ฐาน ThaiLIS
Name: กันต์ชญาณี ส่งเจริญทรัพย์
Title : ภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร
Publisher : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: นครปฐม
Subject
keyword: ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์
Description
Abstract: บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน 3) วิเคราะห์ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 287 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนกระจายตามกลุ่มโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัยมีค่าความตรงด้านเนื้อหาเท่ากับ 0.67 และ 1.00 ค่าความเที่ยง ของแบบสอบถามด้านภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.98 และด้านประสิทธิผลของโรงเรียน เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและรายด้าน ประกอบด้วย รูปแบบการจัดการ ระบบ และโครงสร้าง กลยุทธ์การแข่งขัน การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของกระบวนการ และทรัพยากรบุคคลและความสัมพันธ์ ตามลำดับ 2. ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและรายด้าน ประกอบด้วย ผลลัพธ์ หลักสูตร การตัดสินใจ บรรยากาศ ภาวะผู้นำ และทรัพยากร ตามลำดับ 3. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ รูปแบบการจัดการ ระบบ และโครงสร้าง (X5) ทรัพยากรบุคคลและความสัมพันธ์ (X3) และประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของกระบวนการ (X2) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน โดยสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 81.20 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสมการวิเคราะห์การถดถอย คือ Y ̂_tot = 0.61 + 0.42(X5) + 0.25(X3) + 0.20(X2)
กันต์ชญาณี ส่งเจริญทรัพย์ (2563) ภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร นครปฐม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ฐาน ThaiLIS
กระบวนการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษา โรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี
Name: พรทิพย์ บุญขวัญ
Organization : ผู้วิจัย
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี 2.เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนา
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี 3.เพื่อเสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณและงานวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 265 คน และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ใช้สถิติวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหาแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัย 1. ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ในระดับประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี ต่อสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษา อยู่ในระดับมาก และรายด้านทุกด้าน อยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อย คือ ด้านบริหารงานวิชาการ ด้านบริหารงานทั่วไป ด้านบริหารงานงบประมาณ และด้านบริหารงานบุคคล 2. ผลการศึกษากระบวนการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี พบว่า 1. ด้านบริหารงานวิชาการ ส่งเสริมให้ครูสามารถใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ด้านการวัดผล ประเมินผล 2. ด้านบริหารงานงบประมาณ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการวางแผนงบประมาณ ข้อมูลการใช้จ่าย คำนวณงบประมาณประจำปีด้วยโปรแกรม Microsoft Excel บันทึกและจัดทำทะเบียนพัสดุครุภัณฑ์ พิมพ์เอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง จัดพิมพ์และบันทึกแบบฟอร์มเอกสารทางการเงินของสถานศึกษา ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 3. ด้านบริหารงานบุคคล จัดทำคลังข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ จัดทำทะเบียนประวัติของบุคลากร การรายงานผลการปฏิบัติงานของบุคลากรกรผ่านระบบออนไลน์ การจัดทำคลังข้อมูลสารสนเทศของบุคลากรเป็นรายบุคคล 4. ด้านบริหารงานทั่วไป ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนบริหารโรงเรียน ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการประชาสัมพันธ์โรงเรียน ใช้ระบบ School Helath HERO ในการจัดการข้อมูลระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดำเนินงานธุรการผ่านระบบ AMSS ๓. ผลการเสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี มีดังนี้ 1. ด้านบริหารงานวิชาการ ควรจัดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็ว และทันสมัย ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ควรพัฒนาครูทุกคนให้สามารถใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ การวัดประเมินผล และการวิจัย 2. ด้านบริหารงานงบประมาณ ควรจัดให้มีระบบการจัดทำแผนงบประมาณ การประเมิน และติดตามการใช้งบประมาณ การวิเคราะห์งบประมาณ ที่สามารถเชื่อมโยงกันทั้งหน่วยงานภายในสถานศึกษา และระหว่างสถานศึกษา 3. ด้านบริหารงานบุคคล ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลบุคลากรแบบออนไลน์ ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลสถานศึกษาแบบออนไลน์ ควรจัดให้มีเทคโนโลยีบริหารอัตรากำลังแบบ Real time ที่รวดเร็วและง่ายต่อการตัดสินใจในการวางแผนอัตรากำลัง ควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการใช้เทคโนโลยีแก่ผู้บริหาร และบุคลากรที่มีอายุมาก 4. ด้านบริหารงานทั่วไป ควรจัดทำระบบการรับและส่งหนังสือราชการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ควรจัดทำระบบบริหารอาคารและสถานที่ของสถานศึกษา ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลเครือข่ายการเรียนรู้ ควรพัฒนาเว็บไซต์สถานศึกษาเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดการศึกษาและการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษาให้กับผู้ปกครองและผู้ที่สนใจทราบ
พรทิพย์ บุญขวัญ (2564) กระบวนการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารการศึกษา โรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ฐาน ThaiLIS
การพัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย
Name: จิราพร จันทร์เนย
Organization : ผู้วิจัย
Abstract: การวิจัยเรื่อง การพัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นาการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย โดยกำหนดวิธีดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจาก ครู และบุคลากรทางการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ศึกษาเหตุปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การระดมสมอง (Brain Storming) โดยมีผู้ระดมสมอง ได้แก่ กลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงเหตุและผล (Cause and Effect) และสรุปเนื้อหาเชิงบรรยาย 3) ศึกษาภาพอนาคตที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษาตามคุณลักษณะของผู้นำที่พึงประสงค์ ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การวิจัยแบบ EFR และการวิจัยแบบ EDFR โดยมีผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ กลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา และ4) ศึกษาแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยมีผู้ร่วมสนทนากลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารการศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา การวิจัยสรุปได้ดังต่อไปนี้ ผลการศึกษาพบว่า แนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย ดังนี้ 1. การประเมินสภาวการณ์ พบว่า สภาพภาวะผู้นาแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นาการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีคุณภาพการปฏิบัติดีเยี่ยม ได้แก่ ด้านมุมมองตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ (Biblical Worldview) เหตุปัจจัยที่สนับสนุนภาวะผู้นาแบบผู้รับใช้ ได้แก่ การประกาศความเชื่อ หลักการทำงานเป็นทีม การกำหนดภาระใจในการทำงานเพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า และการให้ความสำคัญกับการศึกษา ส่วนเหตุปัจจัยที่ฉุดรั้งภาวะผู้นำ แบบผู้รับใช้ ได้แก่ ความไม่เท่าเทียมกัน ความสัมพันธ์กับชุมชนไม่แน่นแฟ้น และมีข้อจำกัดในการทำงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า และภาพอนาคตที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา ประกอบด้วยความเชื่อและศรัทธาในหลักธรรมของพระผู้เป็นเจ้าตามคริสตธรรมคัมภีร์ ได้แก่ ความรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงประทานความสามารถผู้บริหารแบบมืออาชีพ และการปฏิบัติตนเพื่อให้มีคุณลักษณะใกล้เคียงกับคุณลักษณะอันสมบูรณ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ได้แก่ การให้เกียรติและยกย่องผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นให้พบความสำเร็จก่อนความต้องการของตนเองเสมอ 2. ทบทวนวิสัยทัศน์เดิม มุ่งมั่นในการจัดการศึกษาและพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและจริยธรรมตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ควบคู่ไปกับความรู้ทางด้านวิชาการโดยผ่านการเรียนการสอนในระบบโรงเรียนคริสเตียนนานาชาติ 3. การกำหนดวิสัยทัศน์กลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย มีภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ สามารถบริหารสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ 4. พันธกิจการบริหาร ส่งเสริมและพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นาการบริหารการศึกษา ตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ ส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรตามมาตรฐานวิชาชีพสร้างค่านิยม การดำเนินชีวิตตามวิถีคริสเตียน และการทำงานเป็นทีม โรงเรียนมีการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพได้แก่ กลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย มีภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ ครูและบุคลากรมีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพ มีค่านิยมการดำเนินชีวิตตามวิถีคริสเตียน และการทำงานเป็นทีมโรงเรียนมีการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ 5. ประเด็นกลยุทธ์ในการกำหนดแผนงานโครงการ ได้แก่ กลยุทธ์การนำตนเอง (ส่งเสริมและพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา ตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์) กลยุทธ์การนำทีม (ส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรตามมาตรฐานวิชาชีพ สร้างค่านิยมการดำเนินชีวิตตามวิถีคริสเตียน และการทำงานเป็นทีม) และกลยุทธ์การนำองค์กร(โรงเรียนมีการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ)
จิราพร จันทร์เนย (2563) การพัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของกลุ่มผู้นำการบริหารการศึกษา โรงเรียนคริสเตียนนานาชาติเชียงราย เชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภูวไนย ซ่อนกลาง
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ขอนแก่น
สุภัทร พันธ์พัฒนกุล
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ขอนแก่น
คำสำคัญ: รูปแบบ, การพัฒนา, ภาวะผู้นำเชิงบวก, ยุคดิจิทัล, ผู้บริหารสถานศึกษา
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัล 3) ประเมินความเหมาะสมและประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริหาร 141 คน ระยะที่ 2 สร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนา โดยใช้แบบประเมินกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ระยะที่ 3 ประเมินความเหมาะสมและประโยชน์ โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริหารและครูหัวหน้าวิชาการ 15 คน
ผลการวิจัยพบว่า
สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่าภาวะผู้นำเชิงบวกอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ลำดับความสำคัญของความต้องการจําเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การคิดเชิงบวก การสร้างแรงบันดาลใจ การใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก และการการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม ตามลำดับ
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการพัฒนา ประกอบไปด้วย 4 หน่วยการเรียนรู้ (1) การใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก (2) การสร้างแรงบันดาลใจ (3) การยึดมั่นในสิ่งถูกต้องชอบธรรม (4) การคิดเชิงบวก และ 4) การดำเนินงานและการนำไปใช้ ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก
ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด
ภูวไนย ซ่อนกลาง , สุภัทร พันธ์พัฒนกุล (2563) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงบวกในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 . วารสาร มรร ล้านนาวิชาการ ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (2024) : 60-69
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 15 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ครู จำนวน 175 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของครูในแต่ละโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าศึกษา
1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดเทศบาลนครแม่สอด ในภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกำหนดทิศทางขององค์การและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ 2) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดเทศบาลนครแม่สอด จังหวัดตาก พบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษาควรทบทวนวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา 2) ยึดหลักการมีส่วนรวมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร 3) เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดและทำงานเชิงบวก 4) มอบหมายงานการปฏิบัติตามกลยุทธ์อย่างเหมาะสม 5) วางแผนการประเมินการดำเนินงานตามกลยุทธ์
มิตร์ ชื่นสิน (2567) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์และแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดเทศบาลนครแม่สอด จังหวัดตาก . วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2567 : 28-42
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร 2) ระดับการดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา และ 4) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ได้แก่ ครู 269 คน และผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรี 48 คน รวม 317 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาความสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารตามความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามคะแนนเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ได้แก่ การปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร การเน้นคุณธรรมจริยธรรม การบังคับบัญชาและการประเมินเชิงกลยุทธ์ การกำหนดกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ที่กำหนด 2) การดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาชลบุรี ตามการรับรู้ของผู้เข้าร่วมประชุม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามคะแนนเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ได้แก่ นักเรียนและบัณฑิต หลักสูตรและการเรียนการสอน ครูและผู้บริหาร การมีส่วนร่วม และโครงสร้างพื้นฐาน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาชลบุรี อยู่ในระดับสูงสุด ( = .807) โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานด้านมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาชลบุรี มีดังนี้ 1) วิสัยทัศน์ที่กำหนด 2) การกำหนดกลยุทธ์ 3) การปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร 4) การเน้นความประพฤติที่ถูกต้องตามจริยธรรม และ 5) การบังคับบัญชาและการประเมินกลยุทธ์ ตัวแปรดังกล่าวสามารถทำนายการดำเนินงานตามมาตรฐานวิชาชีพของวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 65.40 และสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปของคะแนนมาตรฐานได้ดังนี้Z'Y = .248 Z 5 +.249 Z 2 +.175 Z 4 +.135 Z 3 +.119 Z 1 .
ณรงค์ รัตนโสภา , พจนีย์ มั่งคั่ง และ สายฝน เสกขุนทด (2565) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐาน การอาชีวศึกษาของสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรี . วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีที่ 19
ฉบับที่ 84 มกราคม – มีนาคม 2565
ฐาน ThaiEd Research
หัวข้อการค้นคว้าอิสระ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
ชื่อผู้วิจัย ปรียานุช ทับหนองฮี
ปริญญา/คณะ/มหาวิทยาลัย ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก
อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.สมชาย เทพแสง
ปีการศึกษา 2566
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
ปรียานุช ทับหนองฮี (2566) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 กรุงเทพฯ . คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
ฐาน ThaiEd Research
หัวข้อวิทยานิพนธ์ ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของพนักงานครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่
ผู้วิจัย นายสรวิศ จันพุ่ม
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา และความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน 331 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า
1. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่ โดยภาพรวม และรายด้าน อยู่ ในระดับมากที่สุด
2. การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ ในระดับมากที่สุด
3. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01
สรวิศ จันพุ่ม (2561) ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของพนักงานครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่ นครศรีธรรมราช . มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
ผู้วิจัย นาย วสันต์ ศักดาศักดิ์
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วสันต์ ศักดาศักดิ์ (2565) เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กรุงเทพฯ . มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
ฐาน ERIC
Relationship between School Principals' Strategic Leadership Characteristics and School Teachers' Organizational Commitment Levels
Eurasian Journal of Educational Research, n91 p105-126 2021
Purpose: The main purpose of this study to determine the relationship between the strategic leadership characteristics of school principals and the level of organizational commitment of teachers. Research Methods: The universe of the research in the relational screening model is the 3648 teachers working in the secondary education institutions in Van province in the 2017-2018 academic year. 558 teachers, who were determined by the stratified sampling method, formed the sample of the research. Findings: According to research findings, teachers think that school principals usually show strategic leadership qualities. According to the teachers, school principals are generally in the dimension of strategic leadership, transformational applications, managerial applications and political applications, and in terms of ethical applications, they always demonstrate strategic leadership characteristics. Teachers' organizational commitment was found to be moderate in the study. Teachers' organizational commitment was found moderate level, at a low level in the compliance sub-dimension, a low level in the internalization sub-dimension, and a moderate level in the identification sub-dimension. Another finding of the study, it was found that there was a moderately significant positive relationship between the strategic leadership characteristics of school principals and the organizational commitment of teachers. Implications for Research and Practice: The finding that there is a moderate positive correlation between the strategic leadership characteristics of school principals and the level of organizational commitment of teachers, school principals are more likely to develop strategic leadership characteristics that will strengthen teachers' organizational commitment.
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้อำนวยการโรงเรียนและระดับความมุ่งมั่นต่อองค์กรของครูในโรงเรียน
อูการ์ เรซซาน ; ดัลจิช เซอร์เวต
วารสารวิจัยการศึกษายูเรเซีย , n91 หน้า 105-126 2021
วัตถุประสงค์: วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาครั้งนี้คือเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้อำนวยการโรงเรียนและระดับความมุ่งมั่นขององค์กรของครู วิธีการวิจัย: จักรวาลของการวิจัยในแบบจำลองการคัดกรองเชิงสัมพันธ์คือครู 3,648 คนที่ทำงานในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดวานในปีการศึกษา 2017-2018 ครู 558 คนซึ่งถูกกำหนดโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นเป็นกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ผลการศึกษา: ตามผลการศึกษา ครูคิดว่าผู้อำนวยการโรงเรียนมักจะแสดงคุณสมบัติความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ตามที่ครูระบุ ผู้อำนวยการโรงเรียนโดยทั่วไปอยู่ในมิติของความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ การประยุกต์ใช้การเปลี่ยนแปลง การประยุกต์ใช้การจัดการ และการประยุกต์ใช้ทางการเมือง และในแง่ของการประยุกต์ใช้ทางจริยธรรม พวกเขามักจะแสดงลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ พบว่าความมุ่งมั่นขององค์กรของครูอยู่ในระดับปานกลางในการศึกษา พบว่าความมุ่งมั่นขององค์กรของครูอยู่ในระดับปานกลาง อยู่ในระดับต่ำในมิติย่อยการปฏิบัติตาม ระดับต่ำในมิติย่อยการนำภายใน และระดับปานกลางในมิติย่อยการระบุตัวตน ผลการศึกษาอีกประการหนึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญปานกลางระหว่างลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้อำนวยการโรงเรียนกับความมุ่งมั่นต่อองค์กรของครู ผลกระทบต่อการวิจัยและการปฏิบัติ: พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกปานกลางระหว่างลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้อำนวยการโรงเรียนกับระดับความมุ่งมั่นต่อองค์กรของครู ผู้อำนวยการโรงเรียนมีแนวโน้มที่จะพัฒนาลักษณะความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่เสริมสร้างความมุ่งมั่นต่อองค์กรของครูมากขึ้น
Ucar, Rezzan; Dalgic, Servet (2021) Relationship between School Principals' Strategic Leadership Characteristics and School Teachers' Organizational Commitment Levels , Eurasian Journal of Educational Research, n91 p105-126 2021
ฐาน ERIC
Skillfully Learning and Leading: Educators Describe the Impact of Their Participation in an Appreciative Leadership Development Program on Their Work
Michelle Irish
ProQuest LLC, Ed.D. Dissertation, Southern New Hampshire University
The purpose of this Dissertation in Practice (DiP) is to discover how educators serving students with significant learning challenges describe the impact of participation in an appreciative leadership development program on their work and professional growth as leaders. This scholar-practitioner DiP achieves this goal through the scholarly pursuit of knowledge, organization analysis, original research, and the extension and application of professional practice. This DiP reports on the examination of this school's customized application of the Skillful Leading and Living (Wells, 2018) curriculum and associated scholarship and practices. The first three chapters follow traditional dissertation expectations by laying out the significance of the study, a theoretical framework, and a traditional methodology and analysis process. This study includes an original theoretical framework grounded in positive leadership and Interpretative Phenomenological Analysis (Smith et al., 2009) as the methodology. Chapters 4, 5, and 6 represent elements specific to a DiP which include a practitioner tool, a submission-ready journal article, and a scholar-practitioner reflection. The study looked at reflections of clinicians' experiences in an appreciative leadership development program and found common themes related to mindfulness practices, psychological safety, learning mindset, and organizational structures that supported participants' learning. The Positive Leadership Development Framework Tool was created to assist practitioners in incorporating positive leadership development practices that support professional growth at the individual (human capital) and collective (social capital) levels, supported by opportunities for reinforcing developmental experiences, positive emotional experiences, all held within a climate of compassion. [The dissertation citations contained here are published with the permission of ProQuest LLC. Further reproduction is prohibited without permission.
การเรียนรู้และการเป็นผู้นำอย่างมีทักษะ: นักการศึกษาอธิบายถึงผลกระทบของการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำเชิงชื่นชมต่อการทำงานของพวกเขา
มิเชลล์ ไอริช
ProQuest LLC , Ed.D. วิทยานิพนธ์, Southern New Hampshire University
จุดประสงค์ของวิทยานิพนธ์เชิงปฏิบัติการ (DiP) นี้คือการค้นพบว่านักการศึกษาที่ให้บริการนักเรียนที่มีความท้าทายในการเรียนรู้ที่สำคัญอธิบายถึงผลกระทบของการมีส่วนร่วมในโปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำที่ชื่นชมต่อการทำงานและการเติบโตในอาชีพของพวกเขาในฐานะผู้นำอย่างไร วิทยานิพนธ์เชิงปฏิบัติการแบบนักวิชาการ-นักปฏิบัติคนนี้บรรลุเป้าหมายนี้ผ่านการแสวงหาความรู้ทางวิชาการ การวิเคราะห์องค์กร การวิจัยดั้งเดิม และการขยายและการนำแนวทางปฏิบัติทางวิชาชีพไปใช้ วิทยานิพนธ์เชิงปฏิบัติการฉบับนี้รายงานเกี่ยวกับการตรวจสอบการนำหลักสูตร Skillful Leading and Living (Wells, 2018) ของโรงเรียนนี้ไปใช้เอง รวมถึงการศึกษาและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง สามบทแรกปฏิบัติตามความคาดหวังของวิทยานิพนธ์แบบดั้งเดิมโดยระบุความสำคัญของการศึกษา กรอบทฤษฎี และกระบวนการวิเคราะห์และระเบียบวิธีแบบดั้งเดิม การศึกษานี้รวมถึงกรอบทฤษฎีดั้งเดิมที่มีพื้นฐานมาจากความเป็นผู้นำเชิงบวกและการวิเคราะห์ปรากฏการณ์เชิงตีความ (Smith et al., 2009) เป็นระเบียบวิธี บทที่ 4, 5 และ 6 แสดงถึงองค์ประกอบเฉพาะของ DiP ซึ่งรวมถึงเครื่องมือสำหรับผู้ปฏิบัติงาน บทความวารสารที่พร้อมส่ง และการสะท้อนความคิดระหว่างนักวิชาการกับผู้ปฏิบัติงาน การศึกษานี้พิจารณาการสะท้อนความคิดของประสบการณ์ของแพทย์ในโปรแกรมการพัฒนาความเป็นผู้นำที่ชื่นชม และพบธีมทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการฝึกสติ ความปลอดภัยทางจิตวิทยา แนวคิดการเรียนรู้ และโครงสร้างองค์กรที่สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เข้าร่วม เครื่องมือกรอบการพัฒนาความเป็นผู้นำเชิงบวกถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถรวมเอาแนวทางการพัฒนาความเป็นผู้นำเชิงบวกที่สนับสนุนการเติบโตในอาชีพในระดับบุคคล (ทุนมนุษย์) และระดับส่วนรวม (ทุนทางสังคม) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโอกาสในการเสริมสร้างประสบการณ์การพัฒนา ประสบการณ์ทางอารมณ์เชิงบวก ซึ่งทั้งหมดนี้จัดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมของความเห็นอกเห็นใจ
Michelle Irish (2021) Skillfully Learning and Leading: Educators Describe the Impact of Their Participation in an Appreciative Leadership Development Program on Their Work , ProQuest LLC, Ed.D. Dissertation, Southern New Hampshire University
ฐาน ERIC
Positive Leadership: Animating Purpose, Presence, Passion and Play for Flourishing in Schools
Cherkowski, Sabre; Kutsyuruba, Benjamin; Walker, Keith
Journal of Educational Administration, v58 n4 p401-415 2020
Purpose: The purpose of this multiyear research study is to examine leadership in K-12 schools using a positive organizational perspective to understand how to foster, support and encourage flourishing in schools. In this article, the authors describe the lived experiences of a small group of principals and vice-principals in K-12 schools describing how they have experienced flourishing in their work. Design/methodology/approach: The research was carried out using a qualitative, phenomenological approach to examine the lived, concrete and situated experiences of a small sample of school administrators (N = 9) in two school districts in the province of British Columbia, Canada. Data were collected through individual interviews that were designed to be appreciative in nature. These lasted between 60 and 90 min, were recorded and transcribed. The interview data were deductively and inductively analyzed and arranged into themes that demonstrate the key components of positive leadership for flourishing in schools, derived from these participants' experiences. Findings: Building on and extending their findings that school administrators feel a sense of flourishing when they focus on their work from the values of purpose, passion and play, the authors found that a fourth value, presence, was important for these participants to experience well-being at work. Principals' sense of well-being was strongly related to the notion of balance in their work and life, which helped them address potential stress and ill-being. Findings suggest that a strengths-based, positive approach to school leadership offers an alternative perspective for supporting and encouraging well-being at work. Research limitations/implications: Limitations of this research include the small sample size and the appreciative focus with which the data were collected that meant that participants were providing their experiences from a positive perspective. This article offers a complementary perspective for researching well-being in schools, from a positive, strengths-based approach to examining the work of administrators. Practical implications: The authors offer insights into the work of school leaders from an appreciative, strengths-based perspective on understandings and practices that may be useful to principals and vice-principals who wish to enhance their workplace well-being. The authors suggest that administrators can learn to craft their work in ways that highlight existing well-being conditions toward amplifying and sustaining well-being. Working from four animating values for flourishing seemed to promote well-being for this small sample of administrators within the existing challenges and complexities of their work. Originality/value: This article offers examples of lived experiences of principal and vice-principal well-being that highlight what happens when school leaders attend to their work from a positive, appreciative, strength-based perspective. This research perspective is an additional source of knowledge about well-being in schools complementing the existing research on well-being from a stress management and reduction perspective.
ภาวะผู้นำเชิงบวก: การส่งเสริมจุดมุ่งหมาย การปรากฏตัว ความหลงใหล และการเล่นเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในโรงเรียน
เชอร์โคฟสกี้, เซเบอร์; คุตซิรูบา, เบนจามิน; วอล์คเกอร์, คีธ
วารสารการบริหารการศึกษาเล่ม 58 ฉบับที่ 4 หน้า 401-415 2563
วัตถุประสงค์: วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยหลายปีนี้คือการตรวจสอบความเป็นผู้นำในโรงเรียน K-12 โดยใช้มุมมองเชิงบวกขององค์กรเพื่อทำความเข้าใจวิธีการส่งเสริม สนับสนุน และส่งเสริมให้โรงเรียนเจริญรุ่งเรือง ในบทความนี้ ผู้เขียนบรรยายประสบการณ์จริงของผู้อำนวยการโรงเรียนและรองผู้อำนวยการโรงเรียนกลุ่มเล็กๆ ในโรงเรียน K-12 โดยอธิบายว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำงานอย่างไร การออกแบบ/ระเบียบวิธี/แนวทาง: การวิจัยดำเนินการโดยใช้แนวทางเชิงคุณภาพและปรากฏการณ์วิทยาเพื่อตรวจสอบประสบการณ์จริงที่เป็นรูปธรรมและตามสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก (N = 9) ในเขตโรงเรียนสองแห่งในรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ข้อมูลรวบรวมจากการสัมภาษณ์รายบุคคลที่ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะชื่นชม การสัมภาษณ์ดังกล่าวใช้เวลาระหว่าง 60 ถึง 90 นาที บันทึกและถอดเสียง ข้อมูลการสัมภาษณ์ได้รับการวิเคราะห์แบบนิรนัยและอุปนัย และจัดเรียงเป็นหัวข้อที่แสดงให้เห็นองค์ประกอบสำคัญของความเป็นผู้นำเชิงบวกเพื่อความสำเร็จในโรงเรียน ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเหล่านี้ ผลการศึกษา: ผู้เขียนได้ขยายผลการศึกษาที่พบว่าผู้บริหารโรงเรียนรู้สึกมีความสุขเมื่อทำงานโดยยึดหลักคุณค่าของจุดมุ่งหมาย ความหลงใหล และความสนุกสนาน ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมการศึกษารู้สึกว่าคุณค่าประการที่สี่ คือ การมีอยู่ มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงาน ความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดีของผู้อำนวยการโรงเรียนมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับแนวคิดเรื่องความสมดุลในการทำงานและชีวิต ซึ่งช่วยให้พวกเขาจัดการกับความเครียดและความเป็นอยู่ที่ไม่ดีที่อาจเกิดขึ้นได้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าแนวทางเชิงบวกที่เน้นจุดแข็งต่อผู้นำโรงเรียนเป็นอีกมุมมองหนึ่งสำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงาน ข้อจำกัด/ผลกระทบของการวิจัย: ข้อจำกัดของการวิจัยนี้ ได้แก่ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เล็กและการมุ่งเน้นที่ความชื่นชมซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งหมายความว่าผู้เข้าร่วมการศึกษามอบประสบการณ์ของตนจากมุมมองเชิงบวก บทความนี้เสนอมุมมองเสริมสำหรับการวิจัยความเป็นอยู่ที่ดีในโรงเรียน ตั้งแต่แนวทางเชิงบวกที่เน้นจุดแข็งไปจนถึงการตรวจสอบงานของผู้บริหาร ผลกระทบในทางปฏิบัติ: ผู้เขียนเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานของผู้นำโรงเรียนจากมุมมองที่ชื่นชม และเน้นจุดแข็งเกี่ยวกับความเข้าใจและแนวปฏิบัติที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อำนวยการโรงเรียนและรองผู้อำนวยการโรงเรียนที่ต้องการเพิ่มพูนความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน ผู้เขียนแนะนำว่าผู้บริหารสามารถเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์งานของตนในลักษณะที่เน้นย้ำถึงเงื่อนไขความเป็นอยู่ที่ดีที่มีอยู่เพื่อขยายและรักษาความเป็นอยู่ที่ดี การทำงานตามค่านิยมที่กระตุ้นให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองสี่ประการดูเหมือนจะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้บริหารกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ กลุ่มนี้ภายในความท้าทายและความซับซ้อนที่มีอยู่ของงานของพวกเขา ความคิดริเริ่ม/คุณค่า: บทความนี้เสนอตัวอย่างประสบการณ์จริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อำนวยการโรงเรียนและรองผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำโรงเรียนใส่ใจในงานของพวกเขาจากมุมมองที่เป็นบวก ชื่นชม และเน้นจุดแข็งมุมมองการวิจัยนี้เป็นแหล่งความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีในโรงเรียนซึ่งเสริมการวิจัยที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีจากมุมมองของการจัดการและลดความเครียด
Cherkowski, Sabre; Kutsyuruba, Benjamin; Walker, Keith (2020) Positive Leadership: Animating Purpose, Presence, Passion and Play for Flourishing in Schools , Journal of Educational Administration, v58 n4 p401-415