องของการสารภาพ เราก็ควรจะกระทําให้สมกับสถานะของเรา, การขออภัยด้วยวิธีการคิดบัญชีนั้นไม่ควรเป็นวิธีการสารภาพที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้ากระทํา. บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรจะสารภาพความผิดของเขาอย่างถี่ถ้วนและเพิ่มหนึ่งในห้าให้กับสิ่งที่เขาชดใช้ด้วย ในการสารภาพนั้น อย่าได้คิดคํานวณและไม่ยินยอมที่จะสละสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด. การคิดคํานวณว่า ฉันค้างเธอเท่าไหร่ เธอค้างฉันเท่าไหร่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คริสเตียนควรทําเลย บางคนกล่าวว่า “ตอนแรกฉันก็ไม่โกรธหรอก แต่คําพูดของเธอทําให้ฉันโกรธ. ในเมื่อฉันสารภาพความผิดของฉันแล้ว เธอก็ต้องสารภาพความผิดของเธอเหมือนกัน.” นี่ก็คือการคิดบัญชี ไม่ใช่การสารภาพ. หากท่านสารภาพจริงๆ ท่านก็ควรจะชดใช้มากหน่อย ในเรื่องของการสารภาพนั้น ท่านจะต้องมีใจกว้าง. อย่าได้ทําเป็นตระหนีในเรื่องนี้ แต่ควรจะชดใช้ด้วยใจกว้าง.
การเพิ่มหนึ่งในห้าให้กับการสารภาพหรือการชดใช้ของเรานั้นก็มีข้อดีประการหนึ่ง ก็คือทําให้เรารู้ว่าการทําผิดต่อคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทําให้ขาดทุน ครั้งหน้าเราจะได้ไม่ไปทําอีก เมื่อผู้เชื่อใหม่ทําผิดต่อผู้อื่น เขาจะต้องตระหนักว่าเขาจะต้องพบการสูญเสียในที่สุด แม้ว่าเขาจะได้บางสิ่งมาชั่วคราวก็ตาม. เขาเอามาห้าในห้า แต่เขาจะต้องคืนหกในห้า. การเอาของคนอื่นมานั้นเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อท่านจะต้องคืนสิ่งนั้นไป ท่านไม่เพียงต้องคืนเต็มจํานวนเท่านั้น แต่ยังต้องเพิ่มหนึ่งในห้าอีกด้วย.
ประการที่สาม เราจะต้องสารภาพและชดใช้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้. ข้อ 5 กล่าวว่า “ให้ผู้นั้นคืนแก่เจ้าของในวันที่ได้พบว่าเขาได้กระทําความผิด” หากเราสามารถคืนสิ่งนั้น หรือหากของชิ้นนั้นยังอยู่ในมือของเรา เราก็ควรจะต้องคืนกลับไปในวันที่เราพบว่าได้กระทําความบาป. ผู้คนมักจะล่าช้าในเรื่องนี้ แต่บุตรทั้งหลายของพระเจ้ายิ่งล่าช้าในเรื่องการสารภาพและการชดใช้ ความรู้สึกของพวกเขาก็จะยิ่งด้านชา ทันทีที่เราได้รับความสว่าง เราก็จะต้องมีภาคปฏิบัติทันที. เราจะต้องคืนสิ่งนั้นไปในวันนั้นเลย. หวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะเดินทางตรงสายนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเป็นคริสเตียน. เราไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นและเป็นผู้ที่อธรรม. หลักการพื้นฐานของการดําเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกนี้ก็คือการไม่เอาเปรียบผู้อื่น การเอาเปรียบผู้อื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราจะต้องไม่เอาเปรียบผู้อื่น แต่เราจะต้องเป็นผู้ที่ชอบธรรมตั้งแต่เริ่มแรก.
เราจะต้องคืนสิ่งของให้แก่เจ้าของ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ. เราไม่ควรคิดว่าเมื่อเราได้สารภาพและชดใช้แล้วก็เรียบร้อยแล้ว เรื่องราวยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ “และให้ผู้นั้นนําเครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดมายังพระยะโฮวา คือแกะตัวผู้ปราศจากด่างพร้อยจากฝูงแกะตามการประเมินราคาของเจ้ามาให้แก่ปุโรหิต” (ข้อ 6). หลังจากที่เราได้สารภาพและชดใช้แก่ผู้อื่นแล้ว เรายังต้องไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อขอการอภัยด้วย เครื่องบูชาไถ่การล่วงละเมิดในบทที่ 5 มีไว้สําหรับพระเจ้าเท่านั้น เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการสูญเสียสิ่งของฝ่ายวัตถุ แต่ในบทที่ 6 กล่าวถึงการทําผิดต่อมนุษย์ ดังนั้นผู้นั้นจะต้องจัดการกับมนุษย์ก่อน จากนั้นจึงค่อยไปยังพระเจ้าเพื่อขอการอภัย. ถ้าเขายังไม่จัดการเรื่องนี้กับมนุษย์ เขาก็ไม่สามารถไปขอให้พระเจ้าทรงอภัยได้. เมื่อผู้นั้นจัดการเรื่องนี้กับมนุษย์และขอการอภัยต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น? “และปุโรหิตจะทําการปกปิดบาปแทนผู้นั้น และเขาจะได้รับการอภัยในสิ่งที่เขากระทําซึ่งเป็นความผิดนั้น” (ข้อ 7). นี่ก็คือสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ผู้ที่ทําผิดต่อมนุษย์ในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุ เขาควรจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะชดใช้สิ่งนั้น จากนั้นเขาจึงสามารถมายังเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและขอการอภัยโดยพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้.
เราไม่ควรถือว่านี่เป็นเรื่องที่ตื้นเขิน เพราะถ้าหากเราไม่ใส่ใจ เราก็จะเอาเปรียบผู้อื่นและทําผิดต่อพวกเขา. บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรจะต้องจําประเด็นนี้ไว้และใส่ใจต่อเรื่องนี้ไปตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่ว่าเขาจะทําผิดต่อผู้อื่นในเรื่องใด เขาก็ควรจะคืนสิ่งนั้นกลับไปและขอให้พระเจ้าทรงโปรดอภัยให้แก่เขา.
III. คําสอนในมัดธายบทที่ 5
ตอนนี้ให้เรามาดูพระคําอีกตอนหนึ่งคือในมัดธายบทที่ 5. บทนี้แตกต่างจากเลวีติโกบทที่ 6 ซึ่งกล่าวถึงการทําผิดต่อมนุษย์ในเรื่องสิ่งของฝ่ายวัตถุเท่านั้น แต่มัดธายบทที่ 5 ได้กล่าวไว้ มากกว่าเรื่องการทําผิดเกี่ยวกับสิ่งของฝ่ายวัตถุ.
มัดธาย 5:23-26 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นถ้าท่านนําเครื่องบรรณาการมาถึงแท่นแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่าท่านมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้อง. จงวางเครื่องบรรณาการไว้ที่หน้าแท่น และไปคืนดีกันกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วค่อยมาถวายเครื่องบรรณาการของท่าน จงตกลงยอมความกับคู่ความโดยเร็ว เมื่อยังอยู่ด้วยกันที่กลางทาง เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับเจ้าหน้าที่ และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจํา เราบอกท่านตามจริงว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะใช้หนี้โคแดรนท์สุดท้ายให้ครบ ” โคแดรนท์ที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้ชี้ถึงเงินโคแดรนท์ฝ่ายวัตถุเท่านั้น แต่ยังชี้ถึงหลักการของการบกพร่องในบางสิ่งด้วย.
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เหตุฉะนั้นถ้าท่านนําเครื่องบรรณาการมาถึงแท่นแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่าท่านมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้อง.” กรณีนี้ชี้ถึงข้อขัดแย้งท่ามกลางลูกทั้งหลายของพระเจ้าและท่ามกลางพี่น้องทั้งหลายเป็นพิเศษ หากท่านกําลังจะถวายเครื่องบรรณาการที่แท่นบูชา ซึ่งก็คือหากท่านกําลังถวายบางสิ่งแด่พระเจ้า แต่ทันใดนั้นระลึกขึ้นได้ว่าท่านมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้อง การระลึกได้นี้เป็นการนําพาจากพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ มักจะประทานความคิดที่จําเป็นและเตือนสติท่านถึงเรื่องที่จําเป็น เมื่อท่านระลึกถึงเรื่องราวบางอย่างหรือได้รับการเตือนสติถึงเรื่องราวบางอย่าง ท่านก็อย่าได้ละทิ้งความคิดนั้นไป โดยคิดว่าเป็นเพียงความคิดอย่างหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่ท่านระลึกถึงเรื่องราวบางอย่าง ท่านควรจะไปจัดการกับเรื่องนั้นให้ชัดเจน.
หากท่านระลึกขึ้นได้ว่าท่านมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้อง นั่นก็หมายความว่าท่านได้ทําผิดต่อเขา. ความผิดนี้อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับสิ่งของฝ่ายวัตถุ บางทีการประพฤติที่ไม่ชอบธรรมของท่านอาจจะผิดต่อเขา. จุดเน้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของฝ่ายวัตถุ แต่อยู่ที่เรื่องที่ท่านได้ทําผิดต่อเขา. ผู้แรกเชื่อควรจะตระหนักว่าหากเขาทําผิดต่อผู้อื่นโดยไม่ไปขอโทษหรือขออภัยจากผู้นั้น ทันทีที่ผู้นั้นนําชื่อของเขาไปฟ้องร้องและทอดถอนใจต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขาก็ได้จบสิ้นแล้ว พระเจ้าจะไม่ยอมรับสิ่งที่เขาถวายแด่พระองค์. พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังคําอธิษฐานของเขา เราไม่ควรให้พี่น้องต้องทอดถอนใจต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพราะเหตุเรา เพราะทันทีที่เขาทอดถอนใจ เราก็ได้จบสิ้นแล้วต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. ถ้าเราทําผิดพลาด หรือถ้าเราทําผิดต่อผู้อื่น หรือทําให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ฝ่ายที่ถูกกระทํานั้นไม่ถึงกับต้องไปกล่าวโทษเราต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ขอเพียงแค่เขาไปยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้าแล้วกล่าวว่า “โอ พี่ น้องคนนั้น” ขอแค่เพียงเขาร้องว่า “โอ” เท่านั้น สิ่งที่เราถวายแด่พระเจ้าก็ถูกปฏิเสธแล้ว เขาเพียงแค่ทอดถอนใจต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว ดังนั้นเราจะต้องไม่ทําให้พี่น้องมีเหตุหรือฐานะที่จะไปทอดถอนใจต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. หากเราทําให้เขามีเหตุที่จะทอดถอนใจได้ หนทางฝ่ายวิญญาณของเราก็ถูกตัดขาดแล้ว และเครื่องบรรณาการทุกอย่างที่เราถวายแด่พระเจ้าก็จะไร้ประโยชน์ไป.
หากท่านนําเครื่องบรรณาการมาถึงแท่นแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่าท่านมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้องหรือมีเหตุให้พี่น้องต้องทอดถอนใจ ก็อย่าได้ถวายเครื่องบรรณาการนั้น. หากท่านต้องการที่จะถวายแด่พระเจ้า ท่านก็ต้อง “ไปคืนดีกันกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วค่อยมาถวายเครื่องบรรณาการของท่าน” พระเจ้าทรงประสงค์เครื่องบรรณาการ แต่ท่านจะต้องไปคืนดีกันกับผู้นั้นเสียก่อน. ผู้ที่ไม่สามารถคืนดีกันกับผู้อื่นก็ไม่สามารถถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าเช่นกัน ท่านจะต้อง “วางเครื่องบรรณาการไว้ที่หน้าแท่น และไปคืนดีกันกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วค่อยมาถวายเครื่องบรรณาการของท่าน ท่านเห็นถึงหนทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง? ท่านจะต้องไปคืนดีกันกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน. การคืนดีกันกับพี่น้องหมายความว่าอย่างไร? นั่นก็หมายถึงการขจัดไปซึ่งความโกรธเคืองของพี่น้อง. ท่านอาจจะต้องขอโทษและต้องชดใช้ด้วย อย่างไรก็ตามประเด็นก็คือท่านต้องทําให้พี่น้องของท่านพอใจ นี่ไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มหนึ่งในห้า หรือหนึ่งในสิบ แต่เป็นเรื่องของการคืนดีกัน. การคืนดีหมายถึงการสนองข้อเรียกร้องของผู้อื่นจนเขาพอใจ.
เมื่อท่านได้ทําผิดหรือบกพร่องต่อพี่น้องของท่าน. ท่านทําให้เขารู้สึกถูกรบกวนและรู้สึกว่า ท่านไม่ชอบธรรม. และเมื่อท่านได้ทําให้เขาต้องไปทอดถอนใจต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า การสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณระหว่างท่านกับพระเจ้าก็จะถูกตัดขาด หนทางฝ่ายวิญญาณก็ถูกตัดขาดด้วย ท่านจะไม่รู้สึกเลยว่าท่านกําลังอยู่ในความมืด ท่านอาจจะรู้สึกว่าท่านก็ปกติดีอยู่ แต่เครื่องบรรณาการที่ท่านถวายไปนั้นก็จะกลายเป็นโมฆะไป. ท่านไม่สามารถทูลขอสิ่งใดจากพระเจ้าได้ กระทั่งไม่สามารถให้สิ่งใดแก่พระเจ้าได้. ท่านไม่สามารถถวายสิ่งใดแด่พระเจ้า และท่านก็จะไม่ได้รับคําตอบใดๆ จากพระองค์ ท่านอาจจะถวายทุกสิ่งบนแท่นบูชา แต่พระเจ้าจะไม่ทรงพอพระทัยด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย ดังนั้นเมื่อท่านมายังแท่นบูชาของพระเจ้า ท่านก็จะต้องไปคืนดีกันกับพี่น้องของท่านเสียก่อน. ไม่ว่าเขาจะเรียกร้องให้ท่านทําสิ่งใด ท่านก็ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะทําให้เขาพอใจ. จงเรียนรู้ที่จะสนองต่อข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมของพระเจ้าและข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมของพี่น้องของท่านด้วย มีเพียงเมื่อท่านได้กระทําสิ่งนี้แล้วเท่านั้น ท่านจึงจะสามารถถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าได้ นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเคร่งเครียดมาก.
เราไม่ควรทําผิดต่อผู้อื่นอย่างมักง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราอย่าได้ทําผิดต่อพี่น้องชายหญิงคนใดอย่างมักง่าย. ถ้าเราทําผิดต่อพี่น้องชายหญิงคนใด เราก็ได้ตกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้าทันที และก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับการฟื้นฟู ในข้อ 25 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเน้นย้ําว่า “จงตกลงยอมความกับคู่ความโดยเร็ว เมื่อยังอยู่ด้วยกันที่กลางทาง.” ในที่นี้มีพี่น้องคนหนึ่ง ซึ่งท่านได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความไม่ชอบธรรม ท่านทําให้เขาไม่มีสันติสุขต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เราด้วยคําพูดของมนุษย์ว่า พี่น้องของเราเป็นเหมือนกับโจทก์ที่ฟ้องท่าน. วลีที่ว่า “เมื่อยังอยู่ด้วยกันที่กลางทาง” นั้นเป็นถ้อยคําที่ดีเลิศ. ทุกวันนี้เรากําลังอยู่กลางทาง. พี่น้องของเรายังไม่ตายและเราก็ยังไม่ตายเหมือนกัน เขายังอยู่ที่นี่และเราก็ยังอยู่ที่นี่. เขากําลังอยู่กลางทาง และเราก็กําลังอยู่กลางทางด้วย. เราจะต้องตกลงยอมความกับเขาโดยเร็ว เพราะเป็นเรื่องง่ายมากที่วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เราอาจจะไม่ได้อยู่กลางทางแล้ว หรือพี่น้องของเราก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่กลางทางแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าใครจะไปก่อนกัน เมื่อถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว. ในระหว่างที่ทั้งเขาและเรายังอยู่กลางทาง นั่นก็คือในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ที่นี่ก็ยังมีโอกาสที่จะพูดคุยและขออภัยซึ่งกันและกัน. เราจะต้องขอคืนดีซึ่งกันและกันโดยเร็ว ประตูแห่งความรอดนั้นไม่ได้เปิดไปจนถึงนิรันดร์. ประตูที่เปิดให้พี่น้องสารภาพซึ่งกันและกันก็เช่นเดียวกัน พี่น้องหลายคนมักรู้สึกเสียใจที่พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะสารภาพต่อกันและกัน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่กลางทางอีกต่อไป. ถ้าเราทําผิดต่อมนุษย์ เราก็ต้องฉวยทุกโอกาสที่เรามีเพื่อที่จะคืนดีกับเขาโดยเร็วในขณะที่เราทั้งสองฝ่ายยังอยู่กลางทาง. เราไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้อีกฝ่ายหนึ่งจะยังคงอยู่ที่นี่หรือไม่. เราก็ไม่อาจรู้ด้วยว่าพรุ่งตัวเราเองจะยังอยู่ที่นี่หรือไม่ ดังนั้นเราจึงต้องตกลงยอมความกับพี่น้องในขณะที่เรายังอยู่กลางทาง. หลังจากที่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้อยู่กลางทางแล้ว เรื่องนั้นก็ไม่อาจจะแก้ไขได้แล้ว.
เราจะต้องตระหนักถึงความเคร่งเครียดของเรื่องนี้! ท่านไม่อาจมักง่ายหรือไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ ในขณะที่ยังมีวันนี้ ท่านก็ควรจะตกลงยอมความกับพี่น้องของท่านโดยเร็ว! หากท่านรู้ว่า พี่น้องคนหนึ่งได้บ่นว่าท่าน ท่านก็ต้องไปจัดการกับเรื่องนั้น ท่านจะต้องพยายามอย่างถึงที่สุด ที่จะขออภัยเขา เกรงว่าต่อไปท่านจะไม่มีโอกาสที่จะคืนดีกับเขาได้.
ต่อจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้ายังใช้ถ้อยคําของมนุษย์มากล่าวอีกว่า “เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับเจ้าหน้าที่ และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจํา เราบอกท่านตามจริงว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะใช้หนี้โคแดรนท์สุดท้ายให้ครบ.” เราจะไม่ไปตีความฝ่ายวิญญาณในเรื่องของการใช้หนี้โคแดรนท์สุดท้ายให้ครบ. เราจะชี้ให้เห็นแต่เพียงภาคปฏิบัติของการใช้หนี้โคแดรนท์สุดท้ายเท่านั้น เราจะต้องมองเห็นว่า เรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง. หากเราไม่แก้ไขเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เรื่องนี้ก็จะไม่อาจจบลงได้. องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสถึงการพิพากษาในอนาคตหรือการถูกขังหรือปล่อยจากเรือนจําจริงๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเน้นย้ําถึงสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่พระองค์ทรงใส่ใจก็คือเราจะต้องคืนดีกันในวันนี้ เราจะต้องใช้หนี้ทุกโคแดรนท์ในวันนี้ อย่าได้ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้จัดการในภายหลัง เราจะต้องกระทําเรื่องนี้ในขณะที่เรายังอยู่กลางทาง. เราอย่าได้ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้คิดว่าจะจัดการในภายหลังได้ นี่ไม่ใช่การกระทําที่มีสติปัญญาเลย และการปล่อยเรื่องนี้ไว้จัดการในอนาคตนั้นไม่คุ้มค่าเลย.
บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรเรียนรู้บทเรียนนี้ให้ดี. เราจะต้องชดใช้ในสิ่งของฝ่ายวัตถุ และก็ต้องสารภาพเมื่อเราทําผิดต่อผู้อื่น เราควรจะชดใช้และสารภาพครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่ควรปล่อยให้พี่น้องซ่อนคําบ่นว่าใดๆ ต่อเราเอาไว้ ถ้ามโนธรรมของเราบริสุทธิ์และเราไม่ได้กระทําผิดใดๆ เราจึงจะมีสันติสุขได้ แต่ถ้าเรายังมีส่วนผิดอยู่ เราก็ต้องสารภาพ การประพฤติของเราจะต้องไม่มีที่ติได้ เราไม่ควรคิดว่าตัวเองถูกเสมอ และคนอื่นผิดเสมอ, การเพิกเฉยต่อคําบ่นว่าของผู้อื่น และยืนกรานว่าตัวเองถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลย.
IV. ประเด็นสําคัญบางประการในด้านกาดปฏิบัติ
ประการแรก ขอบเขตที่ท่านกระทําผิดมีมากเท่าไร ขอบเขตที่ท่านจะต้องสารภาพก็ควรมีมากเท่านั้น ท่านควรจะกระทําทุกสิ่งตามพระคําของพระเจ้า และอย่าได้สุดขั้วจนเกินไป อย่าได้กระทําสิ่งที่เกินเลยจนเกินไป เพราะหากท่านกระทําเกินเลยไป ท่านก็จะตกอยู่ภายใต้การโจมตีของซาตาน. ท่านทําผิดต่อคนกี่คน ท่านก็จะต้องสารภาพต่อทุกคนเหล่านั้น หากท่านทําผิดต่อคนคนเดียว ท่านก็ควรจะสารภาพต่อคนคนเดียวนั้น หากท่านทําผิดต่อคนหลายคน แต่สารภาพต่อคนคนเดียวเท่านั้น นั่นคือการสารภาพที่ไม่เพียงพอ. หากเราทําผิดต่อคนคนเดียว แต่กลับไปสารภาพต่อคนมากมาย นั่นก็คือการทําเกินเลยไป. ขอบเขตของการสารภาพนั้นขึ้นอยู่กับขอบเขตของการกระทําผิด. ส่วนขอบเขตของการเป็นพยานนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งท่านกระทําผิดต่อคนคนเดียว แต่ท่านอยากจะเป็นพยานให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ท่านก็บอกพวกเขาถึงเรื่องนี้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเรื่องการขออภัยและสารภาพนั้น เราควรทําเฉพาะในขอบเขตที่เราได้กระทําผิดเท่านั้น เราไม่ควรทําเกินเลยขอบเขตไป. เราจะต้องใส่ใจต่อประเด็นนี้เป็นพิเศษ.
ประการที่สอง การสารภาพของเราจะต้องถี่ถ้วน เราจะต้องไม่ปิดซ่อนสิ่งใดเพื่อรักษา “หน้าตา” ของเราหรือผลประโยชน์ของเราเองไว้ แต่บางครั้งเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของอีกฝ่าย หรือผลประโยชน์ของผู้อื่น เราจะต้องไปแสวงหาให้ดีว่าเราจะสารภาพด้วยวิธีการใด บางครั้งเราควรจะสารภาพในสิ่งที่เรากระทําโดยวิธีการทั่วไปเท่านั้น ไม่ต้องลงรายละเอียดอะไรมากนัก หากในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เราไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร เราก็ควรจะไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่มีประสบการณ์ เพื่อพวกเขาจะช่วยเราให้ทําในสิ่งที่ถูกต้อง.
ประการที่สาม บางครั้งท่านอาจจะไม่สามารถชดใช้ในสิ่งที่จําเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการชดใช้กับความปรารถนาที่จะชดใช้นั้นเป็นสองเรื่องที่ต่างกัน บางคนอาจจะไม่สามารถชดใช้ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรมีความปรารถนาที่จะชดใช้ หากคนคนหนึ่งไม่อาจจะชดใช้ได้ในทันที เขาก็ควรจะบอกผู้ที่เขากระทําผิดว่า “ผมอยากจะชดใช้ให้คุณ แต่ผมไม่สามารถชดใช้ให้ได้ในวันนี้ ขออภัยด้วย ผมจะชดใช้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้”.
ประการที่สี่ กฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิมกล่าวว่าหากผู้ที่ควรจะได้รับค่าชดใช้นั้นเสียชีวิตไปแล้ว และไม่มีญาติพี่น้องที่จะรับค่าชดใช้ได้ ค่าชดใช้นั้นก็ควรจะนําไปมอบให้แก่ปุโรหิตผู้ปรนนิบัติพระยะโฮวา (อฤธ.5:8). ตามหลักการนี้ หากผู้ที่ควรจะได้รับค่าชดใช้นั้นไม่อยู่แล้ว ก็ควรนําค่าชดใช้นั้นไปให้กับญาติพี่น้องของเขา หากเขาไม่มีญาติพี่น้อง ท่านก็ควรนําไปให้กับคริสตจักร. หากท่านสามารถชดใช้ได้ ท่านก็ควรชดใช้แก่เขาหรือญาติพี่น้องของเขา ท่านอย่าได้เห็นแก่ความสะดวกสบาย แล้วนําค่าชดใช้นั้นไปให้คริสตจักรเลยตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม หากคนนั้นต้องการที่จะชดใช้ แต่อีกฝ่ายได้เสียชีวิตไปแล้ว และคล้ายกับว่าไม่มีโอกาสที่จะสารภาพได้แล้ว คนนั้นก็สามารถสารภาพเรื่องนี้ต่อคริสตจักรได้ตามหลักการนี้
ประการที่ห้า หลังจากที่ท่านสารภาพแล้ว ท่านจะต้องแน่ใจว่ามโนธรรมของท่านจะไม่ปรับโทษอีก หลังจากที่เขาได้สารภาพไปแล้วก็เป็นไปได้ว่ามโนธรรมของเขายังทนทุกข์กับการปรับโทษซ้ําแล้วซ้ําเล่า. เราจะต้องมีความชัดเจนว่าพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ชําระมโนธรรมของเราแล้ว. การตายของพระองค์ได้ประทานมโนธรรมที่ปราศจากบกพร่องต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าให้แก่เราแล้ว และเราก็สามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้. สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเราจะต้องมองเห็นว่าการที่เราจะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ต่อหน้ามนุษย์ได้นั้น เราจะต้องจัดการกับความบาปมากมาย. เราจะต้องจัดการต่อทั้งการทําผิดในเรื่องฝ่ายวัตถุหรือในเรื่องอื่นๆ ด้วย. แต่เราก็ไม่ควรให้ซาตานมาปรับโทษเราจนเกินไป.
ประการที่หก การสารภาพนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางกายภาพด้วย ยาโกโบ 5:16 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกัน และกันเพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค” ผลลัพธ์ของการสารภาพบาปมักจะเป็นการรักษาโรคจากพระเจ้า โรคภัยไข้เจ็บมักจะเกิดขึ้นจากการที่มีสิ่งกีดขวางท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้า หากเราสารภาพความบาปของเราต่อกันและกัน ความเจ็บป่วยของเราก็จะได้รับการรักษา.
ข้าพเจ้าหวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะมีความถี่ถ้วนในเรื่องของการสารภาพและการชดใช้ นี่คือหนทางที่จะรักษาตนเองไว้ให้บริสุทธิ์ หากคนใดทําผิดต่อผู้อื่น ด้านหนึ่งเขาก็ควรจะสารภาพบาปต่อพระเจ้า อีกด้านหนึ่งเขาก็จะต้องจัดการเรื่องนี้ต่อมนุษย์อย่างเคร่งครัดด้วย. มีเพียงเช่นนี้มโนธรรมของเขาจึงจะเข้มแข็ง เมื่อมโนธรรมเข้มแข็ง เขาก็จะมีความก้าวหน้าในการแสวงหาฝ่ายวิญญาณ.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 2 บทที่ 22 ตั้งแต่ หน้า 337 - 350
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. เครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ
II. การสรรเสริญและชัยชนะ
III. การสรรเสริญที่เกิดจากความเชื่อ
IV. การสรรเสริญที่เกิดจากการเชื่อฟัง
V. สรรเสริญก่อนที่จะเข้าใจ
ข้อพระคัมภีร์: บพส.22:3; 50:23; 106:12, 47; 146:2; ฮร.13:15
บพส.22:3 ฝ่ายพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์, ทรงประทับพระที่นั่งอยู่เหนือคําสรรเสริญของพวกอิสราเอล.
บพส.50:23 ผู้ใดถวายเครื่องบูชาขอบพระเดชพระคุณผู้นั้นก็ถวายเกียรตยศแก่เรา; และผู้ใดที่ได้จัดเตรียมทางประพฤติของตนไว้ดี เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่ผู้นั้น.
บพส.106:12 เขาทั้งปวงจึงได้เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์; เขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์.
บพส.106:47 ข้าแต่พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกข้าพเจ้า, ขอทรงช่วยให้พวกข้าพเจ้ารอด, และทรงรวบรวมพวกข้าพเจ้ามาจากประเทศต่างๆ, เพื่อจะได้สนองพระเดชพระคุณ ออกพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งจะได้ชื่นชมยินดีในการสรรเสริญพระองค์
บพส.146:2 เมื่อข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่จะสรรเสริญพระยะโฮวา: จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ.
ฮร.13:15 เหตุฉะนั้นให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยพระเยซูเสมอ คือถวายผลแห่งริมฝีปากที่ยอมรับพระนามของพระองค์.
------------------------------
สรรเสริญคือการงานที่สูงสุดที่ลูกของพระเจ้ากระทําได้ เราอาจกล่าวได้ว่า การสรรเสริญพระเจ้าคือการแสดงออกที่สูงสุดแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณของวิสุทธิชน. พระที่นั่งของพระเจ้าคือจุดสูงสุดแห่งจักรวาล แต่พระองค์ทรง “ประทับพระที่นั่งอยู่เหนือคําสรรเสริญของพวกอิสราเอล” (บพส.22:3), พระนามของพระเจ้า กระทั่งตัวของพระเจ้าเอง ล้วนได้รับการยกชูขึ้นโดยการสรรเสริญ
ดาวิดเขียนบทเพลงสรรเสริญว่า เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าวันละสามครั้ง (บพส.55:17) แต่ในอีกบทหนึ่งเขากล่าวว่า เขาสรรเสริญพระเจ้าวันละเจ็ดครั้ง (119.164), ดาวิดผู้ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยอมรับถึงความสําคัญของการสรรเสริญ แม้เขาจะอธิษฐานวันละสามครั้ง แต่เขาสรรเสริญวันละเจ็ดครั้ง. นอกจากนั้นเขายังได้ตั้งพวกเลวีให้เล่นกระจับปี่และพิณ เพื่อจะเทิดทูน, ขอบพระคุณ, และสรรเสริญพระเจ้าต่อหน้าหีบพันธสัญญาของพระองค์ (1คนก.16:4-6). หลังจากที่ซะโลโมก่อสร้างพระวิหารของพระยะโฮวาเสร็จแล้ว เหล่าปุโรหิตก็ได้แบกหีบพันธสัญญาเข้าไปไว้ในที่บริสุทธิ์สุด เมื่อเหล่าปุโรหิตออกมาจากที่บริสุทธิ์ ก็มีพวกเลวียืนอยู่ข้างแท่นบูชา เป่าแตรและร้องเพลง โดยใช้ฉาบ, กระจับปี่, และพิณ. พวกเขา ร่วมกันเปล่งเสียงสรรเสริญพระเจ้า ในเวลานั้น สง่าราศีของพระยะโฮวาก็เติมเต็มพระวิหารของพระเจ้า (2คนก.5:12-14). ทั้งดาวิดและชะโลโมต่างก็สัมผัสกับน้ําพระทัยของพระเจ้า จึงถวายเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญอันเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า พระยะโฮวาทรงประทับพระที่นั่งอยู่เหนือคําสรรเสริญของพวกอิสราเอล. เราควรสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าไปตลอดชีวิตของเรา และควรร้องสรรเสริญแด่พระเจ้าของเรา.
I. เครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ
การสรรเสริญเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ให้ความสําคัญอย่างยิ่ง จึงถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง หนังสือบทเพลงสรรเสริญนั้นเต็มไปด้วยคําสรรเสริญ. อันที่จริงบทเพลงสรรเสริญก็คือหนังสือแห่งการสรรเสริญที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม. คําสรรเสริญของหลายคนก็ยกมาจากหนังสือบทเพลงสรรเสริญ.
แต่หนังสือบทเพลงสรรเสริญก็ไม่เพียงมีแต่บทที่สรรเสริญเท่านั้น ยังมีการทนทุกข์ด้วย. พระเจ้าทรงต้องการให้เรามองเห็นว่า ผู้ที่เอ่ยคําสรรเสริญออกมานั้นล้วนเป็นผู้ที่พระเจ้าเคยนําพวกเขาผ่านสภาพการณ์ที่ยากลําบาก และความรู้สึกของเขาเคยบาดเจ็บมาก่อน. บทเพลงสรรเสริญเหล่านี้แสดงให้เราเห็นบุคคลที่พระเจ้าทรงนําเขาผ่านเงาแห่งความมืด. พวกเขาถูกผู้คนละทิ้ง, ใส่ร้าย, และข่มเหง. “บรรดาคลื่นและระลอกคลื่นของพระองค์โถมทับข้าพเจ้าแล้ว” (42:7). แต่พระเจ้าก็ทรงได้คําสรรเสริญจากคนเหล่านี้ คําสรรเสริญไม่แน่ว่าจะมาจากคนที่ประสบกับความราบรื่นเสมอไป. การสรรเสริญที่มาจากผู้ที่ได้รับการตีสอนและการทดลองยังมีมากกว่านั้นอีก. ในหนังสือบทเพลงสรรเสริญ เราจะสัมผัสกับความรู้สึกที่บาดเจ็บที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังสัมผัสกับการสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุดด้วย, ความลําบาก, ความทุกข์ยาก, และการใส่ร้ายที่พลไพรของพระเจ้าต้องเผชิญ. เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการก่อให้เกิดคําสรรเสริญขึ้นในพลไพรของพระองค์. ในสภาพการณ์เหล่านั้น พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์แห่งการสรรเสริญพระเจ้าอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์.
ผู้ที่มีความสุขที่สุดไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ที่สรรเสริญเสียงดังที่สุดเสมอไป. เสียงสรรเสริญที่ดังที่สุดมักจะมาจากผู้ที่ประสบความทุกข์ยาก. การสรรเสริญประเภทนี้จึงจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าและได้รับพระพรจากพระเจ้ามากที่สุด. พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์เฉพาะในเวลาที่เขายืนอยู่บนยอดเขา มองสํารวจแผ่นดินคะนาอันที่ทรงสัญญาไว้ สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนายิ่งกว่าก็คือมนุษย์ที่ “ดําเนินผ่านหุบเขาแห่งเงาของความตาย” (23:4). และยังสามารถเขียนบทเพลงสรรเสริญ ยังคงสรรเสริญพระองค์ได้ นี่จึงจะเป็นการสรรเสริญที่แท้จริง.
ในที่นี้ เราจะเห็นเนื้อแท้ของการสรรเสริญในสายพระเนตรของพระเจ้า. เนื้อแท้ของการสรรเสริญนั้นเป็นเครื่องบูชา กระทั่งเป็นเครื่องสังเวยอย่างหนึ่ง. พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสรรเสริญย่อมมาจากความเจ็บปวดและความทุกข์ยาก. เฮ็บราย 13:15 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้น ให้เราถวายคําสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยพระเยซูเสมอ คือถวายผลแห่งริมฝีปากที่ยอมรับพระนามของพระองค์” เครื่องบูชาคืออะไร? เครื่องบูชาก็คือเครื่องสังเวย ซึ่งก็แสดงว่าต้องมีการตาย มีการสูญเสีย. ผู้ถวายเครื่องบูชาย่อมต้องมีการสูญเสียจึงจะถวายเครื่องบูชาได้. การนําเครื่องบูชาหรือเครื่องสังเวยมาถวาย ย่อมเป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง เดิมโคหรือแกะตัวนี้เคยเป็นของท่าน แต่วันนี้ท่านนํามันไปถวายเป็นเครื่องบูชา ก็เท่ากับว่าท่านได้สังเวยโค หรือแกะตัวนี้ไปแล้ว การถวายเครื่องบูชาจึงไม่ใช่การได้มา แต่เป็นการสูญเสียไป. เมื่อคนผู้หนึ่งถวายการสรรเสริญ เขาก็ต้องสูญเสียบางสิ่งเพื่อจะนํามาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าทรงทําให้เขาบาดเจ็บ ทรงทําให้เขาแตกหัก กระทั่งทําให้เขามีแผลลึก และเขาก็มาสรรเสริญต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์. การรับความเสียหายเพื่อถวายการ สรรเสริญแด่พระเจ้าเช่นนี้ก็คือเครื่องบูชาอย่างหนึ่ง. พระเจ้าทรงชอบพระทัยให้มนุษย์มาสรรเสริญพระองค์เช่นนี้ พระองค์ทรงชอบพระทัยที่จะใช้คําสรรเสริญเช่นนี้มาเป็นพระที่นั่งของพระองค์ พระเจ้าจะทรงได้คําสรรเสริญเช่นนี้มาได้อย่างไร? พระเจ้าทรงประสงค์ให้ลูกๆ ของพระองค์มาสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางความสูญเสียของพวกเขา ไม่ใช่สรรเสริญเฉพาะเวลาที่พวกเขาได้บางสิ่งมา. แม้การสรรเสริญในเวลาที่เขาได้บางสิ่งมานั้นจะเป็นการสรรเสริญ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องบูชา. หลักการของเครื่องบูชาย่อมมีการสูญเสียเป็นพื้นฐาน. เครื่องบูชาจะไม่ มีเนื้อแท้ของการสูญเสียเลยไม่ได้. แม้เราจะสูญเสีย แต่พระเจ้าทรงต้องการให้เรายังสามารถสรรเสริญได้ เช่นนี้จึงจะเป็นเครื่องบูชา.
เราไม่เพียงต้องมีการอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องฝึกเป็นผู้ที่สรรเสริญพระเจ้าด้วย. เมื่อเริ่มเป็นคริสเตียน เราก็ต้องมองเห็นความสําคัญของการสรรเสริญตั้งแต่แรก. ท่านจะต้องสรรเสริญพระเจ้าเป็นประจําอย่างไม่หยุดยั้ง, ดาวิดได้รับพระคุณจากพระเจ้า จึงสรรเสริญพระเจ้าวันละเจ็ดครั้ง. ถ้าเราสามารถสรรเสริญทุกวัน นั่นก็เป็นการเรียนรู้, บทเรียน, และการฝึกฝนฝ่ายวิญญาณที่ดีมาก. ท่านต้องฝึกสรรเสริญพระเจ้าเมื่อตื่นขึ้นมายามเช้า, เมื่อเผชิญกับปัญหา, เมื่ออยู่ในการประชุม, และเมื่ออยู่ตามลําพัง. เราต้องสรรเสริญพระเจ้าอย่างน้อยวันละเจ็ดครั้ง. ในเรื่องนี้ จงอย่ายอมแพ้ดาวิด. ถ้าท่านไม่ได้ฝึกสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน ท่านก็ยากที่จะมีเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญอย่างที่กล่าวไว้ในเฮ็บราย บทที่ 13.
ขณะที่ท่านฝึกสรรเสริญ ท่านจะพบว่า บางวันท่านก็สรรเสริญไม่ได้เลย ท่านอาจสรรเสริญพระเจ้าเจ็ดครั้งได้ในวันนี้, เมื่อวานนี้, หรือเมื่อวานชื่น, บางที่ท่านอาจสรรเสริญพระเจ้าได้ในสัปดาห์ที่แล้วหรือเมื่อเดือนที่แล้ว แต่แล้ววันหนึ่ง ท่านก็พบว่าท่านไม่อาจสรรเสริญได้เลย เพราะนั่นเป็นวันที่ท่านรู้สึกเจ็บปวด, ไม่มีความสว่างแม้แต่น้อย, หรือประสบกับเรื่องที่เลวร้าย. ในวันนั้นมีแต่คนกล่าวหาท่าน ใส่ร้ายท่าน จนท่านรู้สึกว่าแค่หลั่งน้ําตาให้กับตัวเองก็หมดแรงแล้ว ยังจะสรรเสริญพระเจ้าได้อีกหรือ! ในวันนั้น ท่านสรรเสริญไม่ออกเพราะการบาดเจ็บ, ความปวดร้าว, และความทุกข์ยากของท่าน. ท่านคิดว่าปฏิกิริยาที่ควรมีน่าจะเป็นการต่อว่ามากกว่าการสรรเสริญ น่าจะเป็นการบ่นมากกว่าการขอบพระคุณ. ท่านไม่รู้สึกอยากสรรเสริญ และไม่คิดจะสรรเสริญเลย. ท่านคิดว่าการสรรเสริญเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากับสถานการณ์และอารมณ์เช่นนั้นเลย. ในสถานการณ์เช่นนั้นเอง ท่านจะต้องจําไว้ว่า พระที่นั่งของพระยะโฮวายังคงไม่เปลี่ยนแปลง, พระนามของพระองค์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง, และสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย. ท่านสมควรต้องสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ยังควรได้รับการสรรเสริญ. ท่านสมควรต้องสดุดีพระองค์ เพราะพระองค์ยังควรได้รับการสดุดี แม้ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่พระองค์ก็ยังสมควรได้รับการสรรเสริญเหมือนเช่นเดิม. แม้ท่านจะพบกับความหม่นหมอง แต่ท่านก็ยังต้องสรรเสริญพระองค์. ในเวลานั้น การสรรเสริญของท่านจึงจะเป็นเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ, การสรรเสริญของท่านก็เป็นเหมือนการจูงโคที่อ้วนพี่ที่สุดไปฆ่า เหมือนการวางยิศฮาคสุดที่รักของท่านไว้บนแท่นบูชา. การที่ท่านสรรเสริญด้วยน้ําตาไหลก็คือเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ. เครื่องบูชาคืออะไร? เครื่องบูชาย่อมมีนัยของการบาดเจ็บ, ความตาย, การสูญเสีย, และการสังเวย. ขณะที่ท่านบาดเจ็บ, ประสบกับความตาย, ประสบกับความสูญเสีย, และต้องสังเวยบางสิ่งต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. แต่ท่านได้มองเห็นว่า พระที่นั่งของพระเจ้ายังคงตั้งดํารงอยู่บนสวรรค์และไม่มีทางสั่นคลอนได้ ท่านก็ได้แต่สรรเสริญพระเจ้า. นี่คือเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ พระเจ้าทรงชอบพระทัยให้ลูกๆ ของพระองค์สรรเสริญพระองค์ในทุกเรื่องและในทุกสถานการณ์.
II. การสรรเสริญและชัยชนะ
เราได้เห็นแล้วว่าการสรรเสริญนั้นเป็นเครื่องบูชาอย่างหนึ่ง แต่เรายังต้องมองเห็นด้วยว่าการสรรเสริญคือวิธีที่เราจะมีชัยชนะในการสู้รบฝ่ายวิญญาณ. เรามักจะได้ยินว่า ซาตานกลัลูกของพระเจ้าอธิษฐานมากที่สุด. ถ้าลูกของพระเจ้าคุกเข่าลงอธิษฐานเมื่อไร ซาตานก็จะวิ่งหนีไปเมื่อนั้น ดังนั้นซาตานจึงมักจะโจมตีลูกของพระเจ้าเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาอธิษฐานได้ การโจมตีเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก. ข้าพเจ้าอยากบอกว่า สิ่งที่ซาตานโจมตีมากที่สุดยังไม่ใช่การอธิษฐาน แต่เป็นการสรรเสริญต่างหาก ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าซาตานไม่โจมตีการอธิษฐาน. เมื่อคริสเตียนอธิษฐาน ซาตานก็จะโจมตีทันที. การพูดคุยกับคนอื่นนั้นทําได้ง่าย แต่การอธิษฐานนั้นยาก. ซาตานมักจะทําให้ท่านรู้สึกว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องยาก. นี่เป็นความจริง. แต่นอกจากจะโจมตีการอธิษฐานแล้ว ซาตานยิ่งต้องการที่จะโจมตีการสรรเสริญของลูกของพระเจ้า. ซาตานหวังที่จะหยุดคําสรรเสริญพระเจ้าทั้งหมด. หลายครั้งการอธิษฐานนั้นเป็นการสู้รบ แต่การสรรเสริญนั้นคือชัยชนะ. การอธิษฐานคือการสู้รบฝ่ายวิญญาณ แต่การสรรเสริญคือการประกาศชัยชนะฝ่ายวิญญาณ. เมื่อไรที่เราสามารถอธิษฐานได้ เมื่อนั้นซาตานก็ต้องวิ่งหนีไป. ดังนั้นการสรรเสริญจึงเป็นสิ่งที่มันเกลียดชังที่สุด. มันจะพยายามทุกอย่างจนสุดความสามารถเพื่อจะทําให้เราไม่อาจสรรเสริญได้. เมื่อลูกของพระเจ้ายังเขลาอยู่นั้น ก็จะดูแต่สภาพการณ์ของตนเอง เห็นแต่ความรู้สึกของตัวเอง แล้วหยุดสรรเสริญ. แต่เมื่อพวกเขารู้จักพระเจ้ามากขึ้น ก็จะยิ่งมองเห็นว่า กระทั่งคุกในเมืองฟิลิปปอยก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งเราควรร้องเพลง (กจ.26:25). ขณะที่อยู่ในคุก เปาโลและซีลาก็ยังคงสรรเสริญพระเจ้า ผลจึงทําให้ประตูคุกเปิดออก.
ในหนังสือกิจการมีเหตุการณ์ที่ทําให้ประตูคุกเปิดออกอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นการเปิดประตูให้แก่เปโตร ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นการเปิดให้แก่เปาโล. ในครั้งที่เปิดให้เปโตรนั้น คริสตจักรได้อธิษฐานเผื่อเขาอย่างร้อนรน จากนั้นทูตสวรรค์จึงเปิดประตูคุกและนําเขาออกมา (12:3-12). ขณะที่อีกครั้งหนึ่งเกิดจากการที่เปาโลและซีลาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ประตูคุกทุกบานจึงเปิด โซ่ตรวนก็หลุดออกด้วย. พัสดีก็ได้เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้นเอง และทั้งครอบครัวของเขาก็ได้รับความรอดด้วยความชื่นชมยินดี (16:19-34). เปาโลและซีลาได้ถวายเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญอยู่ในคุก. ขณะที่บาดแผลบนตัวพวกเขายังไม่ทุเลา, ความเจ็บปวดของเขาก็ยังไม่บรรเทา, สองเท้ายังคงถูกตีตรวน, และตัวเขาก็ถูกขังไว้ในคุกชั้นในของจักรวรรดิโรมันอยู่อย่างนั้น จะมีอะไรที่น่าชื่นชมยินดี? มีอะไรที่น่าร้องเพลง? แต่ขณะที่สองคนนี้อยู่ในคุก วิญญาณของพวกเขากลับทะยานขึ้นสูงเหนือล้ําสภาพการณ์ทุกอย่าง. พวกเขามองเห็นว่า พระเจ้ายังคงประทับอยู่บนพระที่นั่งโดยไม่เปลี่ยนแปลง แม้พวกเขาจะเปลี่ยนไป สภาพการณ์ของเขาจะเปลี่ยนไป, และความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนไป หรือแม้ร่างกายของเขาจะเจ็บปวด แต่พระเจ้าก็ยังคงประทับอยู่บนพระที่นั่ง. พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าที่คู่ควรให้พวกเขาสดุดี. ณ ที่นั้น เปาโลและซีลาผู้เป็นพี่น้องของเราจึงอธิษฐาน, ร้องเพลง, และสรรเสริญพระเจ้า, นี่เป็นการสรรเสริญที่ออกมาจากความเจ็บปวดและการสูญเสียของพวกเขา. ดังนั้น การสรรเสริญนี้จึงเป็นเครื่องบูชา. การสรรเสริญเช่นนี้ก็คือชัยชนะ.
ขณะที่ท่านอธิษฐาน ท่านยังคงอยู่ท่ามกลางสภาพการณ์ของท่าน แต่เมื่อท่านสรรเสริญ ท่านก็ได้ทะยานขึ้นไปอยู่เหนือสภาพการณ์เหล่านั้น. ขณะที่อธิษฐานและอ้อนวอน ท่านก็ยังคงตกอยู่ในเรื่องนั้น ยังไม่ได้ออกมาแต่อย่างใด. ท่านยิ่งอ้อนวอนก็จะพบว่าเรื่องนั้นยิ่งผูกมัด และกดทับท่านไว้. แต่ถ้าพระเจ้าทรงนําท่านขึ้นไปเหนือคุก, เหนือเครื่องพันธนาการ, เหนือแผลบาดเจ็บบนร่างกาย, เหนือความเจ็บปวดและความอับอายทั้งปวง ในเวลานั้นท่านย่อมจะส่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระเจ้า. การร้องเพลงของเปาโลและซีลาก็คือการร้อง สรรเสริญต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงนําพวกเขาไปสู่จุดที่ไม่ว่าจะเป็นคุก, ความอับอาย, หรือความเจ็บปวด ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว พวกเขาจึงสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ เมื่อเขาสรรเสริญได้อย่างนั้น ประตูคุกก็เปิด, โซ่ตรวนก็คลาย, กระทั่งพัสดีก็ได้รับความรอด.
หลายครั้งที่การอธิษฐานไม่ได้ผล การสรรเสริญกลับได้ผล. นี่คือหลักการที่เป็นพื้นฐาน ถ้าท่านอธิษฐานไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นทําไมจึงไม่ลองสรรเสริญ? นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางไว้ในมือของเราเพื่อให้เราสามารถมีชัยชนะ กระทั่งโอ้อวดชัยชนะได้ เมื่อไรที่ท่านไม่มีกําลังที่จะอธิษฐาน วิญญาณของท่านถูกกดดันอย่างหนัก บาดเจ็บจนโงหัวไม่ขึ้น ท่านก็จงสรรเสริญพระองค์. ถ้าอธิษฐานได้ก็จงอธิษฐาน แต่ถ้าอธิษฐานไม่ได้ก็จงสรรเสริญ. เรามักจะคิดว่าในเวลาที่มีภาระหนัก เราต้องอธิษฐาน และเมื่อภาระเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว เราค่อยสรรเสริญ, แต่ขอให้ท่านโปรดจําไว้ว่า ในบางครั้งที่ภาระหนักเสียจนท่านอธิษฐานไม่ออก เมื่อนั้นก็ให้ท่านสรรเสริญ. อย่ารอให้ภาระผ่านพ้นไปก่อนแล้วจึงสรรเสริญ แต่จงสรรเสริญในเวลาที่ภาระนั้นหนักอึ้งที่สุด เมื่อท่านต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ผิดปกติ ประสบปัญหามากมายจนท่านงุนงง ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรดี ในเวลานั้นเรื่องเดียวที่ท่านต้องจําได้ก็คือ “ทําไม ไม่สรรเสริญ?” นั่นคือโอกาสทอง. ถ้าท่านสรรเสริญในสถานการณ์เช่นนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็จะทรงทํางานและจะทรงนําท่านไปสู่จุดที่ประตูทุกบานล้วนเปิดออกและโซ่ตรวนก็หลุดไป.
เราต้องฝึกคงไว้ซึ่งวิญญาณที่สูงส่ง ซึ่งเป็นวิญญาณที่อยู่เหนือการโจมตีทุกอย่าง การอธิษฐานไม่แน่ว่าจะสามารถนําเราไปสัมผัสกับพระที่นั่งได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด การสรรเสริญก็สามารถนําเราไปสัมผัสกับพระที่นั่งได้อย่างแน่นอน การอธิษฐานไม่แน่ว่าจะจะทําให้เรามีชัยชนะได้ทุกครั้ง แต่การสรรเสริญนั้นไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว. ลูกของพระเจ้าควรเปิดปากสรรเสริญ ทว่าไม่ใช่สรรเสริญเฉพาะในเวลาที่ทุกอย่างราบรื่น, ไร้บาดแผล, ไร้ปัญหา, เวลาที่เรามีปัญหาหรือบาดเจ็บนั่นแหละเป็นเวลาที่เราสมควรต้องสรรเสริญที่สุด. ในเวลานั้น ท่านต้องเงยหน้าขึ้นแล้วทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์!” แม้น้ําตาจะรินไหล แต่ปากของท่านก็สรรเสริญ และแม้ใจจะปวดร้าว แต่วิญญาณของท่านก็ยังสรรเสริญ. วิญญาณของท่านก็จะทะยานขึ้นไปเหมือนกับคําสรรเสริญของท่าน และตัวท่านก็จะลอยขึ้นสู่ที่สูงพร้อมกับคําสรรเสริญของท่านด้วย. คนที่โง่เขลาที่สุดก็คือคนที่เอาแต่พร่ําบ่น. ใครที่พร่ําบ่นย่อมจมอยู่กับสิ่งที่เขาบ่น และใครที่ต่อว่าสิ่งที่เขาต่อว่าก็ยิ่งรัดเขาไว้ ถ้าเขายิ่งปล่อยให้ความทุกข์ยากมากดทับไว้ เขาก็ยิ่งหมดแรง. ส่วนคนที่ก้าวหน้าไปอีกหน่อย เมื่อเขาพบกับปัญหาก็จะอธิษฐาน. คนเช่นนี้พยายามดิ้นรนต่อสู้ให้ตัวเองหลุดจากปัญหา. แม้สภาพแวดล้อมและความรู้สึกต่างๆ จะทับถมลงมา แต่เขาก็ไม่ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมาฝังเขาได้ พวกเขาอธิษฐานเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น แม้การอธิษฐานจะช่วยเขาให้รอดมาได้หลายครั้ง แต่ก็มีบางครั้งที่การอธิษฐานไม่สามารถช่วยเขาออกมาได้ ไม่มีอะไรสามารถช่วยเขาได้จนกว่าเขาจะสรรเสริญ. ท่านต้องถวายเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ ต้องถวายคําสรรเสริญเป็นเครื่องบูชา. เมื่อท่านวางตัวเองไว้ในฐานะแห่งชัยชนะเช่นนี้ ท่านก็อยู่เหนือล้ําทุกสิ่งทันที และจะไม่มีปัญหาใดสามารถฝังท่านไว้ได้ เมื่อมีเรื่องบางอย่างกดท่านไว้ ขอเพียงท่านสรรเสริญ ท่านก็จะหลุดพ้นจากสิ่งนั้นทันที ให้เรามาดู 2 โครนิกา 20:20-22.
“เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปยังป่ากันดารตะโคอา และเมื่อเขาออกไป ยะโฮซาฟาดทรงยืนและตรัสว่า “ยูดาและผู้อาศัยในกรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงเชื่อในพระยะโฮวาพระเจ้าของท่าน แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสําเร็จ และเมื่อพระองค์ทรงปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ทรงแต่งตั้งพวกที่จะร้องเพลงถวายพระยะโฮวา ให้คนเหล่านี้สวมเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ นําหน้ากองทัพ ร้องขอบพระคุณว่า “จง ขอบพระคุณพระยะโฮวา เพราะความเอ็นดูรักใคร่ของพระองค์ดํารงอยู่เป็นนิตย์ และเมื่อเขาทั้งหลายเริ่มตะโกนร้องเพลงและสรรเสริญ พระยะโฮวาก็ทรงให้มีกองทุ่มต่อสู้กับชาวอําโมน, ชาวโมอาบ, และชาวภูเขาเซอรที่มาสู้รบกับชาวยูดา และพวกเขาก็ถูกตีแตกไป”
ข้อความในตอนนี้กล่าวถึงสงคราม. ในเวลาที่ยะโฮซาฟาดเป็นกษัตริย์ของประเทศยูดา ประเทศนี้อ่อนแอมากไปไม่รอด และใกล้จะถึงจุดจบแล้ว. ชาวโมอาบ, ชาวอําโมน, และชาว ภูเขาเซีรก็ยกมาตีชาวยูดา, ชาวยูดาตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ไม่มีทางรอดจากความพ่ายแพ้ และพินาศได้เลย, ยะโฮชาฟาดนั้นเป็นกษัตริย์ที่ถูกฟื้นฟูและเป็นผู้ที่ยําเกรงพระเจ้า แม้กษัตริย์ของประเทศยูดาในช่วงบั้นปลายผู้นี้จะไม่ครบสมบูรณ์ แต่เขาก็เป็นคนที่ต้องการพระเจ้า. เขาพูดกับชาวยูดาว่า พวกเราควรเชื่อในพระเจ้า. เขาทําอย่างไร? เขาได้แต่งตั้งพวกที่จะร้องเพลงเพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา. เขาให้บรรดาผู้ที่ร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาเหล่านี้ สวมเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ เดินนําหน้าร้องสรรเสริญพระยะโฮวาว่า “จงขอบพระคุณพระยะ โฮวา เพราะความเอ็นดูรักใคร่ของพระองค์ดํารงอยู่เป็นนิตย์” ให้สังเกตคําว่า “เริ่ม” ในข้อต่อมา ซึ่งเป็นคําที่มีค่ามาก. “เมื่อเขาทั้งหลายเริ่มตะโกนร้องเพลงและสรรเสริญ พระยะโฮวาก็ ทรงให้มีกองซุ่มต่อสู้กับชาวอําโมน, ชาวโมอาบ, และชาวภูเขาเซอีร” “เริ่ม” ก็แสดงว่าในเวลาเดียวกันนั้น คือเวลาที่คนเหล่านั้นกําลังร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา พระยะโฮวาก็ทรง ประหารชาวอําโมน, ชาวโมอาบ, และชาวภูเขาเซีร. เราได้แต่กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะทําให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาจัดการได้เร็วไปกว่าการสรรเสริญ, การอธิษฐานไม่ใช่วิธีที่เร็วที่สุดในการให้พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาจัดการ การสรรเสริญต่างหากจึงจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด อย่าได้เข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องอธิษฐานแล้ว เรายังต้องอธิษฐาน และต้องอธิษฐานอย่างจริงจังทุกวันด้วย. แต่ในการมีชัยชนะต่อเรื่องบางอย่างนั้น เราต้องอาศัยการสรรเสริญ.
ในที่นี้เราจะเห็นว่า ชัยชนะฝ่ายวิญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสู้รบ แต่ขึ้นอยู่กับการสรรเสริญ เราต้องฝึกเอาชนะซาตานด้วยการสรรเสริญ. เราไม่เพียงชนะต่อซาตานด้วยการอธิษฐานเท่านั้น เรายังต้องชนะต่อมันด้วยการสรรเสริญด้วย. หลายคนเห็นว่าซาตานโหดร้าย ขณะที่ตัวเขาช่างอ่อนแอ จึงตั้งใจว่าจะมุมานะอธิษฐาน. แต่ในที่นี้ เราจะมองเห็นหลักการที่พิเศษ: ชัยชนะฝ่ายวิญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสู้รบ แต่ขึ้นอยู่กับการสรรเสริญ, ลูกของพระเจ้ามักจะถูกทดสอบจนคิดไปว่า ในเมื่อปัญหาของเขาใหญ่มากก็ต้องหาวิธีจัดการ. พวกเขาสนใจแต่วิธีการ, ทว่าเมื่อเขายิ่งคิดหาวิธี ก็ยิ่งมีชัยชนะได้ยาก. การทําเช่นนี้ทําให้เขาต้องตกอยู่ในฐานะเดียวกันกับซาตานผู้เป็นศัตรูของเขา คืออยู่บนสมรภูมิเดียวกัน เพียงแต่ยืนอยู่คนละฝ่าย. ในสภาพนี้ เขาก็มีชัยชนะได้ยาก. แต่ใน 2 โครนิกาบทที่ 20 ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แม้ฝ่ายนั้นจะมีกองทัพ แต่ฝ่ายนี้กลับมีแต่การร้องเพลง ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราไม่ใช่คนบ้า แต่เราเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า.
ท่ามกลางลูกของพระเจ้านั้น มีหลายคนที่ถูกทดลองอย่างรุนแรง และมักจะถูกทดลองอยู่เป็นประจํา ขณะที่การทดลองทวีความรุนแรงและการสู้รบก็โหดร้ายเช่นนั้น เขาไร้ซึ่งทางออก ไม่ต่างกับยะโฮซาฟาดเลย, ฝ่ายนั้นเข้มแข็งมาก แต่ฝ่ายนี้อ่อนแอเสียจนไม่มีอะไรไปต่อกรกับเขาได้เลย, ปัญหานั้นใหญ่เสียจนเขารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในพายุหมุน. นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเอาชนะได้เลย ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ง่ายที่จะเพ่งความสนใจไปที่อุปสรรคและตาของเขาก็เอาแต่จับจ้องที่ปัญหาของตน. เมื่อคนเรายิ่งถูกทดลองก็ยิ่งง่ายที่จะจมอยู่กับปัญหาของตน. นี่จึงเป็นเวลาแห่งการทดลองที่ใหญ่หลวง. การมองดูตัวเองและดูสภาพแวดล้อม เช่นนี้ก็คือการทดลองที่ใหญ่หลวง. เมื่อคนเรายิ่งถูกทดลอง ก็จะยิ่งมองดูตัวเองและมองดู สภาพแวดล้อม. แต่สําหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้านั้น เมื่อเขายิ่งถูกทดลอง เขาก็ยิ่งเฝ้าหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า. เมื่อเขายิ่งถูกทดลอง เขาก็ยิ่งเรียนรู้ที่จะสรรเสริญ, ดังนั้นตาของเราจึงต้องฝึกมองดูที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มองดูที่ตัวเอง. เราควรเงยหน้าขึ้นและทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเหนือล้ําเหนือสิ่งสารพัด ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระองค์!” การสรรเสริญด้วยเสียงดังออกมาจากใจ กระทั่งในเวลาที่รู้สึกบาดเจ็บก็ยังหลั่งไหลออกซึ่งการสรรเสริญนั้น คือเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญซึ่งเป็นที่โปรดปรานและเป็นที่ยินดีรับไว้ของพระเจ้า เมื่อเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญได้ขึ้นไปสู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ซาตานผู้เป็นศัตรูก็ต้องพ่ายแพ้แก่การสรรเสริญของท่าน. เครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เมื่อไรที่ท่านสามารถเปล่งคําสรรเสริญที่สูงสุดออกมาจากความรู้สึกของท่านได้ ท่านย่อมจะสามารถยืนหยัดและจะมีชัยชนะอย่างแน่นอน. เมื่อท่านสามารถสรรเสริญ ท่านก็จะเห็นหนทางแห่งชัยชนะเปิดกว้างต่อท่าน!
พี่น้องผู้แรกเชื่ออย่าได้คิดว่า ท่านยังต้องรออีกหลายปีกว่าจะฝึกบทเรียนแห่งการสรรเสริญได้ ขอให้ท่านรู้ไว้ว่า บทเรียนแห่งการสรรเสริญเป็นสิ่งที่เราฝึกกันได้ตั้งแต่แรก. ทุกครั้งที่ท่านประสบปัญหา ท่านต้องขอให้พระเจ้าทรงเมตตา หยุดกลอุบายและแผนการของท่าน เพื่อท่านจะได้ฝึกบทเรียนแห่งการสรรเสริญ, ไม่ว่าการสู้รบจะมากมายแค่ไหน เราก็สามารถมีชัยชนะได้ด้วยการสรรเสริญ แต่ที่เราพ่ายแพ้แก่การสู้รบมากมายก็เพราะขาดการสรรเสริญ ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ถึงจะประสบปัญหา ท่านก็ยังคงทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าสรรเสริญพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงสูงส่งเหนือสารพัน เข้มแข็งกว่าสารพัด และความเอ็นดูรักใคร่ของ พระองค์ก็ดํารงอยู่เป็นนิตย์!” ทุกคนที่สรรเสริญพระเจ้าล้วนอยู่เหนือล้ําทุกสิ่ง. เขาจะมีชัยชนะเสมอด้วยการสรรเสริญ. สิ่งนี้เป็นทั้งหลักการและข้อเท็จจริง.
III. การสรรเสริญที่เกิดจากความเชื่อ
บทเพลงสรรเสริญ 106:12 เป็นข้อความที่มีค่ามาก: “แล้วพวกเขาเชื่อพระคําของพระองค์ เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์” นี่คือสภาพการณ์ของชาวอิสราเอลเมื่ออยู่ในป่ากันดาร พวกเขาเชื่อ เขาจึงร้องเพลง. พวกเขาเชื่อ เขาจึงสรรเสริญ. การสรรเสริญจะต้องมีความเชื่อเป็นเนื้อหาพื้นฐาน ท่านจะเปิดปากสรรเสริญโดยไม่มีเนื้อหาไม่ได้ ท่านจะพูดแบบขอไปที่ไม่ได้ว่า “ข้าพเจ้าขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์! ท่านต้องเชื่อก่อนจึงจะสามารถสรรเสริญได้. สมมุติว่าท่านมีปัญหาหรือบาดเจ็บ แล้วท่านก็ไปอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานไปจนถึงจุดหนึ่ง ในใจของท่านเกิดความเชื่อขึ้นมาแล้ว ท่านก็เปิดปากสรรเสริญได้ทันที. หนทางเช่นนี้จึงจะมีชีวิต ไม่ใช่พูดแบบขอไปที่. เมื่อคนเราประสบปัญหา เขาก็ควรต้องทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อภายในเขาเกิดความเชื่อขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย ทันทีที่เขาเชื่อพระเจ้า เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า, ฤทธิ์เดชของพระเจ้า, ความเอ็นดูรักใคร่ของพระเจ้า, สง่าราศีของพระเจ้า, และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงสําแดงสง่าราศีของพระองค์ให้ปรากฎ ตอนนั้นเขาก็ต้องเริ่มสรรเสริญ, เมื่อภายในคนเราเกิดความเชื่อแล้ว ถ้ายังไม่สรรเสริญ อีกไม่นาน ความเชื่อนั้นก็จะสลายไป. นี่คือสิ่งที่เราพูดตามประสบการณ์ เรากล้าพูดว่า เมื่อภายในท่าน เกิดความเชื่อแล้ว ท่านก็ต้องสรรเสริญ. ถ้าท่านไม่สรรเสริญ ผ่านไปสักพัก ความเชื่อของท่านก็จะอันตรธานไปอีก เมื่อสักครู่ท่านยังเชื่ออยู่ แต่ผ่านมาได้ไม่นาน ท่านก็หาความเชื่อไม่เจอแล้ว ดังนั้นท่านจึงต้องฝึกสรรเสริญ ต้องเปิดปากพูดคําสรรเสริญออกมา แม้ท่านคิดที่จะ สรรเสริญแล้ว แต่ถ้ายังไม่เปล่งเสียงเอ่ยคําสรรเสริญออกมาก็ยังใช้ไม่ได้. ท่านต้องยืนมั่น เผชิญหน้ากับปัญหาและซาตาน แล้วสรรเสริญพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์!” ท่านต้องทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จากที่ไม่มีความรู้สึกก็จะเริ่มมีความรู้สึก จากที่มีความรู้สึกเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นมีความรู้สึกมาก และจากที่มีความเชื่อเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นเต็มด้วยความเชื่อ.
เมื่อท่านได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้าเต็มตาแล้ว ท่านย่อมจะเชื่อ. เมื่อสง่าราศีของพระเจ้าเติมเต็มวิญญาณของท่านแล้ว ท่านย่อมจะสรรเสริญ. ท่านต้องมองเห็นว่า พระเจ้าทรงสูงล้ําเหนือสิ่งสารพัด คู่ควรที่จะได้รับการสรรเสริญจากท่าน. เมื่อท่านสรรเสริญ ซาตานก็จะหนีไป ดังนั้นในบางครั้งเราก็ต้องอธิษฐาน. แต่เมื่ออธิษฐานจนภายในของท่านเกิดความเชื่อ มีความแน่ใจ หรือรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคําอธิษฐานของท่านแล้ว ท่านก็ต้องสรรเสริญว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์! ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ เพราะเรื่องนี้ได้สําเร็จไปแล้ว!” จงอย่ารอให้เรื่องนั้นสําเร็จลุล่วงก่อนแล้วจึงสรรเสริญ แต่จงสรรเสริญทันทีที่มีความเชื่อเกิดขึ้น. อย่ารอให้ศัตรูจากไปเสียก่อนแล้วจึงร้องเพลง แต่จงร้องเพลงให้ศัตรูต้อง หนีไป. เราต้องฝึกสรรเสริญก่อนด้วยความเชื่อ. ถ้าท่านสรรเสริญพระองค์ด้วยความเชื่อ ท่านจะได้เห็นศัตรูแตกพ่ายไป. ท่านต้องเชื่อก่อนจึงจะสรรเสริญได้ เมื่อเชื่อแล้ว ท่านก็ต้องสรรเสริญก่อน จากนั้นจึงจะมีชัยชนะ.
IV. การสรรเสริญที่เกิดจากการเชื่อฟัง
ปัญหาของเราส่วนใหญ่ก็คือสองเรื่องนี้ เรื่องแรกก็คือปัญหาที่มาจากสภาพแวดล้อมหรือ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับยะโฮซาฟาด. ถ้าจะมีชัยชนะต่อปัญหาเหล่านี้ เราก็ต้องสรรเสริญ. อีกเรื่องหนึ่งคือปัญหาที่อยู่ภายในของเรา เช่น คําพูดของใครบางคนอาจทําให้เราบาดเจ็บ หรือมีคนล่วงเกินเรา, รังแกเรา, ปฏิบัติไม่ดีกับเราอย่างไร้เหตุผล, โต้แย้งเราอย่างไร้เหตุผล, เกลียดเราโดยไม่มีสาเหตุ หรือใส่ความเราโดยไม่มีมูล จึงทําให้ภายในเราทนไม่ได้และเราก็ปล่อยเรื่องเช่นนี้ไปไม่ได้ นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับชัยชนะส่วนตัวของเรา พี่น้องชายคนหนึ่งอาจพูดกับท่านอย่างไม่สมควร หรือพี่น้องหญิงคนหนึ่งอาจปฏิบัติต่อท่านอย่างไร้เหตุผล. การมีชัยชนะต่อเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก! ทั้งตัวของท่านอยากจะลุกขึ้นมาดิ้นรน, พร่ําบ่น, หรือต่อว่า ท่านรู้สึกว่าการให้อภัยและยกโทษให้เขานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และจะให้ท่านมีชัยชนะต่อเรื่องนี้ก็ยากมาก เมื่อท่านถูกป้ายความผิด, ถูกใส่ร้าย, หรือถูกรังแกจนภายในไม่อาจปล่อยไปได้ ตอนนี้จะอธิษฐานก็ไม่ค่อยมีประโยชน์แล้ว แม้ท่านจะพยายามต้านความรู้สึกนี้ไว้หรือพยายามดิ้นรนสักเท่าไร ก็ไม่เป็นผล. ไม่ว่าท่านจะสลัดความเก็บกดนี้อย่างไรก็ไม่สําเร็จ ท่านรู้สึกว่าการมีชัยชนะนั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน. ขอให้ท่านโปรดจําไว้ว่า เมื่อปัญหาส่วนตัวเหล่านี้กําลังรบกวนท่านอย่างที่สุด หรือเมื่อท่านประสบกับความอยุติธรรมอย่างรุนแรงเต็มที่ นั่นไม่ใช่เวลาที่ท่านจะอธิษฐาน แต่เป็นเวลาที่ท่านต้องสรรเสริญ ท่านควรก้มศีรษะลงทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์. สิ่งที่พระองค์ทําย่อมไม่ผิดพลาด. ข้าพเจ้าขอบพระคุณที่ได้รับสิ่งนี้ จากพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าขอสรรเสริญที่ได้รับสิ่งนี้จากพระหัตถ์ของพระองค์” เมื่อทําเช่นนี้ ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้. ชัยชนะไม่ใช่การสู้รบกับเนื้อหนังของตัวเอง พยายามให้อภัยหรือยกโทษให้ผู้อื่นด้วยกําลังของตนเอง แต่ชัยชนะมาจากการก้มศีรษะลงทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าสรรเสริญวิถีทางของพระองค์ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงจัดแจงให้ข้าพเจ้านั้นไม่มีอะไรผิดพลาด. ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทําล้วนดีเลิศ.” เมื่อท่านสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้ วิญญาณของท่านก็อยู่สูงเหนือปัญหาของท่าน เหนือ ความรู้สึกที่บาดเจ็บซึ่งอยู่ภายในท่าน. ทุกคนที่รู้สึกว่าตนบาดเจ็บล้วนเป็นคนที่ขาดการสรรเสริญ. ถ้าท่านสามารถสรรเสริญต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ความรู้สึกที่บาดเจ็บของท่านก็จะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแห่งการสรรเสริญ วิญญาณของท่านก็จะทะยานขึ้นสู่ที่สูง ท่านจะทูลต่อพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ สรรเสริญพระองค์, สิ่งที่ พระองค์ทรงกระทํานั้นไม่ผิดพลาดเลย” นี่คือหนทางที่เราควรดําเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า จงทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง. ช่างมีสง่าราศียิ่งนัก. นี่ก็คือเครื่องบูชาอย่างแท้จริง.
การดําเนินชีวิตคริสเตียนย่อมทะยานขึ้นไปได้ด้วยการสรรเสริญ. การสรรเสริญคือการอยู่สูงล้ําเหนือทุกสิ่งเพื่อจะสัมผัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือหนทางที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดําเนินอยู่บนโลกนี้ ท่านเองก็สามารถเดินอยู่บนหนทางนี้ได้เหมือนกัน. เมื่อท่านถูกทดลอง อย่าเอาแต่มองฟ้าแล้วถอนใจ. ท่านจะต้องทะยานขึ้นไปเหนือการทดลองนั้น เมื่อท่านสรรเสริญ ท่านก็อยู่เหนือการทดลองทั้งปวง. ผู้อื่นยิ่งพยายามกดท่านลง ท่านก็ยิ่งต้องลุกขึ้นต่อเบื้องพระ พักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าและทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ สรรเสริญพระองค์” จงฝึกที่จะรับไว้ ฝึกเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และฝึกยอมรับว่า เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทํา, ไม่มีสิ่งใดที่จะทําให้คนเราสุกงอมได้เท่ากับเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญ. เราไม่เพียงต้องฝึกยอมรับการตีสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังต้องฝึกสรรเสริญการตีสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย. เราไม่เพียงต้องยอมรับพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องร้องสดุดีพระหัตถ์ของพระองค์ด้วย. เราไม่เพียงต้องยอมรับการทําโทษขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องยอมรับการทําโทษนี้ด้วยความยินดีอีกด้วย. ถ้าเราทําเช่นนี้ ประตูแห่งสง่าราศีที่เที่ยงตรงก็จะเปิดกว้างต่อเรา.
V. สรรเสริญก่อนที่จะเข้าใจ
สุดท้าย ในบทเพลงสรรเสริญ 50.23 พระเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่ถวายเครื่องบูชาแห่งการขอบพระคุณก็ได้ถวายสง่าราศีแก่เรา” คําว่า “ขอบพระคุณ” ในที่นี้อาจแปลเป็น “สรรเสริญ” ก็ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรอคอยการสรรเสริญของเรา ไม่มีสิ่งใดที่จะถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าได้เหมือนกับการสรรเสริญ, วันหนึ่งการอธิษฐาน, การงานทั้งปวง, การเผยพระวจนะ, และการตรากตรําทั้งปวงจะต้องผ่านพ้นไป แต่ในวันนั้นการสรรเสริญจะมีมากยิ่งกว่าวันนี้ การสรรเสริญจะดําเนินต่อไปไม่หยุดตราบชั่วนิรันดร์ บนสวรรค์เมื่อเราได้อยู่ในบ้านของเราแล้วเราก็ยิ่งต้องสรรเสริญ. วันนี้เรามีโอกาสได้ฝึกบทเรียนที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือฝึกสรรเสริญพระเจ้าตั้งแต่ในเวลานี้.
ในเวลานี้เรายังคงเห็นในกระจกเงามัวๆ อยู่ (1กธ.13:12). แม้ในหลายเรื่อง เราอาจมองเห็นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ทุกสิ่งที่เราเผชิญและประสบมานั้น เราได้แต่รู้สึกเจ็บปวดกับความบาดเจ็บที่อยู่ภายในหรือความยากลําบากที่อยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่อาจเข้าใจความหมายที่อยู่ภายในได้ เราจึงไม่สรรเสริญ. เราเชื่อว่าบนสวรรค์จะเต็มไปด้วยการสรรเสริญ เพราะที่นั่นจะมีความรู้อย่างครบถ้วน. เมื่อความรู้ยิ่งครบถ้วน การสรรเสริญก็ยิ่งครบบริบูรณ์ วันหนึ่ง เมื่อเราทุกคนล้วนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกอย่างก็จะกระจ่างแจ้ง. เรื่องที่วันนี้ยังไม่ชัดเจน เมื่อถึงวันนั้นก็จะชัดเจน ในวันนั้น เราจะมองเห็นว่า ทุกขั้นตอนแห่งการตีสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนมีน้ําพระทัยอันดีงามของพระองค์. ถ้าไม่มีการตีสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลานี้ เราจะตกต่ําถึงขนาดไหนก็ไม่รู้ ถ้าในบางก้าวไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยขวางเราไว้ เราจะตกต่ําไปถึงไหนก็ไม่ทราบ เรื่องราวมากมายที่ในวันนี้เรายังไม่เห็น เมื่อถึงวันนั้นเราจะได้เห็น. เมื่อเราเห็นแล้ว เราจะก้มศีรษะลงและสรรเสริญว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงผิดพลาดเลย.” ทุกขั้นตอนแห่งการตีสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนเป็นการงานของพระเจ้าบนตัวเรา. ถ้าตอนนั้นเราไม่ล้มป่วย ตอนนี้เราจะเป็นอย่างไร? ถ้าครั้งนั้นเราไม่พ่ายแพ้ บัดนี้เราจะเป็นอย่างไร? แม้สิ่งที่เราประสบคือปัญหา แต่ก็ทําให้เราไม่ต้องเผชิญกับปัญหาที่สาหัสกว่านั้น แม้สิ่งที่เราประสบ คือวินาศภัย แต่ก็ทําให้เราไม่ต้องเผชิญกับมหันตภัย. เมื่อถึงวันนั้น เราจะมองเห็นว่าเหตุใดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เราต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้ วันนี้ทุกย่างก้าวที่เราเดินผ่านมาล้วนเป็นการนําพาของพระองค์ทั้งสิ้น เมื่อถึงวันนั้นเราก็จะก้มศีรษะลงและทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าช่างโง่เขลาที่วันนั้นไม่ได้สรรเสริญ ข้าพเจ้าช่างโง่เขลาที่เวลานั้นไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์” เมื่อถึงวันนั้น พอเรามองเห็นและเข้าใจแล้ว เราจะรู้สึกละอายใจยิ่งนักเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่เราเคยบ่นและต่อว่า ดังนั้นในวันนี้เราจึงต้องฝึกทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทํา แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่า พระองค์ย่อมไม่กระทําผิดพลาด.” เราต้องฝึกเชื่อ ฝึกสรรเสริญ, ถ้าอย่างนี้ พอถึงวันนั้นเราก็จะทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณในพระคุณของพระองค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากการบ่นและ ต่อว่าที่ไม่จําเป็นนั้น พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าขอบคุณในพระคุณของพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากบ่นออกมาในวันนั้น.” มีหลายอย่างที่หากเรารู้มากกว่านี้ เราก็จะสรรเสริญมากขึ้น เราต้องสรรเสริญพระยะโฮวาเพราะพระองค์นั้นดีเลิศ (บพส. 25:8; 100:5). เราต้องพูดอยู่ตลอดเวลาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นดีเลิศ.” วันนี้เราต้องฝึกเชื่อก่อนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นดีเลิศ และถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่ทรงผิดพลาดแน่ ถ้าเราเชื่อ เราก็ย่อมสรรเสริญได้, การสรรเสริญของเราก็คือสง่าราศีของพระองค์, การสรรเสริญคือการถวายสง่าราศีแด่พระเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ควรได้รับสง่าราศี. ขอให้พระเจ้าได้รับการ สรรเสริญจากลูกทั้งหลายของพระองค์อย่างเหลือล้น.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 1 บทที่ 16 ตั้งแต่ หน้า 241 - 256
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ความรู้สึกของบทเพลง
II. เงื่อนไขของบทเพลง
III. ตัวอย่างของบทเพลง
IV. การแบ่งหมวดหมู่ของบทเพลง
V. การใช้บทเพลง
ข้อพระคัมภีร์: บพส.104:33; อฟ.5:19; มธ.26:30; กจ.16:25
บพส.104:33 ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่นานเพียงใด จะร้องเพลงถวายพระยะโฮวานานเพียงนั้น: ขณะเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้า.
อฟ.5:19 จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี, เพลงสรรเสริญ, และเพลงฝ่ายวิญญาณ คือร้องเพลงและสรรเสริญในใจของท่านถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
มธ.26:30 เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญแล้ว ก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ.
กจ.16:25 ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่เปาโลกับซีลากำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และพวกนักโทษก็กำลังฟังพวกท่านอยู่
------------------------------
หลังจากที่คนผู้หนึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะร้องเพลงสรรเสริญ ถ้าคริสเตียนคนใดต้องไปร่วมประชุมโดยที่ร้องเพลงไม่เป็นก็คงเป็นเรื่องยาก. นอกจากการ อธิษฐานแล้ว การร้องเพลงสรรเสริญก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกละเลยไปในการประชุมอยู่เป็นประจํา ดังนั้นเราจึงต้องฝึกร้องเพลงสรรเสริญ ไม่ใช่เพราะเรามีเป้าหมายที่จะเป็นนักดนตรี แต่เราต้องรู้จักบทเพลง ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญมาก.
I. ความรู้สึกของบทเพลง
ในพระคัมภีร์นอกจากจะมีคําพยากรณ์, ประวัติศาสตร์, หลักธรรม, คําสอน, และพระบัญชาแล้ว ยังมีบทเพลงด้วย. บทเพลงเป็นการแสดงความรู้สึกของมนุษย์ออกมาอย่าง ละเอียดอ่อนที่สุด. แม้แต่ความรู้สึกในเวลาที่มนุษย์อธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าก็ยังละเอียดอ่อนไม่เท่ากับความรู้สึกในเวลาที่เขาร้องเพลงต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์, พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นพระองค์จึงประทานบทเพลงมากมายหลายประเภทเอาไว้ในพระคัมภีร์, นอกจากหนังสือบทเพลงสรรเสริญ, บทเพลงไพเราะ และบทเพลงร้องทุกข์แล้ว บางครั้งแม้แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์และกฎบัญญัติก็ยังมีบทเพลงด้วย (อซด.151-18, พบญ,32:1-43). กระทั่งในหนังสือจดหมายของเปาโลก็ยังมีบทเพลงแทรกอยู่ ทั่วไปในคําสอนของเขา (รม. 11:33-36; 1ตธ.3:16 เป็นต้น). ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้พลไพร่ของพระองค์มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน.
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน แต่ความรู้สึกของมนุษย์อย่างเรานั้นมีทั้งความรู้สึกที่ละเอียดและความรู้สึกที่หยาบ, เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโทสะและความโกรธคือความรู้สึกที่หยาบ. แม้บางคนจะไม่บันดาลโทสะแต่เขาก็ไม่แน่ว่าจะมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน, พระเจ้าทรงต้องการให้เราอดทน, มีใจกรุณา, เมตตา, และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน, พระเจ้าทรงต้องการให้เราร้องเพลงได้ในเวลาที่เราทุกข์ลําบาก และสามารถสรรเสริญและเชิดชูพระนามของพระองค์ได้ในเวลาที่เราเจ็บปวด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน. ในเวลาที่คนเรารักผู้อื่น ให้อภัยแก่ผู้อื่น หรือเมตตาต่อผู้อื่น เขาย่อมมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน.
พระเจ้าทรงนําพาให้ลูกของพระองค์เดินในหนทางที่จะทําให้ความรู้สึกของพวกเขาละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น เหมือนบทเพลงหรือบทกวีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนผู้หนึ่งยิ่งได้เรียนรู้กับพระเจ้ามาก ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งละเอียดอ่อน ยิ่งเหมือนบทเพลง. แต่ถ้าใครเรียนรู้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้ามาน้อย ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งหยาบกระด้าง ยิ่งไม่เหมือนบทเพลง. เมื่อเข้ามาในที่ประชุม ถ้าคริสเตียนคนใดเดินเสียงดัง ไม่คํานึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเลย เขาก็ไม่เหมือนกับคนที่ผ่านการเรียนรู้มาแล้ว ถ้าเขาร้องเพลงก็จะไม่เป็นเพลง. ถ้าใครเดินเข้ามาในห้องประชุมแล้ว เดินชนสะเปะสะปะ กระทั่งเก้าอี้ก็ยังถูกเขาชนล้ม เขาย่อมไม่เหมือนกับคนที่ร้องเพลง เราต้องรู้ว่านับตั้งแต่เวลาที่เราได้รับความรอด พระเจ้าก็ทรงฝึกฝนความรู้สึกของเราทุกวันๆ จนเรามีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน. ถ้าจะเป็นคริสเตียนที่ดี เราก็ต้องมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน, ความรู้สึกที่ออกมาจากส่วนลึกของมนุษย์คือความรู้สึกที่ได้แสดงออกมาเป็นบทเพลง, พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ลูกๆ ของพระองค์มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน, เราอย่าได้มีความรู้สึกที่หยาบกระด้าง. ความรู้สึกที่หยาบกระด้างย่อมไม่ใช่บทเพลง ไม่ใช่ความรู้สึกของคริสเตียน.
II. เงื่อนไขของบทเพลง
บทเพลงที่ได้มาตรฐานจะต้องสอดคล้องกับเงื่อนไขพื้นฐานสามประการ. ถ้าขาดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งไป บทเพลงนั้นก็ไม่ใช่บทเพลงที่ดี.
ประการแรก เนื้อหาในบทเพลงจะต้องมีพื้นฐานอยู่บนหลักความจริง มีหลายเพลงที่สอดคล้องกับเงื่อนไขอื่นๆ แต่มีความผิดเพี้ยนในด้านหลักความจริง, ถ้าให้ลูกของพระเจ้าร้องเพลงเหล่านั้นก็จะเป็นการวางพวกเขาไว้ในความผิดเพี้ยน ปล่อยให้เขานําเอาความผิดเพี้ยนของมนุษย์ไปเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งก็เท่ากับเป็นการนําเขาไปสู่สภาพการณ์ที่ไม่ เหมาะสม, ขณะที่ลูกของพระเจ้าร้องเพลง ความรู้สึกของพวกเขาควรถูกชี้นําไปหาพระเจ้า ถ้าบทเพลงใดมีหลักความจริงที่ผิดเพี้ยน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงการหลอกตัวเอง ไม่อาจสัมผัสกับความเที่ยงแท้ได้ พระเจ้าจะไม่ทรงให้เราพบกับพระองค์ตามความรู้สึกเชิงบทกวีในบทเพลง แต่พระองค์จะทรงให้เราพบกับพระองค์ได้ตามหลักความจริงเท่านั้น เราจะเข้า เฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้ในหลักความจริงเท่านั้น ถ้าเราไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าในหลัก ความจริงเราก็ผิดเพี้ยนไม่อาจสัมผัสกับความเที่ยงแท้ได้.
ตัวอย่างเช่น มีเพลงประกาศกิตติคุณบทหนึ่งกล่าวว่า พระโลหิตของพระเยซูได้ชําระใจของเรา, แต่พันธสัญญาใหม่ไม่เคยกล่าวว่าพระโลหิตของพระเยซูจะชําระใจของเรา, พระโลหิตของพระเยซูไม่ได้มีไว้ชําระใจของเรา. ในพระคัมภีร์ไม่เคยมีข้อความเช่นนี้ เฮ็บราย 9:14 กล่าวว่า พระโลหิตของพระเยซูได้ชําระมโนธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของใจของเรา แต่ไม่ใช่ชําระใจ ของเรา, พระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงชําระเราให้ปราศจากความบาป. เมื่อความบาปถูกชําระไปแล้ว มโนธรรมของเราจึงไม่ฟ้องร้องเราต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอีกต่อไป ดังนั้นพระโลหิตจึงมีไว้ชําระมโนธรรมไม่ใช่ใจ. ใจของเราไม่อาจชําระให้สะอาดได้ด้วยพระโลหิต. ใจของมนุษย์ล่อลวงยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด (ยรม.17.9) ไม่ว่าจะชําระล้างอย่างไรก็ไม่สะอาด. พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับใจว่า พระองค์จะทรงขจัดใจหินและประทานใจเนื้อให้มนุษย์ (ยอค.36.26), พระองค์ทรงประทานใจใหม่ให้เรา ไม่ได้ชําระใจเก่าของเราแต่อย่างใด เมื่อมนุษย์เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าก็ประทานใจใหม่ให้เขา แต่ไม่ได้ชําระใจเก่าให้เขาแต่อย่างใด, พระองค์เพียงแต่ชําระความรู้สึกผิดที่อยู่ในมโนธรรมของเขา แต่ไม่ได้ชําระใจของเขา ถ้าท่านไปสรรเสริญต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ว่า “พระโลหิตของพระเยซูชําระใจของข้าพเจ้า” การสรรเสริญเช่นนี้ก็ไม่สอดคล้องกับหลักความจริง. ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง. ถ้าบทเพลงใดมีหลักธรรมที่ผิดเพี้ยน ก็จะนํามนุษย์ไปสู่ความรู้สึกที่ผิดเพี้ยน.
มีหลายบทเพลงที่ไม่ได้แยกความแตกต่างของยุคสมัย เราจึงไม่รู้ว่านั่นเป็นบทเพลงที่อับราฮามร้องหรือบทเพลงที่โมเซร้อง ไม่รู้ว่าจะให้ชาวยิวร้องหรือจะให้คริสเตียนร้อง ไม่รู้ว่าเพลงนั้นอยู่ในพันธสัญญาเดิมหรืออยู่ในพันธสัญญาใหม่ เมื่อท่านร้องเพลงเช่นนี้ ท่านก็จะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทูตสวรรค์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไถ่ ไม่ต้องใช้พระโลหิต ไม่มีความบาป. ดังนั้นถ้าบทเพลงใดไม่ชัดเจนเกี่ยวกับคําสอนเรื่องยุคสมัย มองไม่เห็นยุคพระคุณ ก็จะทําให้ลูกของพระเจ้าตกอยู่ในความผิดเพี้ยน.
มีหลายบทเพลงที่มีแต่ความหวัง แต่ไม่มีความแน่ใจ บทเพลงเหล่านี้ได้แต่หวังว่าจะได้รับความรอด, ปรารถนาที่จะได้รับความรอด, แสวงหาที่จะได้รับความรอด แต่กลับไม่มีความแน่ใจใดๆ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนเลย. เราต้องจําไว้ว่าผู้เชื่อทุกคนที่มาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าจะต้องมาด้วยความแน่ใจอย่างเต็มเปี่ยม. เราต้องมาเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความเชื่อที่แน่ใจอย่างเต็มเปี่ยม (ฮร.10:22), ถ้าบทเพลงใดทําให้ผู้ร้องรู้สึกว่าเขายังอยู่ที่บริเวณภายนอก อย่างนั้นก็จะทําให้เขารู้สึกว่าตนไม่ใช่พลไพร่ของพระเจ้า ได้แต่ปรารถนาที่จะเป็น พลไพร่ของพระเจ้าเท่านั้น หลายบทเพลงทําให้ผู้คนรู้สึกว่าพระคุณของพระเจ้ายังคงอยู่ห่างไกล มนุษย์ยังต้องทูลขอพระคุณนั้น. บทเพลงเช่นนี้ก็ทําให้คริสเตียนตกอยู่ในฐานะที่ผิดเพี้ยน, นี่ไม่ใช่ฐานะของคริสเตียน เมื่อยู่ในฐานะของคริสเตียน เราย่อมแน่ใจและรู้แน่ว่า เราได้รับความรอดแล้ว. เพลงที่ขาดไปซึ่งความแน่ใจจึงเป็นเพลงที่คริสเตียนไม่ควรนํามาร้อง.
ยังมีความผิดเพี้ยนอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะพบได้ในเพลงหลายบท นั่นคือการกล่าวว่าเมื่อคนเรา ตายแล้วก็จะได้เข้าสู่สง่าราศี. มีเพลงหลายบทที่กล่าวถึงการเข้าสู่สง่าราศีหลังความตาย จนคล้ายกับว่าคนเราจะสามารถเข้าสู่สง่าราศีได้โดยผ่านความตาย. แต่พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวว่า เมื่อคนเราตายแล้วก็จะได้เข้าสู่สง่าราศี. การเข้าสู่สง่าราศีนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่ว่าเราตายแล้วจะได้เข้าสู่สง่าราศี แต่เมื่อเราตายแล้วก็ต้องรอคอยที่จะได้เป็นขึ้น เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นแล้วจึงได้เสด็จเข้าสู่สง่าราศี. นี่คือคําสอนที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ (1กธ.15:43 2กธ.5:2-3), บทเพลงใดที่ทําให้ลูกของพระเจ้าเกิดภาพลักษณ์ผิดๆ ว่า เมื่อเราตายแล้วจะได้เข้าสู่สง่าราศี เราก็ไม่ควรไปร้องเพลงนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น.
ดังนั้นบทเพลงที่ดีจะต้องมีหลักธรรมที่เที่ยงตรง เพราะถ้าผิดไปแล้วก็จะนําคริสเตียนไปสู่ความผิดเพี้ยน.
ประการที่สอง ถึงจะมีหลักธรรมที่เที่ยงตรงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นบทเพลง เพราะบทเพลงยังต้องมีฉันทลักษณ์และโครงสร้างของบทกวีด้วย. แม้หลักความจริงจะถูกต้องแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ บทเพลงจะต้องมีฉันทลักษณ์และโครงสร้างของบทกวีด้วยจึงจะเป็นเพลง, การร้องเพลงไม่ใช่ การกล่าวพระคํา, เราย่อมเอาบันทึกข่าวสารมาร้องเป็นเพลงไม่ได้ เคยมีเพลงบทหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วยวลี “พระเจ้าแท้ทรงเนรมิตสร้างสวรรค์ แผ่นดิน และมนุษย์” ถ้านี่เป็นการกล่าว พระคําก็ถือเป็นการขึ้นต้นที่ดีมาก แต่ถ้าเป็นบทเพลงก็ยังใช้ไม่ได้ นี่เป็นหลักธรรม ไม่ใช่บทเพลง. บทกวีที่อยู่ในบทเพลงสรรเสริญในพระคัมภีร์นั้นล้วนมีรสชาติอย่างบทกวี, โครงสร้างและสํานวนที่อยู่ในแต่ละบทล้วนแต่ละเอียดอ่อน โดยได้เอ่ยถึงน้ําพระทัยของพระเจ้าด้วยถ้อยคําของกวี, ข้อความที่มีจํานวนพยางค์ที่แน่นอนก็ไม่แน่ว่าจะเป็นบทเพลง แต่ยังต้องมีโครงสร้างและฉันทลักษณ์อย่างบทกวีด้วยจึงจะเป็นบทเพลง.
ประการที่สาม นอกจากหลักความจริง ตลอดจนฉันทลักษณ์และโครงสร้างอย่างบทกวีแล้ว ยังต้องส่งผลกระทบฝ่ายวิญญาณ ต้องสัมผัสกับความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณด้วย.
ตัวอย่างเช่น บทเพลงสรรเสริญบทที่ 51 คือบทเพลงแห่งการกลับใจของดาวิด. เมื่อเราอ่านแล้วก็จะเห็นว่า การกลับใจของดาวิดไม่มีอะไรผิดเพี้ยนในด้านหลักความจริง, ถ้อยคําที่ใช้ก็ถูกคัดสรรมาอย่างรอบคอบ ทั้งยังมีโครงสร้างของบทกวีที่ปราณีต. ขณะเดียวกัน เรายังรู้สึกด้วยว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในข้อความเหล่านี้ ข้อความเหล่านี้มีความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณ มีความรู้สึกฝ่ายวิญญาณ. เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า ภาระของบทเพลงก็ได้, ดาวิดกลับใจ ความรู้สึกในการกลับใจของเขาจึงแทรกซึมอยู่ทั่วไปในบทเพลงนั้น ทุกครั้งที่อ่านหนังสือบทเพลงสรรเสริญ ลักษณะพิเศษที่เรามักจะรับรู้ได้ก็คือ ความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ในบทเพลงสรรเสริญล้วนเป็นสิ่งที่จริงแท้. เมื่อผู้เขียนบทเพลงสรรเสริญมีความชื่นชมยินดี เขาก็โลดเต้นและโห่ร้องยินดี และเมื่อเขาโศกเศร้า เขาก็ร้องไห้เสียใจ. บทเพลงสรรเสริญเหล่านี้ไม่ได้เป็น แค่ถ้อยคําที่ปราศจากความเที่ยงแท้ แต่เป็นถ้อยคําที่มีความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณ
ดังนั้นบทเพลงจึงไม่เพียงต้องมีหลักธรรมที่เที่ยงตรงเท่านั้น แต่ยังต้องมีฉันทลักษณ์และโครงสร้างของบทกวี และรู้สึกถึงความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณด้วย, พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเพลงบทใดโศกเศร้าก็ต้องทําให้เราหลั่งน้ําตา ถ้าเพลงบทใดชื่นชมยินดีก็ต้องทําให้เราชื่นชมยินดี, เมื่อเพลงกล่าวถึงเรื่องใดก็ต้องทําให้เราสัมผัสถึงเรื่องนั้นได้. ถ้าเพลงใดพูดถึงการกลับใจ แต่เนื้อหากลับไม่ทําให้ใจเราเกิดผลสะท้อน ยิ่งร้องก็ยิ่งขบขัน เราก็อย่าไปร้องเพลงนั้น เราไม่อาจร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าโดยที่ตัวเราเองไม่ชื่นชมยินดี, เราไม่อาจร้องบทเพลงที่กล่าวถึงการถวายตัวโดยที่เราไม่รู้สึกอยากถวายตัว. เราไม่อาจร้องบทเพลงที่เอ่ยถึงการก้มกราบและแตกหักต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าโดยที่เรายังคงรู้สึกว่าตัวเองดี ยังมีอะไรอวดได้ ถ้าบทเพลงใดไม่อาจทําให้เราเกิดความรู้สึกที่ตรงตามหัวข้อได้ นั่นก็ไม่ใช่เพลงที่ดี ความรู้สึกในบทเพลงจะต้องจริงแท้และสัมผัสกับความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณ.
บทเพลงจะต้องมีทั้งหลักความจริงที่เที่ยงตรง, โครงสร้างของบทกวี, และต้องสามารถทําให้ผู้ร้องได้สัมผัสกับความเที่ยงแท้ฝ่ายวิญญาณด้วย ซึ่งก็คือสัมผัสกับสิ่งที่บทเพลงนั้นได้กล่าวถึงนั่นเอง. ไม่อย่างนั้น บทเพลงนั้นก็ยังไม่ผ่านเกณฑ์, บทเพลงที่ดีจะต้องสอดคล้องกับ เงื่อนไขทั้งสามประการนี้.
III. ตัวอย่างของบทเพลง
ตอนนี้ให้เรามาดูบทเพลงบางเพลงเพื่ออธิบายถึงประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว.
ตัวอย่างที่ 1: บทเพลงที่ 110
ฟังเถิด เสียงฟ้าลั่น ดังกังวาน ร่วมเชิดชูเมษโปดกนั้น
ส่งเสียงแซ่ซ้อง หมื่นๆ พันๆ เสียงสรรเสริญ กึกก้องประสาน
“สรรเสริญ พระเมษโปดก” ทุกทิศ ทั่วฟ้าชุมนุม เทิดทรงฤทธิ์
สําเนียงพันหมื่น เสียงดังประสาน โห่ร้องก้องทั่วจักรวาล
ใจตื้นตันดุจเครื่องหอมวิสุทธิ์ ฟังสู่บัลลังก์พระบิดา
ทุกๆ หัวเข่าคุกกราบพระบุตร น้ําหนึ่งใจเดียวในเมืองฟ้า
รังสีทั้งมวลแห่งพระบุตรา สําแดงราศีพระบิดา
ปวงพระปัญญาแห่งพระบิดา ประกาศพระบุตรร่วมศักดา
โดยพระวิญญาณซาบซ่านทั่วกาย ชาวสวรรค์ไม่ขออื่นใด
ล้อมเมษโปดก ก้มกราบสักการ สรรเสริญ “เราผู้เป็น” กาลนาน
สิ่งทรงสร้างใหม่ บัดนี้อิ่มใจ เป็นสุข มั่นคง ชื่นฤทัย
ได้พระพรเพราะพระคุณช่วยไว้ ไม่ถูกมัดหรือทุกข์ต่อไป
ฟังเถิด เสียงเพลงเมืองฟ้าดังพลัน ร้องสรรเสริญสี่ทิศสนั้น
เสียงดัง “อาเมน” เต็มท้องนภา “อาเมน” เพราะรับพระเมตตา
การที่เราจะพบกับบทเพลงที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก นี่เป็นบทเพลงที่ ประพันธ์โดยดาร์บี (J. N. Darby), เดิมเพลงนี้มี 13 ข้อ แต่ในปี 1881 เขาได้ทบทวนเพลงนี้ด้วยกันกับคุณวีแกรม (Wigram) ก็ได้ตัดทิ้งไปหลายข้อ ทุกวันนี้จึงเหลือเพียง 7 ข้อ.
ถ้าดูอย่างผิวเผินจะเห็นว่า นี่เป็นเพลงที่ร้องต่อมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นเพลงที่ร้องต่อพระเจ้า, ขณะที่ร้อง เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ที่บรรยายไว้ใน วิวรณ์บทที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในจักรวาลที่เกิดขึ้นหลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จสู่สวรรค์, ในที่นี้มีทั้งโฆละโฆธา, การเป็นขึ้น และการเสด็จสู่สวรรค์, บนสวรรค์เต็มไปด้วยสง่าราศี และทุกปากก็ร้องสรรเสริญ ทุกหัวเข่าก็คุกกราบนมัสการ เพราะพระนามของพระเยซู ทั้งบนสวรรค์, บนแผ่นดินโลก, และใต้แผ่นดินโลก ล้วนมีเสียงสรรเสริญกึกก้องไปทั่วสารทิศ ทั้งจักรวาลล้วนสรรเสริญพระองค์, นี่เป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่และอลังการมาก. ถ้าผู้ประพันธ์มีความสามารถน้อยกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อยก็จะไม่อาจเขียนบทเพลงเช่นนี้ออกมาได้.
“ฟังเถิด เสียงฟ้าลั่น ดังกังวาน” นี่เป็นเสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลัน! คล้ายกับว่าผู้ที่ร้องบทเพลงนี้เป็นเพียงคริสเตียนผู้เล็กน้อย เป็นเหมือนหนอนแมลงตัวน้อย เป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่กําลังร้องตะโกนว่า “ฟังเถิด เสียงฟ้าลั่น ดังกังวาน ร่วมเชิดชู “เมษโปดก” นั้น. ฟังเถิด ยังมีเสียงแซ่ซ้องหมื่นๆ พันๆ สะท้อนตอบรับ.” เมื่อพระเมษโปดกของพระเจ้าถูกเชิดชูขึ้น ทั่วจักรวาลก็มีเสียงตอบรับ. ด้านหนึ่งมีเสียงสรรเสริญ และอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงตอบรับ, เสียงแซ่ซ้องนับหมื่นนับพันนี้ร้องตะโกนว่า “พระเมษโปดกที่ถูกฆ่านั้นเป็นผู้ที่คู่ควรจะได้รับฤทธิ์เดช , ความอุดมสมบูรณ์, ปัญญา, กําลัง, เกียรติยศ, สง่าราศี, และคําสรรเสริญ” (วว.5:12) ขณะที่เสียงนี้ยังไม่จบลง ก็มีเสียงตอบรับนับหมื่นนับพันเสียงจาก “บรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งที่อยู่ในสวรรค์ก็ดี, บนแผ่นดินโลกก็ดี, ใต้แผ่นดินโลกก็ดี, ในมหาสมุทรก็ดี, และสรรพสิ่งที่อยู่ทั่วทุกแห่งหน” (ข้อ 13). ผลเป็นอย่างไร? ผลก็คือ “เสียงสรรเสริญกึกก้อง ประสาน.” เสียงนี้สึกก้องกัมปนาทเสียจนไม่มีอะไรจะเปรียบได้, ผู้ใดที่ได้สัมผัสกับข้อนี้ ย่อมจะรู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กน้อย เพียงแค่ข้อแรกในเพลงนี้ก็ทําให้หลุดลอยเข้าสู่ภาพเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งมีเสียงแซ่ซ้องดุจฟ้าลั่นนับพันนับหมื่นเสียง และมีเสียงสะท้อน ตอบรับอีกเป็นหมื่นเป็นพันเสียง, เสียงเหล่านี้ถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพื่อจะร่วมเชิดชูพระเมษโปดกอย่างเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน. แค่เริ่มเพลงก็ทําให้เราตื่นตะลึงไปกับความยิ่งใหญ่ของการสรรเสริญแห่งจักรวาลแล้ว.
ข้อต่อๆ มาก็ตามติดมาอย่างกระชั้นชิด. “สรรเสริญ “พระเมษโปดก ทุกทิศ.” เราได้ยินเสียงสรรเสริญพระเมษโปดกมาจากทั่วสารทิศ. สรรพเสียงเหล่านี้ล้วนร้องว่า “สรรเสริญพระ เมษโปดก!” ที่นี่ก็ “สรรเสริญพระเมษโปดก!” และที่นั่นก็ “สรรเสริญพระเมษโปดก!” ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง. เสียงเหล่านี้ดังมาจากทุกทิศทุกทาง “ทั่วฟ้าชุมนุมเทิดทรงฤทธิ์” ก็แสดงว่าทุกสิ่งที่อยู่ในฟ้าสวรรค์ล้วนมาชุมนุมกันเพื่อจะร้องสรรเสริญเทิดทูน. “สําเนียงพันหมื่น” ก็แสดงว่าทุกปากและทุกลิ้นล้วนยอมรับ สิ่งนี้ย่อมทําให้เรานึกถึงฟิลิปปอย 2:11 ซึ่งกล่าวว่า “ทุกลิ้นจะยอมรับอย่างเปิดเผยว่า พระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อทุกปากยอมรับจึงมี “เสียงดังประสาน” จนกลายเป็นเสียง “โห่ร้องก้องทั่วจักรวาล” ทั้งจักรวาลจึงกึกก้องเปี่ยมล้นไปด้วยเสียง “โห่ร้อง” อย่างไม่สิ้นสุดนี้.
นอกจากจะมีเสียงเหล่านี้แล้ว ยังมี “ใจตื้นตันดุจเครื่องหอมวิสุทธิ์” ใจที่รู้สึกตื้นต้นดุจเครื่องหอมนี้ได้ลอย “ฟังสู่บัลลังก์พระบิดา” นอกจากปากจะร้องตะโกนแล้ว ความรู้สึกที่อยู่ในใจก็ยังลอยไปสู่พระเจ้าด้วย. เราไม่เพียงใช้ปากร้องเรียกพระเมษโปดกเท่านั้น แต่ใจของเราก็ยังลอยไปหาพระเจ้าด้วย ราวกับว่าโครงการของพระเจ้าและการไถ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันจนไม่อาจแยกจากกันได้ เราทั้งสรรเสริญพระเมษโปดก และตื้นตันในพระเจ้าพระบิดาด้วย. ความซาบซึ้งแห่งการสรรเสริญและการขอบพระคุณนี้เป็นเหมือนเครื่องหอมที่ลอยฟังขึ้นไปสู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า.
การสรรเสริญเช่นนี้ยังคงดําเนินต่อไปไม่หยุด. แม้ทุกปากจะร้องตะโกนแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด เพราะทุกๆ หัวเข่ายังต้องคุกกราบด้วย. ทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า, ตอนแรกมีสําเนียงพันหมื่นจาก “ทุกปาก” ตอนนี้มี “ทุกหัวเข่า” โดยที่ “ทุกๆ หัวเข่าล้วนคุกกราบพระบุตร” ด้านหนึ่งมีการขอบพระคุณพระบิดา ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีการคุกกราบพระบุตร. วรรคต่อมายิ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึกของบทกวี: “น้ําหนึ่งใจเดียวในเมืองฟ้า” นี่ไม่ใช่การเทศนาหลักธรรม. ถ้าใครมีความรู้สึกที่ไม่ละเอียดอ่อน เขาย่อมจะไม่สัมผัสกับอะไรในประโยคนี้ แต่เมื่อคนผู้หนึ่งถูกนําไปสู่จุดที่เขามองเห็นคู่หมายแห่งการสรรเสริญของทุกปากและการนมัสการของทุกหัวเข่าแล้ว เขาย่อมจะกล่าวว่า “บนฟ้าสวรรค์มีความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันยิ่งนัก!” คําว่า “น้ําหนึ่งใจเดียวกัน” นี้ช่างให้ความรู้สึกอย่างบทกวียิ่งนัก.
เมื่อผู้เขียนบทเพลงนี้ได้สัมผัสกับพระบิดาและพระบุตร เขาก็เริ่มเอ่ยถึงหลักความจริงเกี่ยวกับพระบุตรและพระบิดา และทุกสิ่งก็เปิดเผยออกมาหมด. “รังสีทั้งมวลแห่งพระบุตรา สําแดงราศีพระบิดา” ราศีนั้นอยู่ภายใน ส่วนรังสีหรือแสงรัศมีนั้นอยู่ภายนอก, พระบิดาทรงมีสง่าราศี และเมื่อสง่าราศีของพระบิดาอยู่บนตัวพระบุตรก็กลายเป็นแสงรัศมี, แสงรัศมีของพระบุตรก็คือการสําแดงแห่งสง่าราศีของพระบิดา, พระบิดาทรงมีสง่าราศี ส่วนพระบุตรมีการสําแดงแห่งสง่าราศีนี้ การสําแดงนั้นไม่ได้อยู่ที่พระบิดา แต่อยู่ที่พระบุตร. “ปวงพระปัญญา แห่งพระบิดา” ซึ่งพระปัญญาที่อยู่ภายในนั้นได้ “ประกาศพระบุตรร่วมศักดา” ในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงพระราชกิจของพระบิดา แต่กล่าวถึงพระปัญญาของพระบิดา และไม่ได้กล่าวถึงการงานของพระบิดา แต่กล่าวถึงโครงการของพระบิดา, พระองค์ทรงประสงค์ที่จะเปิดเผยให้มนุษย์มองเห็นว่า พระบุตรทรงมีเกียรติยศทัดเทียมกับพระองค์, ในข้อ 3 มีการหันจากพระบิดาไปสู่พระบุตร. ขณะที่ข้อ 4 ก็ได้หันจากพระบุตรไปหาพระบิดา จากนั้นก็ได้หันจากพระบิดากลับไปหาพระบุตรอีก. ข้อนี้เริ่มจากพระบุตรและลงท้ายด้วยพระบุตร. ผู้เขียนบทเพลงนี้ ได้สัมผัสกับพระบุตรในข้อ 3 แล้ว และในข้อ 4 เขาก็ยังคงสัมผัสกับพระบุตรต่อไป. ในที่นี้เราจะมองเห็นหลักความจริงที่เกี่ยวกับพระบิดาและพระบุตร.
ใครก็ตามที่ได้พระบิดาและพระบุตรแล้วย่อมจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น ดังนั้นข้อต่อไปจึงกล่าวว่า “โดยพระวิญญาณซาบซ่านทั่วกาย” ตอนนี้พระวิญญาณก็ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นมาแล้ว ภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปจากพระบุตรและพระบิดา, พระ วิญญาณบริสุทธิ์ทรงซาบซ่าน, แผ่ซ่าน, และดํารงอยู่ทั่วไปหมด. ทั้งจักรวาลถูกเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.
“ชาวสวรรค์ไม่ขออื่นใด.” คําว่า “ชาวสวรรค์” เป็นสํานวนกวีซึ่งหมายความว่า เหล่าทูตสวรรค์, สิ่งมีชีวิตในสวรรค์, และบุคคลทั้งปวงที่อยู่ในสวรรค์ ล้วน “ไม่ขอ” สิ่งใดทั้งนั้น ถ้ายังขออยู่ก็ไม่มีการสรรเสริญ มีแต่การอธิษฐานเท่านั้น. ทุกวันนี้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งมีอยู่มากมายเหลือคณานับล้วนไม่ขออะไรทั้งนั้น ทั้งหมดล้วน “ล้อมเมษโปดก ก้มกราบ สักการสรรเสริญ “เราผู้เป็น” กาลนาน.” “เราผู้เป็น” ก็คือพระยะโฮวา เราเป็น (เทียบ อซด. 3:14; 6:2). นี่คือบทเพลงแห่งการสรรเสริญอย่างแท้จริง เป็นบทเพลงแห่งการสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่.
ตอนนี้เรายังต้องหันไปดูรอบตัวด้วย. “สิ่งทรงสร้างใหม่ บัดนี้อิ่มใจ เป็นสุข มั่นคง ชื่นฤทัย” ภาพเหตุการณ์ที่อยู่รอบตัวนั้นมีแต่ความอิ่มหนํา, สันติสุข, ความมั่นคง, และความยินดี, ทุกสิ่งล้วนอิมหนํา, สงบสุข, มันคง, และชื่นชมยินดี, ทั้งหมดนี้ล้วน “ได้พระพรเพราะ พระคุณช่วยไว้” ตอนนี้จึง “ไม่ถูกมัดหรือทุกข์ต่อไป” ปัญหาทั้งปวงล้วนผ่านพ้นไปแล้ว.
ขณะที่กําลังตื่นตะลึงอยู่ ไม่ทันรู้ตัวว่าเวลากําลังล่วงเลยไป ทันใดนั้น “ฟังเถิด เสียงเพลง เมืองฟ้าดังพลัน”. ท่านได้ยินหรือไม่? “ร้องสรรเสริญสี่ทิศสนั้น.” เสียงสรรเสริญจากทั่วสารทิศได้ดังขึ้นอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นเรายังได้ยิน “เสียงดัง “อาเมน” เต็มท้องนภา” ทั้งจักรวาล มีแต่การสรรเสริญ มีแต่การร้อง “อาเมน” อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ใดไม่มีเสียงตะโกนร้อง “อาเมน” เลย. เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? พวกเขา “อาเมน” เพราะรับพระเมตตา” การใช้คําว่า “อาเมน” ในวรรคสุดท้ายนี้มีความหมายในเชิงกวีมากที่สุด เพราะไม่ใช่การเอ่ยว่าอาเมนเมื่อร้องเพลงจบ แต่เป็น “อาเมน” เพราะรับพระเมตตา”.
บทเพลงนี้ทําให้เรามองเห็นจักรวาลที่ได้รับการไถ่ ซึ่งก็คือสภาพการณ์ที่ได้บรรยายไว้ใน วิวรณ์บทที่ 4-5 และฟิลิปปอยบทที่ 2. นี่คือการสรรเสริญที่อยู่ในโลกนิรันดร์.
ตัวอย่างที่ 2: บทเพลงที่ 423
จิตใจบอบบาง อ่อนกําลังไป ความหวังทั้งปวง สูญสิ้นสลาย
มีเพียงวางใจการงานองค์ท่าน ค้ําจุนข้าด้วยรักอ่อนโยนนาน
ทุกสิ่งพ่ายแพ้ ทุกสิ่งที่มี ยังคงพ่ายแพ้ แพ้จนบัดนี้
ไร้สิ่งเชื่อได้ เชื่อทรงอดกลั้น ทรงยึดข้าไว้ ฟังคําองค์ท่าน
ยามข้ารู้สึก ใฝ่สูงมักใหญ่ ข้าล้มลงในแดนอันตราย
ข้าไม่กล้าทํา หรือคิดสิ่งใด ทุกแห่ง ทุกสิ่ง ต้องการทรงชัย
ทรงเป็นผู้ช่วย เข้มแข็ง เห็นใจ บัดนี้ขอเฝ้าเบื้องพักตร์เกรียงไกร
แม้ข้าเป็นผู้อ่อนแอนักหนา พระคุณพระองค์คือฤทธิ์เดชข้า
นี่เป็นบทเพลงที่ร้องต่อพระเจ้าได้ดีมาก.
“จิตใจบอบบาง อ่อนกําลังไป.” ความตั้งใจที่อยู่ภายในนั้นช่างบอบบาง ขณะที่กําลังที่อยู่ภายนอกก็อ่อนแรงเหลือเกิน. ภายในอยากจะตั้งใจให้แน่วแน่ แต่ก็ตั้งใจไม่ไหว ส่วนภายนอกอยากทํา แต่ก็ไม่อาจทําได้. เขาจะตั้งใจก็ไม่ได้ จะวิ่งก็ไม่ได้ ดังนั้น “ความหวังทั้งปวง” จึง "สูญสิ้นสลาย” เขายังทําอะไรได้อีก? เขา “มีเพียงวางใจการงานองค์ท่าน” ผู้เขียนบทเพลงนี้ เริ่มต้นด้วยการพูดกับตัวเอง แต่เมื่อถึงวรรคนี้ เขาได้หันสู่พระเจ้า เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เฝ้าหวังให้พระองค์ทรง “ค้ําจุนข้าด้วยรักอ่อนโยนนาน”. กรณีนี้ก็หมายความว่า ถ้าไม่มีการนําพาอันอ่อนโยนจากพระองค์ไปทีละก้าวๆ บัดนี้เขาก็ไม่มีความหวังอื่นใดอีกแล้ว นี่ คือฐานะของเขาในเวลานี้.
จากนั้นข้อต่อมากล่าวว่า “ทุกสิ่งพ่ายแพ้ ทุกสิ่งที่มี” แม้เขาจะทุ่มเททุกสิ่งแล้ว ทุกสิ่งก็ยังพ่ายแพ้ นี่ไม่ใช่คําเทศนา แต่เป็นบทกวี. “ยังคงพ่ายแพ้ แพ้จนบัดนี้” แล้วเป็นอย่างไร? “ไร้สิ่งเชื่อได้” ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก. ทําอย่างไรดี? “เชื่อทรงอดกลั้น” การที่พระองค์ทรงอดกลั้นนั้นเป็นอย่างไร? “ทรงยึดข้าไว้ ฟังคําองค์ท่าน.” พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในที่นี้เขาไม่มีความหวังอย่างอื่นอีกแล้ว เหลืออยู่เพียงความหวังเดียวเท่านั้น? ความหวังนั้นคืออะไร? พระองค์ทรงมีฤทธิ์เดช. ฤทธิ์เดชของพระองค์สามารถยึดฉวยเขาไว้ ให้เขาเชื่อฟังพระองค์ได้ เขารู้จักตัวเองอย่างชัดเจนแล้วว่า ตัวเขาเองใช้การอะไรไม่ได้เลย.
ในข้อสาม เราจะเห็นคนผู้หนึ่งที่รู้จักพระเจ้า กําลังค่อยๆ ปีนสูงขึ้นไป. “ยามข้ารู้สึกใฝ่สูง มักใหญ่” ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อไรที่เขาเย่อหยิ่งและชื่นชมความดีของตัวเองสักเล็กน้อย (แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มากมายเลย) ผลก็คือ “ข้าล้มลงในแดนอันตราย”. เขามีประสบการณ์เช่นนี้มามากแล้ว ตอนนี้เขาควรทําอย่างไร? “ข้าไม่กล้าทําหรือคิดสิ่งใด” อย่าว่าแต่ทําเลย แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า “ทุกแห่ง ทุกสิ่ง ต้องการทรงชัย” ซึ่งก็แสดงว่า ในเวลานี้ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับเรื่องใดหรืออยู่ที่ไหน เขาก็ล้วนต้องการพระองค์ทั้งสิ้น. ความรู้สึกของบุคคลผู้นี้ได้ผ่านการหล่อหลอมด้วยไฟมาแล้ว จึงไม่มีความหยาบกระด้างเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเลย. ทุกคําล้วนเป็นบทกวี ล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึก. ทุกถ้อยคําล้วนสัมผัสกับพระเจ้า และสัมผัสกับพระองค์ได้มากเป็นพิเศษ.
แต่บุคคลใดที่ได้รู้จักตัวเองแล้ว ย่อมจะไม่คงอยู่ในตัวเอง. ในที่สุดเขาก็จะไปทูลวิงวอนต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า “ทรงเป็นผู้ช่วย เข้มแข็ง เห็นใจ บัดนี้ขอเฝ้าเบื้องพักตร์เกรียงไกร.” เขาหมดทางและหมดหวังแล้ว เขาไม่เหลืออะไรทั้งนั้น ได้แต่มาแสวงหาพระองค์. “แม้ข้าเป็นผู้อ่อนแอนักหนา” เป็นการหวนกลับไปยังข้อ 1 อีก ไม่ใช่ว่าร้องข้อ 1 แล้วก็จบกันไป. ความตั้งใจของเขาบอบบาง กําลังของเขาก็อ่อนแรง จะตั้งใจก็ไม่ได้ จะวิ่งก็ไม่ได้, ในเมื่อเขาเป็นคนเช่นนี้ ควรทําอย่างไร? “พระคุณพระองค์คือฤทธิ์เดชข้า” มีเพียงพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่เขาต้องการ. พระคุณนี้เองที่ทําให้เขาดําเนินชีวิตต่อไปได้.
ถ้าความรู้สึกของเราได้ผ่านการทดสอบและหล่อหลอมมาแล้ว ทุกครั้งที่เรามาเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและร้องบทเพลงที่ผ่านการทดสอบและหล่อหลอมมาก่อนเช่นนี้ ความรู้สึกของท่านย่อมจะเข้าถึงบทเพลงนี้ได้.
ตัวอย่างที่ 3: บทเพลงที่ 282
หากตามหนทางของข้า ต้องทนทุกข์หนักหนา
หากพระองค์กําหนดไว้ ให้ทุกข์ยากมากมาย
จากนี้ข้ากับทรงชัย เข้าสนิทชิดใกล้
ทุกวันเวลาสืบไป ยิ่งนานยิ่งชื่นใจ
หากสุขโลกมลายพลัน ขอเพิ่มสุขสวรรค์
แม้จะเจ็บช้ําจิตใจ วิญญาณเทิดถวาย
หากพระองค์ทรงแยกข้า จากสนิทโลกา
ขอให้ข้ากับองค์ท่าน เข้าสนิทยิ่งหวาน
ถึงแม้ทางนี้เดียวดาย ขอทรงเป็นสหาย
รอยยิ้มพระองค์ชูใจ นําข้าถึงสุดปลาย
ขอพึ่งฤทธิ์เดชทรงชัย ให้ตัวตนสลาย
เป็นภาชนะผ่องใส ให้ชีวิตหลั่งไหล
นี่ก็เป็นบทเพลงที่ดีมากอีกบทหนึ่ง. สํานวนที่ใช้นั้นเป็นบทกวี ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง. ทุกสิ่งที่อยู่ในเพลงบทนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตที่เหนือกว่าธรรมดา ทั้งสูงส่ง และสุกงอม. บทเพลงที่กล่าวถึงการสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ยากที่จะประพันธ์ได้ถึงมาตรฐานเช่นนี้ เนื้อเพลงนี้ไม่มีอะไรที่ฝืนธรรมชาติหรือสุดโต่งเลย แต่เป็นการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งมีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยบุคคลที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง โดยบรรยายถึงความนอบน้อมอย่างสิ้นเชิงที่เกิดจากการถวายตัวอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นเสียงแห่งความนอบน้อมที่เปล่งออกมาจากใจของผู้ที่ไม่ขัดขืนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย.
“หากตามหนทางของข้าต้องทนทุกข์หนักหนา หากพระองค์กําหนดไว้ให้ทุกข์ยากมากมาย ขอให้ข้ากับองค์ท่านเข้าสนิทชิดใกล้ ทุกวันเวลาสืบไป ยิ่งนานยิ่งชื่นใจ” ข้อความเหล่านี้เต็มไปด้วยความรู้สึกของการถวายตัวและความนอบน้อม.
เนื้อหาที่ดีที่สุดของเพลงนี้อยู่ในข้อ 2. ความรู้สึกในข้อนี้ได้ถูกยกระดับขึ้นไปอีก. ผู้เขียนเพลงนี้ใคร่ครวญว่า “หากสุขโลกมลายพลัน” ก็ “ขอเพิ่มสุขสวรรค์” เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า ทว่าไม่ได้ขอให้เขาพ้นจากสภาพการณ์ หรือขอให้เปลี่ยนแปลงสภาพการณ์เหล่านั้น แต่เป็นการขอให้มีการสามัคคีธรรมมากขึ้น “แม้จะเจ็บช้ําจิตใจ วิญญาณเทิดถวาย.” นี่คือบุคคลที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างใจและวิญญาณได้ แม้ใจจะเจ็บช้ํา แต่วิญญาณยังคงสรรเสริญ, แม้ใจจะปวดร้าว แต่วิญญาณยังคงใหม่สดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างใจและวิญญาณ. เขาไม่ขอให้ใจได้รับสุข แต่ขอรับการชดเชยในวิญญาณ. เขาเริ่มต้นข้อนี้อย่างสูงส่ง และเมื่อยิ่งร้องก็ยิ่งสูงส่ง, วรรคแรกคือ “หากสุขโลก มลายพลัน” และวรรคที่หกคือการเข้าสนิทกับโลก. สองวรรคนี้เชื่อมต่อกันด้วย “โลก” นี่ก็คือบทกวี. “หากพระองค์ทรงแยกข้าจากสนิทโลกา ขอให้ข้ากับองค์ท่านเข้าสนิทยิ่งหวาน” สิ่งที่เขาขอไม่ใช่การประนีประนอมหรือการหลบหนีไป แต่เขาขอการสามัคคีธรรมที่หวานชื่นยิ่งขึ้น จาก “สนิทโลกา” เขาก็มาเอ่ยถึง “เข้าสนิทยิ่งหวาน” ในวรรคสุดท้าย ซึ่งเป็นสํานวนที่หวานหยดย้อย, เพลงนี้มีทั้งความรู้สึกที่ถูกต้อง, ถ้อยคําที่ลงตัว, โครงสร้างที่เหมาะเจาะ จึงเป็นบทกวีที่งดงามมาก.
ในเมื่อข้อ 2 ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว ข้อ 3 จึงเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน. “ถึงแม้ทางนี้ เดียวดาย ขอทรงเป็นสหาย รอยยิ้มพระองค์ชูใจ นําข้าถึงสุดปลาย.” ความชูใจที่มาจากรอยยิ้ม เป็นสํานวนฝ่ายวิญญาณที่อยู่ในเชิงบทกวี. “ขอพึ่งฤทธิ์เดชทรงชัย ให้ตัวตนสลาย เป็นภาชนะผ่องใส ให้ชีวิตหลั่งไหล” นี่ก็หมายความว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าหวังเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากตัวตน เพื่อจะเป็นภาชนะอันบริสุทธิ์ มาดําเนินชีวิตออกซึ่งพระประสงค์ของพระองค์.” นี่คือบทลงท้ายของบุคคลที่ถวายตัวซึ่งกําลังทนทุกข์ ถ้าเราอ่านบทเพลงนี้อย่างละเอียด เราจะเห็นว่านี่เป็นบทเพลงที่ยอดเยี่ยม. เราต้องมาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่อจะเรียนรู้ถึงบทเพลงเหล่านี้ ตลอดจนวิญญาณที่อยู่ในบทเพลงเหล่านี้.
IV. การแบ่งหมวดหมู่ของบทเพลง
เราอาจแบ่งบทเพลงต่างๆ ได้เป็นสี่หมวด ดังนี้ (1) แตรแห่งกิตติคุณ; (2) คําสรรเสริญ; (3) พระคริสต์เป็นชีวิต; และ (4) การดําเนินชีวิตคริสตจักร.
หมวดแรกคือแตรแห่งกิตติคุณ ซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ในการประกาศกิตติคุณ. บทเพลงเหล่านี้มีเพลงที่กล่าวถึงความรู้สึกผิดบาป, ฐานะของคนบาป, ความรักของพระเจ้า, ความชอบธรรมของพระองค์, การไถ่แห่งกางเขน, การกลับใจ, ความเชื่อในพระเจ้า ฯลฯ.
บทเพลงแห่งกิตติคุณมีไว้ให้เพื่อนกิตติคุณร้องด้วยกันกับเรา. ปัญหาในที่นี้ก็คือ บทเพลงย่อมถูกแต่งขึ้นโดยเราทั้งหลายที่ได้รับความรอดแล้ว เรามีความรู้สึกของเราเอง แต่ผู้ที่มาฟังกิตติคุณไม่มีความรู้สึกเหมือนกับเรา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้เขาร้องบทเพลงที่เอ่ยถึงความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน แต่ถ้าพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่บทเพลงเหล่านี้ ความต้องการที่ซ่อนเร้นอยู่ในคนบาปก็จะถูกบรรยายออกมา และพวกเขาก็จะมองเห็นสภาพการณ์ของตนเองและมองเห็นความรอดของพระเจ้า บางครั้งคนบาปอาจไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร หรือจะเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างไร แต่โดยบทเพลงเหล่านี้ พวกเขาก็สามารถมาอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า โดยเอาถ้อยคําที่อยู่ในบทเพลงมาใช้เป็นคําพูดของเขาได้, บางครั้งบทเพลงยังมีประสิทธิภาพมากกว่าข่าวสารเสียอีก แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องการการอวยพรจากพระเจ้า.
บทเพลงกิตติคุณที่ถูกจัดพิมพ์ไว้ในหนังสือเพลงนั้นมีไว้ให้ลูกของพระเจ้านําไปใช้ แต่ในเวลาที่เราประกาศกิตติคุณนั้น เราควรเขียนเนื้อเพลงไว้ที่กระดานด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ หรือจัดพิมพ์เป็นเอกสารสําหรับแจกให้เขาร้อง. ถ้าจะให้เขาหาบทเพลงเหล่านี้จากหนังสือเพลงด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก.
หมวดที่สองคือคําสรรเสริญ, นับตั้งแต่วันที่เราได้รับความรอด เราย่อมได้รับความยินดีฝ่ายสวรรค์ และยังมีการขอบพระคุณและการสรรเสริญเอ่อล้นออกจากภายในเราไปสู่สวรรค์ เมื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามีความก้าวหน้า และเราได้รู้จักความรัก, ความชอบธรรม, พระคุณ, และสง่าราศีของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งและมากยิ่งขึ้น ปากและใจของเราก็ย่อมจะร้องสรรเสริญพระองค์อย่างไม่ขาดสาย. บทเพลงหมวดนี้ครอบคลุมถึงการสรรเสริญทั้งหมดที่เรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้า.
หมวดที่สามคือพระคริสต์เป็นชีวิต, พระเจ้าทรงไถ่เราโดยมีเป้าหมายให้เราดําเนินชีวิตออก ซึ่งชีวิตของพระคริสต์, พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราเลียนแบบพระคริสต์ แต่ทรงต้องการให้ พระคริสต์ผู้เป็นขึ้นได้ดําเนินชีวิตออกมาจากตัวเรา ขณะที่พระคริสต์ทรงอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงดําเนินชีวิตออกซึ่งพระองค์เองโดยพระวรกายที่ทรงได้รับมาจากมาเรีย, หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นและเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระกายของพระองค์ก็คือคริสตจักร และบัดนี้พระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะดําเนินชีวิตออกซึ่งพระองค์เองโดยคริสตจักร.
ดังนั้นในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น เราแสวงหาที่จะได้รับความรอดและการโปรดให้ชอบธรรม. หลังจากที่เราได้เป็นวิสุทธิชนแล้ว เราก็แสวงหาที่จะได้รู้จัก, มีประสบการณ์, และดําเนินชีวิตออกซึ่งชีวิตของพระคริสต์, “ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองที่มีชีวิตเป็นอยู่ แต่พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตเป็นอยู่ในข้าพเจ้า” (ฆต.2:20). พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แทนที่เรา, ทรงจัดการกับความบาปของเรา, ทรงจัดการกับการทดสอบที่เราเผชิญ, และทรงจัดการกับเนื้อหนังของเรา, บัดนี้พระองค์ทรงกลายเป็นชีวิตของเรา, ความบริสุทธิ์ของเรา, ความรักของเรา, และความชื่นชมยินดีของเรา ไม่ใช่เราแต่เป็นพระองค์, นี่คือเป้าหมายแห่งการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในยุคนี้ บทเพลงในหมวดนี้ครอบคลุมทุกสิ่งนับตั้งแต่เวลาที่เราเริ่มแสวงหาที่จะรู้จักกับชีวิตที่อยู่ภายในเรา จนกระทั่งชีวิตนี้ได้สําแดงออกมาในความเชื่อ, การสามัคคีธรรม, ความอิ่มหนํา, การสู้รบ, และการปรนนิบัติ สรุปก็คือบทเพลงในหมวดนี้ครอบคลุมทุกสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับการแสวงหาและประสบการณ์ที่มีต่อชีวิต.
หมวดที่สี่คือการดําเนินชีวิตคริสตจักร, หมวดนี้ครอบคลุมทุกสิ่งที่อยู่ในการดําเนินชีวิตทั่วไปของคริสเตียน ซึ่งก็คือสถานการณ์, สภาพแวดล้อม, การงาน, และกิจธุระในแต่ละวันของคริสเตียน ในหมวดนี้มีทั้งบทเพลงที่ใช้ในการประชุม, การสมรส, งานเลี้ยงสังสรรค์ในความรัก, ครอบครัว, เด็กๆ, โรคภัยไข้เจ็บ, ฯลฯ.
V. การใช้บทเพลง
ในการเลือกเพลงนั้น เราต้องคํานึงถึงเรื่องต่อไปนี้.
1. ทิศทางของบทเพลง
เราอาจร้องบทเพลงต่อคู่หมายสามพวกด้วยกัน, พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทิศทางในการร้องบทเพลงอยู่มีอยู่สามทาง.
(1) ต่อพระเจ้า
บทเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ร้องต่อพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นคู่หมาย. ในหนังสือบทเพลงสรรเสริญ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่ร้องต่อพระเจ้า อย่างในบทที่ 51 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีก็เป็นการอธิษฐานต่อพระเจ้า, บทเพลงที่ใช้สรรเสริญ, ขอบพระคุณ, อธิษฐาน ล้วนเป็นบทเพลงที่ร้องต่อพระเจ้าทั้งสิ้น.
(2) ต่อมนุษย์
ในบทเพลงสรรเสริญยังมีเพลงที่ร้องต่อมนุษย์ด้วย. บทเพลงสรรเสริญบทที่ 37 และ 133 คือตัวอย่างของบทเพลงสรรเสริญที่ร้องต่อมนุษย์, บทเพลงจําพวกนี้มีทั้งประกาศหลักความจริงต่อมนุษย์และหนุนใจให้มนุษย์ไปเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า, บทเพลงกิตติคุณและบทเพลงหนุนใจทั้งหมดล้วนเป็นเพลงที่ร้องต่อมนุษย์.
โกโลซาย 3:16 กล่าวว่า “โดยการสั่งสอนและเตือนสติกันและกันด้วยเพลงสดุดี, เพลง สรรเสริญ, และเพลงฝ่ายวิญญาณ คือร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจขอบพระคุณ.” เราจะเห็นได้ว่า บทเพลงยังสามารถใช้ในการสั่งสอนและเตือนสติกันและกันได้ด้วย. นี่เป็นการร้องต่อมนุษย์, ขณะเดียวกันก็เป็นการ “ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจขอบพระคุณ” ซึ่งเป็นการร้องต่อพระเจ้าด้วย ดังนั้นแม้แต่บทเพลงที่ร้องต่อมนุษย์ก็ยังเป็นการร้องต่อพระเจ้าด้วย.
ในคริสตจักรไม่ควรมีบทเพลงที่ร้องต่อมนุษย์มากจนเกินไป. ในหนังสือบทเพลงสรรเสริญ ก็มีบทเพลงจําพวกนี้อยู่ไม่มากนัก แม้เราควรมีบทเพลงที่ร้องต่อมนุษย์บ้าง แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่เหมาะสม. เมื่อไรที่มีมากเกินไป เราก็จะสูญเสียเป้าหมายหลักของบทเพลงไป เป้าหมายหลักของบทเพลงย่อมเป็นการร้องต่อพระเจ้า.
(3) ร้องต่อตัวเอง
ในพระคัมภีร์ยังมีบทเพลงอีกจําพวกหนึ่ง เป็นบทเพลงที่ใช้ร้องกับตัวเอง. ในหนังสือบทเพลงสรรเสริญก็มีอยู่หลายข้อที่กล่าวว่า “โอ จิตของข้าพเจ้าเอ๋ย.” บทเพลงเหล่านี้เป็นการร้องต่อตัวเอง, ตัวอย่างก็ได้แก่บทเพลงสรรเสริญบทที่ 103 และ 121. บทเพลงจําพวกนี้เป็นการสามัคคีธรรมระหว่างตัวเรากับจิตของเราเอง, ปรึกษากับใจของเราเอง, หรือพูดคุยกับตัวเราเอง. ทุกคนที่รู้จักพระเจ้าย่อมจะรู้ว่าการสามัคคีธรรมกับใจของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร. ใครที่มีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าก็ย่อมเรียนรู้ที่จะสามัคคีธรรมกับใจของตัวเองอย่างอัตโนมัติ. ในเวลานั้น เขาก็ร้องต่อตัวเขาเอง, ตะโกนต่อตัวเอง, เรียกตัวเอง, และเตือนตัวเอง, บทเพลงเช่นนี้มักจะลงท้ายด้วยกันหันไปสู่พระเจ้า, คนเราอาจเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมกับใจของตัวเอง แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า.
บทเพลงทั้งสามจําพวกนี้ แต่ละจําพวกก็จุดประสงค์ของตัวเอง. บทเพลงที่กล่าวถึงความรอด, การสามัคคีธรรมกับพระเจ้า, และขอบพระคุณสรรเสริญพระองค์นั้น เป็นบทเพลงที่ร้องต่อพระเจ้า, เมื่อคริสตจักรมาประชุมกัน เราควรเลือกบทเพลงที่เป็นการทูลต่อพระเจ้า เพื่อใจของเราจะได้หันสู่พระเจ้า, แต่ในการงาน หรือการพูดข่าวสารกับผู้เชื่อทั้งหลายหรือกับคนบาปนั้น เราอาจใช้บทเพลงเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสารได้ โดยเป็นการร้องต่อมนุษย์, ขณะที่อยู่ตามลําพัง เราก็อาจร้องบทเพลงที่เป็นการสามัคคีธรรมกับตัวเองได้ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ว่า ใน การประชุมของคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นประชุมหักขนมปัง, ประชุมอธิษฐาน, ประชุมสามัคคีธรรมนั้น เราต้องร้องเพลงต่อพระเจ้า หรือบางครั้งก็อาจร้องต่อตัวเองได้. ในการประชุมของการงาน ไม่ว่าจะเป็นประชุมประกาศกิตติคุณหรือประชุมกล่าวพระคํา เราก็อาจใช้บทเพลงที่ร้องต่อมนุษย์หรือบทเพลงที่ร้องต่อพระเจ้า, ในเวลาที่เราอยู่บ้านหรือมีความต้องการส่วนตัว เราก็ใช้บทเพลงที่ร้องต่อตัวเอง.
2. วิธีต่างๆ ในการร้องเพลง
เท่าที่เรารู้นั้น พระคัมภีร์มีวิธีร้องเพลงอยู่สามแบบคือ ร้องเป็นกลุ่ม, ร้องให้กันและกัน และร้องเดี่ยว.
ในพันธสัญญาเดิม มีหลายครั้งที่พวกเลวีร้องเพลงเดี่ยว นอกจากนั้นก็เป็นการร้องเป็นกลุ่ม, หนังสือบทเพลงสรรเสริญมีไว้ให้ร้องเป็นกลุ่ม. เมื่อมาถึงพันธสัญญาใหม่ การร้องเพลงก็ยังคงร้องกันเป็นกลุ่ม. ในคืนวันสุดท้ายที่พระเยซูทรงอยู่กับเหล่าสาวก “พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญแล้ว ก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ” (มธ.26:30). ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาร่วมร้องเพลงด้วยกัน ดังนั้นการร้องเป็นกลุ่มจึงมีทั้งในพันธสัญญาเดิมและในพันธสัญญาใหม่.
หลังจากที่คริสตจักรถูกก่อตั้งขึ้นมา นอกจากจะมีการร้องเป็นกลุ่มแล้ว ยังมีการร้องให้กันและกันและร้องเดี่ยวด้วย. ทั้งโกโลชาย 3:16 และเอเฟโซ 5:19 ต่างก็เอ่ยถึงการร้องบทเพลงต่อกันและกัน. การร้องต่อกันและกันก็คือ เมื่อพี่น้องคนหนึ่งร้องแล้ว พี่น้องอีกคนหนึ่งก็ร้องตอบ จากนั้นคนแรกก็ร้องอีกครั้ง แล้วพี่น้องอีกคนหนึ่งก็ร้องตอบ หรืออาจให้พี่น้องกลุ่มหนึ่งร้องก่อน แล้วให้พี่น้องอีกกลุ่มหนึ่งร้องตอบ, คริสตจักรในสมัยแรกนั้นมีการร้องเพลงต่อกันและกันเช่นนี้มากพอๆ กับการร้องเป็นกลุ่ม: การร้องเพลงแบบนี้เป็นการร้องโดยพี่น้องให้กับพี่น้อง แต่เมื่อเกิดระบบชนชั้นขึ้นมาแล้ว การร้องบทเพลงต่อกันและกันก็กลายเป็นการร้องสลับกันระหว่าง “ชนชั้นศักดิ์สิทธิ์” กับ “ชนชั้นธรรมดา” หรือที่เรียกว่าการร้องสวดโต้ตอบแบบ แอนติโฟน (antiphon) ซึ่งต่อมาภายหลังก็กลายเป็นบทสวดโต้ตอบกัน.
เราเชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงฟื้นฟูการร้องเพลงขึ้นมาท่ามกลางพวกเรา ในพระคัมภีร์มีการร้องต่อกันและกัน ดังนั้นเราก็ควรมีการร้องต่อกันและกันด้วย. เราอาจร้องโต้ตอบกันฝ่ายละข้อ หรือร้องโต้ตอบกันระหว่างพี่น้องหญิงกับพี่น้องชาย, พี่น้องหนึ่งคนกับพี่น้องทั้งหมด, พี่น้องกลุ่มหนึ่งกับพี่น้องอีกกลุ่มหนึ่ง, พี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง, หรือพี่น้องที่นั่งอยู่ฝั่งขวากับพี่น้องที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายก็ได้ทั้งนั้น.
ในพระคัมภีร์ยังมีการร้องเดี่ยวด้วย. ใน 1 โกรินโธ 14:26 กล่าวว่า “บางคนก็มีเพลงสดุดี, บางคนก็มีคําสั่งสอน, บางคนก็มีคําเปิดเผย, บางคนก็มีภาษาต่างๆ หรือบางคนก็มีการแปลภาษาต่างๆ ” วลี “บางคนก็มี (หรือ แต่ละคนก็มี)” ชี้ถึงการร้องเพลงเดี่ยว, ในการประชุมนั้น พี่น้องคนหนึ่งอาจได้รับการเปิดเผย, พี่น้องอีกคนหนึ่งอาจได้รับคําสั่งสอน, ขณะที่พี่น้องอีกคนหนึ่งมีบทเพลง บทเพลงในที่นี้เป็นสิ่งที่เขาร้องคนเดียว เมื่อพี่น้องคนหนึ่งรู้สึกว่าภายในเขามีบทเพลง มีการสรรเสริญจนถูกเติมเต็มอยู่ข้างในแล้ว เขาก็ต้องร้องออกมา ไม่ใช่ว่าเขาทําสิ่งที่คนอื่นไม่ทําอยู่คนเดียว แต่เป็นการร้องเพลงนั้นในฐานะตัวแทนของคริสตจักรต่างหาก. บทเพลงที่ใช้ร้องเดี๋ยวนี้อาจเป็นบทเพลงที่ได้เขียนไว้แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นบทเพลงที่เขียนไว้แล้ว อาจร้องตามหรือไม่ตามทํานองที่เราคุ้นเคยก็ได้. บางครั้งเขาอาจร้องบทเพลงฝ่ายวิญญาณเหมือนที่ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ (กซ.3:16; 1กธ.14:15) กล่าวคือขณะที่กําลังร้องอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประทานท่วงทํานองให้เขา. เขาร้องตามที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขณะที่ร้องเดี่ยวเช่นนี้ ผู้ร้องควรทุ่มเททั้งตัวเขาให้กับบทเพลงนั้น ส่วนผู้ฟังก็ต้องฝึกรับการหล่อเลี้ยงจากวิญญาณของผู้ร้อง. ผู้ฟังอย่าได้ไปใส่ใจต่อเสียงร้องของเขา แต่จะต้องต้อนรับการหล่อเลี้ยงจากวิญญาณ. การร้องเดี่ยวเช่นนี้ ไม่ว่าจะใช้บทเพลงที่มีอยู่แล้วหรือบทเพลงที่ผุดขึ้นมาในเวลานั้น จะต้องเป็นการร้องตามการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่าได้เป็นเหมือนกับคนเหล่านั้นที่ชอบร้องเดี่ยวเพื่อจะอวดเนื้อหนังของตน ดังนั้นถ้าไม่มีการหล่อเลี้ยงของวิญญาณเลย เขาก็ไม่ควรร้องเดี่ยว.
3. การฝึกฝนในทางปฏิบัติ
ท่านต้องทําความคุ้นเคยกับสารบัญของบทเพลงและต้องจําให้แม่นว่าบทเพลงที่เราใช้นั้นมี การแบ่งหมวดหมู่อย่างไรบ้าง. ถ้าท่านเข้าใจต่อหลักการในการแบ่งหมวดหมู่, จําได้แล้วว่าแต่ละหมวดหมู่มีเนื้อแท้และการใช้งานแบบใด, กระทั่งจําได้ว่าเพลงบทไหนอยู่ที่ใด เมื่อถึงเวลาต้องนํามาใช้ ท่านก็จะหาเพลงนั้นพบ.
ท่านยังต้องค้นให้พบบทเพลงที่มีความสัมพันธ์กับท่านมากที่สุดและเรียนรู้ด้วย. ท่านต้องทําความเข้าใจกับข้อความ แยกวรรคตอนให้ชัดเจน ค้นหาแนวคิดของผู้เขียนว่า แต่ละข้อมีการพัฒนาต่อกันไปจนจบอย่างไร ท่านจะต้องมีใจที่เปิดออก นอกจากนี้ท่านยังต้องมีความรู้สึกที่ว่องไว, ความตั้งใจที่โอนอ่อน, และความคิดที่กระจ่างแจ้งด้วย.
เมื่อได้ทําเช่นนี้แล้ว ท่านยังต้องไปฝึกร้อง, ท่านอาจฝึกร้องได้สัปดาห์ละ 2-3 เพลง, ถ้าตอนแรกยังร้องเนื้อไม่ได้ ท่านก็อาจฮัมทํานองสักเพลงสองเพลงในยามเช้า ท่านอาจแต่งทํานองง่ายๆ ขึ้นมาฮัมเพลงก็ได้. ถ้าทําอย่างนี้ ท่านก็จะสัมผัสกับวิญญาณของบทเพลงและความรู้สึกในด้านฝ่ายวิญญาณของท่านก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างอัตโนมัติ, อย่างไรก็ดี ท่านก็ยังควรที่จะต้องฝึกร้องตามตัวโน้ตให้ถูกต้อง, เมื่อร้องเป็นแล้ว ท่านก็สามารถร้องได้ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเป็นกลุ่ม, การร้องต่อกันและกัน หรือการร้องเดียวก็ตาม.
บทเพลงของคริสเตียนย่อมจะบ่มเพาะให้เรามีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน. หวังว่าเราจะมีการเรียนรู้ในเรื่องนี้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ถ้าเราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้อย่างละเอียดอ่อน เราก็จะสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งขึ้น. ขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อถึงโลกนิรันดร์ ทุกคนก็จะมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน, เรารู้ว่าการสรรเสริญบนฟ้าสวรรค์ ย่อมมีมากกว่าการอธิษฐานที่อยู่บนโลก. การอธิษฐานย่อมต้องผ่านพ้นไป แต่โลกนิรันดร์จะเต็มไปด้วยการสรรเสริญ. เมื่อถึงวันนั้น ความรู้สึกของเราทุกคนก็จะมีความละเอียดอ่อน ซึ่งจะเป็นเวลาที่หวานชื่นและน่ายินดีที่สุด.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 1 บทที่ 15 ตั้งแต่ หน้า 222 - 241
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. แบบเล็งของชาวอิสราเอลที่ออกจากอียิปต์
1. ผลที่ต่อจากการไถ่ก็คือการออกไป
2. การขัดขวางต่างๆ นานาจากฟาโรห์
3. หนทางของเรานั้นอยู่ในป่ากันดาร
4. ออกจากโลกเชิงศีลธรรม
5. คนต่างแดนและแขกแปลกหน้าที่อยู่ในโลกนี้
II. เรื่องใดบ้างที่ต้องแบ่งแยกจากฝ่ายโลก
1. เรื่องที่ชาวโลกเห็นว่าคริสเตียนไม่ควรทำ
2. เรื่องที่ไม่สอดคล้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
3. เรื่องที่ทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราดับมอด
4. เรื่องที่ทำให้เราไม่อาจแสดงตนว่าเป็นคริสเตียน
5. เรื่องที่ผู้เชื่อที่อ่อนแอเห็นว่าไม่ควรทำ
III. ออกมาจากท่ามกลางฝ่ายโลก เพื่อจะเป็นที่ยินดีรับไว้โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์
ข้อพระคัมภีร์: อซด.10:8-11, 21-26; 12:6-11, 37-42; 2กธ.6:17
อซด.10:8 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้โมเซและอาโรนเข้ามาเฝ้าอีก จึงตรัสว่า จงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเถิด. แต่คนที่จะไปนั้นมีใครบ้าง?
อซด.10:9 โมเซทูลว่า ข้าพเจ้าจะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่ม คนแก่ บุตรชายกับบุตรหญิง และฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายต้องถือเทศกาลเลี้ยงของพระยะโฮวา.
อซด.10:10 ฟาโรห์จึงตรัสแก่เขาทั้งสองว่า ถ้าแม้จะให้เรายอมให้เจ้ากับลูกเล็กๆ ไปด้วย ก็ให้พระยะโฮวาสถิตกับพวกเจ้าเถิด. ดูเถิด เจ้ากำลังคิดในทางที่ชั่วเสียแล้ว.
อซด.10:11 อนุญาตไม่ได้ พาเฉพาะแต่ผู้ชายไปปรนนิบัติพระยะโฮวา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าได้ขอไว้. แล้วโมเซกับอาโรนก็ถูกขับไล่ให้ออกไปเสียจากพระพักตร์ฟาโรห์.
อซด.10:21 พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า จะมีความมืดทึบทั่วดินแดนอียิปต์จนความมืดนั้นคล้ายกับสัมผัสได้.
อซด.10:22 โมเซจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วดินแดนอียิปต์ตลอดสามวัน.
อซด.10:23 เขามองไม่เห็นซึ่งกันและกัน ไม่มีใครลุกขึ้นไปจากที่อยู่ของตนตลอดสามวัน มีเพียงชนชาติอิสราเอลนั้นที่มีแสงสว่างอยู่ในที่อยู่ของเขา.
อซด.10:24 ฟาโรห์จึงมีรับสั่งให้หาโมเซเข้ามาตรัสว่า พวกเจ้าจงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาเถิด เว้นแต่ฝูงแพะแกะและฝูงโคต้องเหลือไว้ แต่พวกเด็กเล็กๆ พาไปได้.
อซด.10:25 ฝ่ายโมเซจึงทูลว่า ต้องโปรดให้เรามีสัตวบูชาและเครื่องบูชาเผา เพื่อข้าพเจ้าจะได้ถวายบูชาแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย.
อซด.10:26 ดังนั้นฝูงสัตว์ของข้าพเจ้านั้นต้องนำไปด้วยไม่ให้ขาดสักตัวเดียว เพราะว่าต้องเลือกสัตว์จากฝูงเหล่านั้นเพื่อปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าจะต้องปรนนิบัติพระยะโฮวาด้วยสิ่งใดจนกว่าจะไปถึงที่นั่นแล้ว.
อซด.12:6 จงเก็บรักษาไว้จนถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเวลาเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของชุมนุมชนอิสราเอลฆ่ามันเสีย.
อซด.12:7 จงเอาเลือดนั้นทาไว้ที่วงกบประตูทั้งสองข้างและวงกบข้างบนในเรือนที่เขากินลูกแกะกันนั้นด้วย
อซด.12:8 ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้งกับขนมปังไม่มีเชื้อและผักที่มีรสขม.
อซด.12:9 เนื้อที่ยังดิบหรือต้มนั้นอย่ากินเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและขาและเครื่องในด้วย.
อซด.12:10 จงกินเสียให้หมดอย่าให้เหลือจนถึงเวลาเช้าเลย ถ้าแม้จะมีเหลืออยู่บ้างจนถึงเวลาเช้าก็ให้เผาเสีย.
อซด.12:11 เจ้าทั้งหลายจงกินลูกแกะกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ให้พร้อม และจงรีบกินโดยเร็ว. นี่เป็นเทศกาลปัศคาของพระยะโฮวา.
อซด.12:37 ชนชาติอิสราเอลก็ได้เดินไปจากราเมเซสถึงซุโคธ นับแต่ผู้ชายที่เดินเท้ามีประมาณหกแสนคน เด็กมิได้นับ.
อซด.12:38 มีฝูงชนชาติอื่นเป็นอันมากได้ปะปนติดตามไปด้วย และมีฝูงปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก คือฝูงแพะแกะ ฝูงโค ก็ไปด้วย.
อซด.12:39 เขาเอาก้อนแป้งดิบซึ่งได้นำมาจากอียิปต์ปิ้งเป็นขนมปังไร้เชื้อ เหตุที่ก้อนแป้งดิบเหล่านี้ไม่มีเชื้อ เพราะเขาถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมอาหารมาด้วย.
อซด.12:40 ชนชาติอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในอียิปต์สี่ร้อยสามสิบปี.
อซด.12:41 เมื่อครบสี่ร้อยสามสิบปีแล้ว ในวันนั้นเองที่กองทัพของพระยะโฮวาได้ยกออกไปจากดินแดนอียิปต์.
อซด.12:42 เวลากลางคืนวันนั้นเป็นคืนแห่งการเฝ้ายามของพระยะโฮวา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงนำเขาออกจากดินแดนอียิปต์ คืนวันนั้นเองก็เป็นคืนแห่งการเฝ้ายามของชนชาติอิสราเอลที่มีต่อพระยะโฮวาตลอดทุกชั่วอายุสืบๆ ไป.
2กธ.6:17 เหตุฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกมาจากท่ามกลางเขาเหล่านั้นและถูกแบ่งแยกอยู่ต่างหาก อย่าแปดเปื้อนด้วยสิ่งซึ่งมลทิน และเราจะรับเจ้าไว้."
------------------------------
ในพระคัมภีร์มีคําบัญชาเกี่ยวกับการแบ่งแยกจากฝ่ายโลกอยู่มากมาย. พันธสัญญาเดิมก็มีแบบอย่างและคําสอนเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่หลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น บาบิโลน, ซะโดม, อูระ แคว้นเคเช็ด, และอียิปต์ ต่างก็เป็นแบบเล็งของฝ่ายโลก. สถานที่เหล่านี้ให้เรามองเห็นว่า สภาพการณ์ของฝ่ายโลกนั้นเป็นอย่างไร. อียิปต์เป็นตัวแทนถึงความรื่นเริงของฝ่ายโลก, อูระ เป็นตัวแทนถึงศาสนาของฝ่ายโลก, หอบาเบลเป็นตัวแทนถึงความยุ่งเหยิงของฝ่ายโลก, และซะโดมเป็นตัวแทนถึงความบาปของฝ่ายโลก. เราต้องออกจากอียิปต์ และเราก็ต้องออกจากเมืองอูระเหมือนกับอับราฮามด้วย. เมื่อโลตหลงไปอยู่ในซะโดม หรือเมื่อชาวอิสราเอลตกเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน พวกเขาก็ควรต้องออกมาจากสถานที่เหล่านี้ พระคัมภีร์ใช้สถานที่สี่แห่งนี้ มาเป็นตัวแทนของฝ่ายโลก ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าพลไพร่ของพระเจ้าจะต้องออกมาจากด้านต่างๆ ของฝ่ายโลกนี้อย่างไร.
I. แบบเล็งของชาวอิสราเอลที่ออกจากอียิปต์
1. ผลที่ต่อจากการไถ่ก็คือการออกไป
พระเจ้าทรงช่วยชาวอิสราเอลโดยอาศัยลูกแกะปัศคา. ขณะที่ทูตของพระเจ้าออกไปเข่นฆ่า บรรดาบุตรหัวปีที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เมื่อได้เห็นเลือดที่ประตูใด ทูตแห่งความตายก็จะเว้นข้ามไป. ถ้าประตูใดไม่มีเลือด บุตรหัวปีในเรือนนั้นก็จะถูกฆ่า. ดังนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า ประตูบานนั้นดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ว่าเสาและคานประตูนั้นมีอะไรเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ได้อยู่ที่ว่า ครอบครัวนั้นมีอะไรดีหรือไม่ดี และไม่ได้อยู่ที่ว่าบุตรหัวปีคนนั้นกตัญญหรือไม่. เลือดต่างหากที่เป็นประเด็น ท่านจะพินาศหรือได้รับความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะครอบครัวหรือความประพฤติของท่าน แต่ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีพระโลหิตหรือไม่. ปัจจัยพื้นฐานของความรอดก็คือพระโลหิต ไม่เกี่ยวกับเราแต่อย่างใด.
เราทุกคนที่ได้รับความรอดโดยพระคุณล้วนได้รับการไถ่จากพระโลหิตแล้ว. แต่ขอให้ท่านจําไว้ว่า เมื่อได้รับการไถ่โดยโลหิตแล้ว ท่านก็ต้องขยับตัวต้องออกไปทันที. อย่าได้คิดว่าเมื่อท่านได้รับการไถ่จากพระโลหิตแล้ว ท่านยังสามารถซื้อบ้านเพื่อจะอยู่ในอียิปต์ต่อไปได้อีก. ทุกคนที่ได้รับการไถ่โดยโลหิตแล้วจะต้องออกเดินทางในคืนนั้นทันที พวกเขาจะต้องฆ่าลูกแกะก่อนที่จะถึงเที่ยงคืน แล้วใช้ต้นหุสบมาประพรมเลือดแกะ. จากนั้นพวกเขาจะต้องรีบกิน และขณะที่กินก็ต้องคาดเอวไว้และถือไม้เท้าเอาไว้ในมือด้วย เพราะเขาจะต้องออกเดินทางทันที.
ผลลัพธ์อย่างแรกที่ต่อจากการไถ่ก็คือการแบ่งแยก ซึ่งก็คือการออกไปหรือจากไปนั่นเอง เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ใครแล้ว พระองค์จะไม่มีทางปล่อยเขาไว้ในฐานะเก่าหรือให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในฝ่ายโลกต่อไปอีก. ไม่มีเรื่องอย่างนี้แน่นอน. เมื่อบังเกิดใหม่ได้รับความรอดแล้ว ทุกคนจะต้องถือไม้เท้าไว้ในมือแล้วออกเดินทางทันที เมื่อทูตแห่งความตายได้ทําการแบ่งแยกผู้ที่ ได้รับความรอดออกจากผู้ที่พินาศแล้ว ผู้ที่ได้รับความรอดก็ต้องออกไปทันที เมื่อทูตแห่งความตายได้แบ่งแยกท่านแล้ว ท่านก็ต้องเก็บกระเป๋าออกจากอียิปต์ทันที.
ไม้เท้าย่อมมีไว้เดิน. ไม่มีใครถือไม้เท้านอนอยู่บนเตียง. ไม้เท้าไม่ใช่หมอน. ไม้เท้ามีไว้สําหรับเดิน. ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ทุกคนที่ได้รับการไล่ล้วนต้องถือไม้เท้าแล้วออกเดินทางในคืนวันนั้นทันที. ท่านได้รับการไถโดยพระโลหิตเมื่อไร ท่านก็กลายเป็นคนต่างแดน และแขกแปลกหน้าอยู่บนโลกนี้เมื่อนั้น; ท่านจะต้องออกจากอียิปต์และแบ่งแยกออกจากฝ่ายโลกทันที. ท่านอย่าได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอีกต่อไป.
มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่สอนอยู่ในการประชุมยุวชน. มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอเล่าเรื่องลาซะโรกับ ศรษฐีจบแล้วก็ถามเด็กเหล่านั้นว่า “พวกเธออยากเป็นลาซะโรหรือเป็นเศรษฐี” เศรษฐีมั่งมีศรีสุขในวันนี้ แต่วันหน้าต้องทนทุกข์ ส่วนลาซะโรทนทุกข์ในวันนี้ แล้ววันหน้าจะได้มั่งมีศรีสุข พวกเธอจะเลือกใคร?” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณแปดขวบก็ยืนขึ้นตอบว่า “ตอนที่หนูยังมีชีวิตอยู่นี้ หนูขอเป็นเศรษฐี พอหนูตายแล้ว หนูขอเป็นลาซะโร.” ข้าพเจ้าขอบอกว่า หลายคนก็เป็นอย่างนี้ ตอนที่อยากได้รับความรอด เขาก็เชื่อในพระโลหิตของพระเมษโปดก. หลังจากที่พระโลหิตของพระเมษโปดกได้ช่วยเขาให้รอดแล้ว เขาก็ตั้งรกรากอย่างมั่นคงอยู่ในอียิปต์ พวกเขาคิดว่าอย่างนี้เขาก็ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง.
โปรดจําไว้ว่า การไถ่ของพระโลหิตได้ช่วยท่านออกมาจากฝ่ายโลกแล้ว. เมื่อท่านได้รับการไถ่จากพระโลหิต ท่านก็กลายเป็นคนต่างแดน และแขกแปลกหน้าอยู่ในโลกนี้ทันที. นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป แต่หมายความว่าท่านจะต้องแบ่งแยกกับฝ่ายโลกทันที ที่ไหนมีการไถ่ ที่นั่นย่อมเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ท่านได้รับการไถ่เมื่อไร หนทางของท่านก็เปลี่ยนไปเมื่อนั้น และท่านก็ต้องออกจากฝ่ายโลก. การแบ่งแยกของพระโลหิตคือการแบ่งแยกระหว่างคนเป็นกับคนตาย ทั้งยังเป็นการแบ่งแยกระหว่างคนที่เป็นลูกของพระเจ้ากับผู้คนที่อยู่ในโลกนี้ด้วย. เมื่อท่านได้รับการไถ่ ท่านก็อยู่ในฝ่ายโลกต่อไปไม่ได้แล้ว.
2. การขัดขวางต่าง ๆ นานาจากฟาโรห์
เมื่อดูจากการที่ชาวอิสราเอลได้อพยพออกจากอียิปต์ ก็จะเห็นว่าพวกเขาออกจากอียิปต์ได้ยากยิ่งนัก! อียิปต์พยายามรั้งพวกเขาไว้อยู่ตลอดเวลา ครั้งแรกที่ชาวอิสราเอลจะได้ออกจากอียิปต์ ฟาโรห์ยอมให้พวกคนหนุ่มเท่านั้นที่ไปได้ พวกเด็กกับคนแก่ห้ามไป. ฟาโรห์รู้ว่า ถ้ารั้งตัวคนแก่กับเด็กไว้ได้ พวกคนหนุ่มก็ไปได้ไม่ไกล อีกไม่นานก็ต้องกลับมา. กลอุบายของซาตานก็คือการไม่ให้เราได้แบ่งแยกกับอียิปต์อย่างเด็ดขาดถี่ถ้วน. ดังนั้นโมเซจึงปฏิเสธการหน่วงเหนี่ยวของฟาโรห์ตั้งแต่แรก. ถ้าท่านไม่เอาสิ่งใดหรือผู้ใดออกไปด้วย ท่านก็จะไปได้ไม่ไกลอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาอีก.
ท่านน่าจะจําได้ว่า ครั้งแรกฟาโรห์บอกกับโมเซว่า “จงไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในดินแดนนี้เถิด” (อซด.8:25). ครั้งที่สองก็บอกว่าอย่าไปไกล. ครั้งที่สามก็เสนอให้ไปแต่พวกคนหนุ่ม. ครั้งที่สี่ก็บอกว่าอนุญาตให้ผู้คนไปได้ทั้งหมด แต่โคและแพะแกะต้องเหลือไว้ แนวทางของฟาโรห์คือการเสนอให้พวกเขาปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ในดินแดนอียิปต์. นี่คือแนวคิดพื้นฐานของเขา เขายอมให้คนเหล่านั้นเป็นลูกของพระเจ้าได้ ขอเพียงต้องอยู่ในอียิปต์. เขารู้ว่าถ้าใครปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ในอียิปต์ คนผู้นั้นก็จะไม่มีพยาน และสุดท้ายก็ต้องมาปรนนิบัติฟาโรห์. แม้เขาอยากเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ของซาตาน.
หากท่านอยากปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ในโลก ท่านจะลงเอยด้วยการเป็นทาสของซาตานอย่างแน่นอน. ท่านจะต้องทําอิฐให้มัน และมันจะไม่ปล่อยให้ท่านไป. ถึงปล่อยไป ก็จะไม่ให้ท่านไปไหนไกล. ถ้ามันปล่อย ก็ปล่อยให้เฉพาะคนหนุ่มเท่านั้นที่ไปได้ ส่วนที่เหลือต้องอยู่ในอียิปต์. ซาตานนั้นคุ้นเคยกับพระคําที่อยู่ในมัดธาย 6:21: “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” ทรัพย์สมบัติย่อมติดไปกับคนเสมอ. มันรู้ว่า ถ้าฟาโรห์ยังรั้งฝูงโคและแพะแกะเอาไว้ได้ คนพวกนี้ก็ไปไหนได้ไม่ไกล อีกไม่นานก็จะตามฝูงโคและแพะแกะกลับมา แต่พระเจ้าทรงต้องการให้ฝูงโคและแพะแกะตามคนเหล่านี้ออกไป. พระองค์ทรง ต้องการให้คนเหล่านี้ได้รับความรอดในเรื่องทรัพย์สินเงินทองด้วย.
ดังนั้นเมื่อใครได้รับความรอดแล้ว เขาก็ต้องออกไปสู่ป่ากันดาร. ยิ่งกว่านั้น เขายังต้องนําผู้คนและทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปด้วย. มิฉะนั้นทั้งตัวเขาและของทุกอย่างก็จะตกอยู่ในอียิปต์ ไม่มีการแบ่งแยกกับอียิปต์อีก ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงบัญชาว่า ทุกคนที่จะปรนนิบัติพระเจ้า จะต้องแบ่งแยกกับฝ่ายโลก.
3. หนทางของเรานั้นอยู่ในป่ากันดาร
แม้เราจะยอมรับด้วยปากว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า “วันนี้ฉันได้เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แค่นี้ก็ยังเป็นพยานได้ไม่ดีพอ. เราจะต้องออกมาจากฝ่ายโลกและแบ่งแยกกับพวกเขา นี่คือก้าวที่ต่อจากการยอมรับด้วยปากว่าพระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องไม่เป็นคริสเตียนใบ้ แต่ถึงจะเปิดปากพูดแล้วก็ไม่พอ เรายังต้องมีการแบ่งแยกกับผู้คนที่อยู่ในโลกด้วย. เราจะรักษาความเป็นเพื่อน, ความผูกพัน, และความสัมพันธ์ในอดีต เอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว เราต้องรู้สึกล้ําค่าต่อฐานะที่เรามีอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลานี้ และออกไปให้ไกลจากฐานะที่เรามีอยู่ในอดีต. นอกจากคนจะต้องออกไปแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ต้อง ออกไปด้วย. ผู้อื่นอาจบอกว่าเราโง่ แต่เราอย่าไปฟังเขา. วันนี้เราจะต้องออกจากอียิปต์. นับตั้งแต่เวลาที่เราได้กลายเป็นคริสเตียน หนทางของเราก็อยู่ในป่ากันดาร ไม่อยู่ในอียิปต์อีกต่อไป.
ถ้าว่าตามพันธสัญญาใหม่แล้ว ทั้งอียิปต์และป่ากันดารต่างก็เป็นตัวแทนของโลก อียิปต์ชี้ถึงฝ่ายโลกในเชิงศีลธรรม. ป่ากันดารชี้ถึงโลกทางกายภาพ. คริสเตียนอย่างเรานั้นอยู่ในโลกทางกายภาพ แต่ไม่ได้อยู่ในโลกในเชิงศีลธรรม. เราต้องมองเห็นสองด้านของโลก: ด้านแรกนั้นหมายถึงสถานที่ ส่วนอีกด้านหนึ่งหมายถึงระบบอย่างหนึ่ง มีของหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกทางกายภาพ. ของเหล่านี้ล้วนน่าดู กระตุ้นให้นัยน์ตาเกิดราคะ, เนื้อหนังเกิดตัณหา, และใจก็อยากได้สง่าราศีที่ว่างเปล่า, นี่คืออียิปต์. แต่โลกยังมีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือโลกทางกายภาพอันเป็นสถานที่ให้ร่างกายของเราอยู่อาศัย.
4. ออกจากโลกเชิงศีลธรรม
วันนี้คริสเตียนอย่างเราจะต้องออกจากระบบและองค์กรของฝ่ายโลก. การออกจากฝ่ายโลกหมายถึงการหลุดพ้นจากโลกเชิงศีลธรรม ไม่ใช่โลกทางกายภาพ. โลกที่เราต้องทิ้งไว้เบื้องหลังคือโลกเชิงศีลธรรม ไม่ใช่โลกทางกายภาพ. พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรายังคงมีชีวิตอยู่ในโลก แต่โลกนี้ได้กลายเป็นป่ากันดารสําหรับเราไปแล้ว.
สําหรับเราแล้ว โลกคืออะไร? แพนตัน (D.M. Panton) กล่าวไว้ดีมากว่า “เมื่อผมยังมีชีวิตอยู่ โลกคือเส้นทางที่ผมเดินผ่าน เมื่อผมตายแล้ว โลกนี้ก็เป็นที่ฝังศพของผม.” เมื่อผู้เชื่อคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ โลกก็คือเส้นทางที่เขาต้องเดินผ่าน แต่เมื่อเขาตาย โลกนี้ก็เป็นแค่ที่ฝังศพของเขา. เราจะต้องแบ่งแยกจากผู้คนในโลก. ทุกคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องแบ่งแยกจากฝ่ายโลก ในสายตาของมนุษย์โลกนั้นเห็นว่าเราเป็นคนที่อยู่ในป่ากันดาร เป็นแขกแปลกหน้า. พวกเขาต่างหากจึงจะเป็นคนที่อยู่ในโลก.
5. คนต่างแดนและแขกแปลกหน้าที่อยู่ในโลกนี้
เราต้องตระหนักว่า เราเป็นเพียงคนต่างแดนและแขกแปลกหน้าที่อยู่ในโลกนี้เท่านั้น สําหรับโลกเชิงศีลธรรม เราคือผู้ที่ออกมาจากที่นั่นแล้ว พวกเขาอยากจะรั้งเราไว้ที่นั่น แต่ถ้าเราอยู่ที่นั่นต่อไป เราก็จะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้. โลกนี้อยากจะใกล้ชิดกับเรา แต่ถ้าปล่อยให้ใกล้กัน เราก็ไม่มีทางปรนนิบัติพระเจ้าได้. โลกนี้อยากรั้งผู้คนและทรัพย์สมบัติของเราไว้ แต่ถ้าเรายังทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ในโลก เราก็ไม่สามารถปรนนิบัติพระเจ้าได้.
เมื่อเราได้แบ่งแยกกับอียิปต์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปใบหน้าของเราต้องหันไปสู่แผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้. พื้นฐานของการแบ่งแยกคือพระโลหิต เพราะโลหิตนั้นได้ซื้อเรากลับคืนมา ชาวอียิปต์ไม่ได้ถูกซื้อไว้ด้วยโลหิต; ชาวโลกก็ไม่ได้รับการไถ่. เราทั้งหลายที่ได้รับการไถ่แล้วก็ถูกโยกย้ายไปอยู่อีกโลกหนึ่ง. ดังนั้นเราจึงต้องหลุดพ้นจากฝ่ายโลก.
สมมุติว่า ท่านไปซื้อนาฬิกาข้อมือมาจากร้าน. เมื่อท่านซื้อแล้ว ท่านจะทําอย่างไร? เมื่อท่านซื้อแล้ว ท่านย่อมจะนํานาฬิกานั้นไป. ข้าพเจ้าย่อมจะไม่ซื้อนาฬิกาแล้ว ยังทิ้งของไว้ที่นั่น ข้าพเจ้าย่อมไม่บอกเจ้าของร้านว่า “คุณเอาไปใช้สิ” ไม่มีใครทําอย่างนี้ การซื้อย่อมหมายถึงการนําออกไป. ที่ไหนมีการซื้อ ที่นั่นก็ต้องมีการนําออกไป. ถ้าข้าพเจ้าซื้อข้าวสารหนึ่งกระสอบก็ต้องเอาข้าวกระสอบนั้นไปจากร้าน เมื่อซื้อแล้ว ก็ต้องนําของที่ถูกซื้อออกไป. โปรดจําไว้ว่า ในเมื่อเราถูกซื้อด้วยพระโลหิตแล้ว เราก็ต้องไปจากฝ่ายโลก. ถ้าใครถูกซื้อด้วยพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็ต้องออกจากที่นั่นแล้วมุ่งไปสู่แผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้ เมื่อซื้อหนึ่งคนก็ต้องไปหนึ่งคน. ใครไม่ถูกซื้อก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าถูกซื้อแล้ว เขาก็ต้องไป. เมื่อใครถูกซื้อแล้ว เขาจะไม่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าไปก็ไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้าถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าซื้อไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องออกจากฝ่ายโลกแล้วติดตามพระองค์ไป.
II. เรื่องใดบ้างที่ต้องแบ่งแยกจากฝ่ายโลก
ท่านอาจถามว่า เราควรต้องแบ่งแยกตัวเองออกจากเรื่องใดบ้าง? มีอะไรบ้างที่นับว่าเป็นฝ่ายโลก? เราควรมีการแบ่งแยกกับผู้คนฝ่ายโลกในเรื่องใดบ้าง? ก่อนที่จะไปพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เราจะต้องมองเห็นว่า ใจและวิญญาณของเราคือสิ่งแรกที่จะต้องออกมาจากฝ่ายโลก. ถ้าใจของใครยังยึดติดอยู่ในโลก เราพูดอะไรกับเขาไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าตัวเขายังคงยึดติดกับโลก ถึงจะพยายามหลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ ได้เป็นร้อยเรื่องก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นการที่ตัวของคนผู้นั้นจะต้องหลุดพ้น, ใจของเขาต้องหลุดพ้น, และวิญญาณของเขาต้องหลุดพ้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาก่อน ส่วนการหลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ นั้นมาทีหลัง.
คนเราจะต้องออกจากอียิปต์กันให้ถี่ถ้วน คือต้องมีการแบ่งแยกกับฝ่ายโลก โดยไม่ต้องไปกลัวผู้อื่นจะว่าเราไม่เหมือนคนอื่นเขา. จากนั้นเรายังต้องจัดการกับเรื่องนี้โดยมีหลักการ. มีบางเรื่องที่เราต้องแบ่งแยกกับชาวโลก แต่บางเรื่องก็ยังต้องรักษาไมตรีกับผู้คนในโลกไว้. เราไม่คิดจะไปทะเลาะกับใคร เราไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร ทั้งในครอบครัว, ในที่ทํางาน, หรือในที่ใดก็ตาม. ตอนนี้เราจะมากล่าวถึงห้าเรื่องที่เราต้องจัดการ.
1. เรื่องที่ชาวโลกเห็นว่าคริสเตียนไม่ควรทํา
สิ่งใดก็ตามที่ชาวโลกเห็นว่าคริสเตียนไม่ควรทํา ท่านก็อย่าได้ไปทํา อย่างน้อยที่สุด ชีวิตคริสเตียนของเราก็ต้องไม่ด้อยไปกว่ามาตรฐานของชาวโลก. ผู้คนในโลกต่างก็ตั้งมาตรวัดและบรรทัดฐานเอาไว้สําหรับคริสเตียน. มาตรฐานแค่นี้ ถ้ายังไม่ผ่าน ท่านก็แย่แล้ว ไม่ว่าท่านจะทําอะไรก็อย่าได้ให้คนต่างศาสนามาพูดได้ว่า “คริสเตียนก็ทําอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?” ถ้าใครพูดมาอย่างนี้ ท่านก็จบแล้ว ถ้าใครต่อว่าท่านอย่างนี้ ท่านก็จบสิ้นทันที. สมมุติว่า ท่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแล้วพบกับคนต่างศาสนา. ถ้าเขาพูดว่า “อ้าว คริสเตียนอย่างคุณก็มาที่อย่างนี้ ได้ด้วยเหรอ?” มีสถานที่หลายแห่งที่พวกต่างศาสนาชอบไป ถ้าท่านไปบอกว่าเขาไม่ควรไปที่เหล่านั้น เขาก็จะเถียงว่าเขาไปได้ แต่ถ้าท่านไปยังที่เหล่านั้นเสียเอง เขาก็จะถามว่า “คุณมาที่อย่างนี้ได้อย่างไร?” บางเรื่องที่เป็นความบาปนั้น ถ้าพวกเขาทํา เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าท่านไปทํา เขาก็จะพูดออกมา ดังนั้นถ้าพวกต่างศาสนาเห็นว่าอะไรไม่ควรทํา เราก็ห้ามไปทํา นี่เป็นข้อเรียกร้องขั้นต่ําที่สุด เมื่อพวกต่างศาสนากล่าวว่า “คริสเตียนอย่างคุณไม่ควรทําอย่างนั้น หรอก” เราก็ต้องหันหลังให้กับเรื่องนั้นทันที.
มีอนุชนบางคนได้รับความรอดแล้ว แต่พ่อแม่ของเขายังไม่ได้รับความรอด. เมื่ออยู่ที่บ้าน บางครั้งอนุชนเหล่านี้ก็ขออะไรบางอย่างจากพ่อแม่ของตน. พ่อแม่ก็อาจพูดว่า “เธอเชื่อพระเยซูแล้วยังอยากได้ของพวกนี้อีกหรือ?” ข้าพเจ้าขอบอกว่า การที่คริสเตียนต้องถูกติเตียนจากคนต่างศาสนาในเรื่องของการประพฤตินั้นเป็นสิ่งที่น่าอายที่สุด. เรื่องที่อับราฮามพูดโกหกแล้วถูกอะบีเมเล็คต่อว่านั้น เป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในพระคัมภีร์. เราอย่าได้ไปทําอะไรที่แม้แต่พวกต่างศาสนา, ผู้คนในโลก, หรือชาวอียิปต์ก็ยังเห็นว่าคริสเตียนไม่ควรทํา เราต้องแบ่งแยก.
2. เรื่องที่ไม่สอดคล้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
นอกจากนี้ เรื่องใดก็ตามที่ทําให้ท่านไม่สอดคล้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ต้องขจัดทิ้งไป. ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องรับความอัปยศอยู่ในโลก เราก็ไม่ควรไปแสวงหาสง่าราศีในโลก ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเหมือนกับโจร จะให้เราเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปก็คงไม่ได้ ขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดําเนินอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงถูกกล่าวหาว่ามีผีสิง ดังนั้นเราก็ไม่ควรให้ผู้อื่นกล่าวว่า เราเป็นคนมีความคิดดี, เฉลียวฉลาด, หรือมีหลักเหตุผล. เส้นทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเดินผ่านมานั้นเป็นอย่างไร เส้นทางของเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ดังนั้นอะไรก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ต้องขจัดทิ้งไป.
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “สาวกย่อมไม่เหนือกว่าอาจารย์ หรือทาสไม่เหนือกว่านายของ ตน” (มธ.10:24). ถ้าชาวโลกปฏิบัติต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างหนึ่ง เราก็ไม่ควรไปคาดหวังให้เขาปฏิบัติต่อเราอีกอย่างหนึ่ง. ถ้าเขาปฏิบัติต่ออาจารย์ของเราอย่างหนึ่ง เราก็อย่าไปหวังให้เขาปฏิบัติต่อเราอีกอย่างหนึ่ง. ไม่อย่างนั้นก็แสดงว่าเราต้องมีอะไรผิดปกติ หรือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องเกิดปัญหาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่บนโลกต้องเผชิญกับสภาพการณ์อย่างไร เราก็ต้องพบกับสภาพการณ์อย่างนั้น.
เมื่อเราติดตามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เราก็ต้องพร้อมที่จะรับความอัปยศ ไม่ใช่รับสง่าราศี เมื่อติดตามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ก็แสดงว่าเราพร้อมที่จะแบกกางเขนแล้ว. ตอนที่ผู้คนเห็นพระองค์ พระองค์ก็บอกคนเหล่านั้นว่า ถ้าผู้ใดจะตามพระองค์ ผู้นั้นก็ต้องแบกกางเขนแล้วค่อยตามพระองค์. พระองค์ทรงพูดเช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่หน้าประตูใหญ่แล้ว ไม่ใช่รอให้เขาเข้ามาในห้องก่อนแล้วจึงค่อยตรัสเช่นนี้ พระองค์ตรัสเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเข้ามาว่า ถ้าผู้ใดจะติดตามพระองค์ก็ต้องแบกกางเขน. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกท่านมาก็เพื่อจะให้ท่านแบกกางเขน นี่คือหนทางที่พวกเราเดิน หนทางที่เราติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าก็มีแต่ทางนี้เท่านั้น พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับโลกนี้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลกนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์ของเรากับโลกและความสัมพันธ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับโลก จะต้องสอดคล้องกัน แตกต่างกันไม่ได้.
ฆะลาเตีย 6:14 แสดงให้เราเห็นว่า กางเขนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับโลก. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ฟากนี้ ฝ่ายโลกอยู่อีกฟากหนึ่ง โดยมีกางเขนคั่นอยู่ตรงกลาง ท่าทีที่เรามีต่อฝ่ายโลกจะต้องผ่านกางเขน. ในเมื่อโลกได้ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ที่กางเขน ดังนั้นฝ่ายโลกจึงอยู่อีกฟากหนึ่งของกางเขน. ในเมื่อวันนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าจะไปหาฝ่ายโลกก็ต้องผ่านกางเขนเสียก่อน แต่กางเขนไม่ใช่สิ่งที่เราจะข้ามไปได้ เพราะกางเขนนั้นเป็นทั้งข้อเท็จจริงและประวัติศาสตร์. ทั้งข้อเท็จจริงและประวัติศาสตร์ต่างก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อโลกได้ตรึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไว้ที่กางเขน ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเดินทางอื่นได้ ในเมื่อกางเขนเป็นข้อเท็จจริง การที่โลกนี้ถูกตรึงไว้สําหรับข้าพเจ้าแล้วก็ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่นิรันดร์. ถ้ากางเขนเป็นสิ่งที่เราไปลบล้างไม่ได้ การที่โลกนี้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนก็ย่อมเป็นสิ่งที่เราไปลบล้างไม่ได้เช่นเดียวกัน วันนี้ถ้าไม่เอากางเขนออกไปก่อน ข้าพเจ้าก็ข้ามฟากไปหาฝ่ายโลกไม่ได้ แต่ในเมื่อกางเขนยังอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าก็ย่อมหลบเลี่ยงไปไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจึงอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของกางเขน.
สมมุติว่า พ่อแม่หรือพี่น้องของคนผู้หนึ่งถูกฆ่า. หากมีใครหาเหตุผลมาแก้ต่างให้กับฆาตกร คนผู้นั้นก็คงจะกล่าวว่า “ญาติของฉันตายไปแล้ว แก้ต่างไปก็เปลี่ยนข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ ถ้าญาติของฉันยังไม่ตายก็ยังพอจะพูดกันได้. แต่นี่เขาตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว” หลักการเดียวกัน เราอาจกล่าวว่ากางเขนก็อยู่ที่นี่แล้ว ยังมีอะไรต้องพูดกันอีก. โลกนี้ได้ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไว้ที่กางเขนแล้ว. ในเมื่อวันนี้เรายืนอยู่ฟากเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงได้แต่กล่าวว่า “โลกเอ๋ย เมื่อเจ้ามองฉันจากจุดที่เจ้ายืนอยู่นั้น ฉันก็คือคนที่ถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว และเมื่อฉันมองเจ้าจากฟากนี้ ฉันก็เห็นเจ้าถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว วันนี้ทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจติดต่อกันได้. เจ้าจะข้ามมาก็ไม่ได้ หรือเราจะข้ามไปก็ไม่ได้ กางเขนยังคงเป็นข้อเท็จจริง. ในเมื่อฉันลบล้างกางเขนไม่ได้ ฉันก็ย่อมนําฝ่ายโลกมาอยู่ฟากนี้ไม่ได้. องค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงตายแล้ว สองฝ่ายนี้หมดทางคืนดีกันแล้ว”
เมื่อท่านมองเห็นกางเขนแล้ว ท่านก็จะพูดได้ว่า “ข้าพเจ้าขอโอ้อวดกางเขน. สําหรับข้าพเจ้า โลกนี้ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว และสําหรับโลก ข้าพเจ้าก็ถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว (ฆต.6:14)” ถึงอย่างไรกางเขนก็ยังคงเป็นประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงตลอดไป. ในเมื่อเราเป็นคริสเตียน เราย่อมอยู่คนละฟากกับฝ่ายโลก โดยมีกางเขนคั่นอยู่ตรงกลาง. เมื่อเราเปิดตา อย่างไรเราก็มองเห็นกางเขนก่อน. ถ้าเราอยากมองเห็นฝ่ายโลก เราก็ต้องมองเห็นกางเขนก่อน.
ผู้แรกเชื่อคนหนึ่งจะต้องถูกองค์พระผู้เป็นเจ้านําพาไปถึงขั้นที่เขามองเห็นว่า สภาพการณ์ของเขาจะต้องสอดคล้องกับสภาพการณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลายคนก็มีคําถามมากมายว่า “ถ้าฉันทําอย่างนี้แล้ว จะไปแตะต้องฝ่ายโลกหรือไม่?” หรือ “ฉันจะทําอย่างนั้นได้ไหม?” เราคงไม่อาจบอกกับท่านไปทีละอย่างๆ ได้ เราได้แต่บอกให้ท่านรู้ถึงหลักการทั่วไปเท่านั้น ฝ่ายโลกย่อมขัดกับกางเขนนั้น และฝ่ายโลกยังขัดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย ดังนั้นถ้าใจของท่านเปิดออก ไม่แข็งขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านก็จะสามารถแยกแยะฝ่ายโลกกับกางเขนออกจากกันได้อย่างชัดเจน.
อะไรอยู่ฝ่ายโลก? อะไรไม่อยู่ฝ่ายโลก? ขอเพียงท่านไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็จะรู้เอง. ขอเพียงท่านถามว่า “ความสัมพันธ์ของฉันกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร แล้วในเวลาที่ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร?” ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับชาวโลก เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับชาวโลก อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฐานะของท่านไม่เหมือนกับฐานะขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างนั้นก็ผิดแล้ว. พระเมษโปดกทรงถูกฆ่า และเราก็เป็นผู้ที่ติดตามพระเมษโปดก. ไม่ว่าพระเมษโปดกจะเสด็จไปที่ไหน เราก็ตามเสด็จไป” (วว.14:4). เรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนยืนอยู่บนฐานะเดียวกัน. สิ่งใดที่ขัดแย้งกับฐานะขององค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นก็คือฝ่ายโลก และเราก็ต้องหลุดพ้นจากสิ่งนั้น.
3. เรื่องที่ทําให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราดับมอด
การซื้ออกมาทีละอย่างๆ ว่าสิ่งใดคือฝ่ายโลกนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะจะซื้อย่างไรก็ไม่หมด แต่มีหลักการพื้นฐานอย่างหนึ่งที่เราต้องยึดไว้: เรื่องใดก็ตามที่ทําให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่าน ซึ่งอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าดับมอดลง เรื่องนั้นก็คือฝ่ายโลก. ถ้าสิ่งใดทําให้ท่านไม่ร้อนรนในการอธิษฐานอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอีกต่อไป สิ่งนั้นก็คือฝ่ายโลก. ถ้าสิ่งใดทําให้เราเลิกสนใจในการอ่านพระคัมภีร์ สิ่งนั้นก็คือฝ่ายโลก. ถ้าสิ่งใดทําให้เราไม่เปิดปากเป็นพยานต่อหน้าผู้คน สิ่งนั้นก็คือฝ่ายโลก. ถ้าเรื่องใดทําให้การเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องถูกขวางกั้น หรือเป็นเหตุให้ท่านต้องสารภาพบาป เรื่องนั้นก็คือฝ่ายโลก ฝ่ายโลกคือบรรยากาศอย่างหนึ่งซึ่งทําให้เราเย็นชืดและห่อเหี่ยวไป ทั้งยังทําให้ใจที่รักและปรารถนาในองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับเย็นชาลงไป ดังนั้นในที่นี้เราจะมองเห็นหลักการกว้างๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือ สิ่งใดก็ตามซึ่งทําให้สภาพการณ์ฝ่ายวิญญาณของเราที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าต้องดับมอดไป สิ่งนั้นก็คือฝ่ายโลก. เราต้องปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ให้หมด.
มีคนมากมายอาจบอกว่า “เรื่องนี้ไม่บาปเลย นับเป็นฝ่ายโลกด้วยหรือ?” มีหลายเรื่องที่ดูตามสายตาของมนุษย์แล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ถ้าเราไปทําสักครั้งสองครั้ง ไฟที่อยู่ในตัวเราก็ไม่โชติช่วงอีกต่อไป. มโนธรรมของเราก็อ่อนแอเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พอไปทําเรื่องนั้นแล้ว เราก็ไม่มีรสชาติในการอ่านพระคัมภีร์แล้ว ถึงจะมีเวลาก็ไม่อยากอ่าน พอไปทําเรื่องนั้นแล้ว ข้างในเราก็รู้สึกว่างเปล่าและไม่มีอะไรจะเป็นพยานต่อหน้ามนุษย์อีก ดังนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าบาปหรือไม่ แต่ประเด็นคือเรื่องนั้นทําให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา ดับมอดไปหรือเปล่า. เรื่องใดที่ทําให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราดับมอดไป เราก็ต้องปฏิเสธเรื่องเหล่านั้นต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง.
4. เรื่องที่ทําให้เราไม่อาจแสดงตนว่าเป็นคริสเตียน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังต้องเอ่ยถึง – ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น. การคบค้าสมาคม, การไปมาหาสู่, หรือกิจกรรมทางสังคมใดๆ ที่เป็นเหตุให้เราต้องครอบตะเกียงของเราไว้ใต้ถัง นั่นก็คือฝ่ายโลก. หลายครั้งการเป็นเพื่อน, การคบค้าสมาคม, หรือการติดต่อไปมากันระหว่าง เรากับชาวโลก ก็บีบให้เราต้องเอาถังมาครอบแสงสว่างของเราไว้. เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เราก็ไม่อาจยืนขึ้นแสดงตัวว่าเป็นคริสเตียนได้ ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น ท่านก็ต้องแสร้งทําตามมารยาท ต้องทนฟังเขาพูด และยังต้องฝืนยิ้มอีก. ข้างในท่านรู้สึกถูกบีบคั้น แต่ใบหน้าท่านก็ยังต้องยิ้ม. ข้างในท่านรู้สึกว่านี่คือฝ่ายโลก แต่ข้างนอกต้องทําเป็นเห็นด้วย ข้างในท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้บาป แต่ข้างนอกต้องพูดว่าถูกแล้ว. ท่านอย่าได้ไปมาหาสู่กับผู้อื่นในลักษณะนี้เด็ดขาด. หลายคนเป็นลูกของพระเจ้า แต่ก็ค่อยๆ ถูกดูดกลืนไปสู่ฝ่ายโลก เพราะเขาไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนในเรื่องการคบค้าสมาคมและการไปมาหาสู่กับผู้คน.
ดังนั้นพี่น้องผู้แรกเชื่อทุกคนจะต้องรู้จักฐานะของตนเองให้ชัดเจนตั้งแต่แรก และต้องมีการเลือกสรร ไม่ใช่ว่าเราจงใจตัดขาดจากสังคม. เราไม่ใช่โยฮันผู้ให้บัพติศมาที่ไม่กินไม่ดื่ม แต่เราติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยังต้องกินต้องดื่ม. ทว่าในการคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนั้น เราจะต้องรักษาฐานะของเราไว้. ใครจะมาละเมิดจุดยืนในฐานะคริสเตียนของเราไม่ได้ เขาจะต้องเคารพในจุดยืนของเรา. เมื่อข้าพเจ้ายืนอยู่ในฐานะที่เป็นคริสเตียนแล้ว แม้จะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ข้าพเจ้าก็ยังคงต้องยืนให้มั่นคง.
ดังนั้นหากเราต้องการเลือกหนทางที่แบ่งแยกจากฝ่ายโลกอย่างแท้จริงแล้ว เราก็ต้องใส่ใจว่า ทุกครั้งที่เราคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เราต้องสามารถแสดงตนว่าเป็นคริสเตียนได้. ถ้าเรื่องใด ทําให้เราไม่สามารถแสดงตนอย่างนี้ได้ เราหลีกหนีจากเรื่องนั้นจะดีกว่า. บทเพลงสรรเสริญบทที่ 1 กล่าวว่าเราต้องไม่ “ยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย” ถ้าท่านอยู่ในหนทางเดียวกันกับที่คนบาปเดิน อีกไม่นานท่านก็จะลงเอยอยู่ที่เดียวกับพวกเขา ถ้าท่านอยู่ด้วยกันกับคนเหล่านั้นที่ไม่ยําเกรง อีกไม่นานท่านก็จะไม่ยําเกรงไปด้วย. ความบาปและความไม่ยําเกรงนั้นสามารถแพร่ติดต่อกันได้. เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะหลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้น เหมือนกับที่เราต้องออกห่างจากเชื้อโรค.
5. เรื่องที่ผู้เชื่อที่อ่อนแอเห็นว่าไม่ควรทํา
เรื่องใดก็ตามที่ทําให้มโนธรรมที่อ่อนแอต้องสะดุดล้ม ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่นับเป็นฝ่ายโลก. ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เราได้กล่าวถึงเรื่องที่ชาวโลกเห็นว่าคริสเตียนไม่ควรทํา แต่ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเรื่องที่คริสเตียนที่ยังอ่อนเยาว์เห็นว่าไม่ควรทํา ถ้าพวกต่างศาสนาเห็นว่าเราไม่ควรทําเรื่องใด แล้วเรายังขึ้นทําเรื่องนั้น เราก็จะสูญเสียพยาน. ทํานองเดียวกัน ถ้าคริสเตียนที่ยังอ่อนเยาว์และอ่อนแอเห็นว่าเรื่องใดไม่ควรทํา เราก็อย่าได้ไปทํา. นี่คือพระบัญชาที่อยู่ในพระคัมภีร์. สิ่งที่ใช้ตัดสินว่าเรื่องใดทําได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ถ้อยคําของคริสเตียนที่เข้มแข็ง แต่เป็นถ้อยคําของคริสเตียนที่อ่อนแอ. แม้สิ่งที่เขาพูดก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง และสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นข้อห้ามก็อาจเป็นสิ่งที่ทําได้ แต่เนื่องจากมโนธรรมของพวกเขาอ่อนแอ เราจึงต้องระวังไม่ให้พวกเขาสะดุดล้ม. พวกเขาอาจคิดว่าท่านเดินทางผิด. ถ้าท่านยังเดินต่อไป ท่านก็ทําให้เขาสะดุดล้ม. เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทําสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะมีประโยชน์” (1กธ.6:12). สิ่งสารพัดล้วนทําได้ แต่สิ่งใดที่พวกเขาเห็นว่าเป็นของฝ่ายโลก ท่านก็อย่าได้ไปทํา. ที่ท่านไม่ทําก็เพราะเห็นแก่เขา.
ในตัวอย่างที่เปาโลยกมาพูดนั้นกล่าวว่า ถ้าการกินเนื้อทําให้พี่น้องคนอื่นต้องสะดุดล้ม เขาจะไม่ขอกินเนื้อเลย. นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย. ใครจะสามารถเลิกกินเนื้อตลอดไปได้? เปาโลไม่ได้พูดเช่นนี้เพราะเขาสนับสนุนการไม่กินเนื้อ. เปาโลกล่าวไว้ใน 1 ติโมเธียวอย่างชัดเจนว่า การห้ามกินเนื้อนั้นเป็นสิ่งที่ผิด. แต่ในที่นี้เปาโลได้แสดงให้เราเห็นว่า เขายินดีทําเช่นนี้จนสุดขั้ว สําหรับเขาเองแล้ว เขาจะได้กินเนื้อหรือไม่กินเนื้อก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะชัดเจนต่อสิ่งที่ตัวเองกระทํา แต่บรรดาคนที่ติดตามเขาก็อาจจะไม่ชัดเจน. แม้เขาจะรู้ว่าเขาทําได้แค่ไหนแล้วต้องหยุด แต่คนเหล่านั้นที่ติดตามมาอาจจะไม่รู้. ถ้าคนเหล่านั้นยังก้าวต่อไปอีก แล้วจะทําอย่างไร? ท่านเองกินเนื้อได้ไม่เป็นไร แต่อีกไม่นานบรรดาคนที่ติดตามท่านจะไปกินเนื้อเซ่นไหว้ที่อยู่ในวัด หรืออาจถึงขั้นกราบไหว้รูปเคารพด้วย มีหลายอย่างที่ไม่แน่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายโลกโดยตรง แต่ในเมื่อคนอื่นเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก เราก็ต้องระมัดระวังให้ดี.
III. ออกมาจากท่ามกลางฝ่ายโลก เพื่อจะเป็นที่ยินดีรับไว้โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงพรั่งพร้อมสมบูรณ์
ใน 2 โกรินโธ 6:17-18 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า เจ้าทั้งหลายจงออกมาจากท่ามกลางเขาเหล่านั้น และถูกแบ่งแยกอยู่ต่างหาก อย่าแปดเปื้อนด้วยสิ่งซึ่งมลทิน และเราจะรับเจ้าไว้ และ “เราจะเป็นบิดาของเจ้า และเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการได้ตรัสดังนั้น.”
ในพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่ม คําว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ” ถูกใช้ เป็นครั้งแรกใน 2 โกรินโธบทที่ 6. “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ” ก็คือ “เอลชัดได (El Shaddai)” ในภาษาเย็บราย. “เอล” หมายถึงพระเจ้า “ชัด” หมายถึงเต้านม หรือน้ํานมของมารดา; และ “ชัดได” ก็ชี้ถึงสิ่งที่มีน้ํานม. ในภาษาเย็บราย “ชัดได” จึงหมายถึงความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ทุกครั้งที่พันธสัญญาเดิมเอ่ยถึง “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” นั่นก็คือ “เอลชัดได” ซึ่งน่าจะแปลเป็น “พระเจ้าผู้ทรงพรั่งพร้อมสมบูรณ์” น้ํานมของมารดาก็คือทุกสิ่งที่ลูกน้อยต้องการ. ทรวงอกของแม่มีน้ํานม และการหล่อเลี้ยงทั้งสิ้นซึ่งท่านต้องการก็อยู่ที่นี่ รากศัพท์ของคําว่า “ชัดได” ก็คือ “ทรวงอกของแม่” ซึ่งหมายความว่า เมื่อมีพระเจ้าผู้นี้ เราก็มีทุกสิ่ง.
ใน 2 โกรินโธ 6:17 บอกเราว่า ถ้าเราออกมาจากท่ามกลางพวกเขาและไม่ไปสัมผัสกับสิ่งที่ไม่สะอาดเหล่านี้ พระเจ้าก็จะทรงรับเราไว้และจะทรงเป็นพระบิดาของเรา และเราก็จะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์ นี่เป็นพระที่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรง “พรั่งพร้อมสมบูรณ์” ได้ตรัสไว้. เราจะเห็นได้ว่า นี่ไม่ใช่ถ้อยคําที่พูดกันลอยๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าคล้ายกับจะตรัสว่า “พวกเจ้าอุตส่าห์ออกมาจากสิ่งต่างๆ มากมายเหล่านี้เพื่อเรา ทั้งออกมาจากท่ามกลางพวกเขา, แบ่งแยกกับเขา, ตัดสัมพันธ์กับเขา, ไม่แตะต้องสิ่งมลทิน. ตอนนี้สองมือของเจ้าจึงว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรแล้ว. ในเมื่อเจ้าได้ทําเช่นนี้แล้ว เราก็ยินดีรับเจ้าไว้.”
โปรดจําไว้ว่า ทุกคนที่รู้สึกว่าตนเป็นที่ยินดีรับไว้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเป็นผู้ที่แบ่งแยกจากฝ่ายโลก. หลายคนไม่รู้สึกถึงความประเสริฐเลิศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลาที่เขามาเข้าเฝ้าพระองค์ ก็เพราะเขายังไม่ถือว่าสิ่งสารพัดเป็นเหมือนหยากเยื่อ. ใครที่ยังไม่เห็นว่าสิ่งสารพัดเป็นหยากเยื่อก็แสดงว่าเขาต้องถือว่าของบนโลกนี้เป็นสิ่งประเสริฐเลิศอย่างแน่นอน คนเช่นนี้ย่อมไม่เข้าใจถึงการเป็นที่ยินดีรับไว้ของพระเจ้า และไม่เข้าใจถึงการที่พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา และเราเป็นบุตรชายบุตรหญิงของพระเจ้า ทั้งยังไม่รู้ว่าผู้ที่ตรัสเช่นนี้ก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงพรั่งพร้อมสมบูรณ์. ท่านมองเห็นความหมายที่พิเศษของคําว่า “ชัดได” ในที่นี้หรือไม่? คําว่า “ชัดได” เพิ่งถูกเอ่ยถึงในที่นี้ เพราะเมื่อเราได้ทิ้งทุกสิ่งไปหมดแล้ว เราก็จําเป็นต้องมีพระเจ้าเป็น “ชัดได” ต้องมีพระบิดาผู้พรั่งพร้อมสมบูรณ์.
ดังนั้นบทเพลงสรรเสริญ 27:10 จึงบอกเราว่า ถ้าบิดามารดาทอดทิ้งเราไป พระยะโฮวาจะทรงรับเราไว้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระองค์จะทรงเป็นพระบิดาของเรา. ในบทเพลงสรรเสริญ 73:26 ยังบอกว่า เมื่อเนื้อหนังและใจของเราเสื่อมถอยไป พระเจ้าก็จะทรงเป็นศิลาแห่งใจของเราและเป็นส่วนของเราเป็นนิตย์. ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ความหวานชื่นทุกอย่าง ล้วนเริ่มต้นมาจากประสบการณ์เช่นนี้ ทางฟากโน้นท่านจะต้องละทิ้งเสียก่อน ทางฟากนี้ท่านจึงจะได้รับ. คนตาบอดผู้นั้นจะต้องถูกขับออกจากธรรมศาลาก่อน เขาจึงค่อยพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า (ยฮ.9:35). ถ้าท่านยังคงอยู่ในธรรมศาลาก็จะไม่มีวันได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าเราถูกขับออกไปแล้ว เราก็จะได้เห็นอย่างแน่นอนว่า พระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่บนตัวเรา.
ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่เป็นผู้แรกเชื่อจึงต้องออกมาจากฝ่ายโลกเสียก่อน จากนั้นเราจึงจะได้ ลิ้มรสความหวานชื่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า. เมื่อเราทิ้งสิ่งที่อยู่ฟากโน้นไปแล้ว เราจึงจะลิ้มรสความประเสริฐเลิศขององค์พระผู้เป็นเจ้าทางฟากนี้ได้.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 1 บทที่ 5 ตั้งแต่ หน้า 62 - 75
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. การวางมือ - หลักความจริงที่เป็นฐานราก
II. ความหมายของการวางมือ
1. การประสานสนิท
2. ถ่ายเทพระพร
III. พระกายของพระคริสต์และการชโลม
1. พระเจ้าทรงชโลมน้ำมันลงบนทั้งพระกายของพระคริสต์
2. รับการชโลมโดยยืนอยู่ในฐานะของพระกาย
IV. จะรับการวางมือกันอย่างไร
1. ต้องนอบน้อมต่ออำนาจของศีรษะ
2. ต้องมองเห็นความสำคัญของการประสานสนิท
3. ต้องมองเห็นว่าเรามีชีวิตเป็นอยู่โดยพึ่งทั้งพระกาย
V. สองกรณีที่มีการวางมือในหนังสือกิจการ
1. ที่มณฑลซะมาเรีย
2. ที่เมืองเอเฟโซ
VI. กรณีที่เป็นข้อยกเว้นในพระคัมภีร์
VII. ต้องเดินไปด้วยกันกับทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า
ข้อพระคัมภีร์: ฮร.6:1-2; กจ.8:14-17; 19:5-6; บพส.133; ลวต.1:4; 3:2, 8, 13; 4:4, 15, 24, 29, 33
ฮร.6:1 เมื่อกาลก่อน พระเจ้าได้ตรัสแก่บรรพบุรุษโดยผู้เผยพระวจนะไว้หลายส่วนและในหลายด้าน
ฮร.6:2 แต่ในวาระสุดท้ายนี้ได้ตรัสแก่เราในพระบุตร ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก และโดยพระบุตรนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างจักรวาล
กจ.8:14 เมื่อพวกอัครทูตซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่าชาวซะมาเรียได้รับคำของพระเจ้าแล้ว จึงใช้เปโตรกับโยฮันไปหาพวกเขา
กจ.8:15 ครั้นทั้งสองมาถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาให้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
กจ.8:16 เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังมิได้ลงมาอยู่บนตัวผู้ใดในท่ามกลางพวกเขาเพียงแต่ได้รับบัพติศมาเข้าสู่พระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น.
กจ.8:17 เปโตรกับโยฮันจึงวางมือบนพวกเขา แล้วเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์.
กจ.19:5 เมื่อได้ฟัง[เช่นนี้] พวกเขาจึงรับบัพติศมาเข้าสู่พระนามขององค์พระเยซูเจ้า
กจ.19:6 เมื่อเปาโลได้วางมือบนพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนตัวเขาทั้งหลาย เขาจึงพูดภาษาต่างๆ และได้เผยพระวจนะ.
บพส.133:1 จงดูเถอะ, ซึ่งพวกพี่น้องอาศัยอยู่พร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดีและอยู่เย็นเป็นสุขมากเท่าใด!
บพส.133:2 เป็นเหมือนน้ำมันอย่างประเสริฐบนศีรษะอันไหลลงมาที่เครา, คือเคราของท่านอาโรน; แล้วลงไปถึงชายเสื้อของท่าน;
บพส.133:3 เป็นเหมือนน้ำค้างที่ภูเขาเฮระโมน, อันย้อยตกลงมาที่ภูเขาแห่งเมืองซีโอน: เพราะว่าพระยะโฮวาได้ทรงประทานพระพรที่นั่น, ให้ชีวิตอันเจริญเป็นนิตย์
ลวต.1:4 และจงให้เขาวางมือบนหัวสัตว์บูชาเผานั้น และเครื่องบูชานั้นจะเป็นที่ยินดีรับไว้และเป็นที่ปกปิดบาปของผู้นั้น.
ลวต.3:2 ให้คนนั้นวางมือของตนลงบนหัวสัตว์ที่จะถวายแล้วฆ่าสัตว์นั้นที่ประตูกระโจมประชุม และปุโรหิตบุตรหลานของอาโรนจะเอาเลือดนั้นมาประพรมบนและรอบแท่นบูชา.
ลวต.3:8 ให้ผู้นั้นวางมือของตนลงบนหัวของเครื่องบูชานั้น แล้วฆ่ามันเสียที่หน้ากระโจมประชุมและบุตรหลานของอาโรนจะเอาเลือดนั้นมาประพรมบนและรอบแท่นบูชา.
ลวต.3:13 ให้ผู้นั้นวางมือของตนลงบนหัวสัตว์ที่จะถวายและฆ่าสัตว์ที่หน้ากระโจมประชุมและบุตรหลานของอาโรนจะเอาเลือดนั้นประพรมบนหน้าและรอบแท่นบูชา.
ลวต.4:4 ละให้เขาเอาโคตัวผู้นั้นมาถึงประตูกระโจมประชุมต่อพระพักตร์พระยะโฮวา แล้ววางมือบนหัวโคและให้เขาฆ่าโคนั้นต่อพระพักตร์พระยะโฮวา.
ลวต.4:15 และพวกผู้อาวุโสของชุมนุมชนจะวางมือของตนลงบนหัวโคผู้นั้นต่อพระพักตร์พระยะโฮวา และให้ฆ่าโคผู้นั้นต่อพระพักตร์พระยะโฮวา.
ลวต.4:24 ให้ผู้นั้นวางมือของตนลงบนหัวแพะนั้น และฆ่าเสียในสถานที่ซึ่งเขาฆ่าสัตว์ของเครื่องบูชาเผาต่อพระพักตร์พระยะโฮวาให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป.
ลวต.4:29 และให้ผู้นั้นวางมือลงบนหัวสัตว์ของเครื่องบูชาไถ่บาปนั้นและฆ่าสัตว์บูชาไถ่บาปเสียในสถานที่สำหรับฆ่าสัตว์บูชาเผานั้น.
ลวต.4:33 ให้ผู้นั้นวางมือของตนลงบนหัวสัตว์ของเครื่องบูชาไถ่บาป และฆ่าเสียในสถานที่ฆ่าสัตว์ของเครื่องบูชาเผานั้นเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป.
------------------------------
พระคัมภีร์ได้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า คนเราจะต้องรับบัพติศมา. พระคัมภีร์ยังแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนด้วยว่า เราจะต้องรับการวางมือ. เราจะเห็นเรื่องนี้ได้จากสองกรณีที่อยู่ในหนังสือกิจการ คือที่มณฑลซะมาเรียและที่เมืองเอเฟโซ. ทั้งสองกรณีนี้ล้วนมีการวางมือต่อจากการรับบัพติศมา เราจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นี่คือภาคปฏิบัติของเหล่าอัครทูตในเวลานั้น ถ้าวันนี้ ลูกของพระเจ้าได้แต่รับบัพติศมาโดยไม่มีการวางมือ ประสบการณ์ของเขาก็ย่อมจะไม่ครบถ้วน. พระคัมภีร์มีทั้งคําสอนและแบบอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้.
I. การวางมือ - หลักความจริงที่เป็นฐานราก
เฮ็บราย 6:1 บอกเราว่า เราควรละจากพระคําเบื้องต้นของพระคริสต์ และเพียรพยายามมุ่งหน้าไปจนบรรลุถึงความครบสมบูรณ์และความสุกงอม. ในชีวิตคริสเตียนนั้นมีหลักความจริงอยู่หลายอย่างซึ่งเป็นฐานรากที่เราจะปล่อยปละหละหลวมไม่ได้ แม้ผู้เชื่อทั้งหลายไม่ควรต้องกลับมาวางฐานรากซ้ําแล้วซ้ําอีก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องมีการวางฐานรากกันก่อน. พระคําเบื้องต้นของพระคริสต์คืออะไร? พระคําเหล่านี้ได้แก่ การกลับใจเสียใหม่, ความเชื่อ, บัพติศมา, การวางมือ, การเป็นขึ้น, และการพิพากษา, พระคัมภีร์ได้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า บัพติศมาและการวางมือนั้นเป็นฐานรากแห่งพระคําของพระคริสต์, ถ้าเรารับบัพติศมาแต่ไม่ได้รับการวางมือ การติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราก็จะขาดฐานรากนี้ไป.
ความผิดพลาดของคริสตจักรในวันนี้ไม่เหมือนกับความผิดพลาดของผู้เชื่อชาวเย็บรายในเวลานั้น ผู้เชื่อชาวเย็บรายเหล่านั้นได้วางฐานรากเอาไว้แล้ว แต่ยังอยากจะวางฐานรากซ้ําอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วคริสตจักรในวันนี้เป็นอย่างไร? คริสตจักรในวันนี้ได้มุ่งหน้าไปแล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้วางฐานรากให้ดีก่อน. อัครทูตได้บอกกับผู้เชื่อชาวเย็บรายให้ละจากพระคําเบื้องต้นของพระคริสต์ และเพียรพยายามมุ่งหน้าไปจนบรรลุถึงความครบสมบูรณ์และความสุกงอม. แต่คริสเตียนในวันนี้มุ่งหน้าไปโดยที่ยังไม่ได้วางฐานรากให้ดีก่อน คือรีบร้อนจนเกินไป. ท่านต้องมองเห็นว่า การวางมือคือหนึ่งในฐานรากแห่งพระคําของพระคริสต์.
II. ความหมายของการวางมือ
เราเคยเอ่ยถึงการรับบัพติศมาและสิ่งที่บัพติศมาได้กระทําสําเร็จเพื่อเราไปแล้ว. บัพติศมาทําให้เราได้รับความรอดช่วยเราให้หลุดพ้นออกจากฝ่ายโลก ขณะเดียวกันบัพติศมายังวางเราไว้ในพระคริสต์ให้เรามีส่วนในการเป็นขึ้นของพระคริสต์ด้วย. แล้วการวางมือได้ทําอะไรสําเร็จเพื่อเราบ้าง? การวางมือมีความหมายว่าอย่างไร?
สําหรับคําถามเหล่านี้เราสามารถหาคําตอบได้จากเลวีติโกบทที่ 1, 3, และ 4. บทเหล่านี้ ได้เอ่ยถึงการวางมือเอาไว้มากที่สุดในพันธสัญญาเดิม. ในพันธสัญญาเดิมการที่คนผู้หนึ่งวางมือไว้บนหัวของสัตว์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร? ความหมายนั้นมีอยู่สองอย่าง.
1. การประสานสนิท
ความหมายอย่างแรกคือการประสานสนิท. ในเลวีติโกบทที่ 1 การวางมือบนหัวสัตว์ ย่อมหมายความว่าผู้ถวายเครื่องบูชาและเครื่องบูชานั้น ได้เข้าสนิทกันเป็นหนึ่ง คําถามมีอยู่ว่า เหตุใดผู้ที่นําเครื่องบูชามาถวายต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปหรือเครื่องบูชาเผาจึงไม่ถวายตัวของเขาเองแทนที่จะถวายโคหรือแกะ? โคและแกะทั้งปวงในโลกนี้ล้วนเป็น ของพระเจ้า สาเหตุที่เขานําโคและแกะมาถวายแด่พระเจ้าจะเป็นเพราะพระเจ้าทรงเห็นว่าโคและแกะหายากหรือ? เมื่อคนผู้หนึ่งมาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขาจะต้องถวายตัวของเขาเอง มิฉะนั้นก็ไม่อาจเป็นที่อิ่มหนําพระทัยของพระองค์ได้.
*** บูชาจึงเป็นการถวายตัวของผู้ถวายเครื่องบูชา ไม่ใช่แค่ถวายโคหรือแกะ
แต่ถ้าข้าพเจ้ามาถวายตัวเองที่แท่นบูชา คือยอมถูกฆ่าสังเวยเป็นเครื่องบูชาเผาอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนเหล่านั้นที่นมัสการพระโมเล็กในพันธสัญญาเดิมมิใช่หรือ? คนที่นมัสการพระโมเล็กไม่ได้ถวายโคหรือแพะให้พระโมเล็ก แต่เอาลูกของตนไปฆ่าสังเวยให้พระโมเล็ก. ถ้าพระเจ้าของเราก็เรียกร้องให้เราต้องนําตัวเองไปฆ่าสังเวยให้พระองค์ พระองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับพระโมเล็กเลย. พระโมเล็กเรียกร้องให้ลูกของเราหลั่งเลือด พระเจ้าก็เรียกร้องให้เราถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชา. ถ้าเราต้องเอาตัวเองไปเผาในกองไฟจริงๆ ก็แสดงว่าข้อเรียกร้องของพระเจ้าของเรายังร้ายกาจยิ่งกว่าข้อเรียกร้องของพระโมเล็กเสียอีก.
ในแง่หนึ่ง ข้อเรียกร้องของพระเจ้าก็เข้มงวดกว่าข้อเรียกร้องของพระโมเล็ก. แต่ขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงมีวิธีให้เราสามารถถวายตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องถูกเผาตาย วิธีที่ว่านี้คืออะไร? นั่นก็คือการนําโคมา แล้ววางมือไว้บนหัวของโคนั้น ส่วนที่สําคัญที่สุดบนตัวโคก็คือหัวของมัน เขาอาจนําแกะมาแล้ววางมือไว้บนหัวของแกะนั้นก็ได้ เมื่อข้าพเจ้าวางมือทั้งสองข้างไว้บนหัวของโคหรือแกะ ข้าพเจ้าก็ได้ประกาศต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าว่า “นี่ก็คือตัวข้าพเจ้า ผู้ที่ต้องอยู่บนแท่นบูชานั้นควรเป็นข้าพเจ้า ผู้ที่ต้องถูกเผาก็ควรเป็นข้าพเจ้า. เดิมข้าพเจ้าสมควรต้องเป็นเครื่องสังเวย สมควรต้องไถ่บาปของตนเอง. ข้าพเจ้าสมควรต้องตาย สมควรต้องถวายตัวเองต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์เป็นเครื่องบูชาเผาอันหอมหวาน พระองค์เจ้าข้า! ข้าพเจ้านําโคตัวนี้มา และวางมือของข้าพเจ้าไว้บนหัวของมัน เพื่อแสดงว่าโคตัวนี้ก็คือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็คือโคตัวนี้ การที่ข้าพเจ้าบอกให้ปุโรหิตฆ่าโคตัวนี้ ก็เท่ากับว่า ข้าพเจ้าเองถูกฆ่าแล้ว เมื่อมันหลั่งเลือด ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้าเองได้หลั่งเลือด. เมื่อมันถูกเรียง ไว้บนแท่นบูชา ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้าเองถูกเรียงไว้บนแท่นบูชา”
ในเวลาที่เรารับบัพติศมาก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? ขณะที่เราลงไปในน้ํา ก็เท่ากับเราได้กล่าวว่า “นี่คือที่ฝังศพของฉัน. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฝังฉันไว้ที่นี่” เรายึดน้ํานั้นเป็นที่ฝังศพของเรา ตอนนี้เมื่อเราวางมือทั้งสองไว้บนหัวของโค เราก็ได้ประสานสนิทกับโคตัวนั้น เมื่อเราถวายโคตัวนั้นแด่พระเจ้า ก็เท่ากับเราได้ถวายตัวเองแด่พระเจ้า เพราะโคตัวนั้นเป็นตัวแทนของเรา.
ดังนั้นการวางมือจึงหมายถึงการประสานสนิท. เมื่อพันธสัญญาเดิมเอ่ยถึงการวางมือ จึงมีความหมายเช่นนี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งกับสัตว์บูชานั้น. สัตว์บูชากับข้าพเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วันนี้เราทั้งสองยืนอยู่ในฐานะเดียวกัน เมื่อสัตว์บูชาถูกนํามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ถูกนํามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วย.
2. ถ่ายเทพระพร
การวางมือในพันธสัญญาเดิมยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ในเยเนซิศ ยิศฮาคได้วางมือบนตัวบุตรชายทั้งสอง. ยาโคบก็วางมือบนตัวเอ็ฟรายิมและมะนาเซผู้เป็นหลานชายของเขา ขณะที่ยาโคบวางมือให้กับหลานชายทั้งสองคนนั้น เขาเอามือแต่ละข้างวางไว้บนศีรษะของหลานแต่ละคนเพื่อจะอวยพรแก่พวกเขา. เขาได้ถ่ายเทพระพรของเขาให้กับหลานชายทั้งสองคน. เขาได้อวยพรแก่ทั้งคู่ และทูลขอพระพรให้แก่พวกเขา. พระพรจึงได้มาถึงพวกเขา และได้ประทานให้แก่ทั้งสองคน.
เราต้องมองเห็นความหมายทั้งสองด้านของการวางมือต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. ด้านหนึ่งคือการร่วมเป็นหนึ่งหรือประสานสนิท ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการถ่ายเท. ทั้งสองด้านล้วนเป็นการสามัคคีธรรมอย่างหนึ่ง. การสามัคคีธรรมย่อมทําให้เราร่วมเป็นหนึ่งกับผู้อื่น และยังถ่ายเทกําลังของเราไปสู่ผู้อื่นด้วย.
III. พระกายของพระคริสต์และการชโลม
เรายังต้องมองเห็นด้วยว่า เหตุใดคริสเตียนอย่างเราจึงต้องรับการวางมือ. หลังจากที่เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและรับบัพติศมาแล้ว เหตุใดจึงต้องให้อัครทูตซึ่งเป็นตัวแทนของพระกายมาวางมือให้กับเราอีก?
1. พระเจ้าทรงชโลมน้ํามันลงบนทั้งพระกายของพระคริสต์
ก่อนอื่น เราต้องอธิบายเกี่ยวกับพระกายของพระคริสต์และการชโลมพอสังเขป. โปรดอ่าน 1 โกรินโธ 12:12-13 และบทเพลงสรรเสริญบทที่ 133. การเป็นคริสเตียนนั้นเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก. อัศจรรย์ตรงไหน? การเป็นคริสเตียนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการที่พระเจ้าจะทรงได้ตัวมนุษย์คนหนึ่งบนโลก. คนผู้นี้ยอมนอบน้อมต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง, เป็นตัวแทนของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง, และดําเนินชีวิตออกซึ่งชีวิตของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง. วันนี้พระเจ้าทรงตั้งมนุษย์ผู้นี้ให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงบนมนุษย์ผู้นี้ ซึ่งก็คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ. ในเวลาที่พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงบนตัวพระเยซูเพื่อให้พระองค์ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระเจ้ามิได้เทพระวิญญาณนี้ลงบนพระองค์อย่างเป็นปัจเจกชน แต่ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงบนศีรษะแห่งพระกาย. น้ํามันชโลมของพระเจ้าถูกเทลงบนพระองค์ผู้เป็นศีรษะ. องค์พระเยซูเจ้ามิได้รับการชโลมจากพระเจ้าในฐานะปัจเจกชน แต่พระเยซูทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงชโลมบนศีรษะของพระองค์ โดยอยู่ในฐานะศีรษะของพระกาย. พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระองค์ทรงรับการชโลมจากพระเจ้าเพื่อพระกาย.
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกเรียกว่าผู้ได้รับการชโลม และเราทั้งหลายก็ถูกเรียกว่าผู้ได้รับการชโลมด้วย พระนามของพระองค์คือ คริสโตส (Christos) ขณะที่ชื่อของเราคือ คริสโตย (Christoi) ซึ่งก็คือ คริสเตียนหรือคนของพระคริสต์. พระองค์เป็นศีรษะ ส่วนคริสตจักรเป็นพระกาย. บนโลกนี้ พระเจ้าไม่ทรงต้องการได้มาซึ่งมนุษย์ที่เป็นปัจเจกชนคนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงต้องการได้มาซึ่งมนุษย์แห่งกลุ่มชนคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคริสตจักร. แต่โดยตัวเองแล้ว คริสตจักรที่อยู่บนโลกนี้ก็ไม่อาจทําให้พระทัยของพระเจ้าอิ่มหนําได้. ไม่อาจกระทําสําเร็จซึ่งสิ่งที่คริสตจักรควรทําได้ และไม่อาจรักษาไว้ซึ่งพยานของพระเจ้าได้ ทั้งนี้ก็เพราะไม่มีฤทธิ์เดช ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงต้องชโลมคริสตจักรด้วยน้ํามัน เมื่อได้รับการชโลมแล้ว คริสตจักรจึงจะสนองข้อเรียกร้องของพระเจ้าได้. การชโลมนี้เล็งถึงอํานาจของพระเจ้า อํานาจของพระเจ้าจึงถูกเทลงมายังคริสตจักรโดยการชโลมนั้น.
พระเจ้ามิได้ชโลมอวัยวะเพียงแห่งเดียว และก็มิได้ชโลมอวัยวะทุกส่วนด้วย แต่พระองค์ทรงชโลมที่ศีรษะเท่านั้น ถ้าลูกของพระเจ้าอยากรู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาก็ต้องรู้จักพระกายก่อน. ทว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ได้ประทานให้พระกาย แต่ได้ประทานให้ศีรษะ. แต่เนื่องจากพระเจ้าทรงชโลมน้ํามันลงบนศีรษะ ทั้งพระกายจึงได้รับการชโลมไปด้วย. ท่านชัดเจนต่อเรื่องนี้แล้วหรือยัง? ผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง และก็ ไม่ใช่ทุกอวัยวะด้วย แต่ผู้ที่ได้รับการชโลมนั้นคือศีรษะ.
2. รับการชโลมโดยการยืนอยู่ในฐานะของพระกาย
ถ้าอย่างนั้น เราจะรับน้ํามันชโลมได้อย่างไร? ถ้าจะรับน้ํามันชโลม เราก็ต้องยืนอยู่ในฐานะของพระกาย ถ้าข้าพเจ้ายืนอยู่ในฐานะของพระกาย และอยู่ในพระกายนั้นในฐานะที่เหมาะสมแล้ว เมื่อน้ํามันถูกชโลมลงบนศีรษะ ก็จะมาถึงข้าพเจ้าอย่างอัตโนมัติ. การชโลมนี้มิได้มีไว้สําหรับข้าพเจ้าคนเดียว เราทูลขอให้พระเจ้าประทานการชโลมให้กับตัวเองอย่างเป็นปัจเจกชนไม่ได้. สาเหตุที่หลายคนไม่ได้รับพระพรต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าก็เป็นเพราะเขาอยากได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเป็นปัจเจกชน อยากได้รับการชโลมอย่างเป็นปัจเจกชน.
โปรดจําไว้ว่า น้ํามันถูกชโลมลงบนศีรษะของอาโรน จากนั้นจึงค่อยไหลไปสู่เครา แล้วไปถึงชายเสื้อของเขาง อาโรนสวมเครื่องแต่งกายยาวกรอมเท้า ปกคลุมทั้งร่างกาย. เมื่อเทน้ํามันลงบนศีรษะของเขาแล้ว น้ํามันก็ไหลไปสู่ส่วนที่อยู่ล่างสุดในร่างกาย. วันนี้เราจะได้รับสุขน้ํามันชโลมหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับการที่เรายืนอยู่บนฐานะที่อยู่ในพระกาย ไม่ใช่สภาพการณ์ของเราที่อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า. ถ้าท่านยืนอยู่ภายใต้ศีรษะ การชโลมก็จะมาถึงท่าน. ถ้าท่านไม่ยืนอยู่ภายใต้ศีรษะ การชโลมก็ไปไม่ถึงท่าน. การได้รับการชโลมไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว และก็ไม่ได้เป็นเรื่องของทั้งพระกายด้วย. แต่ประเด็นคือเราได้อยู่ในพระกายและอยู่ภายใต้ศีรษะหรือไม่. เมื่อพระกายนอบน้อมอยู่ภายใต้ประมุข และยืนอยู่ในฐานะของตัวเอง พระกายก็จะได้รับการชโลม.
ในเส้นทางฝ่ายวิญญาณนั้น เราจําเป็นต้องมีฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์. ถ้ามีการชโลมเป็นกําลังของเราแล้ว เราจึงจะไม่ทําอะไรตามเนื้อหนัง. แต่เราต้องใส่ใจว่า น้ํามันชโลม ย่อมไม่ชโลมลงบนเนื้อหนังของมนุษย์. เราอย่าทําอะไรตามทัศนคติของตัวเอง แต่ต้องทําตามการชโลม. น้ํามันชโลมไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้รับมาด้วยการทูลขอหรือการอธิษฐาน แต่เราจะได้รับการน้ํามันชโลมก็ต่อเมื่อเรามีความสัมพันธ์กับพระกายอย่างถูกต้อง.
เราจะต้องมองเห็นว่า พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวถึงการชโลมของพระกายเลย มีแต่ศีรษะเท่านั้นที่ได้รับการชโลม. แต่เมื่อศีรษะได้รับการชโลม เราทั้งหลายซึ่งเป็นพระกายของพระองค์จึงได้รับการชโลมด้วย น้ํามันชโลมถูกเทลงบนศีรษะของอาโรน ไม่ใช่ร่างกายของเขา แต่น้ํามันชโลมได้ไหลจากศีรษะของอาโรนไปสู่เคราของเขา ไปสู่ชายเสื้อของเขา จนไปทั่วร่างกายของเขา มีแต่คนที่โง่เขลาเท่านั้น จึงจะแสวงหาน้ํามันชโลมสําหรับปัจเจกชนหรือน้ํามันชโลมสําหรับพระกาย ทุกคนล้วนต้องนอบน้อมอยู่ภายใต้ศีรษะ และยืนอยู่ในฐานะที่ศีรษะทรงต้องการให้เขาอยู่ เช่นนี้เราจึงจะได้รับน้ํามันชโลม.
III. จะรับการวางมือกันอย่างไร
1. ต้องนอบน้อมต่ออํานาจของศีรษะ
เราต้องยืนอยู่ภายใต้อํานาจของศีรษะ และต้องเป็นอวัยวะที่อยู่ในพระกายของพระคริสต์ เราอย่าได้คิดว่า ลําพังเราเองก็ใช้ได้แล้ว. เนื้อแท้ที่เราได้รับมาในเวลาที่เราได้รับความรอดนั้น เป็นเนื้อแท้ของอวัยวะ. เนื้อแท้นั้นจะไม่ยอมให้เราโดดเดี่ยว. เราโดดเดี่ยวเมื่อไร เราก็ตายเมื่อนั้น เราจะมีชีวิตก็ต่อเมื่อเราอยู่ในพระกาย.
2. ต้องมองเห็นความสําคัญของการประสานสนิท
เราต้องมองเห็นความสําคัญของการประสานสนิท. เมื่อมองเห็นความสําคัญของการประสานสนิทแล้ว เราจึงจะได้รับพระพรที่ถ่ายเทมาได้ ถ้าเรามองไม่เห็นความสําคัญของการประสานสนิท ก็จะไม่มีพระพรที่ถ่ายเทมา แต่จุดเน้นของการวางมือก็คือการประสานสนิท. แม้การวางมือจะมีผลให้เกิดการถ่ายเทด้วย แต่ความหมายหลักของการวางมือก็ยังคงเป็นการประสานสนิท.
3. ต้องมองเห็นว่าเรามีชีวิตเป็นอยู่โดยพึ่งทั้งพระกาย
ถ้าวันนี้มีพี่น้องวางมือให้แก่ท่าน นั่นย่อมไม่ใช่การกระทําที่ว่างเปล่าหรือส่งเดช. ตาของท่านจะต้องเปิดออกเพื่อจะมองเห็นว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านได้กลายเป็นลูกคนหนึ่งในท่ามกลางลูกๆ มากมาย, กลายเป็นเซลล์หนึ่งในท่ามกลางเซลล์อีกมากมาย, กลายเป็นอวัยวะหนึ่งในท่ามกลางอวัยวะอีกมากมาย. ในเมื่อท่านเป็นอวัยวะ ท่านก็ต้องมีชีวิตเป็นอยู่โดยพึ่งทั้งพระกาย. ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่โดดเดี่ยว ท่านก็ใช้การอะไรไม่ได้และจบสิ้นแล้ว หากท่านหยุดสามัคคีธรรมกับผู้อื่นที่เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเกิดปัญหาทันที ไม่ว่าท่านจะเข้มแข็งสักเท่าไร ท่านก็เอาตัวไม่รอด. ไม่ว่าท่านจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ดีสักเท่าไร แต่ถ้าตัดขาดจากพระกาย ท่านก็ตาย. ความเข้มแข็งของท่านไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะอวดได้ สาเหตุที่ท่านเข้มแข็งก็เพราะ ท่านอยู่ในพระกาย. ถ้าแยกจากพระกาย ท่านก็จบสิ้น นี่คือสิ่งที่การวางมือได้กระทําสําเร็จเพื่อท่าน.
ขณะที่ผู้อื่นวางมือให้ท่าน ท่านจะต้องตระหนักว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจมีชีวิตเป็นอยู่โดยตัวเองได้ ข้าพเจ้าได้แต่ยอมรับว่า ข้าพเจ้าเป็นอวัยวะหนึ่งที่อยู่ในพระกาย ขาดพระกาย ข้าพเจ้าก็มีชีวิตเป็นอยู่ไม่ได้ ขาดพระกาย ข้าพเจ้าก็ไม่มีน้ํามันชโลม.” ท่านชัดเจนหรือไม่? เนื่องจากน้ํามันชโลมได้เทลงบนศีรษะ ดังนั้นท่านกับทุกคนที่เป็นลูกของ พระเจ้าจึงต้องอยู่ภายใต้ศีรษะ ต้องนอบน้อมอยู่ภายใต้อํานาจของศีรษะ ท่านต้องนอบน้อมเป็นการส่วนตัว และยังต้องนอบน้อมร่วมกับผู้อื่นด้วย. ท่านต้องนอบน้อมโดยตรง และยังต้องนอบน้อมโดยอ้อมร่วมกับทั้งพระกายด้วย. ถ้าอย่างนี้ น้ํามันชโลมจึงจะไหลมาถึงท่าน เมื่อท่านยืนอยู่ในฐานะเช่นนี้ น้ํามันชโลมก็จะมาถึงตัวท่านอย่างอัตโนมัติ.
V. สองกรณีที่มีการวางมือในหนังสือกิจการ
1. ที่มณฑลซะมาเรีย
สุดท้าย เราจะมาดูสองกรณีที่เกิดขึ้นในมณฑลซะมาเรียและที่เมืองเอเฟโซ. เมื่อฟิลิปไปประกาศกิตติคุณที่มณฑลซะมาเรีย ผู้คนที่นั่นกลุ่มหนึ่งที่เชื่อและได้รับบัพติศมา แต่คนเหล่านั้นไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์. เมื่อเหล่าอัครทูตในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินถึงเรื่องนี้ ก็มอบหมายให้เปโตรและโยฮันไปที่ชะมาเรีย เพื่อจะไปอธิษฐานให้คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขณะที่พวกเขาอธิษฐาน ก็ได้วางมือแก่คนเหล่านั้น ผลจึงทําให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาบนตัวชาวซะมาเรียเหล่านั้น ให้พวกเขาได้รับการชโลม.
บัพติศมาคือการประกาศว่า เราได้ละทิ้งฝ่ายโลกแล้ว ส่วนการวางมือคือการประกาศว่า เราได้เข้าสู่พระกายแล้ว นี่คือสองด้านของเรื่องเดียวกัน เมื่อเรารับบัพติศมา เราก็ได้ละทิ้งฝ่ายโลกไปแล้ว นั่นคือเรื่องที่อยู่ในด้านลบ. ส่วนอีกด้านหนึ่ง ทันทีที่เรารับการวางมือ เราก็ ได้เข้าสู่พระกาย. ในเมื่อเราได้เข้าสู่พระกายแล้ว เราก็ต้องประสานสนิทกับทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้าและต้องนอบน้อมอยู่ภายใต้อํานาจของศีรษะ เมื่อนำทั้งตัวเราไปวางไว้ภายใต้อํานาจของศีรษะแล้ว เราก็จะมีประสบการณ์ต่อการชโลมที่หลั่งไหลอยู่ภายในทันที ทันทีที่เราอยู่ในฐานะที่ถูกต้อง การชโลมนั้นก็จะไหลมาสู่เรา แต่ถ้าฐานะของเราไม่ถูกต้อง การชโลมก็ไม่อาจไหลมาสู่เราได้. ชาวซะมาเรียเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ก็อยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ลงมาบนตัวเขา. เหล่าอัครทูตจึงมาวางมือบนศีรษะของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นการวางพวกเขาไว้ภายใต้อํานาจของศีรษะ ทั้งยังทําให้พวกเขาเข้าสนิทกันและได้ติดสนิทกับทั้งพระกาย. เมื่อถึงตอนนี้จึงมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น. นั่นคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาบนตัวคนเหล่านั้นและน้ํามันชโลมก็ไหลมาสู่พวกเขา.
2. ที่เมืองเอเฟโซ
ตอนนี้ให้เรามาดูเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเอเฟโซ. ขณะที่เปาโลได้เดินทางไปประกาศกิตติคุณ เขาก็มาถึงเมืองเอเฟโซและพบกับสาวก 12 คนที่เคยได้รับแต่บัพติศมาของโยฮันเท่านั้น เปาโลจึงถามพวกเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อ ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?” พวกเขาตอบว่า “ไม่ เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย” เปาโลจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านได้รับบัพติศมาอะไรเล่า?” (กจ.19:2-3). เปาโลมองออกทันทีว่าพวกเขามีปัญหา คือไม่ได้รับการวางฐานรากที่ถูกต้อง.
คนเราถ้าเชื่อพระเยซูแล้ว เขาจะไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร? นี่แสดงว่าฐานรากของพวกเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เขาได้รับบัพติศมาอะไรกันแน่? เมื่อไต่ถามก็พบสาเหตุทันที พวกเขาเพียงแค่ได้รับบัพติศมาของโยฮันเท่านั้น ยังไม่ถูกวางไว้ในพระคริสต์เลย ดังนั้นเปาโลจึงบอกให้พวกเขารับบัพติศมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเข้าสู่พระนามของพระคริสต์ จากนั้นเปาโลก็วางมือแก่คนเหล่านั้น รับบัพติศมาก่อน จากนั้นจึงวางมือ. ท่านจะต้องเข้าสู่พระกาย นอบน้อมอยู่ภายใต้อํานาจของศีรษะ นี่ก็คือความหมายของการวางมือ.
ถ้าใครยังไม่รับบัพติศมา เขาก็รับการวางมือไม่ได้ เขาจะต้องรับบัพติศมาเสียก่อน คือต้องหลุดพ้นจากฝ่ายโลกและเข้าสู่พระคริสต์ โดยผ่านการตายและการเป็นขึ้น หลังจากนั้น เขายังต้องมองเห็นว่า เขาต้องมีชีวิตเป็นอยู่โดยพึ่งพระกายและต้องนอบน้อมอยู่ภายใต้อํานาจของศีรษะ ถ้าอย่างนี้ เมื่อเขารับการวางมือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะลงมาบนตัวเขาทันที ในที่นี้ เขาจะมีการปรากฏทางภายนอกของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสําคัญ. สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสําคัญคือ สภาพการณ์ที่จะทําให้น้ํามันชโลมไหลมาสู่เขาต่างหาก.
บทเพลงสรรเสริญบทที่ 133 ได้ให้เรามองเห็นว่า ส่วนที่ได้รับการชโลมคือศีรษะ แต่การชโลมที่ศีรษะได้รับก็คือการชโลมที่แต่ละอวัยวะได้รับ. ขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้า เมื่อน้ํามันชโลมไหลลงมาจากศีรษะ เราทั้งหลายที่อยู่ในพระกายก็ได้รับน้ํามันชโลมด้วย เมื่อเราได้รับน้ํามันชโลมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้มีการปรากฏทางภายนอกหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่. ท่านต้องรู้ว่า การปรากฎทางภายนอกที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ข้างนอก จึงไม่ใช่สิ่งสําคัญสักเท่าไร เราเชื่อว่า การปรากฏทางภายนอกเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาบนตัวมนุษย์ในวันนี้ เป็นสิ่งที่มีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการชโลมทางภายใน. ดังนั้นหากเรามีการชโลมแล้ว ภายนอกจะมีการอัศจรรย์ปรากฏขึ้นมาหรือไม่จึงเป็นเรื่องเล็ก. สิ่งสําคัญคือ เราต้องรู้ว่าการชโลมนั้นมาได้อย่างไร. การชโลมนั้นจะมาถึง เมื่อการชโลมของศีรษะได้กลายเป็นการชโลมของอวัยวะทั้งหลาย. ด้วยเหตุนี้การวางมืออธิษฐานจึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง.
VI. กรณีที่เป็นข้อยกเว้นในพระคัมภีร์
ในเรื่องของการวางมือนั้น มีกรณีที่เป็นข้อยกเว้นอยู่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในพระคัมภีร์ คือ ที่บ้านของโกระเนเลียวในกิจการบทที่ 10. พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาบนตัวผู้คนในบ้านของโกระเนเลียว ทั้งที่ยังไม่มีการรับบัพติศมาหรือการวางมือ เหตุใดบ้านของโกระเนเลียวเป็นข้อยกเว้นในเรื่องนี้? นับตั้งแต่วันเพ็นเทคอสมาจนถึงตอนนั้น อัครทูตทุกคนยังนึกว่าพระคุณของพระเจ้าจะประทานให้เฉพาะชาวยิวเท่านั้น พวกเขาเองเป็นชาวยิว และพระเยซูก็เป็นชาวยิวด้วย ในวันเพ็นเทคอส พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาบนตัวชาวยิวเท่านั้น เหล่าผู้ที่ได้รับความรอดทั้ง 3,000 คนและ 5,000 คนในเวลานั้นก็ล้วนเป็นชาวยิวทั้งสิ้น. คนเหล่านั้นที่ได้รับพระคุณก็คือชาวยิวที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งได้กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม. ในเวลานั้น มีแต่ชาวยิวเท่านั้นที่ได้รับพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่า พวกต่างชาติต่างศาสนาจะมีส่วนในพระคุณนี้ได้หรือไม่. ชาวจีนบางคนเรียกคนต่างชาติว่า ผีโพ้นทะเล แต่ชาวยิวยังด่าคนต่างชาติรุนแรงกว่าชาวจีนเสียอีก. ชาวยิวเห็นว่าพวกต่างชาตินั้นเป็นเหมือนสัตว์ชั้นต่ํา สัตว์เดียรัจฉาน. แม้แต่เปโตรเองก็มีทัศนะเช่นนี้ ไม่ได้ต่างกับชาวยิวคนอื่นแต่อย่างไร.
ท่านต้องรู้ว่า การทําลายความมืดมนของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย. การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้เปโตรไปที่บ้านของโกระเนเลียวเพื่อเปิดประตูให้พวกต่างชาติเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้นั้น จึงเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก. องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องสําแดงนิมิตให้เปโตรมองเห็นก่อน: บนสวรรค์มีภาชนะเหมือนผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่ง บรรจุสารพัดสัตว์ไว้ข้างใน เลื่อนลอยลงมายังแผ่นดินโลก จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสแก่เปโตรว่า “จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด!” (กจ.10:13). เมื่อเปโตรเห็นแล้ว เขาก็ตอบทันทีว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรับประทานสิ่งที่เป็นของธรรมดาทั่วไปหรือสิ่งที่เป็นมลทินเลย” (ข้อ 14). นี่ก็หมายความว่าเขาไม่เคยติดต่อกับพวกต่างชาติมาก่อนนั่นเอง ที่นี้จะทําอย่างไร? ผ้าผืนนี้ได้เลื่อนลอยลงมาอย่างนี้ หนึ่งครั้งก็แล้ว สองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว ตอนนี้เปโตรถึงได้เข้าใจชัดเจน ถ้าไม่มีนิมิตเช่นนี้ เปโตรก็ยังไม่เข้าใจ. ทัศนคติเก่าๆ นั้นเข้มแข็งเหลือเกิน! ภาชนะอย่างนี้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ก็แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาด้วยพระองค์เองก็แล้ว แต่เปโตรก็ยังไม่กล้าทํา. พระองค์ก็ได้แต่เก็บภาชนะนั้นกลับไป. จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงให้ภาชนะนั้นเลื่อนลงมาเป็นครั้งที่สองและตรัสกับเขาอีก แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ. ผ้าผืนนั้นจึงต้องกลับไปอีก จากนั้นก็ทําอีกเป็นครั้งที่สาม ให้ผ้าผืนนั้นลอยลงมา. แสดงนิมิตให้เขาเห็น. และตรัสกับเขาอีกครั้งหนึ่ง หนึ่งครั้ง, สองครั้ง, สามครั้งก็แล้ว อย่างนี้จะไม่เข้าใจอีกก็ไม่ได้แล้ว. เปโตรแก้ตัวไม่ได้เลยว่า “เมื่อกี้ข้าพเจ้าตาพร่า มองผิดไป” หรือ “เอ๊ะ เมื่อกี้เห็นอะไร ข้าพเจ้าลืมไปแล้ว จําได้แค่ลางๆ ”
ทันทีที่เปโตรได้รับการเปิดเผยนิมิตเช่นนี้ ก็มีคนจากเมืองกายซาไรอามาเรียกท่านอยู่ที่ประตู. ตอนนี้เปโตรจึงเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจนว่า พวกต่างชาติก็สามารถได้รับความรอดของพระเจ้าได้เหมือนกัน เหมือนกับที่สุนัขก็สามารถกินเศษขนมปังซึ่งตกจากโต๊ะของนายได้ ดังนั้นเปโตรจึงไปกับคนเหล่านั้น แต่เมื่อไปถึงบ้านของโกระเนเลียวแล้ว เปโตรก็ยังคงไม่กล้าให้คนเหล่านั้นรับบัพติศมา ทั้งครอบครัวของโกระเนเลียวเชื่อแล้วก็จริง แต่ถ้าเปโตรให้พวกเขารับบัพติศมา พี่น้องเหล่านั้นที่ไปกับเปโตรก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับการกระทําเช่นนี้ ได้. พวกเขาคงจะกล่าวว่า “เปโตร คุณทําอะไรเอกเทศแบบนั้นได้อย่างไร.” ตอนนั้นเปโตรจึงตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก. แม้ตัวเขาเองจะชัดเจนแล้ว แต่พี่น้องเหล่านั้นก็ยังไม่ชัดเจน.
ในเวลานี้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเทพระวิญญาณนั้นลงบนตัวของพวกต่างชาติ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ได้รับบัพติศมาและยังไม่ได้รับการวางมือแต่อย่างใด อย่างนี้ เมื่อเปโตรกลับไป เขาก็พูดได้เต็มปากแล้วว่า “ข้าพเจ้าพูดไปแค่ไม่กี่ประโยค ยังไม่ทันจะประกาศกิตติคุณได้ชัดเจนเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เทลงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ช่วยเสริมในสิ่งที่ยังขาดไป จึงต้องให้พวกเขารับบัพติศมา.” พวกเขารับบัพติศมาก็เพื่อจะหลุดพ้นจากฝ่ายโลกและเข้าสู่พระคริสต์ ส่วนการวางมือนั้นมีเพื่อจะได้รับการชโลม. ในเมื่อครอบครัวของโกระเนเลียวได้รับการชโลมแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องรับการวางมือ. ด้วยเหตุนี้เปโตรจึงให้พวกเขารับบัพติศมาเท่านั้น.
ต่อมาภายหลัง เมื่อเปาโลกลับจากดินแดนของพวกต่างชาติไปที่คริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม ก็เกิดการถกเถียงกันในเรื่องของพวกต่างชาติ เปโตรก็ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านของ โกระเนเลียวอีกครั้งหนึ่ง ปมปัญหานั้นจึงคลี่คลาย, ประตูสําหรับพวกต่างชาติก็ถูกเปิดออก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ที่มณฑลซะมาเรียมีการวางมือ แต่ที่เมืองกายซาไรอาไม่มีการวางมือ แต่พระเจ้าทรงใช้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองกายซาไรอามายืนยันถึงการงานของเปาโลและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน กิจการบทที่ 15. แต่เมื่อมาถึงบทที่ 19 เปาโลก็ยังคงวางมือให้กับผู้คนในเมืองเอเฟโซ. ดังนั้น ภาคปฏิบัติของการวางมือจึงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด
VII. ต้องเดินไปด้วยกันกับทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า
ผู้แรกเชื่อจะต้องตระหนักว่า ทุกคนที่เชื่อพระเยซูแล้วไม่อาจดําเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ เราจะเป็นคริสเตียนแบบสันโดษไม่ได้ เราต้องเป็นอวัยวะร่วมกับคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า. เรายังต้องเรียนรู้ที่จะนอบน้อมต่ออํานาจของศีรษะด้วย จะเป็นกบฏไม่ได้ เราต้องเดินไปด้วยกันกับทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า ถ้าเราทําเช่นนี้ การชโลมก็จะปรากฏอยู่ในการดําเนินชีวิตและการงานของเราอย่างอัตโนมัติ. เราจึงจะมุ่งหน้าต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปได้.
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 1 บทที่ 7 ตั้งแต่ หน้า 93 - 105
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom
หัวข้อโครงร่าง
I. ความสำคัญของการยอมรับด้วยปาก
1. ทันทีที่เชื่อก็ต้องเปิดปาก
2. "การยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด"
3. การยอมรับช่วยตัดปัญหา
4. ไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า มโนธรรมย่อมฟ้องร้อง
II. ความเข้าใจผิดที่ต้องแก้ไข
1. ใช้การประพฤติดีมาแทนที่การยอมรับด้วยปาก
2. กล้วว่าจะไม่อาจเป็นคริสเตียนได้จนถึงที่สุด
3. กลัวมนุษย์
4. อาย
5. อยากได้สง่าราศีจากมนุษย์
III. การยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการยอมรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้อพระคัมภีร์: รม.10:10; สภษ.29:25; มธ.10:32-33
รม.10:10 ด้วยว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด.
สภษ.29:25 การกลัวคนย่อมนําไป ถึงบ่วงแร้ว; แต่ผู้ที่ยำเกรงพระยะโฮวาจะปลอดภัย.
มธ.10:32 เหตุฉะนั้นทุกคนที่จะยอมรับในเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะยอมรับในเขาต่อพระพักตร์พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลายด้วย
มธ.10:33 แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลายด้วย.
------------------------------
I. ความสำคัญของการยอมรับด้วยปาก
เมื่อคนผู้หนึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็ไม่ควรเก็บงําเรื่องนี้ไว้ แต่ควรจะเปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า. การเปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่สําคัญมาก.
1. ทันทีที่เชื่อก็ต้องเปิดปาก
ทันทีที่คนเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ควรที่จะเปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง. สมมุติว่าเรามีลูก. ถ้าเด็กคนนั้นอายุขวบสองขวบแล้ว หรือสามขวบเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พูด แล้วเราจะคิดอย่างไร? เราจะว่าเด็กคนนี้ฝึกพูดช้าแค่นั้นหรือ? ต้องรอให้มีอายุ 30 ปี แล้วเด็กคนนี้จึงจะเริ่มนับ “หนึ่ง สอง สาม สี่” และรอให้มีอายุ 50 ปี แล้วเขาจึงจะเรียก “พ่อจ๋า” และ “แม่จ๋า” อย่างนั้นหรือ? ถ้าเขาพูดไม่ได้ตั้งแต่เด็ก เขาก็คงจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต ถ้าเขาไม่สามารถพูด “พ่อจ๋า” หรือ “แม่จ๋า” ได้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาก็น่าจะพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต. ในทํานองเดียวกัน ถ้าผู้แรกเชื่อคนหนึ่งไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าทันทีที่เขาเชื่อในพระองค์ ข้าพเจ้าก็เกรงว่า เขาจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต. ถ้าเขาพูดไม่ได้ในเวลาที่เขายังเล็ก เมื่อเขาโตแล้ว เขาก็น่าจะพูดไม่ได้ด้วย.
บางคนเป็นคริสเตียนมา 10-20 ปีแล้วก็ยังคงเป็นใบ้อยู่ เพราะเขาไม่ได้พูดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่เขาเริ่มเป็นคริสเตียน เขาจึงเป็นใบ้ไปจนแก่. การยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องเริ่มทํากันตั้งแต่เวลาที่เขาเชื่อ. ถ้าเริ่มกันตั้งแต่เวลาที่เชื่อ ต่อไปหนทางในการยอมรับก็จะเปิดออกต่อเขา. แต่ถ้าใครเป็นใบ้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์, ไม่กี่เดือน, หรือในปีแรก เขาก็คงจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต. ดังนั้นทันทีที่คนเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็ควรหาทางไปพูดกับผู้อื่นถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า. ถึงเขาจะรู้สึกว่าพูดได้ยาก หรือไม่ชอบพูดต่อหน้าผู้อื่น เขาก็ยังต้องพูด เขาจะต้องพูดต่อหน้าญาติสนิทมิตรสหายของเขา ถ้าเขาไม่เรียนรู้ที่จะพูดอย่างเปิดเผย ข้าพเจ้าเกรงว่าเขาจะกลายเป็นคนใบ้ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าไปตลอดชีวิต. เราไม่อยากให้ใครต้องเป็นผู้เชื่อใบ้ ดังนั้นเราจึงต้องฝึกเปิดปากกันตั้งแต่แรก. ถ้าใครไม่ทําอย่างนี้ตั้งแต่แรก จะให้ทําอย่างนี้ในภายหลังก็ยิ่งยาก นอกเสียจากว่าพระเจ้าจะประทานพระเมตตาให้เป็นพิเศษ หรือเกิดการฟื้นฟูใหญ่ขึ้นมา เขาจึงจะมีโอกาสเปิดปากได้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก ดังนั้นผู้แรกเชื่อจะต้องหาโอกาสยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าผู้อื่นให้ได้. การยอมรับเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก.
2. “การยอมรับด้วยปากก็นําไปสู่ความรอด”
โรม 10:10 กล่าวว่า “ด้วยว่าการเชื่อด้วยใจก็นําไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นําไปสู่ความรอด.” ถ้าใครเชื่อด้วยใจ เขาก็จะได้รับการโปรดให้ชอบธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าใครยอมรับด้วยปาก เขาก็จะได้รับความรอด ซึ่งเป็นความรอดที่อยู่ต่อหน้ามนุษย์ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องที่อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะคนอื่นมองไม่เห็น. ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านก็ย่อมได้รับการโปรดให้ชอบธรรมต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. แต่ถ้าท่านแค่เชื่อในใจ ไม่ยอมรับด้วยปาก ผู้อื่นย่อมจะไม่ยอมรับว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้รับความรอดแล้ว พวกเขาก็ยังคงนับว่าท่านยังไม่เชื่อ. เขาไม่เห็นเลยว่าท่าน ต่างกับพวกเขาอย่างไร ดังนั้นพระคัมภีร์จึงบอกเราอย่างหนักแน่นว่า การเชื่อในใจนั้นยังไม่พอ แต่ต้องมีการยอมรับด้วยปาก ซึ่งก็คือต้องพูดออกมาด้วยปากด้วย.
ด้วยเหตุนี้ผู้แรกเชื่อทุกคนจึงต้องหาโอกาสที่จะยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าผู้ที่ติดต่อกับท่านจะเป็นใคร อาจเป็นเพื่อนร่วมชั้น, เพื่อนร่วมงาน, ญาติพี่น้อง, หรือเพื่อนๆ ของท่าน ทันทีที่มีโอกาส ท่านก็ต้องบอกเขาว่า “ฉันเชื่อพระเยซูแล้วนะ” เรายิ่งเปิดปากพูด เรื่องนี้ได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี. เมื่อท่านเปิดปาก พวกเขาก็จะชัดเจนทันทีว่า ท่านเชื่อพระเยซูแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ได้รับความรอดแล้ว คือรอดจากท่ามกลางคนที่ไม่เชื่อ.
ในการเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น บางคนอาจยังโลเลอยู่ แต่เมื่อเขาได้ยืนขึ้นมาประกาศว่า “ฉันเชื่อพระเยซูแล้ว” เขาก็มั่นคงแล้ว เรื่องที่แย่ที่สุดสําหรับคริสเตียนก็คือการที่เขาไม่พูด แต่เมื่อเขาพูดออกมา เขาก็ได้ก้าวไปข้างหน้าและมั่นคง. มีผู้เชื่อหลายคนที่ยังคงโลเลอยู่ในตอนแรก แต่ทันทีที่เขากล่าวว่า “ฉันเชื่อ” เขาก็มั่นคงแน่นอน.
3. การยอมรับช่วยตัดปัญหา
ถ้าท่านเชื่อในใจแล้วมีการยอมรับด้วยปาก ท่านก็จะได้รับประโยชน์มากมาย. เรื่องนี้สามารถตัดปัญหาหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้.
สมมุติว่าท่านไม่ยอมเปิดปากพูดว่า “ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามพระเยซู. ข้าพเจ้าเป็นคนของพระองค์แล้ว” ผู้อื่นก็ยังคงเห็นว่าท่านเหมือนกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อเขาจะไปทําบาปหรือปล่อยตัวไปตามตัณหา เขาก็จะนับรวมท่านไปด้วย. แม้ในใจท่านจะคิดว่าท่านเป็นคริสเตียน ไม่ควรไปอยู่ท่ามกลางพวกเขา แต่ท่านก็ปฏิเสธเขาไม่ได้เพราะอยากเป็นที่พอใจของเขาด้วย. ท่านต้องคิดหาข้ออ้างเพื่อจะปฏิเสธ และท่านก็อาจปฏิเสธเขาได้ แต่ครั้งต่อไปพวกเขาก็ยังคงมาลากท่านไป ท่านก็ยังต้องหาข้ออ้างอย่างอื่นมาปฏิเสธเขาอีก. ท่านอาจหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้สักครั้งสองครั้ง แต่เรื่องนี้ก็ยังกลับมาหาท่านอีก ถ้าท่านแขวนป้ายประกาศไป ตั้งแต่วันแรกเลยว่าท่านเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว อย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ? ท่านแค่ยอมรับเรื่องนี้ไปสักครั้งหรือสองครั้ง ก็จะไม่มีใครมาฝืนใจท่านอีกต่อไป.
แต่ถ้าท่านไม่ยอมเปิดปากยอมรับ ยังแอบเป็นคริสเตียนอย่างลับๆ อย่างนี้ต่อไป ท่านจะต้องประสบปัญหามากกว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนอย่างเปิดเผยอีกหลายเท่า. การล่อลวงที่ท่าน ต้องเผชิญก็ย่อมมีมากขึ้นอีกหลายเท่าด้วย. ความผูกพันของมนุษย์และสายใยในอดีตยังคงผูกมัดท่าน ไม่มีวิธีที่จะหลุดพ้นไปได้ ท่านจะอ้างว่า “ปวดหัว” หรือ “งานยุ่ง” อยู่ร่ําไปก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรท่านไม่มีทางหาข้ออ้างได้ทุกครั้ง ดังนั้นท่านจึงต้องประกาศตั้งแต่วันแรกเลยว่า “ฉันเชื่อพระเยซูแล้ว ฉันได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว.” ทันทีที่ท่านแขวนป้ายประกาศเช่นนี้ เพื่อน ร่วมงาน, เพื่อนร่วมชั้น, ญาติพี่น้อง, และครอบครัวของท่านก็จะรู้ว่าท่านเป็นอย่างไร. การทํา อย่างนี้ย่อมตัดปัญหาให้ท่านมากมาย ไม่อย่างนั้นท่านก็ต้องเผชิญกับความยุ่งยากใจนับไม่ถ้วน ดังนั้นถ้าใครได้เปิดปากยอมรับในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว เขาย่อมจะตัดปัญหาต่างๆ ไปได้มากมาย.
4. ไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
มโนธรรมย่อมจะฟ้องร้อง ถ้าใครไม่เปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขายังต้องพบกับปัญหาร้ายแรงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนเคยประสบมาแล้วในเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้ายังอยู่บนแผ่นดินโลก.
องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกชาวยิวปฏิเสธ. พวกเขาปฏิเสธและต่อต้านพระเยซูอย่างรุนแรง ในโยฮันบทที่ 9 ชาวยิวก็กําหนดว่า ใครก็ตามที่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระมาซีฮา ผู้นั้นจะต้องถูกขับออกจากธรรมศาลา (ข้อ 2). เมื่อถึงบทที่ 12 พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ว่า มีผู้ปกครองชาวยิวหลายคนที่แอบเชื่อพระเยซู แต่ก็ไม่กล้ายอมรับเพราะกลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา (ข้อ 42). ลองคิดดูว่า คนเช่นนี้จะสบายใจหรือไม่? การยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจทําให้ท่านไม่สบายใจ แต่ถ้าไม่ยอมรับพระองค์ ท่านจะยิ่งไม่สบายใจกว่านั้นอีก. ธรรมศาลาของชาวยิวเป็นสถานที่แบบไหน? นั่นคือสถานที่ซึ่งต่อต้านพระเยซู, ผู้คนที่นั่นเอาแต่วางแผน สมคบคิด, และสุมหัวกันวางกับดักพระองค์. ผู้คนที่นั่นล้วนช่วยกันเตรียมการทําเรื่องที่มืดมนเหล่านี้ ถ้าคนที่เชื่อพระเยซูอย่างแท้จริงต้องนั่งอยู่ที่นั่น เขาจะเป็นอย่างไร? เขาต้องออกแรงมากแค่ไหนจึงจะระงับตัวเองไม่ให้เปิดปากได้? เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าจะให้เขาเปิดปากยอมรับพระองค์ย่อมเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะไม่ให้เปิดปากยอมรับพระองค์กลับเป็นเรื่องที่ยากกว่า.
สภาพการณ์ในธรรมศาลาของชาวยิวคือรูปภาพที่แสดงถึงสภาพการณ์ของชาวโลกที่ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า ชาวโลกเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์พระเยซู มีแต่จะเห็นว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้นี้เป็นตัวปัญหาของเขา พวกเขาต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วยคําพูดต่างๆ นานา. ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านจะทนฟังพวกเขาแล้วแสร้งทําเป็นพวกเดียวกับเขาได้หรือ? การเสแสร้งนั้นทั้งทรมานและยากเย็น เพราะท่านจะต้องรวบรวมกําลังมาระงับและฝืนตัวเองไว้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านย่อมอยากประกาศว่า “มนุษย์ผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า และฉันเชื่อพระองค์” ไม่ใช่หรือ? ท่านจะไม่อยากพูดออกมาหรือว่า “มนุษย์ผู้นี้คือพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน และฉันก็เชื่อแล้ว"? ท่านจะไม่อยากร้องออกมาหรือว่า “มนุษย์ผู้นี้สามารถช่วยฉันให้พ้นจากความบาปได้ แม้พวกคุณจะไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ ” ท่านไม่เคยคิดจะพูดอย่างนี้บ้างเลยหรือ?
ท่านสามารถฝืนตัวเองไม่ให้เปิดปาก เพียงเพราะท่านอยากเป็นที่เคารพและมีฐานะในท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงอย่างนั้นหรือ? ข้าพเจ้าเห็นว่า พวกผู้ปกครองที่อยู่ในโยฮันบทที่ 12 ถูกขับออกจากธรรมศาลายังจะดีกว่า ถ้าเขายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะสบายใจกว่านั้นมาก. ถ้าท่านเป็นผู้เชื่อเทียมเท็จก็แล้วไป แต่ถ้าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ยังเสแสร้งเออออห่อหมกไปกับพวกที่ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า มโนธรรมของท่านจะต้องฟ้องร้องอย่างแน่นอน. ขณะที่พวกเขาต่อต้านพระองค์ ใจของท่านย่อมจะไม่สงบ แต่ปากกลับต้องฝืนพูดว่า “น่าสนใจนะ” การทําเช่นนี้จะไม่ทําให้ท่านทรมานใจหรือ?
ไม่มีอะไรที่จะทรมานใจไปกว่าการไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกแล้ว การทนทุกข์ที่สาหัสที่สุดก็คือการไม่ยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์. ข้าพเจ้าจะไม่มีทางยอมแลกที่กับผู้ปกครองเหล่านั้นเป็นอันขาด. ความทุกข์ที่พวกเขาต้องทนรับนั้นสาหัสยิ่งนัก! ถ้าท่านไม่เชื่อ เราก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าท่านเชื่อแล้ว การออกจากธรรมศาลาย่อมจะทําให้ท่านชื่นชมยินดี และมีความสุขใจมากกว่า ท่านอาจรู้สึกมีปัญหากับการยอมรับ แต่ประสบการณ์ในอดีตบอกเราว่า ถ้าไม่ยอมรับ ท่านจะมีปัญหามากกว่าและยังต้องทุกข์ทรมานใจอีกด้วย.
ลองยกตัวอย่างสักเรื่อง: ถ้าท่านได้ยินใครใส่ร้ายพ่อแม่ของท่านด้วยเจตนาไม่ดี หาว่าพ่อแม่ของท่านเป็นอย่างนั้นทําอย่างนี้ แต่ท่านก็นั่งฟังอยู่เฉยๆ หรือแกล้งผสมโรงไปกับเขาด้วย ถ้าอย่างนี้ ท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่? องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอุตส่าห์สละชีวิตเพื่อช่วยเราให้รอด แล้วท่านไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อพระองค์ที่ท่านนมัสการและปรนนิบัติเลยหรือ? ถ้าท่านเป็นอย่างนี้จะใช้ได้หรือ? ถึงอย่างไรท่านก็ต้องกล้าลุกขึ้นมาเปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ฉันเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”.
II. ความเข้าใจผิดที่ต้องแก้ไข
1. ใช้การประพฤติดีมาแทนที่การยอมรับด้วยปาก
มีผู้แรกเชื่อบางคนที่รับอิทธิพลจากคําสอนตามประเพณี จึงมักจะเข้าใจผิดคิดไปว่า สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือฉันต้องมีการประพฤติที่ดี ส่วนที่จะยอมรับด้วยปากหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสําคัญ พวกเขาคิดว่า การเปลี่ยนด้วยคําพูดนั้นไม่มีประโยชน์ การเปลี่ยนด้วยการกระทําจึงจะสําคัญที่สุด เราต้องแก้ไขความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนี้ เราไม่ได้กล่าวว่า เราไม่จําเป็นต้องเปลี่ยนการ ประพฤติ เพราะถ้าการประพฤติไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ถึงจะพูดอะไรไปก็ไร้ค่า แต่ถึงการประพฤติของเราจะเปลี่ยนแปลง หากไม่พูดด้วยปากก็ไร้ค่าเหมือนกัน. การเปลี่ยนแปลงการประพฤติของคนเราไม่อาจแทนที่การยอมรับด้วยปากได้อย่างเด็ดขาด แม้การประพฤติจะเปลี่ยนแปลงแล้ว ปากก็ยังคงต้องยอมรับ.
ผู้แรกเชื่อทุกคนจะต้องฉวยโอกาสบอกผู้อื่นให้เร็วที่สุดว่าเขาเชื่อพระเยซูแล้ว. ถ้าปากของท่านไม่พูดออกไป คนอื่นก็ได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา และอาจใช้ปรัชญามาอธิบายถึงการประพฤติของท่าน แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่สัมผัสถึงพระเยซู. ดังนั้นท่านจึงควรบอกพวกเขาถึงสาเหตุที่แท้จริงซึ่งทําให้การประพฤติของท่านเปลี่ยนไป. การประพฤติดีไม่อาจแทนที่การยอมรับด้วยปากได้ แม้เราควรมีการประพฤติที่ดี แต่ก็ต้องมีการยอมรับด้วยปากด้วย. ท่านยังคงต้องบอกผู้อื่นว่า “พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน ฉันต้องการที่จะปรนนิบัติพระองค์ ไม่ว่าท่านจะมีการประพฤติที่ดีสักเท่าไร ท่านก็ยังต้องพูดถ้อยคําเหล่านี้ออกมา.
เราเคยได้ยินบางคนกล่าวว่า ถ้าคนเรามีการประพฤติที่ดีให้เห็นกันทางภายนอกแล้วก็ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรอีก. โปรดจําไว้ว่า ถ้าคนที่พูดเช่นนี้ประพฤติไม่ดีก็ย่อมจะไม่มีใครว่าเขา แต่ถ้าใครลองได้ยืนขึ้นประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อเขาประพฤติผิดไปเล็กน้อยก็จะมีคนพูด มีคนติเตียนเขาทันที. การเอาแต่ประพฤติดีโดยไม่เปิดปากยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเท่ากับการเปิดโอกาสให้เขาสามารถประพฤติไม่ดี หรือเปิดประตูหลังให้เขาไม่ต้องถูกผู้อื่นติเตียน. ดังนั้นท่านอย่าได้ไปเชื่อเป็นอันขาดว่า เราแค่เปลี่ยนการประพฤติก็พอแล้ว ถึงอย่างไรการเปิดปากยอมรับก็ยังคงเป็นสิ่งจําเป็น และจะขาดไปไม่ได้เลย.
2. กลัวว่าจะไม่อาจเป็นคริสเตียนได้จนถึงที่สุด
บางคนคิดว่า “ถ้าฉันเปิดปากยอมรับแล้ว เกิดฉันไม่อาจเป็นคริสเตียนให้ถึงที่สุดได้ จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกในสายตาผู้อื่นหรือ? ถ้าเป็นคริสเตียนไปสามหรือห้าปี เกิดไม่ไหวขึ้นมา แล้วจะทําอย่างไรกัน? เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อย่าเพิ่งพูดเลย รอดูไปหลายๆ ปีก่อนดีกว่าว่าฉันจะเป็นคริสเตียนได้ไหม!” กับคนอย่างนี้ เราบอกไปเลยว่า ถ้าท่านไม่ยอมรับเพราะกลัวจะประพฤติได้ไม่ดีหรือกลัวจะสะดุดล้ม เราก็แน่ใจว่าท่านจะสะดุดล้มอย่างแน่นอน. คนอย่างนี้ เปิดประตูหลังรอไว้อยู่แล้ว พยายามหลบเลี่ยงประตูหน้า. เขาเตรียมการไว้แล้วด้วยการไม่เปิดปากยอมรับ. เขาอยากรอให้แน่ใจก่อนแล้วจึงค่อยยอมรับ. เรามั่นใจว่าคนอย่างนี้ต้องสะดุดล้มแน่นอน. ทางที่ดี ท่านควรจะยืนขึ้นประกาศว่า “ฉันเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ถ้าท่านปิดทางหนีเอาไว้ก่อน ต่อไปท่านจึงจะถอยหนีหรือสะดุดได้ยาก. อย่างนี้โอกาสที่ท่านจะก้าวหน้าถึงจะมีมากกว่าโอกาสที่จะเดินถอยหลัง. อันที่จริง นี่ก็คือทางเดียวเท่านั้นที่จะทําให้ท่านมุ่งหน้าไปได้.
หากท่านคิดจะรอให้ประพฤติดีก่อนแล้วจึงค่อยเปิดปาก ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงจะเปิดปากไม่ได้ไปทั้งชีวิต. ท่านจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต. ถึงจะมีการประพฤติที่ดีแล้ว ท่านก็ยังคงเป็นใบ้. ถ้าไม่เปิดปากตั้งแต่แรก ต่อไปท่านก็เปิดปากได้ยากแล้ว แต่ถ้าท่านเปิดปาก โอกาสที่ท่านจะประพฤติดีก็จะมีมากขึ้น ถ้าคิดจะรอให้ประพฤติดีก่อนแล้วจึงค่อยเปิดปาก ท่านก็จะหมดโอกาสเปิดปาก แถมยังหมดโอกาสประพฤติดีด้วย. ท่านจะทําไม่ได้ทั้งสองอย่าง สูญเสียไปทั้งสองอย่าง.
มีเรื่องหนึ่งที่เราสบายใจได้ นั่นคือพระเจ้าไม่เพียงเป็นพระเจ้าที่ทรงช่วยไถ่เราเท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองเราไว้ด้วย. เราจะเอาการไถไปเปรียบกับอะไรดี? การไถนั้นเปรียบเหมือนการซื้อของอย่างหนึ่งมา แล้วการคุ้มครองเปรียบเหมือนอะไร? การคุ้มครองเปรียบเหมือนการถือของชิ้นนั้นไว้ในมือของเขา. ในโลกนี้มีสักกี่คนที่ซื้อของมาเพื่อเตรียมจะโยนทิ้ง? เมื่อเราซื้อนาฬิกาข้อมือ เราย่อมอยากจะใช้นาฬิกาเรือนนั้นไปสักห้าหรือสิบปี. ไม่มีใครซื้อนาฬิกาเพื่อเอามาโยนทิ้ง พระเจ้าก็ทรงช่วยผู้คนจากทุกหนทุกแห่งให้ได้รับความรอด พระองค์ช่วยเขาแล้ว ย่อมไม่โยนเขาทิ้งไป แต่พระองค์ย่อมประสงค์ที่จะคุ้มครองผู้ที่พระองค์ทรงช่วยไว้ เมื่อพระเจ้าทรงช่วยเราแล้ว พระองค์ย่อมคุ้มครองเราไว้. ในเมื่อพระเจ้าทรงไถ่เราไว้แล้ว พระองค์ย่อมจะคุ้มครองเราตลอดไปจนถึงวันนั้น พระเจ้าทรงรักเรามากเสียจนยอมสละกระทั่งพระบุตรของพระองค์เองเพื่อจะไถ่ท่านกลับมา ถ้าไม่คิดที่จะคุ้มครองท่านไว้ พระองค์ก็ย่อมจะไม่จ่ายราคาอันสูงเช่นนี้แต่แรก. การคุ้มครองท่านไว้คือน้ําพระทัยของพระเจ้า การคุ้มครองท่านไว้คือโครงการของพระเจ้า อย่าไปกลัวว่าท่านจะไปไม่รอดหลังจากที่ ท่านได้ยืนขึ้นประกาศว่าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงแค่ไม่กี่วัน ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ พระเจ้าจะทรงรับผิดชอบอย่างแน่นอน. ท่านแค่ลุกขึ้นมาอย่างง่ายๆ แล้วประกาศว่า “ฉันเป็นของพระเจ้า” ก็ใช้ได้แล้ว ท่านมอบตัวท่านไว้กับพระเจ้าก็ดีแล้ว เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า ท่านต้องการการค้ําชู, การปลอบโยน, และการคุ้มครอง. เราพูดได้อย่างมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงคุ้มครองความรอดของเราไว้อย่างแน่นอน เมื่อมีการคุ้มครอง การไถ่จึงมีความหมาย.
3. กลัวมนุษย์
บางคนไม่กล้ายอมรับเพราะเขากลัวมนุษย์. หลายคนสามารถพูดได้อย่างสัตย์จริงว่าในใจของเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว เขายินดีลุกขึ้นประกาศยอมรับ. แต่เมื่อเขาเห็นหน้าผู้คน เขาก็กลัวจนไม่กล้าพูด. เมื่อดูหน้าพ่อแม่หรือเห็นหน้าเพื่อนๆ แล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก. หลายคนมีปัญหากับเรื่องนี้ คือกลัวผู้คนจนไม่กล้าเปิดปาก เดิมเขาก็เป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ขลาดกลัวในเรื่องของการเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ถ้าท่านให้เขาพูดต่อหน้าผู้อื่นว่า “ฉันเชื่อองค์พระ ผู้เป็นเจ้า” ก็เหมือนกับจะพรากชีวิตไปจากเขาเลยที่เดียว. ยังไงเขาก็ไม่กล้าเปิดปาก.
แต่คนเช่นนี้จะต้องฟังพระคําของพระเจ้า สุภาษิต 29:25 กล่าวว่า “การกลัวคนย่อมนําไป ถึงบ่วงแร้ว” ถ้าท่านเห็นผู้คนแล้วกลัว ท่านก็ “ติดบ่วงแร้ว” เมื่อท่านกลัว ท่านก็ติดบ่วงแร้วอยู่อย่างนั้น ความกลัวของท่านก็คือบ่วงแร้วของท่าน. ทุกครั้งที่ใจของท่านกลัวมนุษย์ ท่านก็ได้สร้างบ่วงแร้วขึ้นมาดักตัวเอง. ทันทีที่ท่านกลัว ท่านก็ติดกับ. กับดักนี้เป็นสิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมาเอง จริงๆ แล้วอาจเป็นไปได้ว่า คนที่ท่านกลัวนั้นก็อยากฟังท่านพูด. ถึงเขาจะไม่อยากฟังก็ไม่แน่ว่าจะน่ากลัวอย่างที่ท่านคิด.
ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องของเพื่อนร่วมงานสองคนให้ฟัง. คนหนึ่งเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว แต่อีกคนหนึ่งยัง. คนที่เชื่อแล้วเป็นคนที่ขลาดกลัวมาก ส่วนคนที่ยังไม่เชื่อก็ขลาดกลัวพอๆ กัน เนื่องจากขี้ขลาด ผู้เชื่อคนนี้จึงไม่กล้าพูดกับเพื่อนของตนว่าเขาได้รับความรอดแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่เชื่อนั้นเห็นว่าเพื่อนของเขาคนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก. เขาแปลกใจที่แต่ก่อนเพื่อนคนนี้ เคยเป็นคนใจร้อน แต่ตอนนี้ใจเย็นแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามสาเหตุ. สองคนนี้นั่งทํางานที่โต๊ะเดียวกัน นั่งมองหน้ากันอยู่ทุกวัน. ทว่าคนหนึ่งกลัวจนไม่กล้าพูด ส่วนอีกคนก็กลัวจนไม่กล้าถาม ได้แต่มองหน้ากันไป มองหน้ากันมาอยู่ทุกวัน จะถามก็ไม่กล้าถาม จะบอก ก็ไม่กล้าบอก. อยู่มาวันหนึ่งคนที่เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าก็อดใจไว้ไม่ได้แล้ว เมื่ออธิษฐานแล้ว เขาก็ไปเผชิญหน้ากับเพื่อนคนนั้น จับมือเขาไว้แน่น แล้วบอกว่า “ฉันเป็นคนที่ขี้ขลาดมาก. ฉันพยายามจะบอกอะไรกับคุณมาตั้งสามเดือนแล้ว ตอนนี้ถึงจะกล้ามาบอกว่า ฉันเชื่อพระเยซูแล้วนะ” เมื่อพูดออกไปแล้ว หน้าเขาก็ซีดเผือก. เพื่อนคนนั้นตอบว่า “ฉันเองก็อยากจะถามคุณมาตั้งสามเดือนแล้วเหมือนกันว่าทําไมคุณจึงเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่กล้าถาม” เมื่อเขารวบรวมความกล้าเปิดปากพูดออกไปแล้ว หลังจากวันนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะนําเพื่อนของเขามารู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้.
ใครก็ตามที่กลัวมนุษย์ย่อมจะตกเข้าไปในบ่วงแร้ว โปรดจําไว้ว่าขณะที่ท่านกําลังกลัวเขาอยู่นั้น เขาก็อาจกลัวท่านอยู่ก็ได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรไปกลัวมนุษย์เลย. เราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ติดตามพระเจ้าไม่ควรจะไปกลัวมนุษย์ ถ้ายังมีใจกลัวคน ท่านก็ไม่อาจเป็นคริสเตียนที่ดี และไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าได้. คริสเตียนจะต้องกล้าไปบอกกับญาติมิตรของเขา ต้องกล้ายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าผู้อื่นเป็นการส่วนตัวและยอมรับต่อหน้าสาธารณชน เราจะต้องเดินอยู่บนหนทางเช่นนี้ตั้งแต่แรก.
4. อาย
บางคนอาจรู้สึกอาย. เขารู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนคือเรื่องที่น่าอาย. ความรู้สึกอย่างนี้มีอยู่จริง เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ. ถ้าท่านบอกว่าตอนนี้ท่านกําลังทําวิจัยทางเทคนิคอะไรสักอย่าง พวกเขาจะบอกว่าท่านมีอนาคต. ถ้าท่านบอกว่าตอนนี้ท่านกําลังศึกษาปรัชญาอะไรสักอย่าง พวกเขาก็จะบอกว่าท่านเป็นคนช่างคิด. ท่านไม่รู้สึกอายเมื่อต้องบอกว่าตัวเองทําสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน หลายคนก็จะพูดอย่างแน่นอนว่า ท่านขาดการศึกษาหรือคิดอ่านไม่เป็น เขาจะไม่เห็นความสําคัญของท่าน ถ้าเป็นเรื่องอื่น ท่านพูดเมื่อไรก็ไม่อาย แต่เมื่อต้องยอมรับว่าท่านเป็นคริสเตียน ข้างในกลับรู้สึกอับอาย. การที่ผู้แรก เชื่อรู้สึกอายเมื่อต้องเปิดปากยอมรับว่าตนเป็นคริสเตียนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราจะต้องเอาชนะความรู้สึกนี้ให้ได้ จริงอยู่ที่มนุษย์โลกรู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนนั้นน่าอาย แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องเอาชนะความรู้สึกเช่นนี้.
เราจะเอาชนะความรู้สึกอายนี้ได้อย่างไร? เราต้องจัดการกับความรู้สึกเช่นนี้จากสองด้าน.
ในด้านหนึ่งเราต้องตระหนักว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงตรึงกางเขน พระองค์ได้ทรงแบกความบาปของเราและความอับอายของเราบนกางเขน. ขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงแบกความบาปของเรานั้น พระองค์ก็ต้องรับความอับอายอย่างใหญ่หลวง. ดังนั้นถ้าวันนี้เราต้องรับความอับอายจากมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า. การที่เราต้องทนรับความอับอายจากมนุษย์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ ไม่อาจเทียบกันได้เลยกับความอับอายที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทนรับเพื่อเราบนกางเขน ดังนั้นเราจึงไม่ควรแปลกใจที่เราต้องอับอาย. เราควรจะรู้ว่าเราเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
ในอีกด้านหนึ่ง เพลงบทหนึ่งได้บรรยายไว้ดีมากว่า “ความอายของเราเป็นเหมือนท้องฟ้ายามเช้าที่หลบลี้แสงตะวัน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงส่องแสงอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อทําให้ค่ําคืนที่มืดมนในมโนธรรมของเรากลับสว่างไสวขึ้นมา” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระคุณช่วยให้เรารอดเช่นนี้แล้ว หากเรายังเห็นว่าการยอมรับพระองค์เป็นความอับอาย ถ้าอย่างนั้นท้องฟ้ายามเช้าก็คงจะเห็นว่าแสงตะวันเป็นความอับอายเหมือนกัน. วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพระคุณแก่ท่าน ช่วยท่านให้รอด ค้ําชูท่านไว้ ทั้งยังนําท่านขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ แต่ท่านกลับเห็นว่า การยอมรับพระองค์เป็นความอับอาย ถ้าอย่างนั้นพระคุณทั้งปวงที่ท่านได้รับก็น่าอายทั้งนั้น ท่านก็อย่าไปยอมรับด้วย! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทําสิ่งต่างๆ เพื่อท่านตั้งมากมาย ท่านยังจะเห็นว่าการยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องที่น่าอายอีกหรือ? อย่าเป็นอย่างนั้นเลย.
จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราควรรู้สึกอับอายคือ การเมาเหล้า, ปล่อยตัวสํามะเลเทเมา, การกระทําในที่ลับ, ทําบาปทําชั่วต่างหาก. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเราให้หลุดพ้นจากเรื่องเหล่านี้ เราควรจะรู้สึกว่ามีสง่าราศีต่างหาก ไฉนจึงมีความรู้สึกอับอาย? การที่เรายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การยอมรับพระองค์เป็นสิ่งที่มีสง่าราศีและน่าชื่นชมยินดีต่างหาก! เราไม่ต้องพินาศนิรันดร์ ไม่ถูกพระเจ้าปรับโทษ ไม่ถูกพิพากษา ไม่ต้องพรากจากพระพักตร์ที่ สง่าราศีของพระเจ้าชั่วนิรันดร์. เราได้ติดตามพระเมษโปดกและจะได้อยู่ร่วมกับพระองค์ตลอดไป (วว:14:4). การที่ผู้คนฝังความรู้สึกอับอายไว้บนตัวเรานั้นไม่ถูกต้องเลย. เราควรต้องลุกขึ้นประกาศอย่างห้าวหาญว่า เราเป็นของพระเจ้า เราควรชื่นชมยินดีและรู้สึกมีสง่าราศีในพระองค์.
โดยธรรมชาติแล้ว เปโตรเป็นคนหัวรั้น เขาอยากเด่นกว่าสาวกคนอื่น และอยากล้ําหน้าผู้อื่นไปทุกเรื่อง อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเปโตรไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็กลายเป็นเหมือนหนูตัวเล็กๆ คนอื่นถามหน่อย เขาก็กลัวแล้ว. ถ้าว่าตามมนุษย์แล้ว เปโตรเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้นําในท่ามกลางเหล่าสาวก. แต่คนอื่นยังไม่ทันจะมาเอาชีวิต เขาก็กลัวเสียแล้ว คนอื่นแค่พูดว่า “คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” เขาก็ถึงกับตัวสั่นและสาบาน. นี่เป็นเรื่องที่แย่มาก. ทุกคนที่ไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนแย่มาก. เมื่อเป็นอย่างนั้น เปโตรจึงอับอายอย่างที่สุด. การที่เปโตรไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุด (มธ.26:69-75).
ทุกคนที่ไม่กล้าเปิดปากนั้นล้วนเป็นคนที่น่าอาย ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ” แม้เขาจะต้องถูกเผาหรือถูกจับโยนลงทะเล. ถึงแม้จะต้องถูกทุบตี, ถูกเผาทั้งเป็น, หรือถูกโยนลงในถ้ําสิงโต. เขาก็ยังประกาศว่า “ฉันเป็นคนของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ.” นี่คือเรื่องที่มีสง่าราศีที่สุดในโลก สิ่งที่น่าอายที่สุดคือผู้ที่อายจนไม่กล้ายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่างหาก. คนเช่นนี้ใช้การไม่ได้ เขาย่อมเหนื่อยหน่ายและละอายใจตัวเอง! เรื่องที่น่าอายที่สุดก็คือการที่คนเราดูถูกตัวเองและอับอายกับสิ่งที่ตนมีอยู่.
ดังนั้นความรู้สึกกลัวหรืออับอายจึงเป็นสิ่งผิดที่เราไม่ควรมี. ทุกคนที่ฝึกติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนต้องฝึกยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าผู้คนอย่างกล้าหาญ. ถ้าความสว่างคือสิ่งที่น่าอาย ความมืดคือสิ่งที่มีเกียรติ, ถ้าความบริสุทธิ์คือสิ่งที่น่าอาย การทําบาปคือสิ่งที่มีเกียรติ, ถ้าการอยู่ฝ่ายวิญญาณคือสิ่งที่น่าอาย การอยู่ฝ่ายเนื้อหนังคือสิ่งที่มีเกียรติ, ถ้าการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าคือสิ่งที่น่าอาย การติดตามมนุษย์คือสิ่งที่มีเกียรติ. อย่างนั้นเราเลือกความอับอายก็ดีกว่า เราขอรับความอัปยศร่วมกับพระคริสต์เหมือนกับโมเซดีกว่าที่จะได้รับสง่าราศจากท่ามกลางมนุษย์ (ฮร.11:26).
5. อยากได้สง่าราศีจากมนุษย์
เหตุใดเหล่าผู้ปกครองที่อยู่ในโยฮันบทที่ 12 จึงไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า? พวกเขาไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เพราะเขารักสง่าราศีของมนุษย์มากกว่าสง่าราศีของพระเจ้า. หลายคนไม่กล้ายอมรับ เพราะเขาอยากได้ทั้งสองอย่าง คืออยากได้ทั้งพระคริสต์และธรรมศาลา เขาอยากได้พระคริสต์จึงเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า. เขาอยากได้ธรรมศาลาจึงไม่ยอมรับองค์ พระผู้เป็นเจ้า. ในเมื่อเขาอยากได้ทั้งสองอย่าง เขาจึงไม่เด็ดขาด.
หากท่านอยากปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับธรรมศาลา ท่านจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่มีทางเป็นคริสเตียนที่ดีได้เลย ถึงอย่างไรท่านก็ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่งระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์. ผู้ปกครองเหล่านั้นกลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบหน้าเขา เขากลัวว่าถ้ายอมรับพระเยซูแล้วจะถูกขับออกจากธรรมศาลา แต่คนที่เลือกองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเด็ดขาดย่อมไม่กลัวถูกขับออกจากธรรมศาลา.
ถ้าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วไม่มีใครมาข่มเหงท่านเลย ท่านควรทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์” ถ้าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วถูกผู้อื่นข่มเหง ท่านก็ต้องทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์” ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เราอย่าได้เป็นเหมือนผู้ปกครองเหล่านั้นที่ยังอาลัยในธรรมศาลาจึงไม่ยอมเปิดปาก ไม่ยอมรับว่าตัวเอง เชื่อพระเยซู. ถ้าทุกคนในคริสตจักรเป็นเหมือนพวกเขา ทุกวันนี้บนโลกก็ไม่มีคริสตจักรแล้ว ถ้าในเวลาที่เปโตรเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วกลับบ้านไปปิดปากเงียบ ถ้าเปาโล, ลูเธอร์, หรือ ดาร์บี ฯลฯ เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็พากันปิดปากเงียบ ถ้าทุกคนในคริสตจักรล้วนปิดปากเงียบ ไม่มีใครยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างนั้นปัญหาของพวกเขาก็คงจะหายไปเกือบหมด แต่ก็จะไม่มีคริสตจักรอยู่บนโลกมาจนถึงทุกวันนี้!
คริสตจักรนั้นมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือกล้าเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า. ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือกล้ายอมรับว่าตนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า. การได้รับความรอดไม่ได้มีแค่การเชื่อพระเยซูเท่านั้น แต่หลังจากที่เชื่อแล้ว ท่านยังต้องยอมรับว่าท่านเชื่อพระองค์ด้วย การยอมรับนี้เป็นสิ่งที่สําคัญ. การเป็นคริสเตียนไม่เพียงเป็นกันด้วยการประพฤติเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นกันด้วยปากด้วย. นั่นคือปากจะต้องยอมรับ. ถึงอย่างไรท่านก็ต้องพูดออกมาว่า “ฉันเป็นคริสเตียน” คริสเตียนมีแต่การประพฤติที่ดีแค่นั้นไม่พอ เขายังต้องเปิดปากพูดออกมาด้วยจึงจะใช้ได้. ถ้าเอาปากออกไปก็ไม่มีการเป็นคริสเตียนแล้ว. พระคําในพระคัมภีร์ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การเชื่อด้วยใจนําไปสู่การโปรดให้ชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากย่อมนําไปสู่ความรอด.
III. การยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการยอมรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เหตุฉะนั้นทุกคนที่จะยอมรับในเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะยอมรับในเขาต่อพระพักตร์พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลายด้วย” (มธ.10:32). ขอบพระคุณพระองค์ ถ้าวันนี้เรายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในอนาคตองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงยอมรับเรา. พระองค์ยังตรัสอีกว่า “แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลายด้วย” (ข้อ 33). “แต่ผู้ใดปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตของพระเจ้า” (ลก.12:9). ผลลัพธ์นั้นต่างกันมาก! องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านเชื่อนั้นทรงล้ําเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง เป็นยอดแห่งผู้คนทั้งหลาย เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง ท่านแค่ยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงยอมรับท่านต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบิดาและต่อหน้าเหล่าทูตของพระเจ้า ถ้าท่านลําบากใจกับการยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ล้ําเลิศเช่นนี้ต่อหน้ามนุษย์ อย่างนั้นเมื่อถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในสง่าราศีของพระบิดา พระองค์ก็ย่อมจะลําบากใจกับการยอมรับคนอย่างท่านเหมือนกัน วันนี้เราจงอย่าได้ไม่กล้ายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้ามนุษย์เพียงเพราะเรากลัวผู้คน (ยชย.51:12). ถ้าวันนี้เราลําบากใจกับการยอมรับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ อย่างนั้นเมื่อถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จกลับมา พระองค์ก็ยากที่จะยอมรับท่านต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาและต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของ พระองค์ที่มีสง่าราศี. นี่เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดมาก!
ในความเป็นจริงแล้ว การที่เราต้องยอมรับพระองค์ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย ถ้าเทียบกับการที่พระองค์จะต้องยอมรับเราแล้วก็เป็นเรื่องที่ง่ายกว่ากันมาก. การที่พระองค์ต้องยอมรับเรานั้นยาก เพราะเราเป็นแค่บุตรพเนจรที่ได้กลับบ้าน ไม่มีอะไรดี. ในเมื่อพระองค์ทรงยินดีที่จะยอมรับเราในอนาคตแล้ว อย่างนั้นวันนี้เราก็ต้องยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์กันอย่างผึ่งผาย.
ขอให้พี่น้องที่เป็นผู้แรกเชื่อทุกคนมีความกล้าที่จะยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่แรก อย่าได้แอบเป็นคริสเตียนอย่างลับๆ เป็นอันขาด!
ข้อความเนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก หนังสือเสริมสร้างผู้แรกเชื่อ เล่ม 1 บทที่ 4 ตั้งแต่ หน้า 49 - 61
เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ ห้องสมุดกิดตติคุณแห่งประเทศไทย
โทร 0 27465778-9
Email : gbr.thailand@gmail.com
เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ThegospelbookroomThailand/
Line: @gospelbookroom https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=gospelbookroom