เรื่องเล่าจากนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ได้ทุนมาศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศโลกที่หนึ่งในฝันของใครหลาย ๆ คน หากทว่าการใช้ชีวิตที่นี่กลับมีเรื่องน่าตื่นเต้นและประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา จึงต้องสะท้อนประสบการณ์ที่ได้รับมาผ่าน "จดหมายจากมิชิแกน"
จดหมายฉบับที่ 0
"Welcome to ทุกขลาภ"
ประโยคแรกที่ได้ฟังจากคนใกล้ตัวตอนที่ฉันรู้ว่าได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นก็พอจะเดาได้ว่าอนาคตคงไม่ได้โรยเหมือนกลีบกุหลาบแบบที่คาดหวังไว้ แต่ก็หวังลึก ๆ ให้ชีวิตต่างแดนนั้นสุขสบาย เต็มไปด้วยความสนุกสนานแบบคุณแดงและดาราต่าง ๆ ในรายการไกลบ้าน ใครจะไปคิดคะว่าความวุ่นวายเริ่มตั้งแต่ฉันยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากประเทศไทย เริ่มต้นจากเอกสารจำนวนมากที่ต้องเตรียมให้กับพสวท. และ กพ. (หน่วยงานที่ดูแลทุนที่ฉันได้รับ) ตามมาด้วยวีซ่า USA ซึ่งกว่าจะได้มาก็ต้องตบตีกับท่านทูตเพราะสถานกงสุลปิด (ซึ่งเดาว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่ติดโควิดจนไม่เหลือใคร) กว่าจะเตรียมทุกอย่างเสร็จก็เหลือเวลาอีก 1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง และสิ่งที่เด็กสายวิทย์อย่างฉันเลือกทำก่อนวันเดินทางก็คือการไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบมหานคร อย่างที่เขาว่าค่ะ เรามัน “ชาววิทย์ชิดชาวบ้าน”
แม้ว่าจะไม่ได้มีห่วงหรือความกังวลสักเท่าไรก่อนเดินทาง แต่ก็ยอมรับว่าการที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาหลายปีนั้น มันก็ทำให้ในใจมันมีอาการเคว้งเกิดขึ้นบ้าง สหรัฐอเมริกานะคะ ไม่ใช่เชียงใหม่-พิษณุโลก ที่จะนั่งรถไฟกลับบ้านได้ง่าย ๆ เอาจริงตอนอยู่เชียงใหม่ก็แทบไม่กลับบ้านอยู่ละเพราะไม่ชอบการนั่งรถนาน ๆ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย คงไม่น่าจะได้กลับไทยระหว่างเรียนแน่ ๆ ก็ยังดีที่ตั้งแต่เด็กโดนสอนมาให้ใช้ชีวิตแบบ solo เลยรู้สึกเข้มแข็งและพร้อมกับการใช้ชีวิตแบบคนต่างแดน
วันที่ต้องขึ้นเครื่องเป็นอีกวันหนึ่งที่ประทับใจ เพราะนอกจากจะได้อำลาครอบครัวและเพื่อนฝูงแล้วนั้น ยังได้เพื่อน ๆ ที่มาส่งขึ้นเครื่องบินทำเซอร์ไพร์สจนอยากจะเอาหน้าไปซุกไว้ใต้ยักษ์ในสนามบินอีก ที่พีคกว่าคือ ได้เจอพี่เต้น ณัฐวุฒิ กับแกนนำพรรคเพื่อไทยคนอื่น ๆ ก็เลยเข้าไปทักทายตามประสานางแบก พร้อมกับโชว์เสื้อ Tony Woodsome ที่ใส่ไปวันนั้นจนแกเอ่ยปากว่า "โห นี่มันตัวจี๊ดนี่หว่า" และแล้วก็ได้เข้าเกต (เป็นคนสุดท้าย) เนื่องจากรอพี่สาวสุดที่รักนั่ง MRT จากท่าพระมาหาถึงสุวรรณภูมิ พร้อมกับคำอวยพรว่า "ทิ้งหัวใจไว้ที่สุวรรณภูมินะคะ เอาไปแต่***ก็พอ"
อย่างที่บอกไปว่าการเดินทางนาน ๆ กับฉันนั้นเป็นของไม่ถูกกัน เนื่องจากเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง การนั่งเฉย ๆ บนเครื่องบินนาน ๆ จึงถือว่าทรมานขีดสุด โดยเฉพาะทริปนี้ที่นั่งทั้งหมด 4 ต่อ สุวรรณภูมิ-นาริตะ-ลอสแอนเจลิส-ชิคาโก้-แลนซิ่ง ก็ยังดีที่เก้าอี้นั่งสบายแถมทำเลดี ลุกเข้าห้องน้ำง่าย ส่วนอาหารบนเครื่องก็เว่อวังอลังการ แอร์บริการทุกระดับประทับใจ (ก็ต้องขอบคุณคุณเอ็ดนะคะที่จองตั๋วกับการบิน Japan Airline ให้) และแน่นอน ตามประสาคนชอบญี่ปุ่น ระหว่างต่อเครื่องที่นั่นก็ได้ขนมติดไม่ติดมือไปเยอะอยู่เหมือนกัน
ในที่สุด ด้วยระยะเวลากว่า 20 ชั่วโมง ดิฉันก็ได้แลนดิ้งที่สหรัฐอเมริกาสักที ด้วยความที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี การตอบคำถามกับ ตม. จึงไม่มีปัญหาอะไร หลังจากเดินเข้ามาในสนามบินลอสแอนเจลิส ตอนนั้นยอมรับว่าความตื่นเต้นยังไม่เท่าไร เพราะมีแต่ความ “ตกสะเกิด” กับภาพที่เห็นและสิ่งที่ได้ยิน เพราะได้ถูกรายล้อมไปด้วยภาษาอังกฤษแบบ 100% ทำอะไรไม่ถูกก็เลยแอ๊บทำเป็นนักท่องเที่ยว First Class เดินดูสินค้าในร้าน Duty-free พอเห็นราคาก็ร้อง “Ahh That's nice!" จากนั้นก็วางของแล้วก็เดินจากไป ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรเพราะต้องรอต่อเครื่องอีกหลายชั่วโมง ก็เลยหยิบไอแพดออกมาดูข่าว อัปเดตเหตุบ้านการเมือง มันจะไม่อะไรเลยถ้าฝรั่งที่นั่งข้าง ๆ กันไม่หันมาดูด้วย ฉันเลยชวนเขาดูตามมารยาท ชีก็หัวเราะและก็ปฏิเสธไป คาดว่าชีคงแค่สงสัยว่าทำไมพิธีกรหญิงถึงได้อารมณ์รุนแรงขนาดนั้น (ใช่ค่ะ ฉันกำลังดูคำ ผกาด่าประยุทธ์)
การเดินทางของฉันสิ้นสุดเมื่อได้นั่งเครื่องต่อสุดท้ายและนั่งรถมาจนถึง East lansing ซึ่งเวลาท้องถิ่นขณะนั้นคือบ่ายสาม นั่นแปลว่า รวมระยะเวลาเดินทางทั้งสิ้นกว่า 30 ชั่วโมง (เข้าใจหรือยังคะว่าทำไมฉันถึงบอกว่าคงไม่กลับไปเยี่ยมบ้านแน่ ๆ) ซึ่งภารกิจวันนั้นยังไม่หมด เพราะยังต้องไปซื้อของใช้ที่จำเป็นเข้าบ้านและก็ต้องจัดห้องอีก กว่าจะเสร็จสรรพทุกประการก็เที่ยงคืนพอดี
มาถึงตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจละว่า “ทุกขลาภ” ที่คุณเอสว่ามันหน้าตาเป็นยังไง
จดหมายฉบับที่ 1
”อ๊กๆๆ”
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก และไม่ต้องสงสัยเลยทำไมดิชั้นต้องพูดคำว่า “อ๊กๆๆ” กับตัวเองทุกวัน เพราะนอกจากต่างถิ่นต่างภาษาแล้ว วัฒนธรรมและการใช้ชีวิตที่นี่ก็ต่างกับประเทศเชียงใหม่ของเราโดยสิ้นเชิง ซึ่งดิชั้นจะค่อยๆ อธิบายให้เห็นภาพทีละเรื่อง
อย่างแรกต้องเกริ่นก่อนว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากมายมหาศาล แต่ประชากรไม่ได้มากเท่าจีนหรืออินเดีย นั่นหมายความว่าคนก็จะไปกระจุกอยู่ตามเมืองท่าสำคัญ (ไม่ใช่เมืองหลวง) เช่น Chicago หรือ Detroit ตัดภาพมาที่ East Lansing (เมืองที่ดิชั้นอาศัย) ถ้าจะให้เทียบกับไทยก็คงเป็นลำพูน ไม่มีอะไรเลยนอกจากมหาวิทยาลัยกับบ้านคน แต่ในขณะเดียวกันก็มีสาธารณูปโภคครบครันและเป็นมิตรต่อการใช้ชีวิต เช่น มีรถบัสขับรอบเมืองและมีตารางเวลาที่แน่นอน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะมีรถส่วนตัวก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ และนี่แหละค่ะคือ culture shock แรกที่ดิชั้นเจอ เพราะคนเชียงใหม่อย่างดิชั้นที่ขับเครื่องไปเรียนทุกวันย่อมไม่สามารถตามใจตัวเองได้อย่างที่เคยเป็น ประเภทที่ว่าอยากกินอ้อนนมสดตอนสี่ห้าทุ่มนี่ตัดทิ้งเลย เพราะหลังสองทุ่มบัสก็แทบจะไม่วิ่งละ ความเป็นมิตรถัดไป คือ เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับคนเดินเท้าและคนปั่นจักรยาน ดังเห็นได้จากเลนปั่นจักรยานและไฟข้ามทางม้าลายที่จะพบได้ทุกแยก ย้ำว่าทุกแยก
หากฝรั่งทักทายด้วยประโยค How are you? คนบ้านเราก็คงถามกันว่า “กินข้าวหรือยัง” และแน่นอนค่ะว่าอาหารก็เป็นอีก culture shock ของดิชั้น เพราะมช.มันสปอยเรา เดินไปไหนก็มีร้านข้าว ร้านอาหาร ขายนั่นนี่สารพัด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาทำกับข้าวกินเอง เพราะลงไปใต้หอก็สั่งกะเพราหมูสับพี่เยาว์กับชาเขียวพี่ป้อมได้ด้วยราคาแสนถูก แต่ที่นี่ไม่ใช่ การทานอาหารนอกบ้านถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยในชีวิต ออกไปทานครั้งหนึ่งอย่างต่ำก็ $15 ไม่รวมทิป ประกอบกับการจัดการผังเมืองที่นี่ ห้างร้านต่างๆจะถูกจัดมาอยู่ในโซนเดียวกัน ไม่ปะปนกับละแวกที่อยู่อาศัย ดังนั้นทางเดียวที่เอาชีวิตรอดกับเงินทุนอันน้อยนิดก็คือทำกับข้าวกินเอง หน้าบุญที่หิ้วพริกแกงสารพัดอย่างติดตัวมาด้วย เลยทำให้มื้ออาหารที่ทานแต่ละวันนั้นเป็นอาหารไทย 100% (แต่ไม่ authentic แน่นอน ทุกวันนี้ก็ยังทักไปขอสูตรจากป้ามุและพี่สาว)
พูดถึงเดือนแรก จะไม่พูดถึงบรรยากาศในมอก็ไม่ได้ Michigan State University เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่แคมปัสถือว่าสวยเลยทีเดียว มีแม่น้ำไหลผ่าน มีทางสำหรับเดินและปั่นจักรยาน และอุดมไปด้วยต้นไม้และพื้นที่สีเขียว แต่เนื่องด้วยช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง แคมปัสจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาล Professor ที่สอนนิวเมอเล่าให้ฟังว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดในรอบปี (ซึ่งจริง เพราะหลังจากนั้นมาหกเดือนคืออยู่กับซากต้นไม้เพราะใบไม้ร่วงหมดแล้ว) ช่วงเย็นก็มีนักเรียนออกมาวิ่งและจับจองพื้นที่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจตามสวนและสนามหญ้า อีกเรื่องหนึ่งที่เป็น culture shock คือคนที่นี่บ้าฟุตบอลมาก ในที่นี้คือ american football และด้วยความที่ MSU ก็อยู่ใน BIG10 (กลุ่มของมหาวิทยาลัยที่แข่งกีฬากัน ฟีลคล้ายๆ จตุรมิตร) ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับเด็ก MSU ที่ควรจะไปดูการแข่งขันสักครั้ง แถม Spartan Stadium ก็จุคนได้ไม่ใช่น้อย (70,000++)
และแล้ววาสนาก็พาให้ดิชั้นมารู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งในหลักสูตรเดียวกัน ชีชื่อว่าแม็ก ด้วยความที่ช่วงแรกยังไม่รู้จะพูดอะไรดิชั้นจึงได้แต่เงียบ อ่านหนังสือ ทำการบ้าน งกๆๆ แต่อีแม็กมันเป็นผีบ้าพอตัว มันก็ชวนคุยนั่นนี่สารพัด ที่น่าสนใจคือในความผีบ้านั้น แม็กเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวสูงพอสมควร เรื่องที่ชีชวนคุยมีทั้งเรื่องไร้สาระ (เช่น เล่าขวัญที่ปรึกษา) จนมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กระทั่งวันหนึ่งมันก็ชวนไปดูฟุตบอล บอกว่าได้ตั๋วมาฟรี ดิชั้นก็ตอบตกลงไปเพราะไม่มีอะไรจะเสีย พอถึง game day ก็ได้เจอกับพ่อแม่มัน รวมถึงแฟนสาวที่สูงมาก (อีแม็กน่าจะสูง 190 cm ในขณะที่แฟนมันสูงพอกัน) ประโยคแรกหลังจากแนะนำตัวเสร็จพ่อมันก็ถามคำถามหนึ่ง แปลเป็นภาษาเหนือว่า “ใส่เบียร์ก่อ” เลยทำให้ดิชั้นได้รู้ว่า บ้านนี้ตลกและขี้เหล้าพอตัว (เดี๋ยวจะเล่าในจดหมายฉบับต่อๆ ไปว่าขี้เหล้ายังไง) พอเกมใกล้จะเริ่ม พวกเราต้องเข้าสเตเดียม คุณพระช่วย ใครจะไปรู้คะว่าบัตรชมฟุตบอลของดิชั้นเป็นบัตร vvip นั่งชมในห้องแอร์ มีเครื่องดื่มและอาหารรวมถึงบริกรมาเสริฟถึงที่ ความสงสัยเริ่มเกิดขึ้นในหัวว่าบ้านอีแม็กมันทำงานอะไร ถึงได้ตั๋ว vvip ขนาดนี้ได้ เพราะภายในห้องโซนนี้มีแต่บอร์ดมหาวิทยาลัย สภาและผู้บริหารท้องถิ่น แถมยังได้สิทธิ์ลงไปในสนามจริงได้ด้วย จนกระทั่งเกมจบจึงได้รู้ความจริงว่า แม่มันเคยทำงานในสภาท้องถิ่นและตอนนี้กำลังลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภารัฐในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้...
แม้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายสารพัดและยังคงต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ ในเทอมนี้ แต่ก็พูดได้ว่าใช้ชีวิตที่นี่ในฐานะนักเรียนทุนมันก็ไม่แย่ และอาจเป็นเพราะเรื่องเรียนก็ไม่มีปัญหา รวมไปถึงความโชคดีของดิชั้นที่มาเจอ “ท่านแม็ก” เลยทำให้ชีวิตมีสีสันมากกว่าที่ควรจะเป็น หวังว่าตัวดิชั้นเองจะ “อ๊กๆๆ” น้อยลงในเดือนถัดๆ ไปนะคะ
จดหมายฉบับที่ 2
“หัวคะแนนออแกนิค”
จากใบไม้ที่เคยเปลี่ยนสีจากเขียวสดเป็นสีน้ำตาลเหลือง ขณะนี้ใบไม้ทั้งเมืองก็ได้ร่วงหมดเสมือนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย ยังดีที่ฉันยังไม่ตายตามต้นไม้พวกนี้ แถมชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ติดอยู่เรื่องเดียวเลยคือฉันยังคงคิดถึงโฮล่าชาบูอยู่ตลอด (ร้านชาบูใกล้มช.ที่ไปทานบ่อยจนจะเป็นหุ้นส่วน) นี่ก็สี่เดือนแล้วสินะที่ฉันยังไม่ได้กินปิ้งย่างหรือชาบูเลย!!
ตารางชีวิตของฉันตอนนี้ก็เริ่มลงตัว เริ่มต้นจากการตื่นมาชงชาไทย (ที่หิ้วมาจากไทย) และปิ้งขนมปังทาน ทำกับข้าวใส่กล่องไปทานที่แคมปัส อาบน้ำแล้วก็ไปรอรถบัสหน้าอพาร์ตเมนต์ จากนั้นก็เรียน เรียน และเรียน จนเย็นๆ ถึงเดินไปขึ้นรถบัสกลับบ้าน บางวันก็แวะซื้อวัตถุดิบไปทำกับข้าว บางวันขี้เกียจทำกับข้าวก็ชวนพี่สาวรูมเมทไปทานข้าวนอกบ้าน ช่างเป็นชีวิตที่สงบ (เกินไป) พูดแล้วก็คิดถึงชีวิตไฮโซตอนอยู่เชียงใหม่ คิดถึงรถเครื่องที่เคยขับไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆ คิดถึงร้านเหล้าและหม่าล่าของโปรดของคุณรุ้ง (?) ถ้าเปรียบกับอาหาร ชีวิตตอนอยู่เชียงใหม่คงเป็นยำทะเลรวมใส่พริกกรุบกริบพอให้แซ๊บ แต่ชีวิตตอนนี้เหมือนข้าวไข่เจียว หมูสับยังไม่มีเลย เรียบนิ่งมาก เน้นอยู่รอดไปวันๆ พูดแล้วก็ทอดไข่เจียวกินประทังชีวิตไปอีกมื้อ
สำหรับใครที่เคยคิดเหมือนฉันว่า ไปอยู่ที่ไหนนานๆ เข้าก็คงพูดภาษาของที่นั่นได้เองโดยอัตโนมัติ อยากจะบอกว่าคุณคิดผิด เพราะถ้าคุณไม่ใช้มัน ไม่พูด ไม่เขียน ยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจแน่นอน ดังนั้นคู่มือการเรียนภาษาต่างประเทศที่ดีที่สุดคือการมีเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษา เพราะมันจะเป็นโอกาสให้คุณได้ฝึกฝนภาษารวมถึงเรียนรู้วัฒนธรรมไปในตัว ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยพูดเพราะขี้เกียจมานึกคำศัพท์ สุดท้ายแม็กก็ชวนคุยอยู่ดี สำหรับการเรียนป.โทที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากที่ไทยมากนัก อาจจะต่างตรงเรื่องของภาษาและการสอบ เช่นคำว่าไฟนอล ที่แปลว่าครอบคลุมเนื้อหาทั้งเทอม (ไม่ใช่แค่ครึ่งเทอมหลัง) ซึ่งสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่สอน ถ้าจะถามหาความโชคร้ายในการมาอยู่ที่นี่ คงหนีไม่พ้นป้าจีนที่ปรึกษาของฉัน อาจเป็นเพราะคะแนนสอบฉันสูงมาก ชีเลยคาดหวังกับตัวฉันสูงว่าต้องเดินรอยตามที่ชีบอกเพื่อไปสู่ฝั่งฝันอันสูงสุด แต่นั่นมันไม่ใช่ฉัน อะไรที่ชีพูดแล้วฉันไม่เห็นด้วย ฉันก็ต้องแย้ง และนี่คือจุดแตกหักระหว่างฉันกับชี นี่ยังไม่รวมที่ชีพูดกระแทกแดกดันนักเรียนทุกคนในคลาส และอีกมากมายที่ทำให้พวกเราปวดหัว แต่ฉันก็หาแคร์ไม่
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นของภาควิชา แม็กก็เดินมาหาพร้อมชวนฉันไปงาน fund raising ของแม่มันสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ก็ยังคงคอนเซปเดิม ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย เหตุใดเราจะไม่ไป สุดท้ายมันก็ขับรถพาฉันไปที่เมือง Orion ซึ่งเป็นบ้านเกิดมันด้วย งาน fund raising จัดขึ้นที่บาร์ แขกที่มางานก็มีแต่นักการเมือง นักธุรกิจ ตัดภาพมาที่เด็กไทยคนนี้ที่เดินตามเพื่อนมันไปตักอาหารจนเต็มจานแล้วไปนั่งหลบอยู่ที่มุมห้อง สุดท้ายมันก็บีบคอฉันออกไปพบปะผู้คน อยากด่ามันจริงๆ อุตส่าห์หนีความไฮโซที่ไทยมาเป็น no name ที่นี่ กลายเป็นว่าได้คุยกับลูกท่านหลานเธอเต็มไปหมด อีกวัฒนธรรมหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ คือ คนที่นี่ชอบสนทนาและเข้าสังคมกันมาก ถือแก้วเบียร์ใบเดียวก็คุยกับคนได้ทั้งงาน ฉันอยู่เป็นเพื่อนแม็กจนงานเลิก แล้วเราก็ขับรถกลับมอกัน พร้อมกับบอกฉันว่า “อาทิตย์หน้าเลือกตั้งแล้ว จะชวนยูมาอีก”
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับพลเมืองอเมริกันและครอบครัวแม็ก เราสองคนขับรถไปที่ Orion อีกครั้งเพื่อช่วยแม่มันหาเสียงโค้งสุดท้าย กฎระเบียบการเลือกตั้งที่นี่ไม่จุกจิกแบบที่ไทย ใส่เสื้อพรรคเข้าคูหาก็ไม่ผิด จะไปยืนถือป้ายบอกให้คนโหวตเราหน้าคูหาก็ไม่ผิด และแน่นอน มันพาฉันมาถือป้ายโปรโมทแม่มันหน้าคูหา55555 เอาเป็นว่าโค้งสุดท้ายไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ มีทั้งคนที่ชอบก็จะให้กำลังใจและบอกจะโหวตให้แน่ๆ และคนที่ไม่ชอบประเภทที่เห็นป้ายปุ๊บยกนิ้วกลางก็มี เปิดประสบการณ์หัวคะแนนมิชิแกน การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีแค่สว.1 ใน 3 ที่ครบวาระ แต่ยังมีสภาท้องถิ่นอีกหลายตำแหน่งที่เอามาโหวตวันเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้เปลี่ยนตัวประธานาธิบดี แต่ก็ถือเป็นการเลือกตั้งเพื่อหยั่งเสียงและประเมินเสถียรภาพของรัฐบาล หลังปิดหีบพวกเราก็กลับมาที่บาร์แห่งเดิมเพื่อดูผลการเลือกตั้ง การนับคะแนนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะการลงคะแนนที่นี่ใช้ voting machine ควบคู่กับการลงคะแนนคะแนนทางไปรษณีย์ ฉันและแม็กไม่ได้อยู่จนนับคะแนนเสร็จเพราะเราต้องกลับไปเรียนเช้าวันถัดไป แต่สักประมาณเที่ยงคืนคะแนนอย่างไม่เป็นทางการก็ประกาศว่าแม่มันชนะไปด้วยคะแนนที่ต่างกันหลักพัน ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียกว่า “หน้าบุญ” สุดๆ
ถึงแม้จะเจอป้าจีนคะนังหัวมาแค่ไหน อย่างน้อยคืนนี้ก็เป็นคืนดีๆ ที่ท่านแม็กก็ได้นอนกอดชัยชนะของแม่มัน โชคดีที่ไม่มีคนคอยปั่นว่าแม่มันจะมี “ดีลลับ” หรือเปล่า หัวคะแนนธรรมชาติอย่างลูกชายและเพื่อนของเขาเลยไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก เลือกตั้งผ่านไป... แต่หารู้ไหมว่าหายนะจากป้าจีนกำลังเริ่มต้น...
จดหมายฉบับที่ 3
“ปิดเทอม หิมะ และชายหาด”
เข้าเดือนที่ห้าแล้วที่ฉันมาเรียนที่สหรัฐอเมริกา ตอนนี้ทั่วทุกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ (ยิ่งกว่าแอเรนเดล) ในขณะที่ครอบครัวที่ไทยเป็นห่วงฉันว่าจะหนาวไปไหม อยู่ได้ไหม ฉันกลับยินดีและมีความสุขกับการอยู่ท่ามกลางหิมะ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ร้อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตประจำวันจะง่ายเหมือนช่วงก่อน เวลาออกบ้านก็ต้องใส่เสื้อโค้ทตัวหนา รองเท้าบูทและถุงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้ตายกลางพายุหิมะ
อีกเทศกาลที่หลายๆคนคงเคยได้ยินในเดือนพฤศจิกายนก็คือวันขอบคุณพระเจ้าหรือ Thanksgiving day ฉันได้รับเกียรติอีกครั้งจากคุณแม็ก (ซึ่งตอนนี้รับบทลูกชาย state representative) ให้ไปร่วมทานข้าวเย็นกับครอบครัวมัน รอบนี้แตกต่างจากรอบก่อน เพราะครั้งนี้เราไปรวมตัวฉลองกันที่คฤหาสน์คุณยายของแม็ก ฉันได้รู้จักคนในครอบครัวนี้อีกหลายคน รวมทั้งหมดที่มาฉลองก็เป็น 12 คน งานนี้เหมือนเป็นการซ้อมรวมญาติ เพราะวันจริงคือวันคริสต์มาส ทุกคนช่วยกันเตรียมงานโดยที่ฉันช่วยเตรียมสถานที่เพราะความรู้ในการทำอาหารฝรั่งเท่ากับศูนย์ จะเป็นหน่อยก็คงจับจีบผ้าคลุมโต๊ะ จัดดอกไม้ (ซึ่งเป็นความสามารถติดตัวจากงานนักเรียนพระราชทานคุณบิ๊ก) บรรยากาศผ่านไปด้วยความอบอุ่น ครอบครัวพบปะ ถามสารทุกข์สุขดิบ สิ่งที่เซอร์ไพร์สฉันก็คือคุณพ่อของแม็กเอ่ยปากชวนฉันไปพักผ่อนที่ฟลอริด้ากับครอบครัวเขาในช่วงคริสต์มาส (เพื่อหนีหนาว) แน่นอนว่าฉันตอบตกลงด้วยความตื่นเต้น
หลังจากวันหยุดยาว พวกเราก็กลับไปเรียนกันต่อ ตอนนี้เป็นช่วงหลังมิดเทอม คะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจ จะมีปัญหาก็ตรงคุณแม็กที่มีปากเสียงกับป้าจีนที่ปรึกษาบ่อยครั้ง จนกระทั่งถึงจุดแตกหักกันระหว่างสองคนนี้ ฉันขอข้ามรายละเอียดไปเลย สรุปตรงที่ว่าแม็กลาออก ซึ่งฉันก็เคารพการตัดสินใจครั้งนี้ หากแต่ก็เป็นที่โจษจันใจหมู่ผู้บริหารกับการดูแลนักเรียนของป้าจีน เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีนักศึกษาลาออกกลางเทอม สุดท้ายฉันก็ดันตัวเองจนจบเทอมแรกได้ ถือว่าไม่แย่เลย ติดอย่างเดียวคือฉันยังไม่กล้าที่จะสนทนาภาษาอังกฤษมากนัก ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง ถ้าจะให้แนะนำคนที่ฝึกภาษาอยู่ ฉันคิดว่าฝึกพูดเยอะๆจะดีกว่า ไม่ต้องกลัวพูดผิด เพราะสุดท้ายถ้าพูดผิดเดี๋ยวคู่สนทนาเขาก็แก้ให้
ช่วงปิดเทอมฉันก็ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากมายเพราะหิมะตกหนัก ดูซีรีย์ กินนอนไปวันๆ จนกระทั่งแม็กมารับไปฉลอง Christmas eve ที่คฤหาสน์หลังเดิม ก่อนเดินทางพวกเราแวะซื้อของขวัญให้ผู้ใหญ่และคนรู้จัก พอถึงคฤหาสน์ก็ต้องตกใจกับจำนวนคนแบบ full team ครอบครัวมากันครบทุกคน ประมาณ 20 กว่าคนได้ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่สนุกสนานและเฮฮา คริสต์มาสที่นี่เหมือนภาพยนตร์ฝรั่งที่ฉันเคยดู ทั้งบ้านถูกตกแต่งให้เข้ากับเทศกาล มีต้นคริสต์มาสในบ้าน ทุกคนแต่งชุดเป็นทางการ ใส่สูทผูกไทด์ ผู้หญิงก็ใส่เดรส ทั้งหมดนี่แต่งเพื่อมาถ่ายรูปรวมญาติและทานข้าวเย็น บรรยากาศอบอุ่นเช่นเคย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ให้คนในครอบครัวทำร่วมกัน เช่น เกมทายคำเปิดแผ่นป้าย (ถ้าเป็นบ้านเราก็คงเป็นเกมชาเย็น) มีการแลกของขวัญที่เรียกว่า stupid gift ปิดท้ายด้วยของขวัญที่คุณยายแจกจ่ายให้หลานๆของเขา รวมถึงฉันก็ได้อานิสงค์ไปด้วย แม็กก็เซอร์ไพร์สด้วยการมอบของขวัญให้ฉันเช่นกัน ที่ตลกคือ ของพวกนี้เป็นของที่ฉันเลือกมาเองกับมือ เพราะมันหลอกฉันให้ช่วยเลือกซื้อของขวัญให้หน่อย จะเอาไปให้ญาติ เราก็เลือกแต่สิ่งที่เราชอบ ซึ่งก็โชคดีที่ทำให้ฉันได้ของใช้ที่ต้องการพอดิบพอดี คืนนั้นหลานๆบ้านนี้ hang out ต่อกันจนดึกและตัดสินใจนอนด้วยกันที่คฤหาสน์คุณยาย ส่วนฉันหนีกลับบ้านแม็กไปนอนคนเดียว เพราะต้องกลับไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง
วันรุ่งขึ้นพวกเราจัดการเตรียมข้าวของและออกเดินทางไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงพวกเราก็ถึง Nokomis beach ในช่วงค่ำ จัดการซื้ออาหารสดเข้าตู้เย็น บรรยากาศที่นี่เหมือนอยู่ไทยมาก อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15-25 องศาเซลเซียส ลักษณะที่พักเป็นบ้านพักตากอากาศคล้ายคอนโด เกือบติดริมชายหาด มีทั้งสระว่ายของตัวโครงการและอ่าวเล็กๆที่อยู่ถัดไป ทำให้กิจกรรมส่วนใหญ่ของฉันที่นี่กลายเป็นกิจกรรมชายแท้ เช่น ตกปลา ขับเจ็ตสกี พอพูดถึงฟลอริด้า หลายๆคนคงนึกถึงชายหาดที่มีคนแออัดอย่างเช่นไมอามี่ แต่ที่นี่เป็นย่านของคนเกษียณอายุและคนที่เดินทางมาพักผ่อนช่วงหยุดยาว คนส่วนใหญ่เลยเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือคนที่มากันเป็นครอบครัวแบบฉัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าที่นี่จะน่าเบื่อซะทีเดียว ฉันได้มีโอกาสปั่นจักรยานรอบๆ ทำให้ได้เห็นบรรยากาศโดยรวมที่ค่อนข้างสงบ แต่ตอนกลางวันก็มีคนมาทำกิจกรรมที่ชายหาดไม่ต่ำกว่า 100 คน ตกเย็นหลังดูพระอาทิตย์ตกดินก็ไปสังสรรค์ที่บาร์ใกล้บ้าน สิ่งหนึ่งที่ฉันประหลาดใจคือคนที่นี่เดินกันเยอะมาก อย่างเช่นคนในครอบครัวนี้อย่างน้อยก็ต้องออกไปเดินขั้นต่ำ 2 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนฉันได้แต่บอกว่า “I’m good.” ถือว่าเป็นการปฏิเสธเพื่อที่จะนอนดูซีรีย์อย่างสุภาพ เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษนอกจากนั่งจิบแชมเปญดูพลุที่ระเบียง เช้าวันที่ 1 พวกเราเดินทางไปอีกฝั่งหนึ่งของฟลอริด้าเพื่อไปดำน้ำดูปะการัง หากถามฉันว่าชายหาดและปะการังที่ไหนสวยกว่ากัน ก็คงต้องตอบว่าที่ไทยแน่นอน นี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวทะเลไทย พวกเราใช้เวลาอยู่ฟลอริด้าเป็นเวลาเกือบ 2 อาทิตย์จากนั้นก็เดินทางกลับไป East Lansing ส่วนแม็กหลังจากที่ลาออกก็ได้งานชั่วคราวที่ Detroit ก่อนที่จะไปเรียนต่อโทที่อื่น
เหมือนที่ใครหลายๆคนกล่าวว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็ว แน่นอนว่าปิดเทอมที่ผ่านมาฉันมีเวลาได้นอนโง่ๆอยู่บ้านจริงๆไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ แต่ก็ถือว่าคุ้มกับประสบการณ์ใหม่ๆ ฉันกลับมาบ้านพร้อมกับบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยหิมะยิ่งกว่าเดิม ได้แต่ cheer up ให้ตัวเองในการเผชิญหน้ากับภาคเรียนใหม่... Spring 2023
จดหมายฉบับที่ 4
“ชีวิตที่(เริ่ม)ลงตัว”
เทอมแรกของการใช้ชีวิตในมิชิแกนผ่านไปอย่างราบรื่น(?) ฉันเริ่มคุ้นเคยกับหลากหลายสถานที่ใน East Lansing โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านเอเชียที่เป็นดั่งขุมทรัพย์ทางโภชนาการ ฉันไม่ค่อยออกไปไหนเหมือนตอนอยู่เชียงใหม่ คนอื่นอาจมองเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนที่สนิทกับฉันจะรู้ว่าฉันไม่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว จะไปไหนต้องติดสอยห้อยใครสักคนไปด้วย ดังนั้น การไปเดินห้างชอปปิ้งของฉันที่นี่จึงเป็น paradox ที่ใจหนึ่งก็อยากไป อีกใจก็ไม่อยากไปเพราะไม่มีคนไปด้วย
เทอมสองของฉันเริ่มต้นด้วยการประชุม kick-off โปรเจคร่วมระหว่างภาควิชากับ Amway อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจตกใจว่าฉันกลายเป็นนักขายหรือนักการตลาดตั้งแต่เมื่อไร จริงๆแล้ว Amway สำนักงานใหญ่ตั้งในมิชิแกนนี่เอง อีกทั้งหัวหน้าทีม data science ก็เป็นรุ่นพี่โปรแกรมของฉันด้วย บรรยากาศการทำงานจึงเป็นไปด้วยความสนิทสนม ประหนึ่งงานคืนสู่เหย้า ส่วนโปรเจคนี้ทาง Amway ให้ข้อมูลการซื้อของลูกค้า 5 ปีย้อนหลังมาให้ทีมของฉันวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภค ฟังดูเหมือนง่ายแต่พวกฉันผู้ซึ่งไม่มีความรู้ทางการตลาดเลย ต้องเอางานทาง data science ไปนำเสนอให้ฝ่าย marketing ก็ต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ยากและน่ารำคาญที่สุดคือใน 1 สัปดาห์ พวกฉันต้องมี meeting กับที่ปรึกษา 1 ครั้ง, กับทีม Amway 1 ครั้ง, กับเพื่อนด้วยกันเองอีก 1 ครั้ง และต้องส่งความรายงานก้าวหน้าทุกอาทิตย์... นี่แหละคืออิทธิฤทธิ์ของป้าจีน
เหตุการณ์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการกราดยิงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 โชคร้ายที่มีนักศึกษาเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอีกหลายคน แต่สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้คือทางมหาวิทยาลัยและตำรวจมีการรับมืออย่างเป็นระบบมาก มีการส่งแจ้งเตือนทั้งทางอีเมลล์และทางโทรศัพท์เป็นระยะตลอดทั้งคืน แนะนำวิธีการรับมืออย่างเป็นขั้นตอนและชัดเจน อีกทั้งยังมีกระบวนการเยียวยาเหยื่อและนักศึกษาทั้งกายและใจ โดยเฉพาะเรื่องของใจหรือ mental health ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมนักจิตวิทยาไว้ดูแลนักศึกษาหากใครที่ต้องการพูดคุยปรับทุกข์ เช่น บางคนที่อยู่ในเหตุการณ์และเห็นการสังหารด้วยตาของตัวเองก็อาจจะอยู่ในสภาวะช็อกได้เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจเป็นเพราะในสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุการณ์กราดยิงอยู่บ่อยครั้งจึงเป็นเรื่องที่เด็กอเมริกันทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมือ มีการฝึกการอพยพกันตั้งแต่เด็กๆ นี่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศนี้เลยก็ว่าได้ในเรื่องของการครอบครองปืน การเข้าถึงอาวุธปืนและปัญหาคนไร้บ้าน
เนื่องจากเทอมนี้วิชาที่ฉันลงเรียนมีแค่โปรเจคกับเลคเชอร์อีก 2 วิชาซึ่งไม่ได้ยากนัก เรื่องเรียนจึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ กระทั่งเวลาล่วงเลยจนถึง spring break ซึ่งเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม ฉันและเพื่อนอีกสามคนตกลงกันว่าจะไปเที่ยวชิคาโก้ หนึ่งในสามเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ของประชากรและความเจริญ ความรู้สึกแรกเมื่อถึงชิคาโก้คือ “นี่แหละเมืองที่ฉันโหยหา” ชิคาโก้เหมือนกรุงเทพมาก ต่างกันตรงที่ชิคาโก้สะอาดกว่า, มีทางเท้าสำหรับคนเดิน, มีสวนสาธารณะอยู่ในกลางเมืองและมีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม พูดง่ายๆ คือชิคาโก้คือเมืองที่เป็นมิตรกับมนุษย์เดินเท้า ฉันและเพื่อนๆ ก็เดินเท้าท่องเที่ยวในตัวเมืองเป็นส่วนใหญ่ หากแต่ข้อเสียคือมีคนไร้บ้านจำนวนมากซึ่งสร้างความกังวลทุกครั้งที่ฉันต้องเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ฉันมีโอกาศได้ไปเที่ยวหลากหลายสถานที่ทั้งที่เป็น landmark และร้านลับๆ ด้วยโชคดีที่ว่าเพื่อนฉันเป็นคนชิคาโก้ จึงรู้แหล่งกินเที่ยวเป็นอย่างดี ฉันมีโอกาสได้ไปเดินเล่นในแคมปัสของ University of Chicago ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สวยและกระชับ เหมาะกับการตั้งอยู่ในกลางเมือง อากาศช่วงนี้ยังคงหนาวและมีเมฆตลอดทั้งวัน ประกอบกับชิคาโก้อยู่ติดทะเลสาบมิชิแกน จึงมีลมพัดตลอดเวลาและค่อยข้างแรง เวลาออกไปข้างนอกจึงต้องใส่เสื้อโค้ทตัวหนากับถุงมือดีๆ ติดตัวอีกคู่หนึ่ง พวกเราจบทริปชิคาโก้ด้วยการไปกินกรึบที่บาร์ชั้นบนสุดของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งข้างตึกทรัมป์และก็เดินทางกลับในคืนนั้นเลย
หนีไปพักผ่อนหย่อนใจกันได้ไม่นาน ทีมพวกฉันก็ต้องนำเสนอ final project ที่ทำมาตลอดเทอม ความพิเศษคือทั้งทีมพวกฉันและอาจารย์ได้รับเชิญให้ไปนำเสนอที่ Amway สำนักงานใหญ่กับทีม data analysis กับทีม marketing ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจทั้งสองฝ่ายรวมไปถึงป้าจีนของฉันด้วย เพียงได้รับคำชมจากคนที่มาร่วมฟังการนำเสนอก็ทำให้ฉันและเพื่อนๆ ใจฟู จริงๆมันก็เป็นการพูดให้ดูดี เพราะสุดท้ายคนที่ตัดสินว่าดีหรือไม่ก็คือป้าจีน เพราะเธอคือคนตัดเกรดวิชานี้ หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ก็เป็นสัปดาห์สอบไฟนอล ต่อด้วยงานรับปริญญา ข้อดีอีกอย่างของการเรียนที่นี่ คือ เรียนจบปุ๊บ รับปริญญาปั๊บ แบบที่สอบเสร็จเมื่อไร วันรุ่งขึ้นรับปริญญาเลย ปีนี้มีน้องคนไทยสองสามคนที่ฉันรู้จักได้สำเร็จการศึกษา เลยอวยชัยให้พรผ่านการ์ด เพราะหลังจากสอบเสร็จ ตัวฉันเองก็เดินทางขึ้นไปเหนือสุดเพื่อร่วมงานรับปริญญาของแฟนคุณแม็กที่เมือง Marquette เมืองนี้นอกจากจะเป็นเมืองที่อยู่ทาง upper peninsula แล้ว ยังเป็นอดีตเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งแร่ธาตุและถ่ายหินอีกด้วย ทำให้บรรยากาศโดยรอบที่นี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเก่า ท่ามกลางสิ่งใหม่ๆ เพราะเมืองนี้ยังคงเป็นเมืองมหาวิทยาลัยอีกด้วย ทำให้ผู้คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาจาก Northern Michigan University ที่มาอยู่ท่ามกลางอาคารบ้านเรือนเก่าแก่นี้เอง
เสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง ฉันก็ได้รับคำเชิญให้มาดูแลหมาป่วยที่บ้านคุณแม็ก เนื่องจากทั้งครอบครัวจะไปเที่ยวยุโรป และแล้วปิดเทอมของฉันก็เริ่มต้นด้วยความสงบ ประหนึ่งเพจหญิงชรากับหมาน้อย และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เริ่มต้นด้วยความสงบ คือ บ้านหลังนี้ยังไม่มี wifi เพราะพึ่งสร้างใหม่ไม่นาน...
จดหมายฉบับที่ 5
“Special guest”
หลายคนอาจสงสัยจากคราวที่แล้วว่าทำไมบ้านท่านผู้แทนราษฎรถึงไม่มี wifi ฉันขออธิบายคร่าวๆ ว่าครอบครัวนี้ขายบ้านหลังเดิมแล้วมาซื้อที่ดินเปล่าริมทะเลสาบเพื่อปลูกบ้านใหม่ เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เมื่อเทียบกับที่ดินที่มีอยู่แล้วนั้น ยังเหลือพื้นที่สำหรับสร้างอะไรต่อมิอะไรอีกมาก และฉันคิดว่าคงมีโปรเจคสร้างนู่นนี่ตามมาอีกแน่นอน เพราะพ่อคุณแม็ก (ซึ่งรักฉันเหมือนลูกแท้ๆ) จะเกษียณปีหน้านี้แล้ว
กลับมาที่ชีวิตปิดเทอมของฉัน หลังจากที่ครอบครัวนี้ไปเที่ยวยุโรปกัน ฉันก็อาสารับหน้าที่ดูแล Chewy (หมาป่วย) ซึ่งเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลสัตว์เมื่อวานก่อน สิ่งที่ฉันตกใจมากคือบิลค่ารักษาที่แพงมากถึงมากที่สุด นี่เป็นอีกเครื่องพิสูจน์หนึ่งว่าคนอเมริกันรักสัตว์มาก มากกว่าที่คนไทยเรียกสัตว์ว่าน้องเสียอีก เพราะบางคนถ้าเจอบิลค่ารักษาเป็นหมื่นเป็นแสนคงปล่อยหนีหายไปเป็นแน่ ส่วนฉันที่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาตลอดชีวิตแล้วต้องมาดูแลสัตว์ป่วย แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะการป้อนยา โชคดีที่มียากินแค่ไม่กี่เม็ดเลยไม่ได้ลำบากอะไรมาก นอกจากเลี้ยงหมาแล้ว ปิดเทอมนี้ฉันก็ลงทะเบียนเรียนไปหนึ่งวิชาซึ่งเป็นวิชาบังคบ (ที่เหมือนตัวฟรี) ทำให้ต้องหาที่นั่งทำงานที่มี wifi เพราะถ้าแชร์ hotspot คงหมดไปหลายสิบ GB ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าอินเตอร์เน็ตที่นี่ “ห่วยและแพงมาก” โชคดีสำหรับคนที่ไม่มีรถอย่างฉัน เพราะบ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากห้องสมุด เรียกว่าเดิน 5 นาทีถึง พอพูดถึงการบริหารจัดการ comminity นี้ก็ขอชื่นชมว่าทำได้ดีมาก ฉันขอเริ่มต้นที่ trail ซึ่งเป็นทางกึ่งถนนกึ่งป่าที่ทำไว้สำหรับคนเดิน วิ่ง และปั่นจักรยาน โดยตลอดทางนี้ก็จะผ่านทั้งบ้านคน (รวมถึงบ้านคุณแม็ก), ผ่านถนน (ซึ่งก็มีทางม้าลายและไฟจราจรสำหรับคนข้าม), สวนสาธารณะ, ห้องสมุด และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ทำให้ชุมชนน่าอยู่ขึ้น เรื่องนี้เกี่ยวกับการกระจายอำนาจ เพราะผู้บริหารท้องถิ่นที่นี่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดและยังมีอำนาจในการตัดสินใจใช้งบประมาณสำหรับท้องถิ่นตัวเองอีกด้วย ทำให้เขารู้ว่าคนในพื้นที่ตัวเองต้องการอะไรและตอบสนองความต้องการอย่างตรงจุด ซึ่งนอกจากฉันจะมีที่เดินเล่นออกกำลังกายแล้ว บางวันฉันก็เอาเรือคายัคออกไปพายเล่นในทะเลสาบหรือไม่ก็ตกปลา เรียกได้ว่า community นี้เหมาะกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณเป็นที่สุด
พอกลับมาจากยุโรป แม่คุณแม็กก็เก็บของกลับไปทำงานที่ capital ทันทีซึ่งฉันก็กลับไปกับเธอด้วยเนื่องจากมีประชุมคุยงานกับเพื่อนๆ กลับมาบ้านได้ไม่นานฉันก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าตั้งแต่คุณแม่รับตำแหน่งมาฉันยังไม่เคยไปเยี่ยมเธอที่ capital เลย ตอนแรกก็กะว่าจะไปเซอร์ไพร์สแต่ลืมไปว่าเขาทำงานอยู่ในสภา ให้อยู่ดีๆ เดินไปบอกว่าต้องการเจอคนนั้นคนนี้ตำรวจคงลากไปโรงพักแทน ดังนั้นฉันจึงพูดคุยนัดหมายกับเธอว่าจะไปเยี่ยมเธอ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันอังคารเพราะเธอมีประชุมสภาสมัยสามัญสามวันต่อสัปดาห์ (อังคาร พุธ พฤหัสบดี) ฉันก็นั่งรถบัสจากบ้านไปที่อาคารสำนักงานที่เป็นที่ทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งจะต่างกับของไทยเพราะสัปปายะสภาสถานเป็นทั้งที่ประชุมและที่ทำงาน แต่ที่นี่จะมีหลายอาคาร เนื่องจากตัว capital สร้างมานานมากและไม่สามารถขยายตัวอาคารได้อีกเขาจึงสร้างอาคารเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นที่ทำงานของ สส. สว. และทีมงานต่างๆ รวมๆก็หลายพันคน ตอนที่ไปถึงเป็นทีมทำงานของคุณแม่เธอที่มารับฉัน พาไปลงทะเบียนรับบัตร guest ซึ่งต้องแปะติดหน้าอกตลอดเวลาว่าฉันคือใคร มาพบใคร วันไหน ที่ไหนบ้างเพื่อเหตุผลทางด้านความปลอดภัย คุณพี่ผู้ชายคนนี้บอกฉันว่าคุณแม่เธอกำลังยุ่งอยู่เลยให้เขารับหน้าที่ไกด์พาฉันทัวร์แถวนี้ก่อน ตัวออฟฟิศของคุณแม่ก็ถือว่าขนาดพอประมาณ มีทั้งห้องทำงานส่วนตัว ห้องประชุมเล็กๆ ห้องทำงานของทีมงานและห้องน้ำในตัวอีกด้วย จากนั้นพวกเราก็ลงจากตึกมาเดินรอบๆ capital คร่าวๆ ที่ฉันได้เห็นก็คืออาคารรัฐสภาที่นี่ก็ถอดแบบมาจากอาคารรัฐสภากลางที่วอชิงตัน ดีซี ด้านนอกมีอนุสาวรีย์ของผู้ว่าการรัฐคนสำคัญในช่วงสงครามกลางเมือง ตกแต่งด้วยปืนใหญ่และอนุสาวรีย์รำลึกสงครามที่สำคัญ เช่น สงครามเวียดนาม สงครามโลก ด้านในดูโอ่โถงสวยงาม มีห้องเล็กห้องน้อยมากมาย มีห้องทำงานของผู้ว่าการรัฐ มีอดีตห้องประชุมที่เคยเป็นศาลซึ่งปัจจุบันฝ่ายตุลาการก็ถูกย้ายออกไปสร้างตึกของตัวเองแล้ว การตกแต่งมีทั้งงานกระจก งานไม้ งานหินอ่อน ที่เป็นไฮไลต์คือผนังโดมตรงกลางที่เป็นรูปภาพเยอะแยะไปหมด แต่ที่สำคัญคือมีรูปวาดของอดีตผู้ว่าการรัฐตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เดินชมได้สักพักคุณพี่ไกด์ก็พาฉันไปชั้นลอยของห้องประชุมของ สส. ซึ่งตอนนี้เหมือนเขาจะพักการประชุมกันอยู่เพราะคนในห้องประชุมมีอยู่ไม่กี่คน ทราบว่าตอนนี้แต่ละพรรคกำลังประชุมลับกันอยู่ในห้องประชุมของพรรคตนเองซึ่งก็อยู่ในห้องประชุมนี้แหละ ไม่นานก็ออกมาและในที่สุดฉันก็ได้เจอกับคุณแม่เธอสักที ไม่ต้องถามเลยว่าเป็นอย่างไรเพราะดูจากสีหน้าแล้วรู้ทันทีว่าการประชุมวันนี้วุ่นวายกันพอสมควร มีการลอบบี้กันอย่างลับๆทั้งสองพรรค จนกระทั่งเขาเรียกประชุมอีกรอบ ฉันก็นึกว่าจะได้สังเกตุการณ์จากด้านบนชั้นลอย ที่ไหนได้เธอให้ฉันนั่งอยู่ข้างๆ เธอในห้องประชุมนั้นแหละ ทีนี้ก็ได้เห็นหมดทั้งความโกลาหลในการนับองค์ประชุมและการลงคะแนน การประชุมสภาที่นี่ไม่ใช่นั่งเรียบร้อยฟังอีกฝ่ายชี้แจง แต่จะเป็นใครก็ตามที่มีวาระก็จะเปิดไมค์พูดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรอยู่ ความวุ่นวายดำเนินไปสักพักจนกระทั่งคุณแม่เปิดไมค์พูดบ้าง แต่สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากพูดต้อนรับ special guest from Thailand เพื่อให้ทั้งห้องประชุมกลับมาสนใจและส่งเสียงปรบมือให้กับแขกคนนี้ที่นั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยลุกขึ้นโค้งไปสองครั้งเป็นพิธี นับว่าเป็นเกียรติเป็นศรีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ถูกบันทึกในบันทึกการประชุมสภา ที่ตลกคือไม่ใช่รัฐสภาไทยแต่เป็นรัฐสภามิชิแกน ฉันอยู่ในห้องประชุมจนเย็นเธอก็พาฉันลงไปดูพิพิธภัณฑ์ของ capital ก็พอเข้าใจความเป็นมาของสถานที่นี้มากขึ้นนิดหน่อย ตกเย็นพวกเราก็ไปทานข้าวแล้วเธอก็ไปส่งฉันกลับบ้าน
นับว่าโชคดีที่ช่วงแรกๆ ของซัมเมอร์ฉันยังไม่มีงานต้องส่งเลยทำให้มีเวลาพักผ่อนรวมถึงอยู่กับตัวเองมากขึ้น จึงเริ่มตกผลึกและเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงยังไขว่คว้า “American dream” กันอยู่ เพราะหลายคนที่นี่ยังเชื่อว่าตราบใดที่เรายังไม่หยุดที่จะฝัน ไม่หยุดที่จะทะเยอทะยาน เราก็มีโอกาสที่จะได้มีชีวิตที่ดีได้ไม่ว่าคุณจะมาจากชาติพันธุ์หรือชนชั้นใดก็ตาม อย่างน้อยๆ 10 เดือนที่ผ่านมาฉันก็ได้เรียนรู้ที่จะทะเยอทะยานและคิดใหญ่ รวมถึงต้องทำเป็น ไม่ใช่คิดแบบพอเพียงหรือพออยู่พอกินที่ทำให้สุดท้ายแล้วเราจะไม่สามารถที่จะปลดล็อคศักยภาพที่ตัวเองมีและอยู่กับชีวิตที่เราคิดไปเองว่าแบบนี้ก็ดีแค่ไหนแล้วสำหรับเรา เพราะฉะนั้น อย่าหยุดหาโอกาสให้ตัวเองและจงไขว่คว้าโอกาสไว้เมื่อมันมาถึงมือเรา..
จดหมายฉบับที่ 6
“ฤดูร้อนที่ไม่ร้อนในมิชิแกน”
ช่วงซัมเมอร์ของมิชิแกนคือสวรรค์ที่ฉันตามหา เริ่มต้นจากอากาศที่เย็นสบาย (20-25 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ย) ผู้คนที่หนีหนาวอยู่ในบ้านตลอดหลายเดือนในที่สุดก็ได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอก ทั้งเดินเล่นกับครอบครัว ปั่นจักรยาน ปูเสื่อนั่งปิกนิกตามสวนสาธารณะ ตกปลา และกีฬากลางแจ้งอื่นๆที่ไม่สามารถทำได้ในช่วงฤดูหนาว สำหรับฉันเองปฏิเสธไม่ได้ว่าก็มีความคิดอยากไปเที่ยวไกลๆบ้าง และเนื่องจากคราวก่อนที่ไปเยี่ยม Michigan State Capital มานั้น ฉันเลยเกิดแรงบันดาลใจในการไปเที่ยววอชิงตัน ดีซี ในช่วง forth of July หรือวันประกาศอิสรภาพ
จริงๆ แล้วฉันวางแผนไปเที่ยวที่ดีซีได้สักพัก แต่แม้ว่าจะจองล่วงหน้ามาแล้ว ราคาตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับไปนิวยอร์ค ทั้งนี้ทั้งนั้นการมาเที่ยวครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มเพราะนอกจากจะได้ชมขบวนพาเหรดและพลุที่เป็นไฮไลต์ของงานแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะได้เห็นทุกๆ ตรอกก็คือพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ทำให้พิพิธภัณฑ์แทบจะทุกประเภทมาอยู่ในเมืองนี้ ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ (ฉันลองหาในกูเกิลพบว่ามีประมาณ 20 กว่าแห่ง) เรียกได้ว่าถ้าคุณเป็นเนิร์ดในด้านใดด้านหนึ่ง อย่างน้องดีซีก็มีพื้นที่ให้คุณได้เพลิดเพลินอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์และอนุสรณ์สถานอีกมากที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระบบภายใต้ผังเมืองที่ถูกออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี ไล่เรียงตั้งแต่รัฐสภาหรือที่เรียกว่า Congress ถัดมาก็เป็น The National Mall ที่มีลักษณะคล้ายสนามหลวงบ้านเรา จากนั้นก็เป็นอนุสรณ์ต่างๆ อาทิ อนุสาวรีย์วอชิงตัน อนุสรณ์สถานสงครามโลก สงครามเวียดนาม สงครามเกาหลี อนุสรณ์สถานลินคอน นอกจากนี้ยังมีตึกเล็กๆ ที่มีอายุหลายร้อยปี (น่าจะสร้างตั้งแต่ยุคสร้างประเทศ) ซึ่งตึกเหล่านี้ฉันก็ได้มารู้ภายหลังว่ามีชั้นใต้ดินซึ่งจะมีอุโมงค์ลับเชื่อมต่อกันหมด รวมไปถึงรัฐสภาสหรัฐที่มีอุโมงค์เชื่อมไปยังห้องสมุดรัฐสภา สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างทางเดินลับเหล่านี้ฉันก็ไม่แน่ใจสักเท่าไร แต่ก็เป็นการตอกย้ำถึงการก่อสร้างที่คิดมาอย่างดีจากสถาปนิกมือหนึ่งในยุคนั้น ฉันได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมภายในตัวรัฐสภาสหรัฐ สิ่งที่น่าสนใจนอกจากห้องประชุมสภาก็คือห้องใต้หลังคาที่เป็นโดมเหมือนกับ State Capital หลายๆที่ ภายในถูกก่อสร้างอย่างประณีต มีรูปปั้นบุคคลจากทุกรัฐที่มีส่วนสำคัญในการรวมชาติ รวมไปถึงรูปวาดเหตุการณ์สำคัญของประเทศ บนหลังคาด้านในมีอักษรลาตินเขียนไว้ว่า “E pluribus unum” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Out of many, one” ซึ่งเป็นคำขวัญประจำชาติของเขา การเดินทางโดยรวมถือว่าดีมาก ขนส่งสาธารณะครบและทั่วถึง จะติดอยู่อย่างหนึ่งก็คือดีซีใหญ่กว่าที่คิด ฉันไปสี่วันน่าจะเดินรวมๆ ประมาณ 40 กิโลเมตร
กลับจากดีซีฉันก็กลับไปอยู่บ้านสตีล (ที่ตอนนี้ไม่ใช่คฤหาสน์แต่เป็นเหมือนบ้านพักหลังเกษียณ) ตลอดทั้งช่วงปลายซัมเมอร์ อากาศเริ่มเย็นลงแต่กิจกรรมนอกบ้านยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทางเมืองได้จัดกิจกรรมคล้ายๆ ดนตรีในสวนขึ้น ผู้คนสามารถมาดื่มมาดริ้งค์ รวมถึงบาบิคิวกันได้ สมกับคำขวัญเมืองนี้ที่ว่า “Lake Orion, where living is a vacation” นอกจากนี้ฉันก็ได้มีโอกาสไปดูเบสบอลเมเจอร์ลีกหรือ MLB ที่แข่งกันเกือบทุกวัน ทำให้ Downtown Detroit คึกคักอยู่เสมอ พอพูดถึงกีฬา ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอันดับ 1 ในเรื่องการส่งออก Soft power อาทิ Hollywood และ American dream กีฬายังเป็นอีกหนึ่ง soft power ของประเทศนี้และวงการกีฬาก็ทำเงินมหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจ เริ่มต้นจากที่ประเทศนี้มีการแข่งขันและถ่ายทอดสดกีฬากันตลอดปี ช่วงซัมเมอร์เป็นเบสบอล ช่วงหน้าหนาวก็เป็นบาสเก็ตบอลและฮอกกี้น้ำแข็ง ช่วงกันยายนจนถึงกุมภาพันธ์เป็นฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมที่สุด คนไทยบางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ Super Bowl จากการแสดงโชว์พักครึ่งที่มีศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแสดง ซึ่งจริงๆ แล้ว Super Bowl เป็นถ้วยรางวัลที่ใหญ่ที่สุดของกีฬาฟุตบอล ซึ่งจัดแข่งขันทุกปีหลังซีซันปกติ (regular season) เรียกได้ว่าถ้าทีมไหนได้ถ้วยก็จะเป็นเกียรติเป็นศรีให้กับผู้คนในเมืองนั้นๆ ด้วย ส่วนที่ฉันกล่าวไปว่ากีฬาทำเงินนั้น ให้ลองจินตนาการว่าคนที่เชียร์ฟุตบอลต้องมีไอเทมประจำทีม เช่น เสื้อหรือหมวก ซึ่งราคามีตั้งแต่ $30 จนไปถึง $200++ ส่วนนักกีฬา ยิ่งคุณทำผลงานให้ทีมมากเท่าไร คุณก็ยิ่งเป็นที่รักของผู้คนที่เชียร์มากเท่านั้น รวมไปถึงค่าตัวที่ตามมา (ขณะที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่ ทีมโปรดของฉันเพิ่งต่อสัญญากับนักกีฬาสามคน ตกคนละ $50 ล้านเหรียญต่อปี) มากไปกว่านี้ ฟุตบอลยังเป็นศูนย์รวมของครอบครัวและคนรัก(ทีมเดียวกัน) ในวันที่มีเกมส์หรือที่เรียกว่า Game day ถ้าคุณไม่กลับบ้านไปดูกับครอบครัว คุณก็สามารถไปบาร์แถวบ้านเพื่อดูการแข่งขันกับคนอื่นๆ ได้ และด้วยความที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มีมหาวิทยาลัยจำนวนมาก และแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีทีมกีฬาเป็นของตัวเอง กีฬามหาวิทยาลัยหรือ college sports ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนติดตามไม่แพ้กีฬาระดับโปร เนื่องด้วยฉันยังเป็นนักศึกษาและก็อาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย แน่นอนว่าเด็กวัยรุ่นพวกนี้จะคุ้มคลั่งกับทีมมหาวิทยาลัยมากกว่าโดยเฉพาะ college football ซึ่งมีแข่งทุกๆ วันเสาร์ เรียกได้ว่าช่วง Fall ถ้าไม่มีกิจธุระเร่งด่วน ฉันจะไม่ออกบ้านวันเสาร์หลังบ่ายโมงเด็ดขาด เพราะทั้งมหาวิทยาลัยจะตกอยู่ในสภาวะโกลาหล ยิ่งวันไหนเป็นเกมส์ระหว่างมหาวิทยาลัยคู่อริหรือ Rivalry games วันนั้นมั่นใจได้เลยว่าต้องมีอีเมลล์แจ้งเตือนจากตำรวจเนื่องด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบสักอย่างที่เกิดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นในสหรัฐอเมริกาคือการเดินทาง ด้วยความที่เป็นประเทศใหญ่และขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้ครอบคลุมไปทุกที่ การมีรถยนต์จึงกึ่งๆ เป็นสิ่งจำเป็น การไม่มีรถยนต์ก็เหมือนนกที่ไม่มีปีก ใช้ชีวิตได้แต่ก็ไม่มีอิสระไปท่องโลกกว้าง ก่อนเปิดเทอมฉันตัดสินใจเรียนขับรถซึ่งก็ไม่ใช่ไหนไกล ก็เป็นคนในบ้านนี่แหละที่สอนฉันขับ เอาจริงๆ ตอนอยู่เชียงใหม่ฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์ พอรู้กฎจราจรและความเป็นไปของท้องถนน แต่ถนนและจราจรที่นี่มันคนละเรื่อง เริ่มจากการที่บนถนนแทบไม่มีรถมอเตอร์ไซต์ ไฟจราจรก็ไม่เหมือนซะทีเดียว มีไฟแดงกระพริบ ไฟเหลืองกระพริบ มี stop sign แถมคนที่นี่ยังขับเลนขวา มี exit มี ramp สารพัด ฉันเคยขับจาก East Lansing กลับบ้านที่ Lake Orion อยู่ครั้งหนึ่งกับคุณแม่เขา ไม่ขอลงในรายละเอียดเพราะว่ารอดชีวิตมาเขียนจดหมายฉบับนี้ได้ถือว่าบุญล้นหัว
สุดท้ายเวลาก็ผ่านมาจนครบ 1 ปี ไวเหมือนโกหก ฉันได้ประสบการณ์ที่หลากหลายจากการเรียน การพบปะผู้คนมากมาย การเอาตัวรอดในที่ๆ เราไม่คุ้นเคย รวมถึงได้เพื่อนคนใหม่จากไทยที่มาเรียนอยู่มิชิแกนเหมือนกัน นั่นก็คือน้องออมสินนั่นเอง
จดหมายฉบับที่ 7
"ปีสุดท้าย ก่อนบาย MSU"
ฉันเป็นคนเกลียดการเดินทางไกลมาตั้งแต่เด็กด้วยสาเหตุเพราะเมารถบ้าง ไม่ชอบการนั่งรถนานๆ บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาถึงทำให้ฉันต้องเดินทางไกลมาตลอดชีวิต จากจังหวัดกำแพงเพชร ได้ทุนมาเรียนมัธยมที่พิษณุโลก แล้วก็ได้ทุนพสวท.ที่เชียงใหม่ และล่าสุดก็คือมาเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่ได้เมารถมากเหมือนเมื่อก่อน และการเดินทางส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องบิน แต่การนั่งอยู่บนเครื่องบินสิบกว่าชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่น่าเบื่อมากๆสำหรับคนสมาธิสั้นอย่างฉัน
นับเป็นโชคดีของออมสินที่เดินทางมาสหรัฐอเมริกาโดยต่อเครื่องเพียงครั้งเดียวและใช้เวลาไม่นาน น้องชายของคุณแม็กอาสาขับรถพาฉันไปที่สนามบินเพื่อรับออมสิน รวมถึงไปส่งที่ Ann Arbor เมืองที่ออมสินอยู่ แน่นอนว่าฉันเป็นคนแนะนำให้ออมสินมาเรียนที่นี่เพราะ University of Michigan เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลก เก่าแก่และมีชื่อเสียงทั้งด้านวิชาการและกีฬา ปีล่าสุดก็เพิ่งได้ National Champions และไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากสมัครที่นี่ แต่เพราะไม่มีสาขาที่ฉันอยากเรียนฉันเลยไปลงเอยที่ Michigan State คิดในแง่ดีถ้าฉันไม่ไป MSU คงไม่ได้เจอแม็กและครอบครัว รวมถึงเรื่องราวดีๆ มากมายในชีวิตจวบจนปัจจุบัน ทันทีที่พ่อแม่เขารู้ว่าออมสินจะมาเรียนที่ Michigan เขาก็ให้ฉันชวนออมสินมาเที่ยวหาอยู่บ่อยครั้ง แต่ฉันก็เข้าใจอารมณ์เด็กไทยที่เพิ่งมาอยู่ต่างแดน ยังต้องปรับตัวทั้งเรื่องเรียน ภาษา การใช้ชีวิต ฉันเลยปล่อยให้ออมสินได้มีเวลากับตัวเอง
เปิดเทอมใหม่กับบรรยากาศที่เหมือนปีก่อน เพิ่มเติมคือฉันรู้สึกว่าการสร้างบทสนทนาภาษาอังกฤษนั้นง่ายขึ้น ฉันกล้าที่จะพูด กล้าที่จะเถียง (ซึ่งทำให้ฉันคนเดิมที่หายไปเป็นปีได้กลับมา) ฉันเข้าใจเลยว่าการเรียนภาษาต่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างได้ในเวลาสั้นๆ ต้องเรียนและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าฉันจะรู้สึกพูดคล่องขึ้น ก็ยังต้องฝึกฝนอะไรต่อมิอะไรอีกมาก ต้องขอบคุณบ้านสตีลอีกครั้ง เพราะนอกจากฉันได้ใช้ภาษาอังกฤษกับพวกเขาบ่อยๆแล้ว ฉันยังต้องเรียนรู้ในการออกงานสังคมที่เป็นทางการเพราะหลายครั้งที่เวลาท่านสส. ไปงานเลี้ยงก็จะเอาฉันติดสอยห้อยท้ายไปด้วย กลับมาที่เรื่องเรียน เนื่องจากวิชาที่เหลือต้องลงไม่ได้เข้มข้นมากเหมือนปีก่อน งานหลักของฉันจึงเป็นการยื่นสมัครปริญญาเอก เริ่มจากเขียน Essay ใหม่ ติดต่ออาจารย์เพื่อขอ Letter of Recommendation ยอมรับว่าครั้งนี้เครียดกว่าตอนยื่นสมัครปริญญาโท เพราะตอนสมัครปริญญาโทฉันมีทุนรัฐบาลติดมือมาด้วย แต่ตอนนี้ฉันมีแค่หนึ่งสมองและสองมือที่จะไปแข่งกับคนอื่นๆ เพราะฉันตั้งใจที่จะรับทุน TA/RA จากทางมหาวิทยาลัย ฉันยื่นสมัครไป 7 แห่ง มีทั้งแรงค์สูง กลาง ต่ำ แต่ทั้งหมดอยู่แถบ Midwest ทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลสองประการ คือ หนึ่งฉันชอบอากาศเย็นและหิมะ และสองฉันอยากเรียนที่ใกล้ๆ บ้าน
ช่วง Thanksgiving ฉันก็ยังกลับไปพักผ่อนที่บ้านสตีลเหมือนเดิม รวมไปถึงหลังปิดเทอมจนถึงคริสต์มาส ปีนี้มีงานปาร์ตี้สามสี่วันติดโดยที่แต่ละบ้านรับเป็นเจ้าภาพกันคนละวัน สำหรับปาร์ตี้คริสต์มาสอีฟปีนี้มีคนเยอะกว่าปีก่อน และทักษะการสื่อสารที่ดีขึ้นก็ทำให้ฉันเข้าไปคุยกับผู้คนหลากหลายขึ้น ความภาคภูมิใจกับคริสต์มาสปีนี้คือการเล่นบิงโกเพราะปีนี้ฉันชนะ 2 จาก 5 กระดาน รับรางวัลใหญ่ที่สุดก็คือ Amazon gift card เนื่องจากปีนี้ฉันไม่ได้ไปฟลอริด้าก็เลยกลับมาฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ ที่บาร์แห่งหนึ่งแถวแคมปัส ซึ่งบรรยากาศจะตรงข้ามกับที่ไทยเพราะเคาท์ดาวน์ที่ไทยคนจะเยอะมาก แต่ที่นี่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะส่วนใหญ่จะไปฉลองกับครอบครัวเสียมากกว่า
เทอมสุดท้ายของฉันที่ MSU เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าไร ไม่ใช่เพราะลงเรียนวิชายาก แต่เป็นเพราะป้าจีนคนเดิมที่ขอร้อง (กึ่งบังคับ) ให้ฉันมาช่วยทีมโปรเจคเพราะคนไม่พอ ทั้งๆที่ฉันก็มีเลกเชอร์ที่ต้องเรียนและเทอมนี้ฉันก็ลงเรียนเต็มเวลา โปรเจคนี้เกี่ยวกับการพัฒนา Language models ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญจากสถาบันการเงินห้าแห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งฉันเองก็ไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เลยได้แต่ช่วยอยู่ห่างๆ และเหมือนป้าจีนจะไม่เข้าใจอะไรอีกมากเพราะก็ยังมีหลายครั้งที่นางส่งอีเมลล์มาต่อว่าฉันว่าไม่ช่วยงานโปรเจคบ้าง ไม่ให้ส่วนร่วมบ้าง ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ลงเรียนวิชาของเธอด้วยซ้ำไป สุดท้ายฉันก็ผ่านมันไปได้ด้วยอะไรก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ลงเรียน เกรดก็ไม่ได้ คำขอบคุณจากนางสักคำก็ไม่มี ถือเป็นการสิ้นสุดบ่วงบาปพันธะกรรมที่มีต่อกัน และก็ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันได้รับตอบรับให้เรียนปริญญาเอกที่ Chicago เอาเป็นว่าชาตินี้ชาติไหนอย่าได้เจอกันอีก
ก่อนส่งท้าย East Lansing ฉันและเพื่อนๆ ก็ตัดสินใจไป road trip เริ่มจากไปที่ Cleveland, OH ต่อด้วย Pittsburgh, PA ปิดท้ายที่ Columbus, OH ทั้งสามเมืองเป็นเมืองใหญ่ที่ขนาดไม่ได้เท่ากับ Chicago แต่ก็มีความเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น Pittsburgh ที่ขึ้นชื่อเรื่องเบอร์เกอร์ แถมยังมีทีมกีฬา อาทิ Steelers (ฟุตบอล), Pirates (เบสบอล) และ Perguins (ฮอกกี้น้ำแข็ง) แต่สุดท้ายความสนุกครั้งนี้คือการได้ขับรถไปที่ไกลๆกับเพื่อน เพราะต้องลุ้นว่าน้ำมันจะหมดก่อนเจอปั๊มไหม หรือลุ้นว่าจะออก Exit ที่ถูกต้องหรือเปล่า
อีกหนึ่งข้อดีของการเรียนในต่างประเทศคือพอสอบเสร็จก็รับปริญญาเลย และแน่นอนว่าพ่อแม่คุณแม็กก็มางานรับปริญญาของฉันด้วย พวกเขาขับรถจาก Lake Orion กันแต่เช้าเพื่อมารับฉันที่บ้านแล้วไปที่มหาวิทยาลัย บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนานและเรียบง่ายเพราะญาติของผู้สำเร็จการศึกษาสามารถเข้าร่วมพิธีได้ กระบวนการรายงานตัวก็แสนจะง่ายดาย เริ่มจากไปที่พิธีหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มเพื่อรับบัตรสะกดชื่อ พอถึงคิวที่เราจะรับก็เอาบัตรนี้ยื่นให้พิธีกร เป็นอันเสร็จสิ้น หลังจากออกมาด้านนอกเพื่อถ่ายรูปที่ระลึกร่วมกันเสร็จ พวกเราก็ไปทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารไทยชื่อดังในเมืองนี้ เนื่องจากน่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นคนต่างชาติและอาหารไทยก็เป็นอะไรที่ฝรั่งหลายๆคนอยากลอง
หลายๆคนมักจะบอกว่าเวลาผ่านไปไวเสมอ แต่สำหรับฉันกลับมองว่าสองปีที่ผ่านมาไม่เร็วไม่ช้า เพราะบางช่วงเวลาที่มีความสุขของฉันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหลายช่วงเวลาอันขมขื่นก็ผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่สุดท้ายฉันก็ผ่านมันไปได้ ถ้าถามว่าสิ่งที่ประทับใจที่สุดในสองปีนี้คืออะไร คงไม่พ้นการที่ฉันได้มาเจอบ้านสตีลที่โอบรับฉันเสมือนคนในครอบครัว ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้งว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่มาเรียนต่อ MSU และคำตอบทุกครั้งก็คือ “ถ้าไม่มา MSU ก็คงไม่เจอแม็กและครอบครัว” หากไม่เจอครอบครัวนี้ ฉันก็คงเหมือนเด็กนักเรียนทุนคนอื่นที่วันๆอยู่แต่บ้าน ช่วงปิดเทอมก็เก็บตังไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ คงไม่ได้เจอประสบการณ์อะไรแบบนี้
และแล้วฉันก็โบกมือลา Michigan State โบกมือลา East Lansing ร้านอาหารต่างๆฉันคิดว่าคงไม่คิดถึงสักเท่าไรเพราะอร่อยสู้ Chicago ไม่ได้ แต่บรรยากาศที่ได้พูดคุยเฮฮากับเพื่อนๆ บรรยากาศ Wells hall ยามเย็น แม่น้ำ Red Cider ที่รายล้อมไปด้วยใบไม้ที่เปลี่ยนสี ถนน Grand River ที่มีผู้คนเดินโซซัดโซเซกลับบ้านหลังจากบาร์ปิด สิ่งเหล่านี้จะเป็นความทรงจำดีๆ ของฉันไปอีกนาน