ชื่อวิทยาศาสตร์' Anacardium occidentale' L.
วงศ์ ANACARDIACEAE
มะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale) เป็นไม้ดอกยืนต้น ในวงศ์Anacardiaceae มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเรียกเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Caju (ผล) หรือ Cajueiro (ต้น) ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด และผลของมัน
Anacardium occidentale, จาก Medicinal-Plants ของ Koehler (1887)
มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นมีความสูง 10-12 เมตร ต้นเตี้ย สยายกิ่งก้านไม่สม่ำเสมอ ใบจัดเรียงเป็นแบบเกลียว ผิวมันลื่น รูปโค้งจนถึงรูปไข่ ความยาว 4-22 เซนติเมตร และกว้าง 2-15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ส่วนดอกนั้นเกิดจาก ที่ยาวถึง 26 เซนติเมตร แต่ละดอกตอนแรกมีสีเขียวซีด จากนั้นสีสดเป็นแดงจัด มี 5 กลีบ ปลายแหลม เรียว ยาว 7-15 มิลลิเมตร
ส่วนที่จะปรากฏไปเป็นผลของมะม่วงหิมพานต์นั้น ก็คือ ผลวิสามัญ (accessory fruit) รูปไข่ หรือรูปลูกแพร์ ซึ่งจะเติบโตจากฐานดอกขึ้นมา ผลมะม่วงหิมพานต์นี้มีชื่อเรียกในแถวอเมริกากลางว่า marañón เมื่อสุกจะมีสีเหลือง หรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร
ผลแท้ของมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นผลเมล็ดเดียว รูปไต หรือรูปนวมนักมวย งอกออกจากปลายของผลเทียม ความจริงแล้วในตอนแรกผลนั้นเติบโตบนต้นก่อน จากนั้นก้านดอกจะขยายตัวออกมาเป็นผลเทียม ภายในผลแท้นั้น เป็นเมล็ดเดี่ยว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมองว่าส่วนเนื้อขาวนวลนั้นเป็นเผลที่มีเปลือแข็ง (nut) แต่ในทางพฤกษศาสตร์ถือว่า เป็นเมล็ด (seed) อย่างไรก็ตาม ส่วนของผลแม้นั้น นักพฤกษศาสตร์บางท่านถือว่าเป็นผลที่มีเปลือกแข็งก็มี เมล็ดนั้นห่อหุ้มด้วยเปลือกสองชั้น ประกอบด้วย ยางฟีโนลิก (caustic phenolic resin) น้ำมัน urushiol, พิษที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรง (พบได้ในพืชจำพวกไอวี่พิษ (poison-ivy ด้วย)) บางคนแพ้มะม่วงหิมพานต์ แต่ปกติถือว่าก่อให้เกิดอาการแก้น้อยกว่าผลเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ
ลำต้น
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ยืนต้นไม่พลัดใบขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 6-12 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนงหลักปานกลาง แต่มีกิ่งย่อยมาก กิ่งแขนงหลักแตกออกเป็นแนวขนานกับพื้นดินทำให้รูปทรงพุ่มเป็นรูปร่ม กว้างประมาณ 4-10 เมตร
ลำต้นมะม่วงหิมพานต์มีลักษณะทรงกลม ตั้งตรง และไม่สูงมาก เพราะลำต้นแตกกิ่งที่ความสูงไม่มาก เปลือกลำต้นค่อนข้างหนา และเรียบ มีสีเทาอมน้ำตาล
ใบ
ใบมะม่วงพิมหานต์ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โคนใบสอบแคบ และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนถึงปลายใบ โดยปลายใบค่อนข้างมนหรือเป็นป้าน ขนาดใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ขนาดกว้างสูงสุดที่ปลายใบประมาณ 5-8 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ และเกลี้ยงเป็นมัน แผ่นใบมีสีเขียวสด มีเส้นกลางใบสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ พร้อมแตกเส้นแขนงใบออกในแนวตรงจากกลางใบ
ดอก
มะม่วงหิมพานต์ ออกเป็นช่อตรงซอกใบบริเวณปลายกิ่ง แต่ละช่อจะมีก้านช่อย่อย 5-10 ก้าน เรียงสลับกันบนก้านช่อหลัก ก้านดอกอ่อนมีสีชมพู แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาว และสีเขียวเมื่อแก่ขึ้น แต่ละก้านช่อจะมีดอก 10-30 ดอก ทั้งนี้ ในก้านดอกหลักจะมีดอก 3 ประเภท คือ ดอกตัวผู้ มีประมาณร้อยละ 96 ดอกตัวเมีย และดอกสมบูรณ์เพศ ซึ่งดอก 2 ชนิดหลัง จะรวมกันแล้วประมาณร้อยละ 4 ซึ่งดอกจะสามารถผสมเกสรได้เองภายในช่อดอกเดียวกัน และจะติดผลเพียงไม่กี่ผลต่อช่อเท่านั้น
ดอกจะประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนหุ้มบริเวณโคนดอก ถัดมาเป็นกลีบดอกที่มีสีเหลืองอมขาว จำนวน 5 กลีบ เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะมีสีอมแดงเรื่อบริเวณโคนกลีบ กลีบดอกมีลักษณะเรียว ปลายกลีบแหลม ถัดมากลางดอกเป็นเกสรตัวผู้ 7-10 อัน และเกสรตัวเมีย
ผล และเมล็ด
มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะผลแปลกประลาด กล่าวคือ ส่วนที่อวบ และมีสีแดง มีลักษณะคล้ายผลชมพู่ ซึ่งเรามักเข้าใจว่าเป็นผลจริง แท้จริงแล้ว คือ ผลเทียม ซึ่งเป็นส่วนของก้านผลที่ขยายอวบนูนขึ้น ส่วนผลแท้เป็นส่วนที่มีรูปคล้ายไตห้อยอยู่ด้านล่าง
• ผลเทียม
ผลเทียม เป็นส่วนที่เป็นก้านผล แต่มีการพองขยายตัวจนมีรูปร่างคล้ายผลจริงเหมือนกับผลไม้ทั่วไป ผลเทียมจะมีรูปร่างคล้ายผลชมพู่ แต่ตรงขั้วผลจะไม่สอบแคบเหมือนผลชมพู่ ขนาดผลยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกจะมีสีแดงเรื่อหรือสีชมพูหรือสีเหลืองตามสายพันธุ์ ภายในผลประกอบด้วยเนื้อผลที่ฉ่ำด้วยน้ำ ให้รสหวานอมฝาด หากสุกน้อยจะฝาดมาก หากสุกมากจะมีรสหวานเพิ่มขึ้น แต่ยังคงรสฝาดไว้เหมือนเดิม ทั้งนี้ ที่ปลายผลจะห้อยด้วยผลแท้ที่มีรูปร่างคล้ายไต
• ผลแท้
ผลแท้ เป็นส่วนที่มีรูปร่างคล้ายไต ห้อยติดด้านล่างของผลเทียม ผลเมื่ออ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีเทาหรือสีน้ำตาล ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยเปลือกหุ้มผลที่หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ด้านในเป็นที่อยู่ของเมล็ดที่มีรูปคล้ายไตเช่นกัน แบ่งออกเป็น 2 ซีก ประกบกันอยู่ เนื้อเมล็ดนี้มีสีขาว เมื่อนำมาคั่วไฟจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้รับประทาน เนื้อเมล็ดมีความกรอบ มีกลิ่นหอม ให้รสมันอร่อย ทั้งนี้ เมื่อปอกเปลือกแล้วจะเหลือเนื้อเมล็ดประมาณ 25% ส่วนอีกประมาณ 75% จะเป็นเปลือกที่หุ้มด้านนอก
การพัฒนาของผลแท้ และผลเทียมในระยะแรก ผลแท้จะพัฒนาขยายใหญ่กว่าผลเทียม จากนั้น เมื่อโตเต็มที่จะคงตัว และค่อยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเทาอมน้ำตาล ส่วนผลเทียมจะค่อยๆพัฒนาขยายใหญ่ขึ้นทีหลัง จนมีขนาดผลใหญ่กว่าผลแท้หลายเท่า
1. พันธุ์ศรีสะเกษ 60-1
พัฒนาสายพันธุ์ขึ้นโดยศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ มีลักษณะเด่น คือ ทรงพุ่มแน่นทึบ ออกดอกเร็วในช่วงเดือนพฤศจิกายน อายุเก็บผลผลิต 90-95 วัน หลังจากดอกบาน ผลเทียมค่อนข้างป้อม และรี เปลือกผลมีสีแดงเข้ม ส่วนเมล็ดมีสีเทา น้ำหนักเมล็ดรวมเปลือกประมาณ 158 เมล็ด/กิโลกรัม หากเริ่มเก็บผลตั้งแต่ 3 ปี แรกหลังปลูก และเก็บผลนาน 8 ปี สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 12.25 กิโลกรัม/ต้น/ปี เมล็ดดีให้เนื้อเมล็ดหลังกะเทาะเปลือก ประมาณ 27 % มีปริมาณเมล็ดเสียประมาณ 11 % เมล็ดส่วนมากจัดอยู่ในเกรด 3 ของมาตรฐาน ทั้งนี้ จัดเป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคได้ดี
2. พันธุ์ศรีสะเกษ 60-2
เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษเช่นกัน มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นมีทรงพุ่มค่อนข้างโปร่ง อายุเก็บผลผลิต 100 –110 วัน หลังจากดอกบาน ผลเทียมมีลักษณะรียาว เปลือกผลมีสีชมพูอมเหลือง เมล็ดแท้มีสีน้ำตาลอมแดง น้ำหนักเมล็ดรวมเปลือกประมาณ 138 เมล็ด/กิโลกรัม หากเริ่มเก็บผลตั้งแต่ 3 ปี แรกหลังปลูก และเก็บผลนาน 8 ปี สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 12.25 กิโลกรัม/ต้น/ปี สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 9.4 กิโลกรัม/ต้น/ปี เมล็ดดีให้เนื้อเมล็ดหลังกะเทาะเปลือก ประมาณ 25% มีปริมาณเมล็ดเสียประมาณ 25% เมล็ดส่วนมากจัดอยู่ในเกรด 3 ของมาตรฐาน พันธุ์นี้ จัดเป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคได้ดี และจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม
3. พันธุ์ศิริชัย 25
เป็นพันธุ์ที่ค้นพบโดย บริษัท มาบุญครองศิริชัยมะม่วงหิมพานต์ จำกัด ในปี 2525 บริเวณจังหวัดจันทบุรี และได้เพิ่มปริมาณการปลูกมากขึ้นในช่วงปี 2528-2533 มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นมีทรงพุ่มครึ่งวงกลมหรือรูปร่ม ผลเทียมมีสีแดงเข้ม เมล็ดมีขนาดใหญ่ น้ำหนักเมล็ดรวมเปลือกประมาณ 154 เมล็ด/กิโลกรัม เมล็ดดีให้เนื้อเมล็ดหลังกะเทาะเปลือกค่อนข้างสูง ประมาณ 34%
4. พันธุ์เกาะพยาม
เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้ในจังหวัดระนอง พบปลูกมากที่ ต. เกาะพยาม มีลักษณะเด่น คือ ผลเทียมมีสีเหลือง และอมแดงจางๆ เมล็ดแท้มีสีน้ำตาลอมเทา รูปร่างเมล็ดอวบใหญ่ ขนาดเมล็ดใหญ่ น้ำหนักเมล็ดรวมเปลือกประมาณ 100-110 เมล็ด/กิโลกรัม เมล็ดดีให้เนื้อเมล็ดหลังกะเทาะเปลือก ประมาณ 25% ปริมาณผลผลิตเฉลี่ย 5 ปี ประมาณ 4 กิโลกรัม/ต้น/ปี
ประโยชน์มะม่วงหิมพานต์
1. เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถือเป็นอาหารขบเคี้ยวที่นิยมรับประทานมาก และนิยมมากกว่าเมล็ดธัญพืชเกือบทุกชนิด เนื่องจากมีความกรอบ ให้รสมัน และมีกลิ่นหอม
2. เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ นิยมใช้ประกอบอาหารหลายเมนู อาทิ ใส่ส้มตำ ใส่ยำต่างๆ ใส่ไอศกรีม เป็นต้น
3. ผลเทียมที่ฉ่ำด้วยน้ำหวาน แต่อมฝาดเล็กน้อย ใช้สำหรับรับประทานเป็นผลไม้สด รวมถึงใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ น้ำผลไม้ปั่น ไวน์มะม่วงหิมพานต์ ไอศรีมมะม่วงหิมพานต์ แยม และน้ำส้มสายชู เป็นต้น
4. ยอดอ่อนใช้รับประทานสดหรือลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงต่างๆ
5. ผลเทียมใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์หรือใช้เลี้ยงสัตว์จำพวกนก กระรอก และสุกร เป็นต้น
6. ผลเทียมมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยกว่า 20 ชนิด สามารถใช้สกัดเป็นหัวน้ำหอมหรือผสมทำน้ำหอมได้
7. เปลือกเมล็ดนำมาสกัดกรดน้ำมันที่นำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่
– ใช้ทำหมึกพิมพ์
– ใช้ผลิตสีทาบ้าน
– ใช้ในกระบวนการทำผ้าเบรก
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันขัดโลหะ
– ใช้ทาไม้สำหรับป้องกันปลวก และแมลง
– ใช้เป็นน้ำมันในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก
– ใช้เป็นส่วนผสมของกาว
– ใช้ในกระบวนการฟอกย้อม
8. เปลือกลำต้นใช้ต้มย้อมผ้า ย้อมแห ย้อมอวน
9. เปลือกนำมาตากแห้งจะกลายเป็นสีดำ นำมาต้มสกัดเพื่อใช้ทำหมึกประทับตราผ้า รวมถึงใช้สำหรับทำน้ำประสานในงานบัดกรีโลหะ
10. ยางที่ไหลออกจากจากเปลือกลำต้น เมื่อรวมกันเป็นก้อนจะมีสีเหลือง เรียกว่า กัม ใช้สำหรับทำน้ำมันขัดเงาโลหะหรือไม้แกะสลัก
11. ยางจากเปลือกนำมาเคี่ยวสำหรับทำกาว ทั้งงานไม้ และงานกระดาษ โดยเฉพาะหากนำยางดังกล่าวที่เคี่ยวแล้วหรือน้ำยางสดมาผสมกับน้ำมะนาวจะยิ่งทำให้เป็นกาวเหนียวมากขึ้น
12. เปลือกหุ้มเมล็ดที่กะเทาะออกแล้วนำมาใช้เป็นเชื้อสำหรับก่อไฟ ช่วยให้การก่อไฟติดได้ง่ายขึ้น
13. เนื้อไม้มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้เนื้ออ่อนถึงแข็งปานกลาง ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของต้น ต้นอ่อนมักให้สีเหลืองอมน้ำตาล ต้นที่มีอายุมากให้สีแดงหรือน้ำตาลอมแดง สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ อาทิ โต๊ะ ที่รองนั่ง เก้าอี้ เป็นต้น
14. ลำต้น กิ่ง และใบแห้งใช้ทำเชื้อเพลิงในครัวเรือน